Monday, August 25, 2008

ปิดฉากอย่างประทับใจ-โอลิมปิค 2008


จบไปเรียบร้อย เมื่อวานนี้ครับ กับมหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่อย่างโอลิมปิด ที่จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ใกล้บ้านเรานี่เอง


ผมฟีเวอร์สุดๆครับ เพราะติดตามตั้งแต่วันแรกยันวันสุดท้าย เพราะนอกจากจะมีนักกีฬาไทยลงแข่งขันแล้วก็ยังมีกีฬาอีกหลายชนิดน่าติดตามอย่างมากด้วย ถ้าจะให้แจกแจง คงเกินหนึ่งหน้ากระดาษ จะยาวเกินไปครับ แต่คนที่ชอบกีฬา หากพลาดแล้ว สุดแสนเสียดายเลยล่ะ


ขนาดเพื่อนชวนออกไปกินข้าว ผมยังไม่ไปไหนเลยครับ ก็กูจะดูโอลิมปิคน่ะ ขอเถอะ จะว่าบ้าก็ยอม


จีนจัดการแข่งขันได้ดีมากครับ ทั้งพิธีเปิดและพิธีปิด ความพร้อมเพรียงของประชากรจีนหลายพันคน ลองคิดดูเล่นๆ ว่าถ้าต้องมาซ้อมบ่อยๆ แล้ว หากมีคนที่ป่วย ไม่มาซ้อมขณะที่เรียนรู้งานไปเยอะแล้ว จะทำอย่างไรเนี่ย เหมือนจะดูง่าย แต่ไม่ง่ายนะครับ การหาคนมาทดแทนกันเนี่ย


สำหรับนักกีฬาไทย ไม่ว่าจะได้เหรียญรางวัลหรือไม่ ผมชื่นชมทุกคนนะครับ เพราะพวกเขาและพวกเธอเป็นคนที่เสียสละอย่างแท้จริง ต้องเสียสละเวลาส่วนตัวเพื่อซ้อมกีฬา เวลานอนก็ต้องตื่นเช้าไปซ้อม ตกกลางคืนก็ต้องรีบพักผ่อน เที่ยวไหนก็ไม่ค่อยได้ไป บางทีก็ต้องควักเนื้อจ่ายเงินเองซะอีก เพราะไม่มีงบประมาณจัดสรรมาให้


บางคนบอกว่าโม้หรือเปล่า จะเป็นไปได้ยังไง(จริงครับ ผมเชื่อนะ ตอนสมัยผมแข่ง แม้ไม่ถึงระดับชาติ แต่ก็ต้องนั่งรถเมล์ไปแข่งกีฬาครับ เรื่องแบบนี้จึงเป็นไปได้


สำหรับนักกีฬาไทยที่ได้เหรียญ ถือเป็นรางวัลที่ยิ่งใหญ่ของความพยายามครับ ไม่ว่าจะเป็น ประภาวดี เจริญรัตนธารากุล แห่งสมาคมยกน้ำหนัก ที่มีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ


น้องสอง บุตรี เผือดผ่อง แห่งสมาคมเทควันโด ที่ใจใหญ่เกินเด็ก(โรงเรียนที่เธออยู่ เคยมาทัศนศึกษาที่โรงเรียนของผมครั้งหนึ่งครับ น่ารักกันทั้งนั้น กิริยามารยาทก็เรียบร้อย)


สำหรับสมาคมมวยสมัครเล่น ผมขอยกมา 4 คนครับ เริ่มจาก วรเพชร เพชรขุ้ม ที่แม้คราวนี้จะไม่ได้เหรียญ แต่ผมอยากให้วรพจน์ สู้ต่อ และอยากให้ผู้ใหญ่ช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเรื่องโรคมะเร็งให้กับคุณพ่อของวรพจน์ด้วย(คุณแม่ผมป่วยเป็นโรคนี้อยู่เหมือนกัน ผมเข้าใจอย่างดีครับ)


สำหรับ มนัส บุญจำนงค์ ผมเชื่อว่า มนัสมีบทเรียนมาแล้ว เขาจะไม่ทำพลาดอีกแน่นอน การทำเหรียญได้อีก แสดงถึงความพยายามและไม่ยอมแพ้ของมนัส ครับ


ส่วนสองคนสุดท้าย ที่ขอกล่าวมากหน่อย คนแรก คือ อำนาจ รื่นเริง ครับ ชีวิตของอำนาจ น่าชื่นชมมากๆ แม้เขาจะก้าวพลาด เนื่องจากไม่มีเงินกินข้าว จึงวิ่งราวทรัพย์ และรอให้ตำรวจมาจับอย่างง่ายๆ(อำนาจบอกว่า อยู่ในคุกมีข้าวกินดีมากๆ)


แต่หลังจากชีวิตนักโทษ อำนาจกลับตัว กลับใจ ฝึกซ้อมมวย จนได้เป็นตัวแทนมาแข่งโอลิมปิด ซึ่งแม้จะแพ้ แต่เขาจะพยายามสู้ต่อ ผมชื่นชมอำนาจมากๆ ครับ คนที่ก้าวพลาดแต่กลับตัวได้ ควรให้โอกาส และน่าชื่นชมสุดๆ


คนสุดท้าย คือ สมจิตร จงจอหอ สี่ปีก่อน ผมยังจำได้ดีว่า สมจิตร ร้องไห้ เสียใจที่คว้าเหรียญไม่ได้ ซึ่งผมยังจำภาพนั้นได้ดีครับและเอาใจช่วยสมจิตรเสมอ


สี่ปีถัดมา สมจิตรเป็นคนใหม่ ใช้สมาธิเข้าช่วยและฝึกซ้อมให้หนักขึ้น ฟอร์มการชกอยู่ในขั้นสุดยอด เรียกว่า เก่งมากๆเลยทีเดียว


ผลของความพยายามของสมจิตร(12 ปี) ทำให้มีวันนี้ และความเป็น Family man ของสมจิตร ผมคิดว่าทุกคน คงจะประทับใจไม่มากก็น้อย


นักกีฬาไทยทุกคน เป็นตัวอย่างที่ดี สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้และควรเอาเป็นแบบอย่างมากๆครับ


หมายเหตุ ขอบคุณภาพจาก http://th.wikipedia.org/ ครับ


Thursday, August 21, 2008

Animal planet –Spinner Dolphin at Fernando de Noronha


จริงๆ ตอนนี้ ผมดูตั้งแต่ 2 สัปดาห์ก่อนแล้วครับ แต่ที่พึ่งมาเขียนเพราะได้ฤกษ์สะดวก


มาเริ่มเท่าที่จำได้ดีกว่า พูดถึงเกาะเฟอร์นันโด ผมคุ้นชื่อมานานแล้วครับ ในวีซีดีที่เกี่ยวกับทะเลก็พาไปบ่อยๆ แต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน(ชื่อก็พอจะเดาได้ว่า อยู่แถบละตินอเมริกาครับ)


เกาะเฟอร์นันโด หรือที่พิธีกรในตอนนี้ พูดว่า Fernando de Noronha นั้น อยู่ในประเทศบราซิลครับ หากเปรียบเกาะเฟอร์นันโด กับบ้านเราแล้ว ผมนึกถึงเกาะตะรุเตาเป็นอันดับแรกเลยล่ะ นั่นเป็นเพราะที่เกาะเฟอร์นันโด เคยเป็นสถานที่คุมขังนักโทษครับ(เขาใช้วิธีหย่อนนักโทษลงมาจากหน้าผา ให้จมน้ำตาย โหดไหมล่ะ 555)


ว่ากันด้วยโลกใต้ทะเลกันบ้าง เกาะเฟอร์นันโด ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์สำหรับระบบนิเวศ พิธีกรพร้อมกับถังอากาศแบบแพคคู่(เพื่อให้อยู่ใต้น้ำได้นานขึ้นน่ะครับ) ) พาดำดิ่งไปในห้วงน้ำ พบกับ French Angelfish เป็นปลาสินสมุทรที่มีสีดำทั้งตัวครับ ดูสวยงามมาก(ชื่อไทยไม่แน่ใจครับ)


นอกจากปลาไหลมอเรย์ที่ยื่นหน้าออกมาแล้ว Dive Site ตรงนี้ พิธีกรดำดิ่งไปตามโพรงถ้ำ ดูแล้วน่าตื่นตาตื่นใจดีมาก


สมัยก่อน ที่ลาวาไหลออกมาจากภูเขาไฟ จึงทำให้เกิดปะติมากรรมอันสวยงามที่ใต้ทะเลแห่งนี้


จากนั้นเป็นปลาน้ำดอกไม้หรือเจ้าปลาสาก(Barracuda) นักล่าที่มีฟันครบกริบมากๆ


เต่าตนุ(Green turtle)ตัวหนึ่งกำลังว่ายน้ำ พิธีกรและนักสำรวจ จึงจับมันขึ้นมาเพื่อติดชิพติดตาม ซึ่งจะเป็นประโยชน์มากๆ ในงานวิจัยเกี่ยวกับชีวิตของเต่าทะเล ซึ่งก็ค่อนข้างยากเอาการอยู่ แม้เต่าตนุตัวนี้จะตัวไม่ใหญ่แต่แรงเยอะมากจริงๆ จากนั้นจึงปล่อยเขาเพื่อกลับบ้าน


มาที่ไฮไลท์ คือ เจ้าโลมากระโดดหรือ Spinner Dolphin กันบ้าง ที่นี่มีกฎหมายห้ามว่ายน้ำกับโลมา เว้นแต่จะได้รับอนุญาต ซึ่งพิธีกรคนนี้ก็ได้รับโอกาสนั้นครับ


ที่ Fernando de Noronha จัดได้ว่ามี Spinner Dolphin อยู่พอสมควรทั้งนี้เพราะการออกกฎหมายเกี่ยวกับการอนุรักษ์ที่เข้มงวดของประเทศเขานั่นเอง


โลมากระโดดเป็นญาติกับโลมาปากขวด ซึ่งโลมาถือเป็นสัตว์สังคม การที่จะให้เขายอมรับเรา จึงต้องใช้เวลา


ที่กราบเรือ มีโลมากระโดดไม่ต่ำกว่าสิบตัวว่ายน้ำเล่นอยู่ แค่เอื้อมมือก็คงแตะถึงตัวพวกเขาได้ทันที


ว่าแล้วพิธีกรก็ลงน้ำแบบ Free-diving ปราศจากอุปกรณ์ใดๆ นอกจากหน้ากากดำน้ำเท่านั้น ทั้งนี้เขาไม่ลืมที่จะหยิบสาหร่ายลงไปด้วยครับ ว่ากันว่าโลมามักจะโยนสาหร่ายเล่นกันน่ะ


ในตอนแรก โลมากระโดดเพศเมียและโลมาวัยเด็กจะอยู่ห่างๆ โดยโลมาเพศผู้จะเป็นฝ่ายเข้ามาตรวจดูผู้มาเยือน


เมื่อเขามาดูจนแน่ใจแล้วว่า ไม่มีภัย พวกมันส่งเสียงสัญญาณ จากนั้นตัวเมียและลูกๆ ก็เข้ามาร่วมวงด้วย


ช่างเป็นภาพที่หาดูได้ยากครับ ที่โลมาจะว่ายน้ำกับมนุษย์อย่างคุ้นเคย พิธีกรโยนสาหร่ายออกไป จากนั้นโลมาก็รับสาหร่ายชิ้นนั้นและเล่นกันในหมู่โลมาด้วยกัน


ปิดท้ายที่พิธีกร กล่าวถึงการเดินทางมาที่ Fernando de Noronha ว่า ก่อนเดินทางเขาไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก โดยเฉพาะการเห็น Spinner Dolphin


นับว่า Fernando de Noronha เป็นอีกหนึ่งเกาะมหัศจรรย์ที่น่าค้นหาจริงๆครับ


หมายเหตุ รูป Spinner Dolphin ขอขอบคุณ www.photosub.com/picturegallery.htm


Monday, August 04, 2008

ดำน้ำพัทยา แบบ…มิได้นัดหมาย(2)







ขึ้นมาด้านบน ผมถามเรื่องสัตว์ทะเลหลายอย่าง รวมทั้งสิ่งผิดปกติที่ Regulator ครูปรีชาบอกว่า ผมไม่ยอมบอก จะได้ดูให้ในขณะนั้น(แกลองหายใจดู ก็ได้นะครับ อาการยังไม่ออกมั้ง แต่ผมไม่อุปทานแน่ ไดฟ์หน้าผมจะใช้ Octopus ลงเป็นตัวจริงแน่นอนล่ะ 555 อย่างกับการแข่งกีฬาแน่ะ ตัวจริง ตัวสำรอง )

พี่หญิงอ้อ เจอเพื่อนเก่าของผม ปลาผีเสื้อกลางคืนด้วยครับ(Seamoth) จริงๆ ผมจำได้ว่า ถ้าออกจากบริเวณหัวเกาะไป มีโอกาสเจอพวกเขาและสัตว์แปลกๆอีกเยอะครับ(ปีที่แล้วตอนมาทดสอบไดฟ์คอมพิวเตอร์ที่นี่ ลงไปชั่วโมงครึ่งครับ จำได้ดีเลย ปวดฉี่ด้วย 55)

มารับประทานอาหารกลางวันกันดีกว่า ส่วนใหญ่ไปกับพี่ป้อม ผมเคยทานแต่อาหารของเรือพี่ตุ๋น ซึ่งอร่อยอยู่แล้ว มาคราวนี้ อาหารดูเหมือนว่าจะไม่อร่อยครับ แต่ว่า อย่าพึ่งติ หากท่านยังไม่ได้ชิม(รูปไม่สวย จูบก็อาจหอมได้ ในขณะที่รูปสวย จูบอาจจะไม่หอม แปลเอาเองนะครับ เจ้าสำนวนจริงๆ 555)

กระเพราเนื้อใส่หน่อไม้(เผ็ดเล็กน้อย) ดูจะถูกใจผมมากที่สุด เมนูอร่อยกว่าตามเรือหรูๆอีกครับ(เรื่องอาหารมันก็พูดยากนะ แต่ละคนชอบไม่เหมือนกันหรอก) ยังไงก็ไม่กล้าทานเยอะครับ เต็มที่จานเดียว เดี๋ยวลงไดฟ์ต่อไปจะโอ๊ก อ๊าก ได้

ต่อไปนี้ก็เป็นรายการเป่าเค๊กให้ครูปรีชา(เมื่อวานนี้วันเกิดของแก) ผมโชคดีมาในวันนี้พอดี เ ลยทันงานนี้ครับ เค๊กเขียนว่า All Diver ด้วย เท่ดี เหมาะสำหรับนักดำน้ำจริงๆ ครับ

ครูปรีชาบอกให้ผมเตรียมตัว ไดฟ์ต่อไปเราจะลงดำที่เรือหลวงกูด พูดถึงเรือกูด ผมเคยมาดำครั้งแรกเมื่อเดือนพฤษภาคมปีก่อน(ที่มาทดสอบไดฟ์คอมนั่นแหละครับ) แต่แทบมองไม่เห็นตัวเรือเลยครับ เพราะกระแสน้ำแรงจนตัวปลิวออกมา

“อย่าปล่อยเชือกนะภพ ค่อยๆไต่เชือกลงไป ถึงตัวเรือค่อยปล่อยเชือก” ครูปรีชาบอก

เอาล่ะครับ นี่ถือว่าเป็น Match ล้างตา คราวนี้ผมไม่ยอมปลิวเหมือนเดิมแน่ๆ


Dive 2 สัมผัสความงามของเรือหลวงกูด!!!

ผมใช้ Octopus อย่างที่บอกไว้ คราวนี้หายใจสดชื่น ไม่มีน้ำเข้าเรคกูเลเตอร์ให้กวนใจ ผมค่อยๆจับเชือกลงไป พร้อมกับเคลียร์หูอย่างช้าๆ และประณีตที่สุด(ใครจะไปก่อนผมหลีกทางให้เลยครับ เพราะแต่ละคนใช้เวลาเคลียร์หูช้า-เร็ว ไม่เท่ากัน เอาความปลอดภัยดีกว่านะ)

การจับเชือกควรจะจับแล้วปล่อย อย่าจับแล้วรูดลงมานะครับ เพราะที่เชือกมีเพรียงเยอะแยะเลย ถ้าจับแบบรูด เพรียงบาดมือคงไม่สนุกเป็นแน่แท้

ลงมาจนถึงความลึกประมาณ 25 เมตร(คราวนี้รู้สึกว่าเคลียร์หูได้อย่างดี ทำอย่างช้าๆ ทำไม่ได้ก็ตีขาขึ้นมานิดนึง กว่าจะถึงที่ความลึกเท่านี้ ผมทำหลายทีเหมือนกันครับ) ผมปล่อยเชือกและว่ายตามครูปรีชาไป

ตัวเรือกูด มีเพรียงเกาะเต็มไปหมดครับ ทำให้ดูยิ่งเก่า ถัดจากเชือกมานิดนึง เลี้ยวมาอีกนิด ผมก็เจอปลาตัวแรกครับ นี่คือ ปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled Scorpionfish) พรางตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีมากครับ แทบจะกลมกลืนกับตัวเรือเลยล่ะ ปลาแมงป่องชนิดนี้พบได้บ่อยในทะเลอันดามัน มีพิษบริเวณโคนก้านครีบครับ

ต่อมาเป็นปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) ตัวใหญ่กว่าที่เกาะสากครับ สีก็แปลกๆด้วย

ผมกำลังมองตัวเรือจากด้านบน บางจุดก็ต้องตีขาออกมาด้านนอกเพราะอาจชนกับตัวเรือได้ เรือกูดดูใหญ่และขลังดีครับ แม้จะไม่เก่าแก่เท่าเรือจมสุทธาทิพย์แต่ผมก็มีประวัติของเรือหลวงกูดมาฝากทุกท่านด้วย






“เรือหลวงกูดเป็นเรือประเภทเรือยกพลขึ้นบกขนาดกลาง ( LSM : landing Ship, Medium) ขนาดระวางขับน้ำปกติ ๕๑๓ ตัน เต็มที่ ๙๑๒ ตัน ความยามตลอดลำ ๖๑.๕ เมตร กว้าง ๑๐.๕๑ เมตร กินน้ำลึกเต็มที่ ๑.๒๗ เมตร ติดตั้งอาวุธ ปืน ๔๐ มม. โบฟอร์ส ๑ กระบอก และปืนกล ๒๐ มม.เออลิคอน ๔ กระบอก เครื่องจักรใหญ่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล ๑,๘๐๐ แรงม้า จำนวน ๒ เครื่อง สองเพลาใบจักร สามารถขับเคลื่อนเรือให้แล่นได้ความเร็วสูงสุด ๑๓.๕ นอต มีรัศมีทำการไกลสุดถึง ๒,๕๘๐ ไมล์ กำลังพลประจำเรือในอัตราประกอบด้วย นายทหาร ๘ นาย , พันจ่า ๖ นาย , จ่า ๓๐ นาย และพลทหาร ๒๔ นาย




ประวัติความเป็นมา เรือลำนี้เดิมชื่อ USS EXNO (LSM 333) ต่อที่อู่ Pullman Works เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา วางกระดูกงูเมื่อ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๘๗ ต่อมารัฐบาลไทยได้ซื้อมาในราคา ๒๓๕,๐๐๐ เหรียญ ตามโครงการช่วยเหลือทางทหาร โดยมีพิธีรับมอบที่อ่าวซูบิค ประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๔๙๘ และได้ขึ้นระวางประจำการในกองทัพเรือไทยเมื่อ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ เรือหลวงกูดได้เคยปฏิบัติภารกิจที่สำคัญ เช่น การลำเลียงกำลังทหาร และสนับสนุนการสับเปลี่ยนกำลังทหารไทยในระหว่างสงครามเกาหลี, การลำเลียงกำลังทหาร และยุทโธปกรณ์ทางทะเล , ปฏิบัติการยุทธสะเทินน้ำสะเทินบก , การออกลาดตระเวนตามแนวชายแดนทางทะเล และยังเป็นเรือฝึกสำหรับนักเรียนนายเรือ , นักเรียนจ่า ตลอดจนนักเรียนหลักสูตรพิเศษต่าง ๆ เช่น หลักสูตรนักประดาน้ำ กรมสรรพาวุธทหารเรือ ฯลฯ




จากการปฏิบัติภารกิจเพื่อรับใช้ชาติและราชนาวีมานานถึง ๕๗ ปี จนตัวเรือมีสภาพผุกกร่อนและทรุดโทรมมาก ไม่คุ้มค่าต่อการซ่อมคืนสภาพ กองทัพเรือจึงได้อนุมัติปลดระวางประจำการ เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฏาคม ๒๕๔๗




ที่ตั้งในการนำเรือหลวงกูด ลงสู่ท้องทะเล เพื่อจัดทำเป็นอุทยานใต้ทะเลเฉลิมพระเกียรติ ฯ




บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะสาก ตำบลที่ ละติจูด ๑๒ องศา ๕๗.๑ ลิปดาเหนือ ลองติจูด ๑๐๐ องศา ๔๘.๑ ลิปดาตะวันออก (แบริ่ง ๐๓๔ ระยะ ๑,๐๐๐ หลา จากเกาะสาก) ความลึกประมาณ ๓๓ เมตร”(ข้อมูลจาก http://www.navy.mi.th/




มาต่อดีกว่าครับ ครูปรีชาชี้ให้ผมดูปูตัวหนึ่ง สีตุ่นๆ(อีกแล้ว) กลมกลืนกับตัวเรือได้ดีเลยล่ะ ผมมองแหงนไปด้านบน ฝูงปลาเยอะมากครับ ใครจะไปเชื่อว่าภาพแบบนี้ที่พัทยาก็มี ไม่ได้มีที่เกาะเต่าอย่างเดียวนะ
ส่วนปลาชนิดอื่นเท่าที่จำได้ ก็มีปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) และปลาปริศนาที่รูปร่างคล้ายปลาการ์ตูนปานดำตัวใหญ่ๆ(ใหญ่มาก) ไม่ได้อยู่ในที่ที่มีดอกไม้ทะเล เจอหลายทีแล้วแต่ยังไม่รู้จักชื่อ เสียง เรียงนามเลยครับ




ช่วงไต่เชือกขึ้นมาและทำ Safety stop ครูปรีชาหยิบเรคกูเลเตอร์ที่เสียของผมไปลองหายใจ พร้อมใช้ปากกาจิ้มให้ผมดูว่า มีฟองอากาศออกมาทางปุ่มกด




ขึ้นมาครูปรีชาจัดการใช้ไขควงซ่อมเรคกูเลเตอร์ครับ(ประมาณว่ามีตัวหนึ่งที่ไม่ดี ทำให้เวลาหายใจจะมีน้ำไหลเข้าไปครับ) ซ่อมไม่นานนัก ก็เสร็จเรียบร้อย




ฝนทำท่าว่าจะตกในช่วงเย็น ในขณะที่ในช่วงเช้าอากาศดีมากๆ(ช่วงนี้ที่พัทยาเป็นแบบนี้อยู่หลายวันครับ ไม่ต่างอะไรจากกรุงเทพเลย) ครูปรีชาพานักเรียนใหม่ไปดำที่เกาะครกต่อ จุดนี้ผมก็ยังไม่เคยลงครับ แต่วันนี้เอาแค่นี้ดีกว่า(ประมาณว่าหายอยากแล้ว 555) ถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ ก็แล้วกัน




เรือมาถึงที่ท่าเรือแหลมบาลีฮายในช่วงเย็นๆ มีรถกองถ่ายภาพยนต์เรื่อง “ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช” ด้วยครับ ว่าแต่ถ่ายทำฉากไหน ต้องไปพิสูจน์กันในภาพยนต์นะ




ขนของลงจากเรือดีกว่าครับ ผมมองเห็นเด็กน้อยลูกชาวประมงและป้า(คาดว่าน่าจะเป็นป้าเต้า เจ้าของเรือหรือเปล่านะ) ป้าเดินมาพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ส่วนเด็กน้อยนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานของป้า โดยถือทุ่นสีส้มกลับบ้านด้วย




ขากลับโชคดีที่ว่าไม่ต้องกลับรถทัวร์ครับ ติดรถพี่หญิงอ้อกลับกรุงเทพ ถึงรวดเร็วจริงๆเพราะแกขับรถเร็วเหมือนกันนะ(สาวๆ ขับรถเร็วแบบนี้ทุกคนหรือเปล่าเนี่ย 55)




เป็นอันจบสองไดฟ์ในหนึ่งวัน กับการดำน้ำแบบง่ายๆ ที่พัทยา ซึ่งก็ทำให้ผมได้เจอกับมิตรภาพใหม่ๆอีกครั้งหนึ่ง




ผมชอบทะเลตั้งแต่แรกเห็น แม้ฝนจะตก แดดจะออก ทะเลจะคลั่งหรือพบเจอประสบการณ์ที่น่ากลัว ผมไม่เคยเข็ดและขยาดกับทะเลครับ ตรงกันข้ามกลับยิ่งรักและยิ่งชอบทะเลมากขึ้นและมากขึ้นทุกวัน




การดำน้ำช่วยให้ชีวิตของผมมีความสุข มีสมาธิ ได้เห็นโลกใหม่ๆ และผมจะพยายามนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่านครับ




และนี่ก็เป็นอีกครั้ง สำหรับประสบการณ์ดำน้ำเรื่องยาว พบกันใหม่ทริปหน้านะครับ








Phop Payapvipapong




1 Aug 2008




04.14 PM

ดำน้ำพัทยา แบบ…มิได้นัดหมาย(1)

http://picasaweb.google.com/

http://tidechaser.blogspot.com/



พี่ป้อมมีออกทริปไปดำน้ำที่แสมสาร ในวันหยุดสุดสัปดาห์หน้าครับ ถามว่าอยากไปไหม อยากมากๆครับเพราะถ้าจำไม่ผิดพลาด นี่เป็นครั้งที่สอง ที่แกจัดทริปไปที่นี่(ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา)

ในครั้งแรก ผมก็ได้ออกทริปไปด้วย(รายละเอียด ติดตามได้ในเรื่อง “เปิดโลกทะเล…สัตหีบ”) ยังจำความใสของน้ำทะเลที่เกาะจวง ความยิ่งใหญ่ของเรือจมสุทธาทิพย์(Hardeep) และความสวยงามของเรือจมเพชรบุรีเบรเมน ได้อย่างดีครับ

แต่ด้วยภาระหน้าที่ และในวันแรกของสัปดาห์หน้าต้องพาคุณแม่ไปทำเคโม จึงเป็นเรื่องยากที่จะปลีกตัวไปได้ในสัปดาห์หน้า(ช่วงทำเคโม อาการแพ้จะเริ่มมีหลังจากการรักษา 1-2สัปดาห์ ก่อนจะดีขึ้นในสัปดาห์ที่สามครับ)

เหลือบเห็นในมัลติพลายของพี่ Yingor ซึ่งเป็นผู้ช่วยของครูปรีชาแห่ง Happydive จะพานักเรียนออกไปสอบดำน้ำที่พัทยาในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้(ผมเจอครูปรีชาบนเรือโชคศุลี เมื่อวันปีใหม่ครับ รายละเอียดติดตามได้ในเรื่อง “อันดามันเหนือ…สวรรค์แห่งการดำน้ำ” ครับ)

ที่สำคัญ วันหยุดสุดสัปดาห์นี้ ผมและครอบครัวจะต้องพาคุณแม่ไปพักผ่อนที่พัทยาอยู่แล้วนี่นา!!! หากจะไปดำน้ำในวันอาทิตย์ก็คงไม่ยากนัก จากที่พักไม่ถึง 5 นาที ก็ถึงท่าเรือแหลมบาลีฮายแล้วครับ(ก็ Pattaya Port ที่ผมไป บ่อยๆนั่นแหละครับ พึ่งทราบว่าใช้ชื่อนี้น่ะ)

ส่วนตามชื่อเรื่องที่ว่า “แบบ…มิได้นัดหมาย” นั้น มีสิ่งที่ไม่ยังไม่แน่นอนและสิ่งที่คาดไม่ถึง(เข็มขัดสั้น) ดังนี้ครับ

ประการแรก คิดไว้ว่าคงไม่ไปดำน้ำจนถึงเดือนตุลาแน่นอน อีกทั้งยังไม่ทราบเลยครับว่าจะได้ไปพัทยาหรือเปล่า เพราะหากคุณแม่เปลี่ยนใจ ก็คงไม่ได้ไป(อันนี้ก็จบนะ คงไม่มีเรื่องนี้มาให้อ่านกันครับ)

ประการที่สอง ถ้าได้ไป ก็ยังไม่ทราบเลยครับ ว่าจะได้ไปดำที่ไหน หมายไกลหรือหมายใกล้ แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญครับ ประเด็นอยู่ที่ ผมอยากดำน้ำน่ะ(มองไปด้านบน มีฟองอากาศด้วยครับ 55)

ประการสุดท้าย เป็นเรื่องแปลก ในห้าครั้งที่ผมไปดำน้ำแบบ Fun Dive ที่พัทยา ตรงกับเดือนกรกฎาคม ถึงสี่ครั้ง ทั้งๆที่ไม่เคยคิดไว้ก่อนว่าจะไปดำน้ำเดือนไหน ซึ่งก็บังเอิญดีครับ(อืม เป็นไปได้ด้วย)

เอาเป็นว่า ผมได้ไปพัทยาครับและได้ไปดำน้ำด้วย(ดีใจกับผมหน่อยซิ 55) จึงลองโทรชวนคนที่น่าจะอยากไปกับผม ซึ่งก็ไม่มีใครไปครับ ไม่ว่าจะเป็น พี่หมอนัท ครูเอ๋ พี่หมอหมู(อันนี้ติดต่อบ่ได้ พี่หมอไม่โทรกลับน่ะ) หรือคุณปุ้ยแห่งเวบทะเลไทยก็ตาม

ไม่มีปัญหาหาครับ คนเดียวก็ไปได้น่ะ คนรู้จักก็มี(ไม่มีก็ทำความรู้จักใหม่) สิ่งสำคัญที่พี่ป้อมเคยสอนอยู่เสมอ คือ ควรดำน้ำอย่างปลอดภัย ระมัดระวังตัว เคร่งครัดในกฎระเบียบอยู่เสมอและให้มีสติทุกครั้ง เช่น

“ถ้า ภพดู Depth Gate ดูอากาศอยู่บ่อยๆ จะมีปัญหาเรื่องอากาศหมดไหม”(จริงครับ อย่างน้อย หาก Depth Gate มีปัญหา เราจะรู้ได้ทันที ดังเช่นพี่โหน่ง เมื่อทริปปีใหม่ไงครับ ลงมาตั้งนาน อากาศไม่ลดเลยน่ะ 555)

ส่วนเรื่องความลึกและการดำน้ำแบบ Multi-level หากตามติด Leader หรือ ดู Dive Computer ก็คงลดปัญหาไปได้เยอะครับ(ถ้าไดฟ์คอม เสีย ก็จะรู้ได้ทันที)

หากพร้อมแล้ว ตามผมไปผจญภัยในโลกใต้ทะเลอีกครั้งนะครับ


26 กรกฎาคม 2551

มาถึงพัทยาช่วงเย็นๆครับ หลังจากรับประทานอาหารเย็นแล้ว มีการฉลองวันเกิดล่วงหน้าให้ผมด้วย เป่าเค๊กเสร็จก็เป็นอันจบพิธี(ในวันเกิดที่จะถึง สมาชิกอยู่กันไม่ครบครับ วันนี้จึงเหมาะที่สุดน่ะ)

เล่นเกมกับพี่ชายดึกไปหน่อย(นานๆทีอยู่กันครบ) กว่าจะนอน ตีสามแน่ะ(ก่อนนอนไม่ลืมที่จะทาน แอคติเฟดไว้ด้วยครับ)


27 กรกฎาคม 2551

นัดครูปรีชาไว้ที่ท่าเรือตอนแปดโมงครึ่ง ตอนแรกว่าจะนั่งมอเตอร์ไซด์ไปครับ แต่คุณพ่อซึ่งตื่นเช้าอยู่แล้ว ขับรถมาส่งให้

“ ตรงมาที่สะพานเรื่อยๆนะ เลี้ยวซ้ายแล้วตรงมา ครูจะอยู่ทางฝั่งซ้ายมือน่ะ” ครูปรีชาบอก

“เฮ้ย นั่นครูต้องแห่ง Dive-evolution นี่นา ” ผมพูดผ่านโทรศัพท์

“นั่นแหละครับ ถัดจากล๊อคของครูต้อง ครูจะอยู่ล๊อคถัดไปครับ ฝั่งซ้ายมือนะ”

เมื่อคืน มีลมแรงและมีฝน โชคดีที่ว่า เช้านี้อากาศดี แม้จะไม่ดีที่สุด แต่ดีพอที่จะดำน้ำได้ครับ ผมยืนคุยกับคุณลุงโดยมีเด็กน้อยลูกชาวประมงอยู่ใกล้ๆ(อนาคตเป็นกัปตันเรือแน่ๆ)

เรือของเรา แน่นอนครับ(เห็นเขียนว่า ป้าเต้า ครับ คงเป็นชื่อเจ้าของเรือ) เป็นเรือประมงดัดแปลง มี 2 ชั้น ถือเป็นเรือยอดฮิต ที่นักดำน้ำชาวไทยส่วนใหญ่มักจะใช้บริการ มาแบบนี้ ผมว่าดีครับ ฝึกให้เราได้ประกอบอุปกรณ์ด้วยตัวเองและการเช็คอุปกรณ์ด้วยตนเอง ย่อมเป็นสิ่งที่ดีที่สุดนะ

ไม่นานนัก ผมก็เจอพี่(Yingor)ครับ เลยเข้าไปทักทายก่อนเพราะจำได้ พึ่งเจอกันเมื่องาน TDEX ที่ผ่านมานี่เองครับ(อืม ดูน่ารักกว่าในงานเยอะเลยนะเนี่ย)

ครูปรีชากำลังเช็คจำนวนสมาชิกบนเรือครับ พร้อมแนะนำผมให้ทุกคนรู้จัก เท่าที่สอบถาม มีทั้งนักเรียนใหม่และมาดำน้ำแบบ Fun Dive เช่น เรียนมาก่อนแต่พาแฟนมาเรียนอีกที , ไม่ได้ดำน้ำมาสองปี อยากออกมาเคาะสนิมซะหน่อย เป็นต้น

เห็นพี่หญิงอ้อกำลังสอนเข็มทิศให้กับกอลฟ์ นักเรียนใหม่ที่มาเก็บไดฟ์ ผมก็ชำเลืองมองด้วยความสนใจเพราะยังดูเข็มทิศไม่เป็นเหมือนกัน คงต้องหาเวลาทำความเข้าใจอีกทีครับ ช่วงนี้ตาม Leader ไปก่อน หากหลงก็ขึ้นครับ Sausage ก็มีนี่นา

ระหว่างที่ผมกำลังถ่ายรูปบรรยากาศบนเรือ มีพี่คนหนึ่งมาทักเพราะทราบว่าผมรู้จักกับพี่เอ เธอชื่อว่าพี่โอ๋ครับ เป็นลูกศิษย์ครูต้อง ทำงานอยู่ใกล้ๆบริษัทพี่เอนั่นเอง(คราวนี้มาแบบ Non-Dive ครับ)

ใช้เวลาซักพัก เรามาถึงเกาะสาก ผมไม่รู้มาก่อนครับแต่ดูแล้วคุ้นจริงๆ สังเกตจากแนวสันปันน้ำ(เอ้ย ไม่ใช่ ดูจากภูเขาและรูปร่างของอ่าวครับ) มีเรืออยู่หลายลำจอดให้นักดำน้ำลงที่นี่

มีอยู่ลำหนึ่งแย่มากๆ ครับ มีชาวต่างชาติหย่อนเบ็ดตกปลา ทั้งๆที่ใต้ทะเลมีนักดำน้ำอยู่นะ(มันน่าเอากรรไกรไปตัดเบ็ดจริงๆครับ นิสัยแย่มาก)

ครูปรีชาบอกว่า ที่นี่มีปลาบู่สีเหลือง(Goby) ด้วย สีสวยกว่าที่สิมิลัน โดยปลาบู่จะอยู่ในโพรงคู่กับกุ้งตาบอด และพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน(เกี่ยวกับการหาอาหารและการป้องกันระวังภัยนี่ล่ะครับ) ก็เป็นความรู้ดีครับ

มองเห็นเรือของกลุ่มครูต้องครับ มีคนบนเรือและบนผิวน้ำเยอะจริงๆ(รวมแล้วไม่น่าจะต่ำกว่า 30 คน) ผมได้ยินเสียงพี่หนุ่ย และ พี่นิ้ม Staff ของกลุ่ม ชัดเจนครับ

ผมเตรียมอุปกรณ์ ประกอบเข้ากับแท๊งค์ เช็คอากาศ ร้อยสายตะกั่ว และไม่ลืมที่จะเอาไส้กรอกสัญญาณไปด้วย แม้น้ำจะไม่ลึกแต่ การที่มีเรือวิ่งฉิวบนหัวแบบนี้ ขึ้นผิวน้ำโดยมีอุปกรณ์ช่วยเหลือ ย่อมดีกว่าไม่มีครับ

เอาล่ะ เราไปสำรวจใต้ทะเลของเกาะสากกันอีกครั้งดีกว่า ครับ


Dive 1 พบเจอ ปลาปักเป้ากล่องนอใหญ่!!

แม้จะกดปุ่มเพื่อเอาอากาศออกจาก BCD แล้ว แต่ร่างกายก็ยังไม่ลงสู่ใต้น้ำอย่างที่ตั้งใจครับ(ลงมานิดเดียวเองน่ะ เพียงเมตรกว่าๆ)

อาจเกิดจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น Wetsuit แบบยาว ที่ไม่ได้ผ่านการแช่น้ำและเหยียบก่อนลง(พิ่พิชเคยทำให้ดูน่ะครับ ,พักผ่อนไม่เพียงพอก็อาจจะใช่หรือแม้กระทั่งการหายใจ เป็นต้น แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใดก็ตาม ผมลองงอเข่าขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมทำสมาธิ หายใจช้าๆ จากนั้น ร่างกายก็ค่อยๆจมลงสู่ใต้น้ำ

เริ่มรู้สึกว่า มีน้ำทะเลไหลผ่านเข้ามาใน Regulator ระหว่างการหายใจเข้า แต่ไม่เยอะมากนัก ต้องกดปุ่มเพื่อไล่อากาศอยู่เรื่อยๆ คิดว่าคงไม่เป็นปัญหานัก ผมยังทนได้ ดำตามติดครูปรีชาอยู่แล้วนี่นา มีอะไรก็ค่อยเรียกแล้วกัน

น้ำที่เกาะสากในวันนี้ ไม่ใสนัก มีตะกอนค่อนข้างเยอะ จึงไม่ควรดูสัตว์ทะเลเพลิน จนไม่มอง Leader นะ

Dive Site ของที่นี่ ส่วนใหญ่เป็นพื้นทรายครับ แต่ก็มีอะไรให้ดูเยอะพอสมควรเลยล่ะ แต่ต้องช่างสังเกตหน่อย

ผมไม่มี Pointer คู่ใจเหมือนเคย(ทำตกไปที่บริเวณรูปปั้น 12 นักษัตร ที่สิมิลันครับ) จึงต้องใช้ Depth Gate จิ้มที่พื้นทรายแทนฝ่ามือ ป้องกันหากมีสัตว์ทะเลที่มีอันตราย(อันนี้ พี่ป้อมก็สอนไว้ครับ)

แว่บ! ผ่านไปอย่างรวดเร็วครับ ครูปรีชาชี้ให้ผมดูปลาปักเป้าตัวหนึ่ง มีลายจุดโดยรอบ รูปร่างคล้ายปลาปักเป้ากล่องเหลืองขนาดโตเต็มวัย ซึ่งจริงๆก็อยู่ในครอบครัว Ostraciidae นั่นแหละครับ

ผมรู้จักเพราะเคยเห็นรูปจากคำถามที่เคยตั้งไว้ โดยมีพี่ Wat ผู้เชี่ยวชาญเรื่องปลา มาไขข้อสงสัย นี่คือ ปลาปักเป้ากล่องนอใหญ่(Largenose Boxfish)

สังเกตจากลำตัวที่มีสีน้ำตาล มีจุดสีดำรอบตัว มักพบตามพื้นทรายและในบริเวณที่มีน้ำขุ่น พี่ wat เคยเจอบริเวณน้ำขุ่นที่เกาะยูงครับ แต่รูปที่ผมเคยถาม พี่ดาวเคยถ่ายไว้ที่ ระยอง ฉะนั้น การมาพบที่เกาะสาก จึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือความคาดหมาย แต่ทำให้รู้จักพวกเขาได้ดีขึ้น

ถ้าถามผม ด้วยความที่สีไม่สวย พวกเขาคงจะได้รับความนิยมสู้ปลาปักเป้ากล่องเหลือง(วัยเด็ก)ที่แสนน่ารักไม่ได้ แต่นั่นอาจเป็นข้อดีที่ทำให้เขาถูกคุกคามน้อยกว่า อย่างน้อยก็ไม่ต้องไปอยู่ในตู้โชว์ในอควอเรี่ยมล่ะ

ตรงนั้น มีเม่นทะเลเคลื่อนไหวอยู่ครับ แปลกแฮะ ปกติเม่นทะเลไม่เคลื่อนไหวเร็วแบบนี้นี่นา สังเกตดู บริเวณใต้เม่นทะเล มีปูอยู่ครับ เขาแบกเม่นทะเลเอาไว้ด้วย(ประมาณว่าอาจเป็นการแต่งตัวเพื่อป้องกันระวังภัยหรือก็จะเอาเม่นทะเลไปทำอะไรซักอย่างนี่แหละครับ) ก็แปลกดีนะ ไม่เคยเห็นเท่าไรครับ เคยเห็นแต่พวก ปูแต่งตัว(Decorate Crab) ที่เอาฟองน้ำมาตกแต่งตามร่างกายน่ะ น่าเสียดายว่าไม่ทราบว่าเป็นปูชนิดไหนครับ คงต้องดูให้ใกล้กว่านี้น่ะ

ว่ายต่อไป ครูปรีชาชี้ให้ดูม้าน้ำ(Sea Horse) ตัวแรกครับ สีตุ่นๆ ตามสไตล์น้ำที่เกาะสาก ซึ่งม้าน้ำเกาะอยู่กับสิ่งๆหนึ่ง(เอ่อ ลืมครับ) จากนั้นไม่นานก็เจออีก 1 ตัวครับ แต่ตัวหลังนี่ ดูอนาถายังไงก็ไม่รู้นะ(เกาะกับวัตถุที่แย่กว่าตัวแรกอีกครับ ไม่แน่ใจว่าเป็นเศษขยะหรือเปล่านะ) (แล้วจะเล่าทำไมเนี่ย จำก็จำไม่ได้ 555)

เอาเป็นว่ามาเกาะสาก เดี๋ยวนี้ รับประกันว่าเจอม้าน้ำแน่ๆครับ ใครอยากเห็นไม่ต้องไปไกลถึงอันดามัน

อีกสิ่งหนึ่งที่รับประกันว่าเจอ คือ ปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) ตัวที่กำลังเห็นอยู่นี้หน้าตาค่อนข้างแปลกกว่าที่เคยเห็นครับ(แปลกที่สีบนลำตัว) ส่วนอีกตัวนั้น คุ้นเคยครับ เหมือนที่เคยเห็นเป๊ะ

มักจะพบที่อ่าวไทยอยู่บ่อยๆครับ ที่ชุมพรผมก็เคยเห็นมาแล้ว ตรงบริเวณสายทุ่น หน้าหาดทุ่งวัวแล่น แต่ต้อง Shore Dive ลงไปนะครับ ไม่ก็จะลอง Free diving ก็ได้ ผมยอมแพ้คนนึงล่ะครับ กลั้นหายใจนานๆไม่ได้น่ะ(หากใครได้ลงไปดู จะมีม้าน้ำเป็นของแถมด้วยนะครับ)

ปากกาทะเล(Sea Pen) สัตว์ทะเลอีกชนิด น่าจะหยิบเอาไปเขียนทำข้อสอบจริงๆ 55 ล้อเล่นครับ ปล่อยให้เขาอยู่ที่นี่แหละ เท่าที่เห็นมีเยอะครับ แต่ขนาดไม่ใหญ่มากนัด

ต่อจากนั้นเจอหอยชนิดหนึ่งครับ คุ้นจริงๆ ตัวนี้ชื่อ หอยสังข์จุกพราหมณ์(NOBLE VOLUTE) ครับ รูปร่างและเปลือกสวยมากๆเลยล่ะ

ผมเจอขยะครับ มือมันอยู่ว่างๆ เลยเก็บขึ้นมา มองไปด้านข้าง เห็นครูปรีชาก็เก็บขยะขึ้นมาเหมือนกัน แต่รูปร่างเหมือนเสื้อกันฝนเลยนะ(ช่วงเก็บขยะ หน้าต้องก้มลงไปขนานพื้นครับ ท่านี้แหละที่ทำให้ผมรู้สึกว่า น้ำทะเลมันเริ่มเข้าปากมากขึ้นแล้วนะ ยังอดทนครับ กดปุ่มไล่อากาศต่อไป จริงๆตอนนั้นไม่ได้นึกเลยครับว่า ผมเอา Octopus มาหายใจแทนก็ได้นี่นา โง่จริงๆ 555 )

ครูปรีชาเขียน สเล๊ด บอร์ด ให้ดู 2 ครั้งครับ ครั้งแรก บอกว่า “Baracuda 2 ตัว” แต่ผมตาถั่วมองไม่เห็นครับ น้ำก็ขุ่น ปลาสากก็ว่ายน้ำเร็วซะด้วย

อีกครั้งเขียนว่า “ตัวจับยัด กำลังกินอาหาร” มองดูแล้ว ลักษณะคล้ายดาวขนนก หรือดอกไม้ทะเล(ซักอย่างนี่แหละครับ) แกบอกว่า มันกำลังใช้หนวดที่ยาวๆออกมา จับแพลงตอนกินน่ะ

ปิดท้ายด้วยปลาอื่นๆเท่าที่พอจำได้ เริ่มจาก ปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Buttelflyfish) ขนาดใหญ่ มาเป็นคู่ครับ ต่อด้วยปลากระรอกลายแดง(Redcoat) ปลาอมไข่(Cardinalfish) และปลาแพะ(Goatfish)