Monday, May 19, 2008

ควันหลง งานTDEX 2008


จบไปเรียบร้อยครับ สำหรับงานมหกรรมดำน้ำ TDEX 2008 ซึ่งจัดขึ้นที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เป็นประจำทุกปี


งานนี้ นอกจากจะเป็นงานที่มีทริปดำน้ำ อุปกรณ์ดำน้ำ และCourse สอนดำน้ำ มาแสดงในงานแล้ว ก็ถือว่าเป็นการพบปะ ของเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ เหล่ามนุษย์กบ ที่คุ้นหน้า คุ้นตากัน(และยังไม่คุ้นหน้าคุ้นตา) หลายคนก็เคยดำน้ำด้วยกันมาแล้ว


ปกติ ผมจะมาเดินดูงานเฉยๆครับ แต่ปีนี้ตาป้อม อาจารย์สอนดำน้ำของผม(www.nivach.net) มาเปิดบูธปีแรก ผมในฐานะลูกศิษย์จึงอยากไปช่วย อย่างน้อยก็น่าจะแบ่งเบาภาระได้บ้าง


จะว่าไป พูดถึงเรื่องการขายของ(เท่าที่นึกออกตอนนี้) หลังจากงานกาชาด ที่ไปทำงานในบูธของสภาทนายความ และงานเกษตร แฟร์ ซึ่งผมไปขายค๊อกเทลกับเพื่อนๆ เมื่อหลายปีก่อน ผมก็ไม่ได้ไปขายของที่ไหนอีกเลย


งานนี้เนื่องจากค่าบูธแพงขึ้น บูธพี่ป้อมจึงหารครึ่งกับพี่เปิ้ล(Dive concept) ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี(จริงๆ พี่เปิ้ลบอกผมว่า กะจะไม่มาเปิดบูธในปีนี้แล้วครับ)


หลายๆร้านก็คุ้นตากันดีครับ เช่น all star diving , scubajam, the living sea, sporttime , dive-evolution, divemaster หรือแม้กระทั่ง Scubazoom ที่อยู่ตรงบูธ Sea paradise เป็นต้น


พูดถึงจำนวนคน แม้จะน้อยลงกว่าทุกปี แต่ก็ยังมีนักดำน้ำทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า และผู้ที่สนใจ เข้ามาชมงานกันอย่างคับคั่ง แม้จะมีฝนตกลงมาก็ตาม



ผมเจอเจ้า อ๋อหล่อ(รุ่นน้องโอวี คณะผู้บังคับการ) มาในงานนี้ด้วย จึงทราบว่า อ๋อหล่อ ปัจจุบันเป็น Divemaster ร้าน Blue shark


นอกจากนี้ก็ยังเจอลูกศิษย์ครูปรีชา เริ่มจาก พี่อ้อ(Yingor) น้องปุ๊(Seafreash) และพี่บี (สองคนหลังนี้ ผมเคยเจอที่ทริปอันดามันเหนือ เมื่อวันปีใหม่ที่ผ่านมาครับ)


มาที่บูธของเรากันบ้าง เท่าที่คุยกับคนที่เดินผ่านไป ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นคนที่ชอบทะเลเป็นทุนเดิมอยู่แล้วครับ เคยดำน้ำแบบ Snorkeling อยู่แล้ว มีเพียงน้อยรายที่ยังไม่เคยผ่านการดำน้ำแบบนี้มาก่อน(หากใครมีพื้นฐาน Snorkeling อยู่แล้ว ก็จะช่วยได้เยอะครับ เพราะหลักการหายใจ เหมือนกัน คือ เหมือนการดูดหลอดกาแฟ แต่ไม่ใช้จมูกหายใจ ใช้ปากหายใจน่ะ)


แน่นอนว่า ร้านดำน้ำเยอะๆแบบนี้ ก็ต้องมีการแข่งขันกัน ผลประโยชน์จึงตกแก่ผู้บริโภคว่า จะเลือกที่จะซื้อทริปดำน้ำ หรือเรียนดำน้ำกับที่ไหน


คนจะมาจองเยอะ ในวันสุดท้าย อาจเป็นเพราะว่า ได้มีโอกาสเลือกและตัดสินใจดูแล้ว คราวนี้ก็เตรียมตัวได้เป็นมนุษย์กบกันล่ะครับ


ผมได้สติกเกอร์ปลาทะเลมา เมื่อวานนี้ครับ ทำดีมากๆ เพราะมีภาษาอังกฤษเขียนไว้ทุกตัว(มี 3 ชุด ครับ) นอกนั้นก็ยังไม่ซื้ออะไรครับ เก็บตังค์ไว้ซื้อกล้องถ่ายภาพใต้น้ำดีกว่านะ


สุดท้ายนี้ ก็ขอขอบคุณพี่ๆเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคนที่มาเยี่ยมบูธและมาช่วยงานครับ

Thursday, May 15, 2008

หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(6)

http://www.richard-seaman.com/
http://www.waterworxbali.com/




หน้าหาดที่เกาะราวี

สำรวจได้ไม่นาน ผมก็ขึ้นมา รู้สึกว่าแสบบริเวณใบหน้าเวลาสวมหน้ากาก แต่แนวปะการังค่อนข้างดีครับ ปลาทะเลจำได้ชนิดเดียวคือ ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish)



ผมมองหาร่มไม้ ล้มตัวนอนบนหาดทรายโดยใช้ชูชีพเป็นหมอนหนุน รู้สึกสบายจริงๆครับ ลมเย็นๆพัดมาพร้อมกับอากาศที่บริสุทธิ์ ผมพักสายตาก่อนที่จะเผลอหลับไปเล็กน้อย เรียกว่า ถึงจะมีเงินทองมากมาย แต่ถ้าไม่รู้จักการเดินทางก็ไม่มีวันที่จะได้เห็นภาพอันสวยงามแบบนี้ครับ

หรี่ตามองดู สมาชิกเริ่มขึ้นเรือแล้ว เราจึงออกเดินทางต่อ



เกาะยาง

เรามาถึงเกาะยางซึ่งไม่มีเรือนักท่องเที่ยวเลย(ดีจริง) เรือหางยาวของเรา ติดอยู่บริเวณซอกหิน ต้องใช้ความพยายามของพี่คนขับเรือเล็กน้อยจึงสามารถออกมาได้

ด้านล่างมีปะการังผักกาดหรือปะการังแผ่นตั้ง(Coral foliose) ค่อนข้างเยอะและสมบูรณ์จริงๆ นอกจากนี้ก็ยังมีปลาเต๊กเล้ง(Forktail alligator) ชนิดเดียวกับที่ผมเห็นที่หน้าเกาะอาดังเมื่อวานนี้ ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ปลาการ์ตูนส้มขาว(False Clown Anemonefish) ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) และปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish)



ผมขึ้นมาคุยกับพี่คนขับเรือ เล่าให้เขาฟังว่า ผมไปดำน้ำมาหลายที่ แต่ปะการังที่นี่ยังสมบูรณ์อยู่มาก ดูจะไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิเลย

พี่คนขับเรือ จึงไขข้อข้องใจว่า ที่ผมเข้าใจนั้นถูกต้อง ที่นี่แทบไม่ได้รับผลกระทบเลย ทั้งๆที่อยู่ตรงข้ามกับเกาะสุมาตรา(พูดเสร็จแกก็ชี้ให้ผมดู) ซึ่งควรจะโดนก่อนที่อื่นๆ แต่กลับเป็นเกาะภูเก็ตที่อยู่ห่างออกไป แต่ได้รับผลกระทบมากกว่า

ชาวเลที่นี่ มีความเชื่อว่า เป็นเพราะบารมีของ “ตุคีรี” ซึ่งเป็นชาวเลคนแรกที่อาศัยอยู่บนเกาะหลีเป๊ะ ใช้มือปัดคลื่นยักษ์ไม่ให้ที่นี่ได้รับอันตราย คลื่นสึนามิ จึงเคลื่อนตัวต่อไปยังเกาะภูเก็ตแทน

หลังเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ 1 วัน ชาวเลที่นี่ต่างนำเครื่องเซ่นไหว้ มาบูชา เพราะเชื่อว่าเป็นเพราะบารมีของท่านที่ช่วยเหลือให้เกาะพ้นภัย หากท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็มีอายุหลายร้อยปีแล้ว

ผมถามว่า แล้วท่านมีลูกหลานไหม พี่คนขับเรือบอกว่า ผู้สืบเชื้อสายของท่าน คือ บุคคลที่ใช้นามสกุล(เอ่อ ขอโทษครับ ผมลืมไปแล้ว) แต่ว่า หลายๆท่านก็มีหน้าที่ทางราชการ หลายๆท่านก็เป็นเจ้าของรีสอร์ทบนเกาะหลีเป๊ะในปัจจุบันด้วย


ปะการัง(Sea Fan)

จุดดำน้ำนี้ อยู่ก่อนถึงเกาะอาดังครับ ขนาดแสงแดดเริ่มไม่มีแต่ยังมองเห็นปะการังด้านล่างได้อย่างชัดเจน

แต่บนเรือไม่มีใครลงแล้วครับ(รวมทั้งผมด้วย) อาจเพราะเหน็ดเหนื่อยกันละมั้ง(แต่ผมไม่อยากสวมหน้ากากแล้วครับ แสบหน้าน่ะ 555)



เกาะอาดัง

เป็นอีกครั้งที่ผมกลับมาที่นี่ครับ แต่คราวนี้ไม่ได้มานอนนะ แต่อยู่ในโปรแกรมดำน้ำ ผมเดินไปถ่ายรูปและชี้ให้พี่ๆดูเต๊นส์ของผม(บอกพี่ๆว่า หากใครอยากมานอนที่นี่ คืนนี้ มานอนเต๊นส์ของผมที่จ่ายเงินไปแล้วได้เลย)

ผมไม่อยากเดินไปไกล(เมื่อวานก็เดินไปเกือบสุดหาดแล้ว) เลยทดสอบนอนบนเปลญวนริมหาด(มันช่างสบายจริงๆ จอรจ์ 555)

“เหมียว เหมียว” เสียงของเจ้าแมวน้อย

ผมหันไปพบลูกแมวสีขาว ดูน่ารักและแสนขี้อ้อน จึงเข้าไปเล่นด้วยซะหน่อย

เจ้านี้ ไม่ยอมอยู่นิ่งครับ จะปีนป่ายตัวผมเอาให้ได้(ผมจะถ่ายรูปมันน่ะ) กว่าจะถ่ายได้ เสื้อผมโดนเล็บเจ้าเหมียวจนเป็นรูเลยล่ะ 555

ผมอุ้มเจ้าเหมียวไปให้พี่ๆ ดู แต่ตอนจะกลับขึ้นเรือ เจ้าเหมียวดันวิ่งตามผมลงมาด้วยจนถึงบริเวณที่มีน้ำทะเล ผมต้องรีบอุ้มขึ้นไปด้านบน(แต่ก็ยังลงมาอีก) คราวนี้ จึงรีบอุ้มไปให้ไกลกว่านั้น พร้อมบอกมันว่า อย่าลงมาด้านล่าง เดี๋ยวจะโดนน้ำทะเลซัดเอา

“แหม เนื้อหอม ขนาดแมวยังตามเลยนะ” นันแซวผม

“ไม่หรอกครับ กลัวมันโดนน้ำซัดน่ะ แล้วดันตามลงมาอีก” ผมตอบแบบขำๆ




หลังเกาะกระ

เกาะกระเป็นเกาะเล็กๆอยู่ใกล้ๆเกาะหลีเป๊ะ มองเห็นพื้นด้านล่างได้อย่างชัดเจน น้ำใสแจ๋ว ปะการังก็สมบูรณ์ดี แต่เช่นเดิมครับ ไม่มีใครอยากจะลงด้านล่างแล้ว



สิ้นสุดทริป Snorkeling ในวันนี้ ผมบอกพี่คนเรือว่า ตั้งแต่ผมดำน้ำมา ที่นี่พาไปดำน้ำได้มากจุดที่สุดและคุ้มค่าเม็ดเงินที่สุด(ผมนับรวมได้ 12 จุดครับ)

ผมไม่ได้พูดเกินความจริงเลย เพราะหลายๆที่ ในหนึ่งวัน 6- 7 จุด ก็ถือว่าเก่งแล้ว อาจเป็นเพราะว่าที่นี่ จุดดำน้ำอยู่ใกล้ๆกัน ทำให้สะดวกในการเดินทาง

อีกข้อ คือ ผมได้คนขับเรือที่แฟร์และใจดีด้วย(แม้ใบหน้าจะดูดุก็ตาม) เขาบอกผมว่า เมื่อลูกค้าเหมาเรือมาแล้วก็ต้องพาไปให้มากที่สุด(จนกว่าลูกค้าจะเบื่อ) ยิ่งแต่ละจุดพวกผมใช้เวลาไม่นาน(แต่ถ้าอยุ่ในจุดไหนนานๆ ผมก็จะไม่ได้ถึง 12 จุดหรอกครับ)

จึงทำให้พวกผมได้ไปหลายสถานที่(แต่เขาบอกว่า บางคนจะไม่พาไปแบบนี้ ถึงเวลา 4-5 โมงก็พากลับแล้ว)

กลับมาที่เอเชีย รีสอร์ท แสงสว่างใกล้จะหมดแล้ว ผมรีบกางเต๊นส์ก่อนดีกว่า ขณะกำลังกางอยู่ พี่วิลลี่เดินมาบอกว่า ไม่ต้องกางให้เสียเวลา ให้ผมนอนเต๊นส์ของรีสอร์ทที่ว่างๆอยู่ได้เลย จะได้ไม่เหนื่อย

ในตอนแรก ผมยังนิ่งๆ(เกรงใจอยู่ครับ) จนพี่วิลลี่พูดอีกครั้ง ผมถึงยอมและขอบคุณในความมีน้ำใจของแก

เต๊นส์มีว่างอยู่หลายที่ครับ ผมเลือกใกล้ห้องน้ำที่สุดนี่แหละ ว่าแล้วก็จัดของเข้าเต๊นส์ซะเลย

อาบน้ำเสร็จ หิวข้าวมากๆครับ เลยหาข้าวทานที่ร้านอาหารตรงรีสอร์ทนี่แหละ(ตอนแรกจะไปทานกับสองสาวครับ แต่เธอทานกับกรุ๊ปทัวร์ คนอื่นเยอะแยะเลย ไม่เอาดีกว่า)

อาหารยังไม่ทันมาเลยครับ จูนกับส้มก็มาแล้ว ผมเลยรีบทานแกงเขียวหวานทะเลไข่ห่อราดข้าวอย่างรวดเร็ว พี่ๆที่รีสอร์ทแซวผมว่า

“แหม พอสาวมาหาทำอะไรไม่ถูกเลยนะ”

“เดี๋ยวจะเดินไปหาดพัทยา หาโรตีทานน่ะครับพี่” ผมตอบแบบไหลๆ ไปเรื่อย

ระหว่างทางเดินไปหาดพัทยา ผมเห็นคุณลุงกับคุณป้ากำลังคุยเกี่ยวกับเรื่องกฎหมาย ท่าทางมีเรื่องเดือดร้อน ในฐานะที่ผมเป็นนักกฎหมายจึงสอบถามเพื่อช่วยเหลือ

“มีปัญหาเรื่องกฎหมายเหรอครับ” ผมถาม

“ใช่จ๊ะ”

ผมอาจไม่เก่งเหมือนคนอื่นๆ แต่ผมมั่นใจว่าความรู้ที่ผมมี สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้ก็แล้วกัน

มาที่ร้านขาย Postcard เจ้าของร้านต่างแปลกใจที่ยังเจอผมอยู่ ผมเล่าให้พวกเขาฟัง สังเกตได้ว่าวันนี้ มีชาวต่างชาติเข้าร้านเป็นจำนวนมาก

“ผมกลับมาเรียกลูกค้าให้พี่ เห็นไหมครับคนเข้าร้านเยอะเลย 555”

แม้ผมจะเดินทางมาคนเดียว แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะชอบปลีกวิเวกหาที่อ่านหนังสือ เก็บตัวเงียบไม่คุยกับใครเลยนะครับ การได้พูดคุยกับผู้คน เป็นสิ่งที่ผมปรารถนาในการเดินทาง ทำให้การเดินทางของผมสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

มาที่ร้านโรตีอีกครั้ง คราวนี้แค่สั่งน้ำแล้วกลับไปดื่มใกล้ๆที่พัก ไม่นั่งทานในร้านครับ

น้ำแตงโมปั่น สดชื่นอร่อยจริงๆ ผมมองเห็นลูกสาวร้านโรตี วันนี้เธอสวมเสื้อฟุตบอลทีม รีล มาดริด ชุดทีมเยือนครับ บวกกับความขยันขันแข็งของเธอ ยิ่งทำให้น่ารักเข้าไปใหญ่(พี่ยิบอกว่า เธอมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่เล็กๆแล้ว)

กลับมาส่งสองสาว ณ ที่พัก คราวนี้เราเดินตัดผ่านมาทางโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ผมยังไม่อยากนอนจึงมานั่งคุยกับพี่ยิที่ร้านอาหาร จนเริ่มง่วงและแยกย้ายกันกลับที่พัก(พรุ่งนี้ พี่ยิต้องพาลูกค้าออกไปดำน้ำด้วยครับ)

พอเข้าเต๊นส์ปุ๊บ ฝนก็ตกทันที คราวนี้เลยออกไปไหนไม่ได้แล้วครับ ต้องนอนทันที ก่อนนอนก็ทยอยเก็บของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เช้าผมต้องกลับฝั่งปากบารา ไม่อยากให้ถึงพรุ่งนี้เช้าเลย



16 เมษายน 2551

ตื่นมาอาบน้ำ ฟอกสบู่แต่ละที แสบผิวหนังจริงๆ(ก็อยากเป็นชาวเล ไม่ทาครีมกันแดด สมน้ำหน้าแล้ว 555)

ผมเดินไปหาข้าวเช้าทาน ตั้งใจไว้ว่า ต้องเป็นร้าน “คนเล” ร้านอาหารของชาวบ้านที่เคยทาน คราวนี้ผมคุ้นเคยเส้นทางมากขึ้น สามารถเดินไป-กลับ ถูกต้อง(กว่าจะคุ้นเส้นทางก็วันสุดท้ายพอดี 555)

เช้านี้ผมกลับพร้อมกับพี่ๆ ที่ไป Snorkeling เมื่อวานนี้(กลับเรือเมล์เหมือนกันครับ เที่ยว 10 โมงเช้า)

ระหว่างรอ ผมได้รู้จักกับพี่เอและพี่ยศ โดยเฉพาะพี่เอ เธอเคยเรียนดำน้ำแบบ Scuba กับครูต้อ(ชื่อนี้ผมรู้จักครับ เจ้าไมค์กับพี่ป้อมเคยพูดถึงบ่อยๆ) แต่ด้วยที่ว่ายังมีความรู้สึกกลัวและยังควบคุมร่างกายขณะที่อยู่ใต้น้ำยังไม่ค่อยดี เธอก็เลยไม่ได้ไปดำต่อ นับจากนั้นอีกเลย(ผมชวนเธอมาดำน้ำด้วยกัน รับรองว่า พี่ๆในกลุ่มของผมจะช่วยดูแลเธอให้อย่างดี)

ในวันนี้พี่เอกับพี่ยศยังไม่กลับฝั่งครับ แต่จะออกไปดำน้ำแบบ Snorkeling ว่าแต่ในวันนี้เริ่มมีเมฆดำ อากาศดูไม่ค่อยเป็นใจเท่าไรนัก ก่อนจากกันผมอวยพรให้สนุกสนานและอากาศดี ไร้คลื่นลมในการดำน้ำ

“เจอกันงาน TDEX นะน้อง พี่น่าจะขึ้นไป” พี่ยิบอกผม

“ดีครับพี่ ขึ้นมาเมื่อไรโทรมานะครับ ผมไปอยู่แล้วน่ะ”



ผมมองดูเกาะหลีเป๊ะ ค่อยๆเล็กลงไป นึกในใจว่า ผมจะกลับมาที่นี่อีกให้ได้ ไม่ว่าที่นี่จะเปลี่ยนไปอย่างไร(คราวหน้า น่าจะทำถนนเสร็จแล้วครับ ชาวบ้านเขาบอกผมมา)

ขากลับค่อนข้างเร็วกว่าขามาครับ(หรือผมคิดไปเอง) 2 ชั่วโมงจากเกาะหลีเป๊ะก็ถึงเกาะตะรุเตา จากนั้นอีก 1 ชั่วโมงก็ถึงฝั่งที่ปากบารา

แดดร้อนเปรี๊ยงๆ มองเห็นนักท่องเที่ยวกำลังเตรียมตัวขึ้นเรือเพื่อไปเกาะ(สังเกตได้ว่า มีชาวต่างชาติหลายคน ตรงกับที่พี่ยิเคยบอกไว้เลยครับ)

ผมแบกกระเป๋าแวะทานอาหารกลางวันใกล้ๆท่าเรือ เนื้อทอดกระเทียมบวกไข่เจียวราดข้าว อร่อยจริงๆ

กว่ารถจะออกตั้ง 4 โมงเย็น ผมจึงไม่ต้องรีบนัก ยังมีเวลาไปนั่งเล่นที่ทำการอุทยานบนฝั่ง อีกเล็กน้อย จากนั้น หารถโดยสารไป อ. ละงู ครับ

ตอนแรกไม่ค่อยแน่น ตอนหลังแน่นสุดๆ(จนล้น) บนรถมีนักท่องเที่ยวที่จะไปเที่ยว จ. ตรัง ต่อ และยังมีชาวบ้านอีกหลายคนที่โดยสารไปลง อ. ละงู เหมือนผม(เลยได้มีโอกาสได้ฟังภาษาท้องถิ่นครับ)

ที่นี่คนเยอะครับ ชาวบ้านมาดูการแข่งขันฟุตบอลกัน เพราะอยู่ในช่วงการแข่งกีฬา “จาบังเกมส์” พอดิบพอดี

มาถึงที่บริษัทขนส่ง โลกกลมอีกครับ ผมเจอส้มกับจูน ที่นี่อีก(โดยไม่ได้นัดหมายอีกแล้ว) พวกเธอไปกับบริษัทขนส่งเช่นกัน(ของบริษัททรัพย์ไฟศาล ทัวร์ของพวกเธอ จองให้ไม่ทันน่ะ)

พวกเธอไปรอบก่อนผมเล็กน้อย แต่พวกเธอได้รถของบริษัทแท้ๆครับ แต่ของผมเป็นรถเสริมนะ(ข้อแตกต่าง ลองย้อนไปดูต้นๆเรื่องนะครับ)

ผมมองเห็นภาพที่พ่อแม่ มาส่งลูกเพื่อกลับเข้าไปทำงานในกรุงเทพ ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจจริงๆครับ

เตรียมซื้อของกินให้เรียบร้อย ก่อนที่รถของผมจะมาถึง บนรถเปิดตลกครับ แต่เป็นตลกท้องถิ่นนะ จำได้ว่ามีเอกชัย ศรีวิชัยด้วยครับ(แหลงใต้ครับ แหลงใต้)

ช่วงแวะทานข้าว ต้องระวังให้ดีครับ เพราะคนเยอะมาก ค่อนข้างมั่ว มืดก็มืด หากไม่จำรถให้ดีๆ อาจทำให้หารถไม่เจอก็เป็นได้

ผมรีบทานข้าวก่อนที่จะกลับไปที่รถแต่รถไม่ได้จอดที่เดิมครับ ขณะกำลังมองหารถ โชคดีว่า มีพี่คนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าผม มาเที่ยวกับแฟนและกลับมาจากเกาะหลีเป๊ะเหมือนกัน ช่วยพามาขึ้นรถ(ต้องขอขอบคุณมา ณ ที่นี้ด้วยครับ)



บทส่งท้าย

เป็นอันจบทริปการเดินทางที่แสนสุขของผมอีกครั้งหนึ่ง และแน่นอนว่ามีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นและผมนำมาถ่ายทอดให้ทุกท่านได้อ่านเหมือนเคย

ระยะทางที่ไกล ไม่ใช่ปัญหาในการเดินทางครับเพราะเดี๋ยวนี้การเดินทางค่อนข้างสะดวกกว่าสมัยก่อนมาก ปัญหาจึงอยู่ที่ทุกท่านมากกว่า ว่ามีความพร้อมหรือยังทั้งด้านเงิน ด้านวัน เวลาที่เหมาะสม เป็นต้น

ทุกท่านอาจจะคิดว่า ไอ้นี่มันบ้าหรือเปล่า ไปคนเดียวอีกแล้ว คงไม่มีเพื่อนละมั้ง ผมขอยืนยันว่า นี่เป็นเส้นทางที่ผมเลือกและผมมีความสุขกับมันมากและผมเชื่อว่าหลายๆคนก็คงรู้สึกเช่นเดียวกัน หากได้ทำในสิ่งที่รักที่ชอบ

หมู่เกาะตะรุเตา มีเสน่ห์มากๆ สวยงาม สมคำร่ำลือ อยากให้ผู้อ่านมาเที่ยวเยอะๆนะครับ และอย่าลืมช่วยกันรักษาความสะอาดด้วยนะ จะได้สวยงามไปจนถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน

ขอขอบคุณทุกท่านที่ผมกล่าวถึงและไม่ได้กล่าวถึงที่ช่วยอำนวยความสะดวกและช่วยทำให้การเดินทางของผมมีความสุขและสมบูรณ์แบบ

ขอบคุณท่านผู้อ่านที่อ่านเรื่องยาวๆจนจบ หวังว่าคงได้ประโยชน์และสนุกสนานกับการเดินทางของผมนะครับ

พบกันใหม่ในการเดินทางครั้งต่อไปครับ




Phop Payapvipapong

7 May 2008

11.51 am



หมายเหตุ

-การดำน้ำแบบ Scuba บนเกาะหลีเป๊ะ มีอยู่หลายร้านครับ หากสนใจตามรอยเส้นทางของผม ติดต่อได้ที่พี่ยิ 086-9461271 ครับ(รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่นอน)

-สำหรับการดำน้ำแบบ Snorkeling ที่เกาะหลีเป๊ะ หากใช้วิธีเหมาเรือ บริหารเวลาดีๆ วันหนึ่งก็สามารถดำได้หลายจุด แน่นอนว่าครบตามโปรแกรมของเกาะอาดังครับ

- สำหรับการดำน้ำแบบ Snorkeling ที่เกาะอาดัง จะมี 2 โปรแกรม สลับไปเรื่อยๆ หากมีเวลาน้อย ดำตามโปรแกรมที่สองก็พอครับ(จะครอบคลุมโปรแกรมที่หนึ่งเกือบทุกจุด แต่ทั้งนี้ต้องเลือกวันให้ถูกนะครับ)

-การดำน้ำแบบ Snorkeling จึงเลือกได้ตามสะดวกครับ ว่าเราพักอยู่ที่ไหน(อยู่ที่ไหนก็ติดต่อที่นั่น) เพราะคนขับเรือเป็นชาวบ้านบนเกาะ ชาวบ้านจะได้มีรายได้ด้วย ถ้าเป็นเกาะอาดัง อุทยานเพียงแค่จัดคิวเรือให้เท่านั้นครับ

-ที่พักสามารถกางเต๊นส์นอนได้ที่เกาะอาดัง(อุทยานแห่งชาติ) และที่เกาะหลีเป๊ะ(จ่ายเงินค่าใช้สถานที่ให้กับทางรีสอร์ทเหมือนที่ผมทำ) หากจะไปนอนที่เกาะราวี ต้องเตรียมอาหารและเครื่องดื่มไปด้วย(ปัจจุบันน่าจะยังไม่มีร้านอาหารนะครับ เท่าที่เห็นน่าจะมีแค่หน่วยพิทักษ์อุทยาน)

- เรือมีทั้งเรือเมล์และ Speed boat เลือกซื้อเอาตามใจชอบครับ

- หากต้องการไปเกาะไข่ ต้องเหมาเรือจากฝั่งปากบาราไปเองครับ (ถ้าไปเรือเมล์ จะไม่แวะให้ ผมเองก็ไม่ได้แวะ 555 ถ้าไปกับทัวร์เขาจัดอยู่ในโปรแกรมอยู่แล้วครับ)

-การเดินทางไป อ. ละงู จ. สตูล สามารถติดต่อซื้อตั๋วได้ที่สถานีขนส่งสายใต้ทุกวัน มีให้เลือกหลายบริษัท เช่น บริษัททรัพย์ไพศาล บริษัทขนส่ง เป็นต้น (บอกด้วยนะครับ ว่าจะไปปากบารา กันไว้ก่อนจะได้ไม่ผิดพลาด ถ้าไปลงที่ อ. เมือง จะค่อนข้างไกล ถ้าย้อนกลับมา) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 14-15 ชั่วโมง

-หากใครสะดวกไปเครื่องบิน คงต้องมาลงที่ จ. ตรัง ครับ แล้วต่อรถโดยสารไป(คงต้องลองหาดูนะ) จากจุดนี้ ไป อ. ละงู จ. สตูล ก็ไม่ไกลแล้วครับ

-ถ้าไปช่วงต้นฤดูกาลท่องเที่ยวหรือปลายฤดูกาลท่องเที่ยว เช็คสภาพอากาศที่กรมอุตุนิยมวิทยาก่อนออกเดินทางนะครับ คลื่นสูง ตูมๆ อาจจะไม่สนุก นอกจากต้องให้อาหารปลาแล้ว อาจต้องติดเกาะก็ได้นะครับ(เหมือนที่เกาะสุรินทร์ เมื่อวันแรงงานที่ผ่านมา คลื่นสูง 3 เมตรแน่ะ)

Wednesday, May 14, 2008

หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(5)







ลงมาที่เกาะหลีเป๊ะ ผมฝากของไว้ที่ Front เดินมาคุยทักทายกับพี่ยิและชาวบ้าน ต่างก็ถามผมถึงการกลับมานอนที่นี่

“สงสัย เธอไม่ไหว้เจ้าที่” พี่สาวคนหนึ่งตอบ

“ผมไหว้นะครับ ไหว้ทุกครั้งเลย” ผมพูด

“เจ้าที่ที่ว่า ก็พี่เองนี่แหละ แหมพี่พูดเล่น ก็เชื่อซะได้” พี่สาวเฉลย

“ภพ เอาข้าวผัดทะเลนะ” พี่ยิถาม

“ได้เลยครับพี่ สบายมาก พี่ครับ ผมขอชูชีพอย่างเดียวนะ ” ผมยิ้มแย้ม ดีใจที่ได้กลับมา

“ฟิน ไม่เอาเหรอน้อง ว่ายสบายกว่านะ”

“ไม่เอาครับพี่ ผมกลัวไปเตะปะการัง”

เอ้า ไปดำน้ำกันดีกว่าครับ บนเรือหางยาว มีผม และนักท่องเที่ยวอีก 5 คน(ผมมาแชร์กับพวกเขาอีกที)ชื่อว่า พี่เก่ง พี่วัฒน์ พี่วา เตาะและนัน ขับรถมาจากอยุธยา พวกเขาใจดีมากครับ แบ่งขนมและน้ำให้ผมด้วย วันนี้แดดดีมาก น้ำใสได้ใจจริงๆ


ร่องจาบัง

จุดนี้เป็นร่องน้ำที่มีชื่อเสียงมากๆ ว่ากันว่า สามารถมองเห็นปะการังอ่อน(Soft Coral) สัตว์ทะเลชนิดหนึ่งที่มักเจริญเติบโตในระดับน้ำลึก แต่ที่นี่ นักดำน้ำแบบ Snorkeling สามารถมองเห็นได้ง่ายๆ ในระดับน้ำตื้นเพียงไม่กี่เมตร

เนื่องจากเป็นร่องน้ำ พี่คนขับเรือจึงต้องโยนเชือกลงไปเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เกาะ(ทุกลำก็ทำเหมือนกันหมดครับ) หากไม่ทำเช่นนั้น กระแสน้ำที่แรงอาจพัดพานักท่องเที่ยวออกไปไกลได้(ต้องไปตามเก็บกันอีกที)

นักท่องเที่ยวที่ร่องจาบังเยอะมากครับ ผมกะว่าขอลงไปยลโฉมปะการังอ่อนให้เห็น แล้วรีบกลับขึ้นมาบนเรือดีกว่า

โอ้โห!! สวยงามมากครับ ในระดับความลึกไม่เกิน 7 เมตร ผมมองเห็นปะการังอ่อนหลากสี ตั้งแต่สีม่วง สีชมพู ผมไปดำน้ำมาในเมืองไทยก็หลายที่ สำหรับการดำน้ำแบบ Snorkeling นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นปะการังอ่อน(Scuba ที่จำได้ เห็นปะการังอ่อนครั้งแรกที่พัทยาครับ ความลึกประมาณ 18 เมตรได้)

ส่วนปลาที่จำได้ คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Buttelflyfish) ส่วนปลาที่ไม่อยากจำ คือ ปลาตีนครับ มากจริงๆ เสียงเจี๊ยวจ้าวไปหมด ผมเลยต้องแหวกออกมานอกเชือก ว่ายกลับไปที่เรือ ก่อนสาวเชือกต่อไปจนถึงเรือ(ขืนไม่ปล่อยเชือก คงไม่ได้กลับเรือครับ รถติดมากๆ 555)



พี่เก่งกับพี่วัฒน์ไม่ได้ลงสน๊อคเกิ้ลครับ คงไม่อยากเจอคนเยอะๆ อีกอย่าง พี่สองคนนี้ เคยมาที่นี่แล้วครับ เลยไม่ค่อยตื่นเต้นเหมือนผมเท่าไรนัก

มองหาพี่วา พี่เตาะและพี่นัน เมื่อพวกเขาขึ้นมาแล้ว ผมได้น้ำดื่มจากขัน(เย็นๆ) จากพี่วัฒน์ เป็นมิตรภาพระหว่างทางที่ดีจริงๆ ครับ ระหว่างนี้ เรือหางยาวแล่นเพื่อที่ไปดำน้ำยังจุดต่อไป



หลังเกาะหินงาม


น้ำค่อนข้างใสครับ รอบๆมีนักท่องเที่ยวอยู่ไม่เท่าไร อาจเป็นเพราะไปอัดแน่นอยู่ที่ร่องจาบังซะมาก ผมว่ายน้ำเข้าไปในที่ตื้น

ขณะนี้ ผมกำลังว่ายน้ำตามปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) อยู่ในระยะที่ใกล้มาก ห่างเพียงหนึ่งช่วงตัว น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกกลัวผมเลยแม้แต่น้อย ว่ายไปอย่างช้าๆ ดูเหมือนเขาจะทราบครับว่าผมมาเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู

ผมเฝ้าดูเขา ว่ายตามไปอย่างช้าๆ ปกติผมเจอเขาหลายหนในการดำน้ำแบบ Scuba เราค่อนข้างใกล้ชิดกันมาก แต่นี่เป็นการดำน้ำแบบ Snorkeling การได้ใกล้ชิดมากขนาดนี้ ผมถือว่าเป็นเรื่องโชคดีมากๆครับ

ปะการังค่อนข้างสมบูรณ์ มีทั้งปะการังแผ่นตั้งหรือปะการังผักกาด(Coral foliose) ปะการังก้อน(Coral massive) หอยมือเสือ(Giant Clam) หนอนพู่ฉัตร(Christmas tree worm) และดาวทะเล(Star Fish)

ส่วนบรรดา ป. ปลา ก็มีปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue Surgeonfish) ปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrasse) ปลาการ์ตูนส้มขาว(False Clown Anemonefish) และ ปลาสลิดหิน(Damselfish)

เห็นพี่วัฒน์บอกว่าเจอฉลามครับ เลยรีบว่ายไปหาแก ผมเดาว่าคงเป็นฉลามครีบดำ(Blacktip Shark) น่าเสียดายว่าผมไม่เห็นเขาครับ



อยากขึ้นเกาะหินงามครับ ผมไม่เคยขึ้นมาก่อนเลย พี่วัฒน์บอกผมว่าไม่ต้องห่วง ยังไงก็อยู่ในโปรแกรมซึ่งต้องพาไปอยู่แล้ว

เรือแล่นออกไปจากจุดนี้ ไม่นานนัก ผมมองเห็นเกาะหินงามอยู่ด้านหน้าของผมแล้ว



เกาะหินงาม

มีนักท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะครับ บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็กำลังเรียงหินที่สีดำดูแปลกตาอยู่ สอบถามจึงได้ความว่า เขากำลังเรียงเพื่อที่จะอธิษฐานต่อเจ้าพ่อตะรุเตาครับ

ผมหยิบรองเท้าแตะลงไปด้วย เพราะเท่าที่ลองเหยียบดู เจ็บเท้าอยู่เหมือนกัน

สำหรับเกาะหินงาม เป็นเกาะที่มีชื่อเสียงแห่งหนี่งของจังหวัดสตูล เป็นเกาะที่มีแต่หินสีดำเท่านั้น มีเรื่องเล่าว่า หากใครเก็บหินนี้กลับบ้านไป จะถูกคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตา ไม่นานนักต้องนำมากลับคืนทุกรายไป(เหมือนที่สุสานหอยเลยครับ) ของแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะ

ผมลองหยิบหินมาดู สวยงามดีครับ ก้อนกลมๆ มันๆ เลยขอเรียงหินแล้วอธิษฐานดูบ้าง

เวลาหินนี้โดนน้ำ มีแสงแดดมากระทบ ยิ่งทำให้การถ่ายรูปยิ่งสวยเข้าไปใหญ่ สมชื่อว่าเกาะหินงามจริงๆ

ว่าแล้ว เราไปกันต่อดีกว่าครับ



เกาะหินซ้อน

ผมมองเห็นหินก้อนใหญ่รูปร่างประหลาดอยู่ด้านหน้า หิน 2 ก้อนนี้ ซ้อนกันอย่างน่าอัศจรรย์จนไม่น่าเชื่อว่าจะซ้อนกันได้ แถมยังอยู่มานานโดยไม่ตกซะด้วย

อย่าว่าแต่คนไทยเลยครับ หากเป็นชาวต่างชาติก็คงต้องทึ่งกับปะติมากรรมทางธรรมชาตินี้

เราวนรอบๆ หินซ้อน ก่อนที่จะมุ่งหน้าไปต่อ



หินซ้อน(บริเวณร่องน้ำ)

เราจอดติดกับเรือหางยาวอีกลำที่ผูกทุ่นไว้อยู่แล้ว โดยพี่คนขับเรือผูกเรือของเราเข้ากับเรือลำนี้ ผมมองเห็นว่า เรืออีกลำมาเที่ยวเป็นครอบครัว ที่สำคัญ ลูกสาวครอบครัวนี้ ผิวขาว น่ารักจริงๆ(เธอสวมเสื้อสีเขียวแก่ เหมือนเสื้อรักษาดินแดน เขียนว่า มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ครับ)

พี่คนขับเรือโยนเชือกไปและบอกให้เกาะเชือกไว้ ผมกระโดดตูมลงไปก่อน ร่างกายแล่นฉิวไปตามแรงน้ำ(กระแสน้ำแรงมากครับ) ผมรีบคว้าเชือกไว้ และสาวไปจนถึงปลายเชือก

หน้าครับ ใบหน้าของผมรู้สึกได้กับมวลน้ำที่มากระทบเลยว่า กระแสน้ำแรงมากๆ ถ้าไม่เกาะเชือกไว้ มีหวังหลุดไปไกลแน่นอน

งามครับ งามสุดๆ งามไม่แพ้กับที่ร่องจาบัง นี่ปะการังอ่อน(Soft Coral) ทั้งนั้นเลย มีทั้งสีม่วง สีแดงและสีชมพู พลิ้วไหวตามกระแสน้ำ ดูพวกเขาคึกคักกันดีจริง

ที่เกาะสุรินทร์ไม่มีปะการังอ่อนมากขนาดนี้(หาได้ซักต้นก็เก่งแล้วครับ) ทางนั้นจะเด่นเรื่องความหลากหลายของสัตว์ทะเลและมีสัตว์ใหญ่ให้ดู หากใครอยากดูปะการังอ่อนน้ำตื้น มาหมู่เกาะตะรุเตาซิครับ ไม่มีผิดหวัง

ส่วนเรื่องนักท่องเที่ยวเตะปะการังอ่อน อย่าห่วงครับ เพราะอยู่ในระดับ 3 เมตรขึ้นไป(คงต้องต่อตัวกัน) หากไม่พบกับปรากฎการณ์ลานีนญ่าซะก่อน ปะการังอ่อนยังอยู่คู่ที่นี่อีกนานแสนนานครับ

ภาพในตอนนี้ คือ ผมอยู่ปลายสุดของเชือกหันหน้าต้านกระแสน้ำ เกาะเชือกสองมือ พร้อมมองดูสัตว์ทะเลด้านล่างอย่างมีความสุข ขณะที่คนอื่นๆค่อยๆสาวเชือกตามมา(ผมไม่อยากรถติดน่ะครับ)

ปลายเชือกที่ผมเกาะอยู่ ด้านล่างมีปลาสิงโต(Common Lionfish)และปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray Eel) ผมเรียกให้เตาะดู ซึ่งมีกล้องดิจิตอลแบบลงน้ำได้ด้วย(แบบไม่ใส่ Housing ที่กำลังบูมน่ะครับแต่ลงได้เพียงไม่กี่เมตรเท่านั้นนะ)

นอกจากนี้ ใกล้ๆผม ยังมีน้องสาวน่ารักคนนั้น เลยเรียกให้เธอดูซะเลย

ปลาอื่นๆ ที่จำได้ คือ ปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish) ครับ



เกาะรอกลอย

แดดกำลังร้อนจัด น้ำทะเลยิ่งดูสวยงาม โดยเฉพาะหาดทรายของเกาะรอกลอย ที่ผมพึ่งมาถึง เรามาแวะทานอาหารกลางวันที่นี่ครับ

ข้าวผัดทะเลกับอากาศที่ร้อนจัด แต่ในหัวใจของผมกลับเย็นชุ่มชื้นด้วยความสุขที่ได้เดินทางมายังท้องทะเลสถานที่ทั้งรักและหลงไหล

พวกพี่ๆ แบ่งไก่ทอดให้ผม ผมจำได้ดีว่าเป็นไก่ทอดสไตล์อิสลามบนเกาะหลีเป๊ะ อยู่ทางไปหาดพัทยานั่นเอง(ถามดูก็ถูกต้องครับ แต่ผมไม่อยากมือเปื้อนน่ะ ต้องจับกล้องเก็บรายละเอียดต่อ เลยได้แต่ขอบคุณ)

ที่นี่นอกจากจะมีเครื่องดื่ม เช่น กาแฟ และอาหารอย่าง มาม่า ไว้บริการแล้ว ด้านหลังมีสะพานไม้เล็ก ๆ หากได้นั่งกินลมชมวิว ก็คลาสสิคดีนะ

ผมเดินขึ้นไปสำรวจด้านบน ซึ่งเป็นจุดชมวิว ทางขึ้นไม่ยากนัก มีชิงช้าอยู่ 1 ตัว(แต่ต้องนั่งอย่างระมัดระวังครับ กลัวตกอีก ถ้าตกล่ะก็ อาจได้ลงไปด้านล่างแน่ครับ) ท้องฟ้าสีครามและน้ำทะเลสีสดใส วิวบนนี้สวยดีจริงๆ

สำรวจเรียบร้อย ยังมีเวลาครับ ผมกลับไปที่เรือ หยิบหน้ากากและท่อหายใจ ลงไปสำรวจด้านหน้าหาดกัน



หน้าหาดของเกาะรอกลอย

ผมดำผุด ดำว่าย ท่ามกลางแดดที่ร้อนจัด เนื่องจากไม่ใช้ชูชีพ ผมจะมาพักเหนื่อยที่พื้นทรายในที่ตื้นครับ แน่นอนว่าไม่มีปะการังอยู่ตรงนั้น

จำได้ว่า มีปลาอยู่ 2-3 ชนิด ดูจะสนใจในฝ่าเท้าของผมเหลือเกิน(หรือจะเรียกอุ้งเท้าหรือใบพายก็ได้นะครับ 555) ผมเลยเล่นกับพวกเขาซะหน่อย ดูพวกเขาก็สนุกนะครับ สนใจใหญ่เลยล่ะ

ซักพักผมขึ้นมานอนบนหาดทราย ให้น้ำทะเลไหลผ่าน มีความสุขจริงหนอ 555

มองเห็นสมาชิกค่อยๆกลับขึ้นเรือ ผมเริ่มปวดหัวนิดๆ อาจจะตากแดดมากไป กลับขึ้นเรือ อยู่ในที่ร่มแล้วไปยังจุดต่อไปดีกว่าครับ



เกาะผึ้ง(บริเวณร่องน้ำ)

เป็นอีกจุดหนึ่งที่เป็นบริเวณร่องน้ำ(จัดได้ว่ามีเยอะทีเดียวสำหรับทะเลแถบนี้) สังเกตได้จากการที่เราอยู่ระหว่างเกาะสองเกาะ เมื่อหย่อนเชือก และว่ายออกไป จะมีกระแสน้ำเหมือนอีก 2 จุด ที่ลงในวันนี้(ที่ร่องจากบังกับเกาะหินซ้อนน่ะครับ)

หากใครมาในช่วงจังหวะเวลาที่ไม่ดี นอกจากจะต้องต่อสู้กับกระแสน้ำที่แรงแล้ว อาจมีคลื่นแถมมาด้วย น้ำจะขุ่น เมื่อบวกกับเรื่องไม่มีแสงแดด ก็จะยิ่งทำให้มองอะไรก็จะไม่ค่อยเห็น

โชคดีว่า ตอนผมมา ทะเลเรียบไร้คลื่น แดดแรงจัด มีเพียงกระแสน้ำซึ่งมีอยู่บ่อยๆ สำหรับจุดที่เป็นร่องน้ำแบบนี้

เหมือนเดิมครับ ผมโดดตูมลงไป เกาะอยู่บริเวณปลายเชือก มีปะการังอ่อน(Soft Coral) มากมายจริงๆ ส่วนใหญ่จะเป็นสีม่วง แน่นอนว่าต้องเป็นสกุล Dendronephthya ด้วย ดูพวกเขาเริงร่ามากๆ เลย

ส่วนสัตว์ทะเลที่ผมจดจำได้ มีปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ’ s Anemonefish) และดาวทะเล(Star Fish) สีม่วงสดครับ



เกาะราวี

มาขึ้นเกาะกันต่อครับ ที่นี่ คือ เกาะราวี และหาดที่ผมกำลังเหยียบและย่างเท้าไปด้านหน้า หาดทรายสีขาวและละเอียด จึงเป็นที่มาของชื่อหาดที่ว่า “หาดทรายขาว”

ถึงตอนนี้ ผิวหนังของผมเริ่มมีอาการแสบแล้ว การที่ไม่ยอมทาโลชั่นกันแดด แถมยังสวมเสื้อผ้าบางๆ ทำให้เริ่มเห็นผล(อย่าทำแบบผมเลยครับ ทาทุกครั้งที่ออกแดดนะ)

หลายคนสวมชูชีพว่ายออกไปสำรวจแนวปะการัง แต่ผมเลือกที่จะเดินถ่ายรูป สำรวจเกาะให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า แล้วค่อยลงสำรวจใต้น้ำก็ยังไม่สาย

ที่นี่มีเส้นทางศึกษาแนวปะการังด้วยครับ(ใต้น้ำ) ทำให้ผมนึกถึงที่อ่าวช่องขาด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งมีทำไว้เช่นกัน(ปัจจุบัน อ่าวช่องขาด กลายเป็นอดีตไปแล้วครับ หลังคลื่นยักษ์สึนามิพัดผ่าน แต่หลายคนก็มีความทรงจำดีๆกับที่นั่นนะ) นักท่องเที่ยวจะได้ความรู้เรื่องชีวิตในแนวปะการังและรู้จักสัตว์ทะเลเพิ่มมากขึ้นด้วย

สำหรับภาพที่นักท่องเที่ยวคุ้นตาเมื่อนึกถึงเกาะราวี คงหนีไม่พ้นภาพที่นิตยสารทั้งหลายนิยมถ่าย นั่นคือ ซากต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ริมหาด บวกกับวิวทะเลที่สวยงามด้านหลัง เข้ากันได้ดีทีเดียวล่ะ

มองเห็นแผงโซลาร์เซลล์ที่นี่ ทำให้ผมจำได้ว่า หมู่เกาะตะรุเตา มีการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ด้วย(เคยเห็นออกทีวีครับ) ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้เยอะเลย

มีกลุ่มนักท่องเที่ยวเพียบเลยครับ ผมหนีดีกว่า กลับไปที่เรือ หยิบชูชีพ หน้ากาก ลงไปสำรวจด้านล่างกัน

Tuesday, May 13, 2008

หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(4)

http://www.resifbolgesi.com/

http://www.abovebelowphotos.com/
http://artfiles.art.com/


Dive 2 สามปีที่รอคอย ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจและกุ้งตัวตลก!!!!!!

ผม พาเมล่า พี่ยิ เชนและฮูลิโอ ต่างลงด้วยท่า Back Row เราจะลงไปพร้อมๆกัน พี่ยิทำสัญญาณให้เชนดูฮูลิโอไว้ดีๆ

ด้านล่าง เจ้าปลาจิ้มฟันจระเข้ลายด่าง(Scribbled Pipefish) ว่ายผ่านไป ตัวนี้เป็นกลุ่มปลาปากท่อ พบได้ในอันดามันและอ่าวไทยครับ แพร่กระจายอยู่หลายแห่งเลยล่ะ

สีสันของปะการังอ่อน สวยงามไม่แพ้ที่เกาะอาดังครับ ขึ้นเป็นดอกเห็ด มีสีม่วงสลับกับสีชมพู ส่วนใหญ่เป็นปะการังอ่อนสกุล Dendronephthya ครับ

ปลาการ์ตูนที่พบที่นี่ เป็นปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) อยู่กับดอกไม้ทะเลชนิด Heteractis magnifica น่ารักไม่แพ้ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงในฝั่งอ่าวไทยครับ(อย่าลืมว่า 2 ชนิดนี้คล้ายกันครับ แต่ดูไม่ยากเลย)

พาเมล่า มาสะกิดใกล้ๆ เธอมาช่วยผมเก็บ Octopus อุปกรณ์หายใจสำรองให้เรียบร้อย ไม่ระโยงระยาง ผมทำสัญญาณขอบคุณเธอด้วย

พี่ยิ เข้าไปในโพรง ส่องไฟหาสัตว์ทะเล ซักพักแกกวักมือเรียกผมลงไปดู อะไรหว่า?

เฮ้ย!! รูปร่างแบบนี้ นี่เป็นสัตว์ทะเลที่ผมตามหามา 3 ปี ตั้งแต่เริ่มดำน้ำ คนอื่นเห็นกันแต่ผมโชคร้ายทุกที แต่คราวนี้โชคดีแล้วครับ ระดับความสะใจมาก นี่คือ ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ(Harlequin Ghost Pipefish) ลำตัวยาว ปากเป็นท่อ มีติ่งเนื้อคล้ายขนปกคลุมทั่วตัว ในโพรงค่อนข้างมืด พอมีแสงสว่างจากไฟฉายทำให้เห็นภาพได้ชัดเจนขึ้น

ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจเป็นสัตว์ประจำถิ่น อยู่ในครอบครัว Solenostomidae ตัวเมียอุ้มท้องเก็บไข่จนกว่าจะฟักเป็นตัว ไม่เหมือนม้าน้ำที่ตัวผู้เป็นผู้อุ้มไข่

ใครที่ยังไม่ได้เรียนดำน้ำแบบ Scuba อย่าพึ่งเสียใจว่าจะไม่ได้เห็นครับ การดำน้ำแบบ Snorkel ก็มีโอกาสเห็น เชื่อหรือไม่ว่า ในระดับความลึกที่ 2-3 เมตร จูนกับส้มเคยเห็นปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจที่เกาะสุรินทร์ ขนาดเธอยังไม่ได้เรียนดำน้ำ ยังเห็นก่อนผมเสียอีกครับ 5555

ว่ายต่อไป พบปลาสิงโต(Common Lionfish) หนึ่งในราชสีห์แห่งท้องทะเลชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด

ผมเห็นพี่ยิ ถือสิ่งๆหนึ่ง รูปร่างคล้ายไม้กางเขน แกจะเอาไปทำอะไรหว่า แล้วนั่น คืออะไร?

ซักพักแกลงไปด้านล่าง แกวางสิ่งปริศนานั้นไว้ด้านหน้าของโพรงที่มีปะการัง จากนั้นเรียกให้ผมลงมาดู

มีสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งออกมากินสิ่งที่รูปร่างเหมือนไม้กางเขนครับ

เฮ้ย!!! ผมตกใจมากกว่าเมื่อซักครู่ สัตว์ทะเลชนิดนี้หายากกว่า ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ อีกครับ จัดว่าเป็นสุดยอดของการค้นหา(ผมให้อยู่ในระดับเดียวกับกระเบนราหูและฉลามวาฬ) และเป็น 3 ปีแห่งการรอคอยสำหรับผมอีกเช่นกัน นี่คือ กุ้งตัวตลก(Harlequin Shrimp) จุดสังเกต คือ สีที่ลำตัวที่สวยงาม เหมือนกับตัวตลก และสิ่งที่ล่อให้เขาออกมาด้านนอก คือ ดาวทะเล อาหารโปรดของพวกเขานั่นเอง

ไม่ได้มีแค่ 1 ตัวนะครับ แต่นี่มีกุ้งตัวตลกถึง 2 ตัวแน่ะ!!

ถ้าเดาไม่ผิด เขาและเธอเป็นคู่กันครับ เพราะกุ้งตัวตลกมักพบเป็นคู่และเป็นสัตว์ประจำถิ่น ไม่ย้ายที่ไปไหน

สิ่งที่น่าสนใจ คือ พฤติกรรมการกินอาหารครับ กุ้งตัวตลกมักจะกินดาวทะเลโดยเริ่มจากขาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เหยื่อหนี กินจนครบทุกขา และกินใจกลางของดาวทะเลเป็นอันดับสุดท้าย(ฉลาดเป็นกรดจริงๆ)

ที่หายากเพราะนอกจากจะถูกจับไปขายแล้ว การรบกวนเขามากเกินไป(เช่น ไปจับต้อง) ทำให้เขาย้ายสถานที่อยู่และหลายครั้งที่ผู้ที่อ่อนแอก็มักตกเป็นเหยื่อให้กับผู้ที่แข็งแรงครับ การที่ธรรมชาติสร้างมาให้เขาเป็นสัตว์ประจำถิ่น นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่เก่งในการหาที่อยู่ใหม่ ไม่เหมาะในการย้ายที่อยู่ เพราะฉะนั้น ดูแต่ตา มืออย่าต้อง จะช่วยพวกเขาได้มากครับ

ตามมารยาทของการดำน้ำ เมื่อดูแล้ว ผมรีบหลีกทางเพื่อให้เชน พาเมล่า ฮูลิโอ เข้ามาดูบ้าง ทุกคนจะได้เห็นเหมือนๆกัน

นอกนั้น สัตว์ทะเลที่พบที่นี่ ก็มี ปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish) ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish)ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moorish Idol) ปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Black Blotched Porcupinefish) ปลาปากแตร(Trumpetfish) ปลาสร้อยนกเขาแตงโม(Indian Ocean Oriental Sweetips) ปลาอมไข่ 5 เส้น (Five-Lined Cardinalfish) ปลาแพะลาย(Blackstriped Goatfish)ปลาทรายขาวแถบโค้ง(Bridled Monocle Bream) ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish)และปลาผีเสื้อหางเหลี่ยมหน้าแดง(Triangular Butterflyfish)



ขึ้นมาด้านบน พบเล่าให้พี่ยิฟังว่า สัตว์ทะเล 2 ชนิดในไดฟ์นี้ ผมตามหามานานมาก พี่ยิคุยให้พาเมล่าฟังว่า พาเมล่าโชคดีกว่าผม เพราะดำไม่เท่าไรก็ได้เจอสิ่งหายาก (เฮฮากันใหญ่) ส่วนเชน เขาทำท่าเรียบเฉย ฮูลิโอช่วยอธิบายให้เชนฟัง พอเชนทราบว่าเป็นสัตว์ทะเลหายาก อีกทั้งเป็นไดฟ์แรกในชีวิตเขาซะด้วย ผมยกนิ้วโป้ง และบอกเขาว่า “คุณโชคดีจริงๆ”(เชนก็ยิ้ม อารมณ์ดีครับ)

พี่ยิบอกผมว่า เคยบอกหลายคนที่ดำน้ำบนเรือ Liveaboard ว่า ที่นี่มีกุ้งตัวตลก แต่ไม่มีใครเชื่อซักคน แต่ผมว่าถึงจะทราบว่ามีที่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ ผมกล้ายืนยันเลยครับ

เมื่อเรือถึงหาดชาวเล น่าชื่นชมมากครับ ทุกคนช่วยกันขนอุปกรณ์ดำน้ำไปที่ Dive Shop โดยไม่ต้องมีใครขอร้อง

แท๊งค์ค่อนข้างหนัก ฮูลิโอสอนผมให้แบกแท๊งค์ขึ้นมาบริเวณไหล่จะทำให้ขนไปง่ายกว่า ซึ่งก็จริงอย่างที่ว่าไว้(สบายกว่าจริงๆครับ กล้ามขึ้นเลยล่ะ 555)

แม้แต่พาเมล่าซึ่งเป็นผู้หญิง เธอก็ยังช่วยขนของหนักๆอย่างแท๊งค์ ทำให้ผมต้องรีบช่วยเธอ

พอของหมดแล้ว ผมบอกให้พี่คนขับเรือ รออยู่ที่ Asia Resort เมื่อผมเสร็จธุระจะไปเรียก เพื่อที่จะให้ช่วยขับเรือไปส่งที่เกาะอาดัง สถานที่นอนในคืนนี้(พี่คนนี้จะได้รายได้จากผมด้วย)

เรานำอุปกรณ์ดำน้ำมาแช่น้ำจืดและตากไว้ ผมขออีเมล พาเมล่าและฮูลิโอเพื่อที่จะส่งรูปให้

ใครหว่า หน้าตาคุ้นๆ “เฮ้ย พี่วิลลี่ มาทำอะไรที่นี่ครับพี่”

ผมเจอพี่วิลลี่ครั้งแรก เมื่อ 2 ปีก่อนบนเรือเจ้าหญิงน้อย(Little Princess) ทริปอันดามันเหนือ(รายละเอียดลองอ่านเรื่อง “สิมิลัน...ฉันรักเธอ” นะครับ)

หลังจากที่คุยกันจึงทราบว่า แกเป็นฟรี แล้นซ์ มาช่วยพี่ยิ ที่นี่(อ่อ แกก็เป็น Instructor ครับ แต่ไม่ได้อยู่ประจำที่นี่นานๆเป็นปีเหมือนพี่ยิ)

มีเด็กคนหนึ่งครับ ถ่ายรูปบนบกแต่สนใจดำน้ำจึงเข้ามาคุยกับพี่ยิ ผมจึงช่วยเสริมและอยากให้มาเรียนดำน้ำ พี่ยิเสริมอีกว่า หากมีประสบการณ์การถ่ายรูปบนบกอยู่แล้ว ก็จะช่วยให้การถ่ายภาพใต้น้ำสวยขึ้น

พี่ยิยกตัวอย่าง เช่น คุณประสิทธิ จันเสรีกร ช่างภาพใต้น้ำชื่อดัง ก็มา Fun Dive ที่นี่ ผมบอกพี่ยิว่า พึ่งได้ซื้อหนังสือของคุณประสิทธิและได้เจอตัวจริงเมื่องานมหกรรมหนังสือที่ผ่านมานี่เอง

สำหรับใครที่อยากมา Fun Dive หรือเรียนดำน้ำที่เกาะหลีเป๊ะ ราคาย่อมเยาสำหรับคนไทย มี Dive Leader คนไทยที่ชำนาญพื้นที่ ติดต่อได้ที่พี่ยิ 086-9461271 ครับ(รับรองว่า ไม่ผิดหวังแน่นอน)

ผมไปส่ง Post Card ที่เขียนเมื่อคืนนี้ และถ่ายรูปกับเจ้าของร้านทั้งสองคน คงอีกเป็นปีกว่าผมจะได้กลับมาที่นี่อีก

พี่ยิบอกผมว่า หากสนใจดำสน๊อคเกิ้ลพรุ่งนี้ ให้โทรมาติดต่อและจะไปรับผมที่เกาะอาดัง(โปรแกรมวันรุ่งขึ้นจะพาไปดำน้ำที่โซนนอกครับ รวมถึงเกาะที่ไกล อย่างเกาะหินซ้อนด้วย) ผมสองจิตสองใจ กะว่าจะไปดูที่เกาะอาดังก่อนเลยยังไม่ได้ตอบตกลงแกครับ

จากนั้น ผมกลับมาขึ้นเรือ ขนสัมภาระที่หนักอึ้ง มุ่งหน้าสู่เกาะอาดัง และนั่งมองเกาะหลีเป๊ะค่อยๆ ลับตาไป



ทิวต้นสนด้านหน้าเป็นเอกลักษณ์ของเกาะอาดัง บนเกาะมีเต๊นส์กางไว้เยอะพอสมควร ผมเดินไปติดต่อบริเวณที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าที่บอกว่ามีเต๊นส์อุทยานว่างอยู่ ผมไม่ลังเลครับ เพราะเต๊นส์อุทยานใหญ่กว่าและนอนสบายกว่า ที่สำคัญไม่ต้องกางเองด้วย(แต่ต้องจ่ายเงินทันทีครับ ซึ่งผมตกลงว่าจะนอน 2 คืน)

เอาของไปเก็บที่เต๊นส์ นำอุปกรณ์ดำน้ำมาตาก เต๊นส์ข้างๆผม คือ ไอ้น้องคนที่สนใจการดำน้ำเมื่อครู่นี้นี่เอง เลยเดินเข้าไปทักทายเล็กน้อย

เดินเข้าไปติดต่อโปรแกรมดำน้ำในวันรุ่งขึ้น ซึ่งผมมาคนเดียว เขาเลยจัดไปให้อยู่อีก 1 ชุด ที่มีคนอยู่แล้ว 4 คน ซึ่งโปรแกรมไปดำน้ำที่โซนนอกเหมือนกันครับ

เดินถ่ายรูป สำรวจหาดที่เกาะอาดัง ผมรู้สึกว่าเจ็บเท้ามากๆ ทรายที่นี่ดูไม่ละเอียดเท่าที่ อ่าวพันเตมะละกา เกาะตะรุเตา แถมยังมีสิ่งแปลกปลอมซึ่งอาจเป็นส่วนหนึ่งของต้นสน(หลายท่านบอกว่า เกาะไกลฝั่งอย่างอาดัง ทรายจะละเอียดน้อยกว่าเกาะตะรุเตาได้อย่างไร แต่ ณ ตอนนี้ เป็นความจริงครับ)

เจ้าสุนัขสีดำ(เหมือนตาบอดไปข้างหนึ่ง) นอนนิ่งแบบนี้ ต้องกดชัตเตอร์ ปลิดวิญญาณซะเลย

นอกจากขยะแล้ว การก่อสร้าง(เห็นบอกว่าเป็นห้องน้ำ) ทำให้ทัศนวิสัยเสียไป แถมการที่ให้นักท่องเที่ยว ก่อกองไฟ ทำอาหาร(ควันขโมง) ยิ่งทำให้ผมเริ่มรู้สึกแย่

เดินไปจนสุดหาด ผมนึกขึ้นได้ว่าลองออกไปสน๊อคเกิ้ลตรงนี้ดีกว่า จะมีอะไรดูบ้างนะ จึงกลับมาที่เต๊นส์ หยิบอุปกรณ์ดำน้ำ ลงไปสำรวจด้านล่าง


หน้าหาดบนเกาะอาดัง

แม้จะ 6 โมงกว่าแล้ว แต่น้ำค่อนข้างใสมากครับ ผมเห็นปะการังก้อนค่อนข้างเยอะและยังมีปะการังชนิดอื่นอีก ที่นี่สมบูรณ์กว่าที่คิดไว้ มีปลากระพงลายพาด(Checkered Snapper) ด้วยล่ะ

อีกชนิดที่นึกได้ คือ ปลาที่หากินบริเวณผิวน้ำอย่าง ปลาเต๊กเล้ง(Forktail alligator) เป็นครั้งแรกที่มีโอกาสได้เห็นชัดๆครับ แต่ที่เห็นยังไม่ใช่ขนาดโตเต็มที่ แต่ปากยาวๆ ก็ทำให้มีเสียวนิดๆว่าจะเข้ามาแทง
ไอ้หนุ่มกรุงเทพฯอย่างผมหรือเปล่านะ(ข้ามาดี โปรดอย่าแทงข้าเลย 555 จริงๆ อ ธรณ์เคยเล่าไว้ว่า ปลาเต๊กเล้งมีระยะปลอดภัย จะอยู่ห่างจากเรา หากเข้าไปใกล้มาก เขาก็หนีครับ)

เห็นขวดเบียร์อยู่ด้านล่าง มันหงุดหงิดซะจริง เลยกลั้นหายใจลงไปเก็บเล็กน้อย(Dive Computer มีเสียงเหมือนกับว่าจะทำงานครับ 555)



กลับไปที่เต๊นส์เพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ แต่ตอนนี้เริ่มมืดแล้ว เตรียมไฟฉายไปด้วยดีกว่า

ห้องอาบน้ำค่อนข้างดีมาก แบ่งเป็นสัดส่วน อาบน้ำเสร็จสดชื่นดีจัง

ขากลับ หากไม่มีไฟฉายจะแย่ครับ เพราะทางมืดมาก อาจกลับเต๊นส์ไม่ถูกได้

เดินไปที่ร้านอาหารของอุทยาน เพื่อหาข้าวเย็นรับประทาน มีนักท่องเที่ยวอยู่ที่ร้านอาหารพอสมควร ไม่มีใครบ้าที่จะมาคนเดียวเหมือนผม เท่าที่เห็นไม่มีชาวต่างชาติเลยครับ(ต่างจากเกาะสุรินทร์ที่มีชาวต่างชาติมาเยอะกว่า อีกอย่าง ผมว่าชาวต่างชาตินิยมไปนอนที่เกาะหลีเป๊ะมากกว่าครับ)

เจ้าหน้าที่อุทยานก็ค่อนข้างจะยุ่ง(มากๆ) ผมเห็นใจนะครับ แม้แกจะหน้าบึ้งใส่ผม เวลางานยุ่งใครๆก็อาจจะหงุดหงิดได้ทั้งนั้น

อาหารเย็นของผม มีข้าวเปล่า 2 จาน ส่วนกับข้าวมี ผัดเปรี้ยวหวานทะเลกับไข่เจียว เอ้อ อิ่มครับ ปิดท้ายด้วยน้ำอัดลมกระป๋องอีกหนึ่ง(ปกติไม่ค่อยดื่มน้ำอัดลมครับ นานๆที)

นั่งเปิดหนังสือปลา และจดเรื่องที่จะเขียนท่ามกลางฝูงยุงที่เยอะมากๆ ( สั่นขาตลอดก็เอาไม่อยู่ครับ)

พอได้เวลา ร้านอาหารปิด ผมก็จะไม่มีที่นั่งแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันพักผ่อน ผมกลับไปนอนที่เต๊นส์

ผมต้องผจญกับความร้อนและฝูงยุงที่เยอะจริงๆ(น่าจะเกี่ยวกับที่มีต้นสน) ยากันยุงก็เอาไม่อยู่ครับ คืนนี้ไม่มีลมพัดมาเลย(เมื่อวานที่เกาะหลีเป๊ะยังลมมีครับแถมยังไม่มียุงมากขนาดนี้) ยังมีเสียงจากทีวีของทางอุทยานที่เปิดคอนเสริตเสียงดังมากๆ รบกวนนักท่องเที่ยวสุดๆ(กลายเป็นว่า เกาะหลีเป๊ะสงบกว่าอีกครับ) ทำให้นอนเท่าไรก็ไม่หลับ

ผมเริ่มนึกถึงความสุขในคืนแรกที่เกาะหลีเป๊ะ(ถึงแม้จะมีฝนตกก็เถอะ) ความยิ้มแย้มจากชาวเล อาหารตามสั่งและร้านค้าของชาวบ้าน พี่ยิและชาวต่างชาติกับการดำน้ำแบบ Scuba ทำให้อยากจะเหมาเรือกลับไปเกาะหลีเป๊ะซะเดี๋ยวนี้เลย แม้จะจ่ายค่าเต๊นส์ไปแล้ว 2 คืน

ผมเคยอ่านความเห็นจาก ป้านิด เว็บทะเลไทย และได้ยินจาก คุณปุ้ย จากเว็บทะเลไทย ทั้งสอง ชอบเกาะอาดังมากกว่าครับ ส่วนผมชอบเกาะหลีเป๊ะมากกว่า เพราะมีการดำน้ำแบบ Scuba และความน่ารักจากชาวบ้านบนเกาะ ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ คุณนัท สุมนเตมีย์ ที่กล่าวไว้เกี่ยวกับความเป็นมิตรของชาวบ้านบนเกาะ ผมเห็นด้วยจริงๆ

อาจเป็นเพราะผมมาช่วงเทศกาลด้วยล่ะครับ อะไรๆก็ดูยุ่งเหยิงไปหมด(แต่เรื่องความละเอียดของหาดทราย ณ เวลานั้น เป็นแบบนั้นจริงๆครับ)

หลายท่านอาจคิดว่า ผมเองนั่นแหละที่เรื่องมาก อยู่แบบลำบากไม่ได้ ผมขอยืนยันว่าไม่ใช่ครับ ที่หาดไม้งาม เกาะสุรินทร์ ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนเกาะอาดัง แต่มีความแตกต่างจากที่นี่มากครับ(ไม่ว่าจะเรื่องที่ตั้งของร้านอาหาร การเดินไปใช้ห้องน้ำ และนักท่องเที่ยว เป็นต้น)

ผมโทรไปหาพี่ยิ เล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและติดต่อเรื่องการไปดำน้ำ ในวันรุ่งขึ้นผมจะขนของกลับไปนอนที่เกาะหลีเป๊ะ(โชคดีที่ยังไม่ได้จ่ายค่าดำน้ำที่จองไว้ ไม่งั้นซวยแน่ ค่าเต๊นส์ไม่เท่าไรครับ)

สำหรับผมแล้ว หากไม่ชอบและทำไปแล้วไม่มีความสุข ผมจะไม่ทำ และไม่ฝืนใจตัวเองเป็นอันขาด ดังเช่น 1 คืน ของความทรมานบนเกาะอาดังของผม หากอยู่ที่นี่อีกคืน ผมคงบ้าตายแน่ๆ(อาจดูโอเวอร์ แต่การมาพักผ่อนทั้งที ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้มาก่อนครับ อีกอย่างผมว่า ความชอบของคนเรานั้นไม่เหมือนกัน ไม่สามารถที่จะตัดสินได้ว่า คนไหนถูก คนไหนผิด อยู่ที่ใจของเราเท่านั้นที่จะเป็นผู้บอกว่าชอบหรือไม่ชอบ)

ทนไม่ไหวครับ ถอดเสื้อดีกว่า แต่ยิ่งทำให้ยุงมีเป้าโจมตีมากขึ้นไปอีก ใช้เวลานานครับ จึงข่มตาหลับลงได้



15 เมษายน 2551

ผมตื่นขึ้นมาด้วยความร้อน ดูนาฬิกาบอกว่า เป็นเวลาตี 4 สมองสั่งการทันที ผมเตรียมตัวเก็บของ นำผ้าที่ตากไว้มาใส่ถุงพลาสติค จัดของใส่กระเป๋า ในขณะที่บรรยากาศรอบๆ เงียบสงัด

คิดในใจว่า พอพระอาทิตย์ขึ้นผมจะถ่ายรูป และเดินขึ้น “จุดชมวิวผาชะโด” อันลือชื่อ มาเยือนที่นี่ทั้งที หากไม่ขึ้นจุดชมวิวก็เหมือนว่าขาดอะไรไปสำหรับผม(เกาะไหนมีจุดชมวิว ผมไม่เคยพลาดครับ555)

เวลา 6 โมงตรง มีเศษวินาทีเล็กน้อย พระอาทิตย์ขึ้นสวยงามมากครับ แสงสีทองสลับส้ม เป็นฉากพระอาทิตย์ขึ้นที่แม้ไม่เห็นดวงอาทิตย์ แต่ทำเอาผมพึงพอใจมาก(สังเกตเห็นว่าหลายๆคน ตื่นเช้า มาถ่ายรูปกันเยอะ)

ปูน้อย กลอยใจ หยุดนิ่ง ทำให้เจ้าของกล้องคอมแพคที่ฝีมือไม่เอาถ่านอย่างผม มีโอกาสได้มาโครอย่างใกล้ชิด(เป็นเด็กดีจริงๆ เจ้าปูเอ้ย)

ทางขึ้นผาชะโดมีป้ายบอกทางครับ หาไม่ยากเหมือนทางขึ้นผาโต๊ะปู ที่เกาะตะรุเตา แต่ทางขึ้นนี่ซิ ลำบากกว่าเยอะ

ไม่มีบันไดและสะพานไม้เหมือนเกาะตะรุเตาครับ (ผมอาจจะเดินเร็วด้วยมั้ง) ทำให้ต้องหายใจทางปาก ดูแล้ว คงไม่มีใครขึ้นจุดชมวิวตอนนี้มั้ง(เหงื่อท่วมตัว)

ผิดคาดครับ มีคนขึ้นมาเหมือนกัน ที่จุดชมวิวขั้นที่ 1 หลายคนหยุดพักที่นี่ด้วยความเหนื่อยล้า ผมเห็นผู้ใหญ่ที่อายุมากแล้วขึ้นมาด้วย(นึกสงสารแกจริงๆ)

ผมเดินขึ้นต่อไปเรื่อยๆ เห็นเพียง 2 คน ที่อยู่ข้างหน้าผม(คนครับ ไม่ใช่ผี 555)

ไกลจริงๆครับ กว่าจะถึงจุดชมวิวขั้นที่ 2 ผมปาดเหงื่อแล้ว ปาดเหงื่ออีก แต่ในที่สุดก็ถึง ภาพที่ผมเห็นเป็นภาพที่คุ้นตา นี่คือ ภาพจากนิตยสารท่องเที่ยว มองเห็นเกาะหลีเป๊ะที่ดูเรียบดุจแผ่นกระดาษอยู่ด้านหน้า(ที่ดูเรียบเพราะบนเกาะไม่มีภูเขาครับ)

2 คน ที่อยู่ด้านหน้าผม บัดนี้หยุดอยู่ที่นี่เหมือนกันครับ(มีขั้นที่ 3 ซึ่งเป็นขั้นสุดท้าย แต่ทั้งผมและพวกเขาต่างก็เหนื่อย ไม่เอาดีกว่าครับ) 1 ในนั้นเป็นลูกทัวร์ อีก 1 คนเป็นไกด์(คนที่เป็นไกด์ เรียนดำน้ำกับพี่ยิและเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกับพี่ฉู๋ด้วยครับ)

ถ่ายรูปเรียบร้อย ขาลงนี่เร็วกว่าขาขึ้นครับ ผมเดินไม่ระวัง เลยล้มก้นจ้ำเบ้าไป 2 ครั้ง(โชคดีที่หัวไม่ฟาดพื้น ไม่งั้นคงไม่ได้กลับมาเล่าเรื่องครับ 555)

ลงมาด้านล่าง ผมสอบถามพี่คนขับเรือ ว่าจะมีใครไปเกาะหลีเป๊ะบ้าง ทราบว่าจะมีไปส่งนักท่องเที่ยวเวลา 8 โมงครับ(อยากไปเร็วกว่านั้น แต่เขายังไม่ไปครับ)

ระหว่างนี้ ผมเลยถ่ายรูปรอบๆ และคุยกับพี่คนขับเรือ แม้หน้าตาจะดุ แต่จากการพูดคุย ผมมีความรู้สึกว่า เขาเป็นคนดีครับ(ดังที่ผมเคยบอกในหลายๆครั้งว่า สมัยนี้โจรจะมาในคราบคนหน้าตาดี มากกว่าคนที่หน้าตาดูไม่ดี และเป็นแบบนั้นจริงๆซะด้วย)

ผมนั่งเล่นที่ชิงช้าริมหาดปรากฎว่า พลิกครับ ไม่ใช่ข้อกฎหมายพลิก แต่ตัวผมนี่แหละพลิกลงไปนอนกองอยู่กับพื้น ทำให้เด็กน้อยชาวเลที่เห็นเหตุการณ์หัวเราะเสียงดัง(ชิงช้าตัวนี้เวลานั่ง ต้องระวังนะครับ 555)

ได้เวลาอำลาเกาะอาดัง มีนักท่องเที่ยวที่จะกลับฝั่งในวันนี้ด้วย ส่วนผมติดเรือไปลงที่เกาะหลีเป๊ะ(ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากเรือโดยสารที่พวกเขาจะกลับฝั่งครับ)

บนเรือ มี 1 ครอบครัว กับอีก 1 หนุ่มที่บินเดี่ยว ในครอบครัวนั้น มีลูกสาวน่ารักอยู่ 1 คน ส่วนหนุ่มที่บินเดี่ยวทราบว่า เป็นลูกศิษย์ของ อ. ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง เคยทำงานเกี่ยวกับสำรวจปะการัง ปัจจุบันทำงานอยู่ที่อควอเรี่ยม ที่ จ. สงขลาครับ

เขาเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อวานเดินไปที่น้ำตกโจรสลัด ระยะทางไกลมากๆ น้ำพอมีบ้างแต่ไม่มาก สมัยที่ทำงานสำรวจสัตว์ทะเล แบกแท๊งค์ลงเรือหางยาว สำรวจแถวนี้ก็บ่อย(อิจฉาจังเลยพี่ 555)

ก่อนจากกัน เขาบอกว่า เสียดายที่เจอผมในวันจะกลับ ไม่งั้นคงได้คุยมากกว่านี้(ตามประสาคนบินเดี่ยว)

Monday, May 12, 2008

หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(3)

http://farm1.static.flickr.com/
http://www.acquaportal.it




14 เมษายน 2551

ความขี้เซา ไม่มีเลยครับ มาต่างที่แบบนี้ ผมอยากใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด ออกไปถ่ายรูปดีกว่า เริ่มจากด้านหน้าหาดก่อน ทรายค่อนข้างละเอียดดีมากครับ

เกือบ 7 โมงเช้า ยังเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอยู่ หลายคนตื่นแล้ว บ้างก็เดินเล่น มองเห็นชาวเลตระเตรียมความพร้อมของเรือหางยาวคู่ชีพ

มีหอเตือนภัยสูงตระหง่าน(เห็นคนขึ้นไปถ่ายรูปด้วยครับ) มีโรงเรียนบ้านเกาะอาดัง ภายในมองเห็นสนามบาส(คราวหน้า ผมเอาลูกบาสมาเล่นดีกว่า คงจะดีไม่น้อย ได้เล่นริมทะเล)

มีสิ่งปฎิกูลเช่น “ขยะ” อยู่พอสมควร มีสุนัข 2 ตัว หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน

ผมเจอพี่ฉู๋ 1 ใน ไกด์นำเที่ยว ที่ถ่ายรูปให้ผมเมื่อคืนนี้ เขาพักอยู่ที่เอเชีย รีสอร์ทเหมือนกัน

เดินออกไปถ่ายรูปที่หาดพัทยาดีกว่า และแล้ว ผมก็หลงทางอีกจนได้ หลงเข้าไปในหมู่บ้านของชาวเกาะหลีเป๊ะอีกครั้ง

“ก๊าบๆๆๆ” เสียงเป็ดของชาวบ้าน ผมเดินไปเรื่อยๆ เห็นคุณลุงกับคุณป้า ขยันทำงานแต่เช้าเลย พวกเขากำลังเลื่อยไม้กันอยู่ครับ

ที่เกาะมีสัญญาณ AIS กับ DTAC แต่ค่ายแรกจะสัญญาณดีกว่าครับ(ผมลงทุนซื้อซิมแบบเติมเงินของค่ายแรกมาเพื่อไว้ใช้เวลาออกทะเลโดยเฉพาะ ไว้ติดต่อกับทางบ้านน่ะครับ)

เส้นทางนี้ จะเป็นด้านหลังของรีสอร์ทสลับกับหมู่บ้านของชาวประมง ซึ่งผสมผสานกันอย่างลงตัว(ไม่บ่อยนะครับ ที่เราจะเห็นเกาะที่มีรีสอร์ทกับชาวบ้านอยู่ใกล้ๆกันแบบนี้)

นอกจากเป็ด ก็ยังมีไก่ครับ เจ้าไก่ 2 ตัว ที่อยู่ใกล้ๆผม เหมือนไก่สต๊าฟมาก(น่าจะจับไปทำไก่ย่าง555)

มีพระสงฆ์มาบิณฑบาตด้วยครับ ว่าแต่ ที่เกาะมีวัดตรงไหนเนี่ย ผมยังไม่เห็นเลย(แต่คงมีแหละครับ)

ทะลุมาถึงหาดพัทยาแล้ว ทรายละเอียด หาดกว้าง ยาวกว่าหาดชาวเลที่ผมอยู่ครับ หลายคนก็ตื่นเช้าเหมือนกันนะเนี่ย(หลายคน เตรียมตัวออกมาไปดำน้ำตื้น กิจกรรมยอดฮิตของที่นี่ครับ)

หิวซะแล้ว ผมมาเจอร้านอาหารไทย สไตล์ชาวบ้าน ชื่อว่าร้าน “คนเล” เลยสั่งกระเพรากุ้ง ไข่เจียว ราดข้าว อร่อยและราคาไม่แพงด้วยครับ(ที่ร้านมีเมนูภาษาอังกฤษด้วย คงเพื่ออำนวยความสะดวกชาวต่างชาตินั่นเอง)

ผมคิดว่า คืนนี้จะไปนอนที่เกาะอาดัง เพราะฉะนั้น จึงแวะร้านขายของชำ ซื้อของไปตุนดีกว่า เริ่มจากนม ขนมและมาม่า คุณลุงเจ้าของร้านกำลังคิดเงินให้ผมอยู่

“ไอ้หนุ่ม มีเหรียญให้ลุงไหม ลุงอยากได้เหรียญน่ะ”

“มีครับลุง ผมมีเหรียญที่บ้าน หยอดไว้ ยังไม่ได้นับเลย ราวๆ สามพันบาทน่าจะได้ แต่อยู่ที่กรุงเทพนะลุง”

“โห ไกลจัง” คุณลุงยิ้มแย้ม

ยังมีเวลาเหลืออยู่ พบพับเต๊นส์เก็บให้เรียบร้อย ยัดใส่ย่ามที่คุณแม่ให้มา ได้ง่ายมากๆ เพราะย่ามใหญ่กว่าถุงใส่เต๊นส์ที่แถมมาด้วย ม้วนใหญ่ๆก็ยังยัดลงไปได้ครับ(แต่อย่าใหญ่มากล่ะ555)

รอบๆ ผม เต๊นส์หายไปหมดแล้วครับ เมื่อคืนผมได้ยินว่า กลุ่มนี้เขาจะไปนอนกันที่เกาะอาดังนะ

หลังจากเอาของไปฝากที่หน้า Front แล้ว ผมไปที่ Dive Shop โดยมีพี่ยิ กำลังเตรียมอุปกรณ์ให้ผมอยู่ แกถามขนาด Fin และ BCD ของผม พร้อมให้เซ็นใบ The PADI Scuba Diver Statement

ผมประกอบอุปกรณ์ เช็คอากาศ ลองหายใจผ่านเรคกูเลเตอร์ เสร็จก็เอาแท๊งค์วางนอนลงกับพื้น

หลังที่คุยกับพี่ยิ จึงทราบว่า แกเป็น Instructor คนไทย(คนเดียวบนเกาะ) พี่ยิเคยทำงานอยู่บริษัทไดฟ์มาสเตอร์หลายปี เรื่องดำน้ำไม่ต้องห่วงครับ อยู่ในระดับเชี่ยวชาญมาก ขนาดแท๊งค์เสีย ยังมีคนเอามาให้แกซ่อมเลย(ซ่อมได้ เก่งมาก)

พี่ยิจะพาผมไปดู ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจและกุ้งตัวตลก ส่วนปลากบ แกบอกว่า แถวนี้หามาหลายปียังไม่เจอเหมือนกัน อีกอย่างสัตว์ใหญ่ต้องแล้วแต่ดวง(ผมตาโต ปลากบไม่เป็นไรหรอกพี่ ผมพึ่งเจอตัวแรกเมื่อปีใหม่ แต่สองอย่างแรกนี่ซิ ถ้าแกพาไปดูได้จริง คงดีไม่น้อยครับ ผมตามหามาหลายปีแล้ว แต่ก็นั่นแหละครับ ผมไม่คาดหวังดีกว่านะ ถ้าเจอก็ดี ไม่เจอก็ยังมีอย่างอื่นให้ผมดูอีกเพียบ 555 )

ชาวต่างชาติ 2 คน ที่เข้ามาใน Dive Shop คนแรกชื่อว่า ฮูลิโอ(Julio) กำลังเรียน Divemaster กับพี่ยิ อีกคนเป็นนักเรียน Open Water ชื่อว่า เซอจี(Sergi)หรือจะเรียกว่าเชนก็ได้

ส่วนอีก 1 สาว ที่มา Fun Dive เหมือนผม เธอชื่อว่า พาเมล่า(Camilla) ดูท่าเธอจะอายุน้อยกว่าผมแน่ๆ(ภาษาไทยเป็นชื่อที่พี่ยิเรียก ผมอยากให้เหมือนกับเหตุการณ์ตอนนั้นมากที่สุด ส่วนภาษาอังกฤษเป็นชื่อที่พวกเขาเขียนให้ผมครับ)

เราช่วยกันขนแท๊งค์และอุปกรณ์ดำน้ำ ขึ้นเรือหางยาว ฮูลิโอบริการดีมากครับ ล๊อคแท๊งค์ไว้คนละมุม เพื่อความสะดวกในการสวมใส่ตอนลง และดีเวลาออกเรือด้วยครับ

เมื่อสมาชิกครบ เราจึงออกเรือ ไม่นานนัก พาเมล่าอารมณ์ดีจริงๆครับ นอกจากจะร้องเพลงไทยที่ร้องว่า “ดูดู๊ดู ดูเธอทำ ทำไมถึงทำกันฉันได้” เธอก็สวมบิกินีนอนอาบแดดอยู่ที่หัวเรือ(เอ่อ เธอใจกล้ามาก ฝรั่งเขาไม่ถือกันอยู่แล้วครับ เรื่องปกติ)

พี่ยิทบทวนสัญญาณใต้น้ำให้ผม เริ่มจาก โอเคหรือไม่โอเค , อากาศเหลือน้อย, อากาศหมด ,เช็คDept Gate ว่าอากาศเหลือเท่าไร , ตามผมมา เป็นต้น

แวะมาส่ง ฮูลิโอกับเชน ที่อ่าวเรือใบ(เป็นอ่าวแห่งหนึ่ง อยู่บนเกาะอาดัง) ที่นี่เป็นเสมือนสระว่ายน้ำ ที่ใช้สอนนักเรียน Open Water ซึ่งฮูลิโอจะช่วยพี่ยิสอนเชน(แบบนี้ ดีครับ เรียนในสระว่ายน้ำเป็นทะเลแบบนี้ ใกล้เคียงของจริงมากๆ) ส่วนผม พาเมล่าและพี่ยิ มุ่งหน้าไปสู่จุดดำน้ำแรก ที่ชื่อว่า เกาะอาดัง



Dive 1 ตะลึงกับผาปะการังอ่อน เสน่ห์แห่งอันดามันใต้!!!!

หนึ่ง สอง สาม ผมกับพาเมล่า ลงด้วยท่า Back Row พร้อมกัน พี่ยิให้สัญญาณ เราจึงลงสู่ผิวน้ำ

เคลียร์หู พอได้ครับ(เมื่อคืนก่อนนอน ผมทานแอคติเฟดเข้าไป) น้ำที่เกาะอาดัง ค่อนข้างใส ไม่มีตะกอนเลย

ในเม่นทะเล พี่ยิชี้ให้ผมดูสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง ลำตัวมีสีดำ ขนาดเล็กมาก(เท่าเหรียญบาท) เขาคือ กุ้งเม่นทะเลเล็ก(Sea urchin shrimp) ตัวเล็กมากจนผมอยากหาแว่นขยายมาดูจริงๆ

ด้วยขนาดที่เล็กแบบนี้ ผมเชื่อว่าหลายคนอาจมองข้ามไป คราวหน้าลองหาดูนะครับ ในเม่นทะเลที่หลายคนหวาดกลัว อาจเจอเขาอาศัยอยู่ก็ได้(ผมเคยหาครับ แต่ไม่เคยเจอซะที)

ในบรรดาปลาการ์ตูน ผมเจอ 3 ชนิดครับ เริ่มจากปลาการ์ตูนปานดำ(Red Saddleback Anemonefish) ปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ’ s Anemonefish) และปลาการ์ตูนส้มขาว(False Clown Anemonefish) ภายหลังที่ผมทราบว่า มีรุ่นพี่พบปลาการ์ตูนชนิด A.percula(Orange clownfish) ที่เกาะพีพี ทำให้เริ่มไม่แน่ใจในเจ้านีโมว่า เป็นชนิดไหนกันแน่ เพราะคล้ายกันมาก คงต้องดูลึกๆ จากภาพถ่ายชัดๆ แต่ถ้าดูจากจำนวนที่พบมาก ให้เป็นเจ้า False Clown Anemonefish ก่อนแล้วกันครับ

ปลาสิงโตที่นี่ จุดเด่นที่ทำให้แยกชนิดได้ง่าย คือ รัศมีวงกลมของก้านครีบที่ยื่นออกไปเหมือนวงเดือน นี่คือ ปลาสิงโตแคระม้าลาย(Zebra Dwarflionfish) ขนาดโตเต็มวัยนั่นเอง ครับ

เป็นครั้งแรกที่ผมเห็น หอยเขา Lamellaridae/Lamellarids(Coriocella Hibyae) ในเวลากลางวัน (ปกติผมมักเจอเวลาดำน้ำกลางคืน) ถือว่าเป็นสัตว์ทะเลที่รูปร่างแปลกตา หลายคนหากไม่คุ้น จะไม่ทราบครับ ว่าคืออะไร

ผมมองเห็นนูดี้ครับ ตัวเล็กมากอยู่บนก้อนหิน จึงเรียกให้พาเมล่ามาดู เป็น ทากปุ่มที่ชื่อว่า Phyllidia elegans เจ้าทากปุ่มนี้มีหลายชนิด หลายสีมากครับ เวลาแยกชนิดต้องดูให้ดีๆ

อ้าปากหวอ หน้าตาดูเหี้ยมเกรียม เป็นเอกลักษณ์ของ ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant moray eel) ลำตัวสีน้ำตาล เป็นปลาไหลมอเรย์ชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดครับ

ผมเจอกระแสน้ำ 2 แบบ ในเวลาไล่เลี่ยกัน เริ่มจากกระแสน้ำเย็นที่สังเกตได้จากภาพมวลน้ำด้านหน้าที่เหมือนวุ้น พอมากระทบที่ใบหน้าเท่านั้นล่ะครับ ความเย็นมาเยือนทันที จากนั้นก็เป็นกระแสน้ำอุ่นที่อุณหภูมิสูงขึ้นเล็กน้อย(ไม่ใช่ว่ามีใครมาฉี่นะ 555)

ด้านหน้า ผมตกตะลึงกับหน้าผาที่มีแต่ปะการังอ่อน สีสวยมากครับ ผมมองดูพวกเขา แหงนหน้าขึ้นไปด้านบน กวาดสายตาไปรอบๆ มีสีน้ำเงินและสีชมพู เกิดมายังไม่เคยเห็นมากขนาดนี้มาก่อน สมแล้วที่อันดามันใต้เป็นถิ่นของปะการังอ่อน กล้าพูดได้ว่ามากที่สุดในประเทศไทยเลยครับ(พี่ยิบอกว่า ถ้าตอนกระแสน้ำแรงๆ จะดูสวยกว่านี้ครับ)

รูปร่างแบบนี้ ผมจำได้ครับ เป็นปลาปักเป้ากล่อง(Yellow box fish) ที่โตแล้ว ความน่ารักหายไปจากวัยเด็กเยอะ ลำตัวมีสีน้ำตาลอมเหลือง แต่ยังไงก็ไม่รอดพ้นจากสายตาของผมไปได้ครับ

พี่ยิลงไป ดูสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งด้านในปะการังเล็กๆ เสร็จแล้ว แกหันมาหาผม เรียกให้ลงมาดู ผมมองตั้งนาน ไม่เห็นมีอะไรเลยพี่ ลองไปดูใหม่ ก็พบม้าน้ำซึ่งผมเดาว่าเป็นม้าน้ำหางลาย(Tiger-Tail Seahorse) ลำตัวมีสีเหลือง กำลังนอนหลับอยู่ พูดถึงภาพม้าน้ำสีเหลืองแถวอันดามันใต้ เคยลงในนิตยสารอยู่หลายฉบับ อยากเห็นตัวเป็นๆใต้น้ำมานานแล้วครับ

ด้านล่างมีปลาสินสมุทรจักรพรรดิ์(Emperor Angelfish) พี่ยิเล่าให้ฟังว่า แกดำน้ำแถวนี้บ่อย และสังเกตดูตั้งแต่เจ้านี้ยังเด็กจนกระทั่งโต ยังอยู่บริเวณเดิม ไม่ไปไหนเลยครับ

สำหรับเจ้าปลาเนื้อไก่ที่หลายๆคน กลัวว่าจะไปเจอในร้านหมูกะทะ แต่ที่ใต้ทะเลแห่งนี้ ผมเจอเหมือนกันครับ เจ้าปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Black Blotched Porcupinefish) และปลาปักเป้าหน้าหมา (Blackspotted Puffer) นั่นเอง

ส่วนปลาผีเสื้อที่นี่ ผมพบปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish)และ ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) และยังมีปลาที่ไม่ใช่ปลาผีเสื้ออย่าง ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moorish Idol)ด้วย

นอกนั้นมี ปลาแพะลาย(Blackstriped Goatfish)ปลาทรายขาวแถบโค้ง(Bridled Monocle Bream) ปลากะรังท้องกำปั่น(Blue-Lined Rockcod) ปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrasse) และฝูงปลาข้างเหลืองอีกมากมาย



เราแวะกลับมาที่อ่าวเรือใบอีกครั้ง มองเห็นเชนกำลังฝึกวิชากับฮูลิโออยู่(ไม่ใช่ดราก้อนบอลนะครับ 555) เราจอดเรือเพื่อแวะทานอาหารกลางวันที่นี่

อ่าวเรือใบ กว้างใหญ่ น้ำทะเลใสสีสวยสด อยากจะเดินไปถ่ายรูปจริงๆ แต่ทานข้าวกลางวันก่อนดีกว่านะ ลงไดฟ์ต่อไป ผมจะได้ไม่จุกมาก

อาหารกลางวันมี ผัดเปรี้ยวหวานทะเลกับข้าวเปล่า อร่อย อร่อย อร่อย(จริงๆ)

ผมถือกล้อง เดินออกไปย่อยอาหาร สำรวจหาดซะหน่อยดีกว่า

เจ้าดาวทะเลสีชมพู นอนนิ่งยู่บนหาด(ไม่น่าจะรอดแล้วครับ) มองออกไปเริ่มจากใกล้ๆ เห็นสันทรายและน้ำทะใสๆ ไกลออกไปเห็นน้ำทะเลสีเขียวอ่อนจนไปถึงน้ำเงินเข้ม ลมที่พัดมาถึงแม้ว่าแดดจะร้อน กลับทำให้ผมมีความสุขและสดชื่นจริงๆ

ช่วงเดินกลับ เพื่อให้เกิดประโยชน์สุงสุด(รูปก็ไม่ถ่ายแล้ว) ผมเก็บขยะที่มีเยอะพอสมควรในหาดนี้ ช่วยกันคนละไม้คนละมือครับ ผมเชื่อว่าแม้ขยะจะถูกพัดมามากเพียงใด แต่ถ้าเราช่วยกันเก็บทุกครั้ง ก็จะช่วยให้หาดแห่งนี้ สวยงามมากขึ้น

ผมนำขยะมาใส่ในถุงพลาสติคโดยมีพี่ยิช่วยเหลือ ให้ใส่ถุงพลาสติคที่ใหญ่ขึ้น

เชนหยิบกล้องถ่ายรูปจากบนเรือมาถ่ายผม นอกจากคำชื่นชมที่เห็นผมเก็บขยะ เขาก็อยากให้ผมส่งรูปในกล้องให้เขาด้วย

พี่ยิเล่าให้ฟังว่า สอนหลักสูตร Divemaster ให้กับฮูลิโอฟรี แต่มีข้อแลกเปลี่ยนให้ฮูลิโอต้องมาช่วยดูแลลูกค้าของแก ซึ่งผมเห็นว่าเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่ดีมาก ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เนื่องจากการเรียนดำน้ำที่ต่างประเทศนั้นมีค่าใช้จ่ายที่สูง ชาวต่างชาติหลายๆคน จึงข้ามน้ำข้ามทะเลมาเรียนดำน้ำในเมืองไทย(ไม่แน่นะ หากในอนาคตผมเกิดอยากเรียนถึงระดับ Divemaster หรือสูงกว่านั้นขึ้นมา ผมอาจจะมาเรียนกับพี่ยิถึงที่นี่ก็ได้นะครับ)

แกเล่าให้ฟังอีกว่า เวลาหาของแล้วชี้ให้ Diver ที่เป็นชาวต่างชาติดู บางคนจะไม่ทราบว่าอะไรหายาก อะไรหาง่าย อย่างเจ้าปลิงทะเล(Sea Cucumber) หลายครั้ง ที่นักดำน้ำชาวต่างชาติ สะกิดให้พี่ยิดูด้วยความแปลกใจ ว่าคืออะไรน่ะ?

ผมเสริมว่า จริงครับพี่ อย่างเวลาดำกับเพื่อนๆ ชาวไทย หากสะกิดสัตว์ทะเลที่พบได้ทั่วๆไป อาจมีเสียงบ่นกันบ้างล่ะ(5555)

พักผ่อนใต้ร่มไม้ โดยมีทิวทัศน์ที่สุดสวยอยู่รอบๆ ซักพักเราเก็บของ ขึ้นเรือหางยาว เพื่อไปจุดดำน้ำต่อไปที่ชื่อว่า เกาะยาง

Friday, May 09, 2008

หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(2)







แดดกำลังแรง เรือค่อยๆ เทียบท่าเกาะตะรุเตา ผมเห็นอ่าวพันเตมะละกา ความรู้สึกบอกว่า เป็นอ่าวที่สวยงามมากครับ

หากนักท่องเที่ยวคนใดไม่ลงที่นี่ เรือเมล์จะวิ่งต่อไปที่เกาะหลีเป๊ะ ส่วนผมมีเวลาน้อย แวะในวันแรกที่มา ดีกว่าขากลับแน่นอนครับ

เนื่องด้วยตะรุเตาเป็นเกาะใหญ่ ทำให้แม้คนจะเยอะแต่ก็ไม่แออัด เท่าที่สังเกตดูเป็นแบบนั้นครับ

ผมจ่ายเงินค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ(หากจ่ายที่นี่ ก็ไม่ต้องจ่ายอีกแล้วครับ) พร้อมฝากของไว้กับเจ้าหน้าที่ เพราะอีกไม่กี่ชั่วโมง ผมก็ต้องกลับมารอที่นี่ เพื่อรอเรือรอบต่อไปจากปากบารา โดยสารต่อไปที่เกาะหลีเป๊ะ(หากพลาดเที่ยวนี้ ไม่แคล้วต้องนอนที่เกาะตะรุเตาแน่ครับ 555)

เดินตรงเข้าไปที่ร้านสวัสดิการของทางอุทยาน หาซื้อน้ำดื่มและขนม เจ้าหน้าที่แนะนำให้ทานมาม่าก็ได้(น้ำร้อนมีพร้อม) เพราะร้านอาหารคนอาจจะเยอะ แล้วผมมีเวลาน้อยด้วย ได้มาม่า ขนมปังไส้สัปปะรด ไมโลและชาเขียวรดน้ำผึ้ง ทำให้พละกำลังกลับมาอีกครั้งครับ

เสียเวลาไม่นาน ผมเดินตรงเข้าไปด้านหลัง เดินตามป้ายเพื่อขึ้น “จุดชมวิวผาโต๊ะปู”

แต่ต้องถามอยู่หลายคนครับ เพราะทางขึ้นจะแอบซ่อนอยู่หลังบ้านพักนี่เอง (มีแต่ป้ายหลบภัยคลื่นยักษ์สึนามิทั้งนั้นเลย)

“ ขึ้นไปตอนนี้ ไม่ร้อนเหรอคะ” เจ้าหน้าที่สาวถาม

“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเวลาน้อยน่ะ เดี๋ยวก็ไปแล้ว”




เส้นทางเดินไม่ยาก ไม่ลาดชันเท่าไร แถมเงียบดีด้วย ระหว่างทางมีลิงออกมาต้อนรับ ที่สำคัญเข้าใกล้ผมมาก คงคิดว่าผมจะมีอะไรให้ทานละมั้ง(เข้าใกล้แบบนี้ ก็โดนถ่ายรูปซะ)

เดินต่อไปจะมีทางเดินคล้ายถ้ำ(เหมือนที่อ่าวไร่เลย์ จ. กระบี่) เดินต่อไปจะมีสะพานไม้ ถึงตอนนี้ ผมเหงื่อท่วมตัว ร้อนจริงๆ แต่จุดหมายที่ผมอยากเห็นอยู่อีกไม่ไกลแล้วนะ

มองเห็นศาลาอยู่ด้านบน ในที่สุดผมก็มาถึงจุดชมวิวผาโต๊ะปู แล้ว

วิวสวยมากครับ เห็นแล้วหายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง(อากาศก็ดีมากด้วย) มองไปด้านล่างเห็นอ่าวพันเตมะละกาเชื่อมกับคลองพันเตมะละกาที่มีป่าชายเลนอยู่ใกล้ๆ เห็นที่ทำการของอุทยานอยู่ด้านล่าง

“เฮ้ย” หัวผมเกือบขมำครับ ระหว่างถ่ายรูป เดินถอยหลัง ผมสะดุดหินก่อนหนึ่ง ที่ตั้งอยู่บนพื้นของศาลา คาดว่าอาจมีความเชื่อหรือต้องเป็นหินที่ศักดิ์สิทธิเพราะมีเศษเหรียญและแบ๊งค์ 20 อยู่ด้านในด้วย(ต้องยกมือไหว้ว่าเราไม่ได้ลบหลู่นะ)

เมื่ออยู่คนเดียว อยากถ่ายรูปตัวเองจะทำอย่างไร นอกจากใช่ท่าเบสิคแล้ว การตั้งเวลาถ่ายก็ถือว่าช่วยได้ดีครับ มีอยู่รูปนึงพอดีมากๆเลย

พักเหนื่อยซักพัก ลงดีกว่า เพราะอยากจะไปถ่ายรูปที่อ่าวพันเตมะละกา ก่อนที่จะเตรียมตัวรอเรือเพื่อไปเกาะหลีเป๊ะ

ขากลับ เร็วกว่าขาขึ้นครับ(ทำไมเป็นแบบนั้น) อาจเป็นเพราะ ทางลงสบายกว่า แถมไม่ต้องหยุดถ่ายรูปเท่าไรด้วย

โชคดีจริงๆครับ เพราะตอนลงมา ผมสวนกับกลุ่มนักท่องเที่ยว(ไม่ต่ำกว่า 20 คน) กำลังเดินขึ้นจุดชมวิว ขืนผมมาช้ากว่านี้ ศาลาด้านบนคงเล็กไปถนัดตา และคงถ่ายรูปลำบากอยู่เหมือนกัน

นักท่องเที่ยวที่สวนทาง หลายคนถามผมว่า อีกไกลไหม ผมยิ้ม ตอบว่า ไม่ไกล และชี้ให้ดูเหงื่อเป็นหลักฐาน ว่าร้อนดีครับ 555

เดินเข้าไปที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ที่นี่มีนิทรรศการด้วยครับ ทั้งประวัติความเป็นมาของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา เต่าสต๊าฟ และจระเข้น้ำเค็มสต๊าฟ(อันนี้ ขนาดมีแต่กระดูกยังน่ากลัวเลยครับ) สมัยก่อนมีคนพบจระเข้ที่ถ้ำจระเข้ สมัยนี้เขาว่าไม่มีแล้ว(คราวหน้าลองไปพิสูจน์กันครับว่ามีจริงหรือเปล่า)

เดินออกมาด้านหน้าจะมีพระบรมราชานุสาวรีย์ ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 อยู่ด้วย ผมสักการะท่าน ก่อนที่จะเดินออกไปถ่ายรูปต่อ

ตั้งกล้องบนโต๊ะที่ทำจากขอนไม้เพื่อถ่ายรูป(ใช้แทนขาตั้งกล้อง ภาพจะได้ไม่สั่นไหว) ไม่นานนัก ผมดิ้นเป็นเจ้าเข้า เพราะมดกัดเต็มขาเลยครับ(ถ้าเป็นน้องมดกัดจะไม่บ่นซักคำเลยล่ะ 555)

ที่อ่าวพันเตมะละกาในเวลานี้ แม้แดดจะร้อน แต่ผมกลับไม่ร้อน(ร้อนไม่กลัว กลัวไม่ร้อนครับ) ตรงกันข้าม กลับเพลิดเพลินซะมากกว่า ชายหาดทอดยาว สีขาว ทรายละเอียดดี ไม่แปลกใจว่า ในปี 2549 เหตุใดหาดนี้ จึงติดอันดับหาดน่าเที่ยวและมีระดับคุณภาพสิ่งแวดล้อมอยู่ในขั้นดีด้วย

ย้อนกลับมาใกล้ๆ ท่าเทียบเรือ เกาะตะรุเตา จะมีคลองพันเตมะละกาที่สวยงามอยู่ด้วย ถ้ามีเวลา พายคายัคเข้าไปด้านในป่าชายเลน คงสนุกไม่น้อยครับ

บริเวณร่องน้ำ ใกล้ๆ ท่าเรือ น้ำสะอาดน่าเล่นแต่ มีป้ายห้ามเล่นน้ำ นั่นเป็นเพราะว่า บริเวณนี้มีร่องน้ำวนนั่นเอง

ผมขอกระเป๋าจากเจ้าหน้าที่คืน รีบเปลี่ยนรองเท้าเป็นร้องเท้าแตะแทน เพราะรองเท้ากัด เจ็บเท้ามากครับ ระหว่างนี้ก็นั่งรอเรือเมล์ จนกระทั่งเรือมาถึง

เห็นคุณลุงถือเบ็ดตกปลาลงมา ท่าจะมาตกปลาเป็นแน่ ทำให้นึกถึงเรื่องที่เคยทราบมาว่า แถวนี้มีการจับสัตว์น้ำได้อย่างเสรี ไม่ผิดกฎหมาย ทำให้ปลาใหญ่ๆ เช่น ปลาหมอทะเล หายไป(เฮ้อ)

คราวหน้า ถ้ามีเวลามากกว่านี้ ผมจะไปที่อ่าวตะโล๊ะวาว เพื่อเข้าไปดู จุดชมประวัติศาสตร์ สถานที่ที่ใช้คุมขังนักโทษ เพราะเคยอ่านในนิตยสาร ATG ว่ากันว่า แถวหาดตะโล๊ะวาว หาดตะโล๊ะอุดัง สวยงามและบรรยากาศดีด้วยครับ

ใครจะว่าอย่างไรผมไม่ทราบ แต่ในความคิดของผม เกาะตะรุเตาไม่ใช่เพียงแค่ทางผ่านอีกต่อไป ที่นี่มีดีกว่าที่เห็นแน่นอนครับ(จุดดำน้ำก็มี เห็นมีคนนั่งเรือออกไป Snorkelครับ ถึงแม้ว่าจะไม่มากเท่าแถวเกาะอาดัง-หลีเป๊ะก็ตาม)

บนเรือ คนเยอะจนหาที่นั่งแทบไม่ได้ สุดท้ายผมได้ที่นั่งบริเวณใกล้ๆด้านหน้าเรือครับ



ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง มองเห็นเกาะหลีเป๊ะและเกาะอาดัง ผมยังสับสนในด้านความคิดอยู่ ใจหนึ่งก็อยากขึ้นเกาะหลีเป๊ะก่อน เพื่อติดต่อการดำน้ำแบบ Scuba อีกใจหนึ่งก็อยากไปเกาะอาดังเพราะกลัวว่า หากมืดแล้วจะกางเต๊นส์ลำบาก รีบไปหาที่พักก่อนน่าจะดีกว่า

มีเรือหางยาว รอรับนักท่องเที่ยวอยู่หลายลำครับ มีทั้งไปเกาะอาดังและเกาะหลีเป๊ะ แน่นอนว่าราคาต่างกัน เพราะระยะทางต่างกันเล็กน้อย หากไปเกาะหลีเป๊ะ เสีย 50 บาท หากนั่งไปเกาะอาดัง จะเสียประมาณ 100 บาท(ข้อมูลจากพี่นาครับ)




ผมเดินลงไปท้ายเรือ ในขณะที่หลายคนหยุดนิ่ง เพราะมากับทัวร์ก็ต้องรอไปพร้อมๆกัน(นี่ล่ะครับ ผมถึงชอบมาเองไง) ในใจก็ยังไม่ทราบว่า ผมจะไปที่ไหนเนี่ย แต่ขาน่ะเดินไปแล้วครับ(เสี่ยงดวง)

ท้ายสุด หวยมาออกที่เกาะหลีเป๊ะครับ บนเรือหางยาว มีชาวต่างชาติกับ Gear Bag ใบใหญ่(ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า ภายในมีศพ เอ้ย มีอุปกรณ์ดำน้ำแน่ๆ เขามาดำน้ำแบบ Scuba ครับ)

ชาวต่างชาติกลุ่มนั้นบอกว่า Go to Pattaya beach แปลเป็นไทยว่า ไปหาดพัทยา(ไม่ต้องแปลก็ได้ เด็กยังแปลได้เลยไอ้น้อง) ส่วน หนุ่มสาวชาวไทย ที่นั่งใกล้ๆผม เป็นคนแถวนี้นี่เอง มาพักที่หลีเป๊ะ รีสอร์ท พอทราบว่า ผมมาคนเดียว ก็แปลกใจกันใหญ่(ไม่ต้องแปลกใจหรอกครับพี่ หากผมเดินทางแบบนี้ แล้วไม่มีความสุข ผมจะมาทำไมล่ะครับ 555)



เรือถึงหาดพัทยา มีคนเดินเล่นเยอะแยะเลยครับ หลังจากจ่ายค่าเรือ เดินไปเจอ เด็กเจ้าถิ่น ผมถามเด็กเจ้าถิ่นว่า

“ติดต่อร้าน Scuba ได้ที่ไหนครับ”

“เดินตรงไป ทางโน้นเลยครับ ตรงธงน่ะ”

ระหว่างที่ผมเดินไป ก็สวนกับชายคนหนึ่ง หน้าตาคุ้นๆ ชายคนนี้มีเอกลักษณ์ที่ผมมีสีขาว นี่มันพี่ขุน นี่หว่า!!!(ผมเจอพี่ขุนครั้งแรก ทริปอันดามันเหนือเมื่อปีใหม่ที่ผ่านมาครับ “ติดตามเรื่อง อันดามันเหนือ...สวรรค์แห่งการดำน้ำ”)

“พี่ขุน มาดำน้ำเหรอครับพี่”

“อ้าวภพ มาทำอะไรที่นี่เนี่ย”

พี่ขุนมาดำน้ำกับเรือ โชคศุลี(เรือที่ผมพึ่งไปมาเมื่อปีใหม่) ตอนนี้คงอยู่ในช่วงเวลาเดินเล่นบนเกาะ ก่อนที่จะลง Night Dive

ผมถามพี่ขุนเกี่ยวกับร้านดำน้ำบนเกาะ ซึ่งได้รับการช่วยเหลือจากเพื่อนพี่ขุนที่เดินมาด้วยกันว่า หากผมต้องการ Leader ที่เป็นคนไทย และราคาไม่แพง มีอยู่หนึ่งที่ คือ Asia Resort เดินทะลุซอยด้านหน้าไปก็จะถึง

ผมขอบคุณเพื่อนพี่ขุนที่ช่วยเหลือ ก่อนจากกัน พี่ขุนบอกว่า อาจจะเจอพี่โอ๋กับพี่นิ้มก็ได้(2 คนนี้ ก็เจอกันบนเรือโชคศุลี เมื่อปีใหม่ครับ) เพราะพึ่งเดินเข้าไปในซอยเมื่อซักครู่




บริเวณธง ที่เด็กคนนั้นแนะนำมา ผมเดินเข้าไปมีร้านดำน้ำอยู่ 1 ร้าน มีหญิงสาวชาวไทยคอยอำนวยความสะดวก เมื่อผมสอมถามรายละเอียด ไม่มี Leader เป็นคนไทย ราคาก็ค่อนข้างแพงด้วย(สาเหตุที่ผมไม่อยากได้ Leader เป็นชาวต่างชาติเพราะ ในบางเรื่องอาจจะสื่อสารไม่เข้าใจ 100 เปอร์เซนต์ ไม่ได้กลัวฝรั่งหรอกครับ)

ของก็หนัก แสงก็เริ่มมืดลง ผมเห็นชาย 2 คน หน้าตาคุ้นๆ

“พี่นิ้ม พี่โอ๋”

“เฮ้ย ภพ มาทำอะไรที่นี่”

แกหาว่าผมบ้าครับ มาFun Dive คนเดียว แต่แกคงไม่ทราบว่า ผมเคยไปมาหลายที่แล้วครับ ไม่ใช่ว่าเก่งอะไรครับ แต่การดำน้ำอย่างเคร่งครัดและปลอดภัยนั้น เป็นเรื่องสำคัญที่สุด(ขอดำแบบธรรมดา ไม่เก่งกาจ แต่ดำได้ยาวนาน ทุกๆปี ไม่มีปัญหา แบบนี้ดีกว่าครับ) อีกอย่างเวลาของแต่ละคนก็ว่างไม่เหมือนกันซะด้วยซิ

ก่อนจากกัน พี่โอ๋ ยังพูดติดตลกว่า ให้ผมขึ้นไปกินข้าวบนเรือด้วยกัน แล้วว่ายน้ำกลับมา(พี่ครับ ผมตายก่อนถึงเกาะแน่ๆ 555)

เส้นทาง มีทางแยกเยอะมาก เริ่มงงแล้วครับ ผมถามชาวบ้านบนเกาะตลอดเส้นทาง ทุกคนมีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ยินดีที่จะช่วยเหลือ

เดินตรงเข้ามา ผ่านต้นมะพร้าวที่สูงใหญ่ ผมมาถึงที่ Asia Resort ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดชาวเลแล้วครับ

ผมเห็น Dive shop อยู่ด้านขวามือ มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่ง นั่งคุยกับชาวไทย หลังจากเดินไปติดต่อที่ Front ให้แน่ใจแล้ว ผมก็กลับมาที่นี่อีกครั้ง

“ที่นี่ มี Leader คนไทยครับ(ก็พี่เองนี่แหละ) ราคาตามนี้เลยน้อง” พี่ยิ หนุ่มมาดเข้ม สไตล์ชาวใต้อธิบาย

“ดีครับพี่ ขอผมวางกระเป๋าก่อนนะครับ” ผมวางสัมภาระ ร่างกายเหงื่อชุ่มไปหมดทั้งตัว

ราคาถูกกว่าที่อื่นตั้งเท่าตัว เพียงแค่แบกแท๊งค์ ไปดำน้ำบนเรือหางยาว สบายมากครับ ผมมีประสบการณ์แบบนี้แล้วด้วย ไม่ได้ลำบากอะไรเลย

พี่ยิแนะนำให้ผม กางเต๊นส์นอนที่นี่ เสียค่าใช้สถานที่และห้องน้ำ 100 บาทให้กับทางรีสอร์ท จะสะดวกมากกว่าที่ผมจะไปนอนที่เกาะอาดัง ไม่ต้องนั่งเรือมาที่นี่ตั้งแต่เช้าด้วย

ผมมองดูสถานที่ก็โอเคครับ อีกอย่างนี่มืดแล้ว ผมก็เหนื่อยจากการเดินทางมาทั้งวัน




พรุ่งนี้ พี่ยินัดผม เวลา 9 โมง ให้มาลองอุปกรณ์ แกจะพาผมไปดำน้ำที่เกาะอาดังและเกาะยาง(ผมบอกพี่ยิว่า ที่ไหนผมก็ไปครับพี่ แถบนี้ผมไม่เคยมาดำเลยน่ะ)

ว่าแล้วเดี๋ยวจะมืดจนมองไม่เห็น ผมไปกางเต๊นส์ก่อนดีกว่าครับ

รอบๆ มีคนอื่นกางเต๊นส์อยู่บ้าง ผมหาที่พอเหมาะ แม้จะกางไม่ค่อยเรียบร้อย(ข้างนึงของเต๊นส์ลอยขึ้นจากพื้น) ผมไม่อยากใช้สมอบกครับ เวลาย้ายจะลำบากแม้จะทำให้เต๊นส์แข็งแรงก็เถอะ อีกอย่าง กระเป๋าใบใหญ่ที่อยู่ในเต๊นส์ก็จะช่วยยึด ไม่ให้เต๊นส์ปลิวได้ครับ

กางเสร็จไม่นาน มีคนเดินมาทักว่า

“กางตรงนี้ ไม่กลัวลูกมะพร้าวตกใส่หัวหรือครับ”

ผมแหงนหน้าไปด้านบน จริงแฮะ ถ้าลูกมะพร้าวตกใส่หัวขึ้นมา ผมคงสลบเหมือด ไม่ได้ดำน้ำแน่ๆเลย (ย้ายที่ดีกว่าครับ)

ดันวางของกระจายทั่วเต๊นส์ เลยต้องหยิบออกมาทั้งหมด ยกเต๊นส์ย้ายไปอยู่อีกที่ซึ่งอยู่ใกล้ๆ แต่ปลอดภัยจากลูกมะพร้าวแน่ๆ 555(ไม่มีไฟฉายแย่แน่ครับ โชคดีเตรียมไฟฉายมา)

อาบน้ำ ชะล้างร่างกาย น้ำเย็น สดชื่น สบายดีจริงๆครับ

ลองโทรหาส้มกับจูนดีกว่า(พวกเธอนอนที่เกาะหลีเป๊ะทั้ง 3 วัน คืนแรกนอนเต๊นส์ อีก 2 คืน นอนรีสอร์ทครับ)

ส้มกับจูนบอกว่า ไกด์บริษัททัวร์จะพาพวกเธอไปเที่ยวที่หาดพัทยา ผมคิดว่าอาจเจอกันก็ได้ ผมจะไปหาข้าวกินแถวนั้นเหมือนกัน ว่าแล้วผมถือไฟฉายเดินตัดออกไปตามทางเดิมที่เดินมาเมื่อซักครู่

โอย งงครับ ผมถามชาวบ้านหลายคน ว่า หาดพัทยาไปทางไหน เพราะหลายครั้งผมเดินหลงเข้าไปในหมู่บ้านของชาวเล แต่คุณป้า คุณลุง ก็ยินดีช่วยเหลือ(คงมีคนเคยหลงแน่ๆครับ)

ซักพักผมก็เดินกลับมาทางเก่า(อย่างกับเขาวงกตเลย 555 ) เรียกว่า เส้นทางนี้ หากใครมาเป็นครั้งแรก แล้วคุ้นเคยในเวลาอันรวดเร็วถือว่าเก่งมากครับ

ระหว่างเดินไปในความมืด นักท่องเที่ยวหลายคนก็มีเพียงกระบอกไฟฉาย ผมได้ยินเสียงหญิงสาว คุ้นๆ ว่าผมรู้จักนะ

“ส้มหรือเปล่าน่ะ”




“อ้าว พี่ป๋อ มาได้ไงเนี่ย(ไม่ใช่ชื่อผมหรอกครับ แต่เธอเห็นว่า ผมผิวคล้ำเหมือน ณัฐวุฒิ สะกิดใจ ผมเลยเรียกเธอว่า พอลล่า เรียกจูนว่า อั้ม 555)”

“ก็เสียงของส้มน่ะ ดังมากเลยล่ะ 555”

ผมต้องกลายร่างเป็นตากล้องให้สองสาว ว่าแต่หิวข้าวจริงๆครับ

ถึงหาดพัทยา ผมขอตัวสองสาวไปทานข้าว พวกเธอบอกว่า อย่ากินให้เยอะมากเพราะเดี๋ยวจะทานโรตีไม่ไหว(พวกเธอชวนกินโรตีต่อครับ แต่ว่า กระเพาะผมใหญ่กว่าคนธรรมดาอยู่แล้ว สบายมาก)

เดินหาซักพัก ผมมาหยุดที่ร้านอาหารของบันดา รีสอร์ท แต่คนเยอะพอสมควร เลยเดินไปถามดีกว่า

“สั่งอาหาร จานเดียว ราดข้าว นานไหมครับ”

“ไม่นานค่ะ”

รอบๆ มีแต่คนมาเป็นครอบครัว ไม่ก็เป็นกลุ่มหนุ่มสาว น่าแปลกว่า คนต่างชาติน้อยกว่าคนไทยแฮะ( จริงๆแล้ว ปกติชาวต่างชาติเยอะครับ แต่พวกเขาทราบว่า ช่วงเทศกาล คนจะมาเที่ยวเยอะ เลยขึ้นไปอยู่บนฝั่งกัน แล้วจะกลับมาใหม่ช่วงหมดเทศกาล)

ไม่นานนัก น้ำแตงโมปั่น กระเพราทะเลราดข้าว และกุ้งผัดน้ำพริกเผาราดข้าว ก็มาอยู่ด้านหน้าผม

“เอ้า มาถูกได้ไงเนี่ย” ผมแปลกใจเมื่อเห็นส้มกับจูน

“ก็เดินมา รู้ว่าต้องอยู่ร้านนี้แน่ๆ” พวกเธอตอบ

ไม่นานนัก ผมก็อิ่มหนำสำราญ เราไปที่ร้านโรตีต่อกันเลยดีกว่า

“ซ่า เสียงนักท่องเที่ยวเปียกน้ำ”

เราเดินผ่านบาร์แห่งหนึ่ง(อยู่หัวมุมของซอยที่ทะลุไปหาดพัทยา) นักท่องเที่ยวหลายคน รวมทั้งผม ส้มและจูน เปียกเพราะน้ำที่ชาวต่างชาติราดลงมาพร้อมเสียงเฮฮา

ผมหงุดหงิดเล็กน้อย โชคดีว่ากล้องของจูนมีฝาเลนซ์ปิด ส่วนของผมมีกระเป๋าป้องกันไว้

เมื่อผมเห็นนักท่องเที่ยวชาวไทยกลุ่มหนึ่ง มีกล้อง SLR ผมรีบบอกเรื่องดังกล่าวเพราะเป็นห่วงว่ากล้องราคาแพงๆ อาจจะพังได้ง่ายๆ ซึ่งพวกเขาก็ขอบคุณผมมาก เดินกลับไปอีกทางเลยครับ




เราแวะซื้อ Post card ผมจำได้ว่าก่อนมาจูน(Diarycs)อยากให้ส่งไปให้ และมีรุ่นน้องที่เคยส่งมาให้ผมด้วย อืม หาซื้อส่งหน่อยดีกว่า

เจ้าของร้านมีพี่สาวคนสวย กับชายผิวเข้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส เป็นกันเองมากครับ ผมเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเหตุการณ์สาดน้ำเมื่อซักครู่

“อ๋อ บาร์ตรงนั้นใช่ไหม สงกรานต์ มีทุกปีล่ะคะ ฝรั่งเขาเล่นสงกรานต์กัน”

ผมสงสัยว่า เคยมีคนขึ้นไปต่อยกับฝรั่งไหมเนี่ย ได้รับคำตอบว่าส่วนใหญ่คนโดนสาดก็จะไม่ว่าอะไร อย่างมากสุดแค่ถามว่า เอาน้ำอะไรมาสาดเท่านั้น

พอนึกว่า ถือว่าสนุกในช่วงสงกรานต์ ก็ทำให้พอให้อภัยกันได้ครับ 555(ผมว่า อาจมีใครเลือดร้อนก็ได้นะ เอาเป็นว่า ใครไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะช่วงสงกรานต์ ถ้าไม่อยากเปียก ระวังจุดนั้นไว้ให้ดีนะครับ)

ผมยังไม่มีอารมณ์เขียน Post card กะว่า กลับไปถึงที่พักค่อยเขียน วันรุ่งขึ้นค่อยมาส่งก็ได้(ที่ร้าน มีแสตมป์ขายและสามารถส่งได้ที่นี่ครับ นอกจากนี้ยังมีกาแฟและ internet บริการด้วย)

ที่ร้านโรตี คนเยอะจริงๆครับ แต่ด้านในยังเหลือที่นั่งอยู่ แต่ละคนที่มากินโรตี เขาคัดหน้าตากันมาหรือเปล่า ทำไมถึงหน้าตาดีกันทั้งนั้นเลยล่ะ (โอ้ แม่เจ้า สวยๆทั้งนั้น)

สิ่งหนึ่งที่ผมสะดุดตา คือ ลูกสาวร้านนี้ หน้าใส ผิวขาว ดูน่ารักดีครับ ผมคิดในใจว่า คนมากินที่ร้านเยอะแบบนี้ ต้องมีโดนแซวกันบ้างล่ะนะ

ระหว่างรอโรตีมา ผมเดินไปซื้อ Post card เพิ่มให้จูน แวะร้านขายของชำชื่อว่า “Poo beach shop” เพื่อซื้อน้ำดื่มและสบู่(เมื่อซักครู่ อาบน้ำแล้วทำตกไปครับ ซื้อใหม่เลยดีกว่านะ)

ดื่มน้ำเปล่าจนอิ่มครับ พอโรตีมาเลยกินได้เล็กน้อย บวกน้ำผลไม้(น้ำส้ม) วันนี้อากาศร้อน ผมได้ดื่มน้ำน้อยด้วยเลยกระหายอย่างมาก

ใกล้ๆ มีกลุ่มไกด์ท่องเที่ยว กลุ่มหนึ่ง ผมได้ขอร้องให้พวกเขาถ่ายรูปให้เราด้วย

ระหว่างทางเดินกลับ ทางยังคงมืดเหมือนเดิม(ใครไปเที่ยวเกาะหลีเป๊ะ อย่าลืมพกไฟฉายไปด้วยนะ ได้ใช้แน่ๆ) ผมว่าถ้าผมอยู่ซัก 1 อาทิตย์ จะไม่หลง และจำทางได้อย่างแน่นอนครับ

หลังจากส่งสองสาวเข้าที่พักเรียบร้อย(พวกเธอพักที่อันดามันรีสอร์ทครับ ใกล้ๆ เอเชีย รีสอร์ท นั่นแหละ) ระหว่างทางต้องระวังให้ดีครับ เพราะหลายคนก็นอนกันริมหาด ผมว่าเย็นสบายดีนะ ยุงก็ไม่มี (ถ้าไม่กลัวของหายกับฝนตกนะครับ)

ทำไมวันนี้ไม่มีลมเลยหนอ พูดจบเท่านั้นล่ะครับ ลมพัดมาทันที น่าอัศจรรย์ดีแท้

ว่าจะไปดูบอลครับ(แมนยู เจอกับ อาร์เซนอล) แต่เปลี่ยนใจ นั่งเขียน Post card ดีกว่า

ฝนทำท่าจะตกครับ ผมย้ายผ้าที่ตากไว้เข้าเต๊นส์ ไม่นานนักมีคนมาถามว่า เมื่อซักครู่มีใครเอาผ้ามาตากไว้ตรงนี้

“ผมเองครับพี่”

“นั่นไม่ใช่ที่ตาก นั่นสายไฟนะน้อง”

อะ จึ๋ย!!! ผมคิดในใจ โชคดีนะเนี่ย ที่ผมไม่ถูกไฟช๊อต

ไม่นานนัก ฝนก็ตก แน่นอนว่า คนที่นอนข้างนอกลำบากแน่ๆ แต่คนที่นอนด้านในอย่างผมก็ใช่ว่าจะสบายครับ เพราะมีน้ำสาดเข้ามาในเต๊นส์บ้าง แต่ผมก็ไม่สนครับ เปียกที่เท้า ยังดีกว่าเปียกที่หัว นอนซักพักเดี๋ยวก็เช้าแล้ว รีบพักผ่อนดีกว่านะ

Thursday, May 08, 2008

หมู่เกาะตะรุเตา.....กับวันมหัศจรรย์ของผม(1)







หากพูดถึงอุทยานแห่งชาติทางทะเลแล้ว ทุกท่านทราบหรือไม่ครับ ว่าสถานที่ใดเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลอันดับแรกของเมืองไทย

ชื่อเรื่องก็บอกอยู่แล้ว ใช่ครับ ที่นั่นคือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตานั่นเอง

อันว่า ประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสถานที่นี้นั้น ยาวนานมาก ทุกท่านทราบกันดีกว่า สถานที่แห่งนี้ เคยเป็นที่คุมขังนักโทษ



ขึ้นชื่อว่า “หมู่เกาะ” ก็ย่อมมีหลายเกาะประกอบกัน นอกจากเกาะตะรุเตาที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการค้างแรมแล้ว ห่างออกไป เกาะอาดังและเกาะหลีเป๊ะ ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับนักท่องเที่ยวครับ

สำหรับแหล่งดำน้ำแถบนี้ ผมไม่เคยมาเยือนเลยซักครั้ง(ไม่ว่าจะเป็นการดำน้ำแบบผิวน้ำและการดำน้ำแบบScuba ) เคยได้แต่ยินชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ว่าจะเป็น ปะการังอ่อนน้ำตื้นที่ร่องน้ำจาบัง ความมหัศจรรย์ของเกาะไข่ เกาะหินงามและเกาะหินซ้อน หรือไกลออกไป ก็ยังมีกองหินแปดไมล์(หรือกองหินสคูบ้าเน็ต) ที่เคยมีคนพบฝูงกระเบนปีศาจอยู่ด้วย

ก่อนถึงวันสงกรานต์เพียงไม่กี่วัน ผมพึ่งวางแผนการดำน้ำที่อันดามันใต้(ด้วยภาระหน้าที่ทำให้ผมไม่สามารถวางแผนการเดินทางล่วงหน้านานๆเหมือนที่เคยทำได้อีกต่อไป) จึงโทรหาพี่ป้อม(Instructor) ซึ่งเรือก็มีที่ว่างครับ

แต่แล้วผมก็ต้องเปลี่ยนแผนกระทันหันเพราะคุณพ่อจะกลับถึงบ้าน 5 ทุ่มกว่าๆ ในวันศุกร์ หากผมเดินทางก็จะไม่มีใครอยู่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่ ซึ่งถ้าผมเดินทางไป ก็คงเป็นการเดินทางที่ไม่มีความสุขนัก

การแบกเป้ไปนอนบนเกาะ สำรวจเกาะ ดำน้ำแบบ Snorkel และ Scuba เป็นอีก 1 ทางเลือกที่น่าสนใจไม่แพ้กัน ผมสามารถเดินทางในเย็นวันเสาร์ได้

จริงอยู่ ถึงแม้ว่าจะได้ดำน้ำไม่มากเท่ากับนอนบนเรือ Liveaboard แต่การได้นอนบนเกาะ เดินขึ้นจุดชมวิว ได้ใกล้ชิดกับชาวเกาะ ได้พบปะกับนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง เป็นสิ่งที่บนเรือไม่มี(จึงถือว่า ดีคนละแบบครับ ได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง พี่ป้อม อัสนีและพี่วสันต์ โชติกุล เขาร้องเพลงนี้ไว้ได้ดีเลยล่ะ)

สำหรับตั๋วรถทัวร์ เส้นยาแดงผ่าแปดจริงๆ ผมโชคดีมากครับที่ยังมีตั๋วอยู่ แม้เป็นรถเสริมแต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ไปแล้วกัน 555

ก่อนเดินทาง ผมหาข้อมูลทั้งใน Internet และในหนังสือท่องเที่ยวที่ซื้อมา เพราะถือว่ายังใหม่มาก ข้อมูลสำหรับสถานที่เที่ยวที่เคยทราบก็เพียงแค่ผิวเผิน การศึกษาข้อมูลไว้ก่อนเดินทาง ทำให้ผมเดินทางได้อย่างสะดวกและปลอดภัยมาหลายครั้ง

เมื่อได้รับความช่วยเหลือจากพี่นา(เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา) ที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาออกเรือ โปรแกรมการดำน้ำบนเกาะ เป็นต้น ทำให้ผมได้รับความสะดวกมากยิ่งขึ้น(นอกจากนี้ก็ยังได้ข้อมูลจากผู้ที่เคยไปมาแล้วอย่าง พร(Pornsarin) , แอม(Isamm) , พี่ป้อม(inspace) พี่หมอหมู(suriyanun) และพี่นาตาลี(จากเว็บทะเลไทย คุณหมอจาก จ. ราชบุรี)

ขาดแต่ข้อมูลการดำน้ำแบบ Scuba เท่านั้น(Fun Dive) ที่มีก็น้อยมาก ข้อมูลเก่าก็ไม่สามารถใช้ได้แล้ว(บางสถานที่ที่เคยมี Fun Dive ปัจจุบันก็เลิกทำไปหลายที่แล้วครับ)

แต่ผมคิดว่าจะไปสอบถามเมื่อไปถึงที่เกาะหลีเป๊ะ คงไม่ยากเกินความสามารถ

หัวใจผมเต้นเป็นจังหวะ จินตนาการนึกถึงภาพเกาะ น้ำทะเลใสๆ เสียงเรือหางยาว หาดทรายที่แสนละเอียด จุดชมวิว รอยยิ้มของชาวบ้านและใต้ทะเลที่มีความงดงาม

นึกแล้ว ตื่นเต้นและน่าท้าทายมาก ว่าจะมีอะไรรอผมอยู่บ้างนะ

หากพร้อมแล้ว ก็แบกเป้แบบชาวแบคแพค แล้วไปกับผมได้เลยครับ




12 เมษายน 2551

ผมนำของใช้ที่จำเป็นมาวางกองรวมๆกันไว้ ส่วนใหญ่เป็นของใช้ที่เตรียมไปทุกครั้งเวลาดำน้ำ เช่น หนังสือสัตว์ทะเล , ชุด Wetsuit, หน้ากากดำน้ำและท่อหายใจ เป็นต้น

แต่คราวนี้ ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่า ผมจะมีที่นอนหรือไม่ จึงต้องเตรียมซื้อ Tent ไปด้วย หากมีปัญหาผมจะได้กางนอนได้อย่างทันท่วงที ซึ่งผมเล็งไว้แล้วครับ ที่ Lotus แถวบ้าน ราคาไม่แพงด้วย

เมื่อซื้อมาแล้ว ผมหัดกางในบ้าน ขืนไม่ลองหัดกาง เมื่อไปถึง กางไม่เป็นขึ้นมา ขายหน้าไหมล่ะนั้น 5555(มีคุณแม่คอยช่วยด้วยครับ)

เมื่อลองทดสอบเข้าไปนอน พอดีหัวผมเลยครับ ต้องนอนตะแคงจึงพอที่จะสบายขึ้น(เต๊นส์สำหรับ 2 คนครับ แต่พอผมนอนกลับได้แค่คนเดียว เต๊นส์เล็กไปถนัดตาแต่ก็ยังดีกว่าเต๊นส์ตอนไปรักษาดินแดนก็แล้วกัน555)

คุณแม่ให้ถุงผ้าสำหรับใส่เต๊นส์มาครับ สามารถสะพายใส่หลังได้ด้วย ดูๆไปเหมือนบ้องกัญชาเปี๊ยบแต่ยังไงก็เพิ่มความสะดวกขึ้นเยอะเลย เอ้า เมื่อของครบก็รีบยัดใส่กระเป๋ากันเลย!!!

รถออกเวลา 19.30 น. แต่ผมรีบมาก่อนเวลาครับ ป้องกันรถติด มีคุณพ่อกับคุณแม่มาส่งด้วย ที่สายใต้ใหม่ในเวลานี้ คนมากจริงๆ แต่ปรับปรุงใหม่ดีมาก ไม่ต่างกับห้างสรรพสินค้าเลย

ผมพาคุณพ่อและคุณแม่เยี่ยมชมสายใต้ใหม่ ที่นี่มีที่จอดรถอย่างกว้างขวาง เมื่อผ่านชั้นบันไดเลื่อนขึ้นมา จะเห็น KFC อยู่ทางซ้ายมือ ด้านหน้าเป็นห้องน้ำ กลับหลังหันจะเป็นสถานที่ที่ขายตั๋วรถ เดินต่อไปเรื่อยๆ จะมีทางออกไปชานชะลา(แต่จะออกไปได้เฉพาะผู้มีบัตรโดยสารนะครับ)

ด้านบนอีกชั้นหนึ่ง จะมี Food Court สำหรับขายอาหาร ซึ่งมีให้เลือกเยอะเลยครับ โดยรวมแล้วการย้ายจากที่เก่ามาอยู่ที่ใหม่ แม้จะไกลกว่าเดิมบ้าง อาจทำให้แถวนี้รถติดขึ้นบ้าง แต่คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศมืดมิดเหมือนที่เดิม ไม่มีอีกต่อไปแล้ว

มองไปไหนตอนนี้ก็มีแต่ คน คน และก็คนครับ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่นั่ง เพราะนั่งกับพื้นก็ได้(เหมือนห้างสรรพสินค้าน่ะครับ)

ถึงตอนนี้ ผมให้คุณแม่กลับดีกว่า คนเยอะแบบนี้ เชื้อโรคก็มาก คุณแม่ยิ่งไม่ค่อยจะแข็งแรงอยู่ด้วย อาจติดเชื้อเมื่อไรก็ได้

ผมแบกของจากรถคุณพ่อ มาหาจูนกับส้ม สองสาวที่ร้าน KFC (จะว่าโลกกลม บังเอิญหรือบุพเพสันนิวาสก็ไม่อาจทราบได้ หากใครติดตามเรื่อง “เกาะสุรินทร์....สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล” ก็จะจำสองสาวนี้ได้ครับ ปีใหม่ 2550 ผมเจอพวกเธอที่นั่น หลังจากนั้นปีใหม่ที่ผ่านมา ผมไปดำน้ำบนเรือ Liveaboard ที่สิมิลัน พวกเธอก็ไปที่สิมิลันเหมือนกันครับ เดินทางวันเดียวกัน แต่ขึ้นเกาะคนละเวลาเลยไม่ได้พบกัน พอมาสงกรานต์นี้ ก็เดินทางวันเดียวกัน แถมยังไปหมู่เกาะตะรุเตาเหมือนกันโดยไม่ได้นัดหมายซะด้วย แต่คงเจอกันไม่บ่อยเพราะหมู่เกาะตะรุเตามีหลายเกาะ ผมไปแบบแบคแพคคนเดียว พวกเธอไปแบบแพคเกจทัวร์ คงยากที่จะได้เจอบ่อยๆครับ)

ที่ KFC คนมากจริงๆครับ สองสาวกำลังโซ้ยไก่ทอดอยู่ ผมขอดูโปรแกรมแพคเกจทัวร์ของเธอ ซึ่งก็ไม่เลวครับ พาไปเที่ยวเยอะดี ภายในเวลาที่จำกัด

สองสาว รถออกเวลา 18.20 น. ผมไปส่งพวกเธอขึ้นรถ ก่อนหน้านั้นก็ถ่ายรูปด้วยกันและช่วยพวกเธอเฝ้าของเวลาไปห้องน้ำด้วย(ต้องร้องเพลง ยอมเป็นลิ่วล้อครับ 5555)

จากนั้น ผมขึ้นไปชั้นบน หาข้าวเย็นทานดีกว่า หาที่นั่งยากมากๆครับ เดินมาหลายที่ถึงเจอ ไม่นานนักข้าวมันไก่ทอดก็ไหลลงคอ ไปนอนสงบนิ่งในท้องของผมเรียบร้อยภายในเวลาไม่กี่นาที(เฮ้ย กินหรือกลืนครับท่าน 55
ไม่อยู่นานครับ หลายคนกำลังมองหาที่ว่าง(ของพอส) ผมสละที่นั่งให้ครอบครัวหนึ่ง ซึ่งพวกเขายิ้มแย้มและขอบคุณผมด้วย

หาที่นั่งกับพื้นรอซักพัก 1 ทุ่มตรง ผมไปหารถดีกว่า มาที่ชานชะลา(น่าจะ 64 ครับ) เป็นของบริษัททรัพย์ไพศาล แต่รถของผมไม่ใช่คันนี้ครับ เมื่อเจ้าหน้าที่ดูตั๋วของผม ก็ชี้ไปด้านหลัง

“คันสีเขียว ด้านหลังโน้นครับ ขึ้นได้เลย”

แน่ล่ะครับ เมื่อซื้อตั๋วช้าก็ต้องเป็นรถเสริม(ลักษณะเหมือนรถรับจ้างทั่วไป เวลาที่ทำงานพาไปดูงานหรือเหมานักเรียนไปทัศนศึกษา แบบนั้นเลยครับ)

ข้อสำคัญที่ต้องจำให้ดี คือ รถเสริมแม้จะจ่ายในราคาที่เท่ากับหรือแพงกว่าตั๋วที่ซื้อของบริษัททั่วๆไป แต่รถเสริมไม่มีขนม เครื่องดื่ม และอาหารให้บริการนะครับ หากอยากทานก็ต้องซื้อเอง(ถ้าเป็นตั๋วที่ซื้อทันเวลา เวลาแวะทานข้าว จะเป็นบริการฟรีครับ ส่วนน้ำดื่มกับขนมจะมีแจกบนรถ)

ในตอนแรก ผมจะนำกระเป๋ามาวางไว้ที่ขาเหมือนเคย ไม่วางไว้ใต้ท้องรถเพราะไม่อยากให้อุปกรณ์ดำน้ำร้อน แต่คราวนี้วางไม่ได้ครับกระเป๋าใบใหญ่มากๆ เลยต้องจำยอมไว้ด้านล่าง แต่พึ่งนึกขึ้นได้ว่า กล้องถ่ายรูปอยู่ด้านล่างนี่นา!!

มองไปทางไหนบนรถ ผมไม่เห็นว่าจะมีใครเหมือนนักท่องเที่ยวเลยครับ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่กลับภูมิลำเนาช่วงสงกรานต์ทั้งนั้น(สงสัยนักท่องเที่ยวคนอื่น คงไม่มีใครมาซื้อตั๋วแบบผมละมั้ง น้อยคนที่จะได้รถเสริม)

พอรถแวะปั้มน้ำมัน ผมรีบขอพนักงานที่รถ หยิบกล้องออกมา โชคดีว่ากระเป๋าของผมไม่ได้อยู่ลึกมากจึงหยิบไม่ยากนัก

ในรถเปิดหนังเรื่องอะไรก็ไม่ทราบ แต่ทราบว่า Stone Cold นักมวยปล้ำชื่อดัง แสดงนำครับ แต่ผมง่วงเหลือเกิน ถึงจะยิงกันเปรี้ยงปร๊างก็ขอหลับก่อนล่ะ(แบบวอก ใน “เป็นต่อ” ที่แกล้งตายครับ 555)

รถแวะพักทานข้าว(น่าจะแถว จ. ประจวบคีรีขันธ์ ครับ) ผมไม่ได้ซื้ออะไรทาน ว่าแล้วก็นอนต่อดีกว่า



13 เมษายน 2551

ตื่นมาอีกที ช่วงตี 3 ครับ มองไม่เห็นอะไรเลย จึงนอนต่อ พอเริ่มมีแสงสว่าง (6 โมง กว่า) ผมอยู่ที่ อ. ทุ่งสง จ. นครศรีธรรมราชครับ ตกใจเล็กน้อย ว่าผมนั่งผิดคันหรือเปล่าเนี่ย แล้วเมื่อไรจะถึงล่ะครับ จากนั้น รถทัวร์เข้ามาที่ อ. รัษฎา ต่อด้วย อ. ห้วยยอด จ. ตรัง (โล่งอก) จากนั้นรถเข้ามาจอดส่งผู้โดยสารที่ สถานีขนส่ง จ. ตรัง(น่าจะ อ. เมืองนะครับ) ผ่าน โรงเรียนของจูน(Diarycs) ด้วย จำได้ว่าเธอจบมาจากโรงเรียนนี้นะ

รถต่อไปที่ อ. ย่านตาขาว อ. ปะเหลียน จ. ตรัง ระหว่างทางนี้มีต้นไม้สวยดีครับ มองเห็นเทือกเขาอยู่ไกลๆ(น่าจะเป็นเทือกเขาบรรทัดนะ) วิ่งมาเรื่อยๆ เห็นภูเขาหินปูน นึกถึง จ. กระบี่ เป็นที่แรกเลยครับ

ผมโทรหาพี่นา(สอบถามเกี่ยวกับเที่ยวเรือ) เพราะนับดู เวลาก็ใกล้ 10.30 น. แล้ว(เวลาเรือเมล์ออก) แต่ผมยังไม่ถึง อ. ละงู จ. สตูลเลย หากผมพลาดเรือเที่ยวนี้ ไปเรือเที่ยวบ่าย ผมอาจพลาดที่จะขึ้นเกาะตะรุเตาก็ได้(แผนก็พังทลายนะซิ ไม่นะ ไม่นะ)

พี่นาบอกว่า หากถึง อ. ปะเหลียน อีกไม่นาน ก็จะถึง อ. ละงู แล้ว ผมเดินไปบอก พี่คนขับและพนักงานว่า หากถึง อ. ละงู ให้ช่วยกรุณาบอกผมด้วย

ข้างทาง มีป้ายค่อนข้างตลกครับ แต่เตือนใจนักขับได้ดี เพราะเขียนด้วยตัวหนังสือสีแดงว่า “ลดความเร็ว(เดี๋ยวนี้)” หากใครไม่ลดก็เตรียมตัวไปพบกับยมบาลได้เลยเพราะทางโค้งอยู่ด้านหน้าท่าน

จากนั้น ป้ายเขียนว่า อีก 15 กิโลเมตร ถึง อ. ละงู ทำให้ผมใจชื้นยิ่งขึ้น

ถึงที่หมายซะที ใช้เวลา ประมาณ 15 ชั่วโมง เป็นการนั่งรถทัวร์ที่ไกลที่สุดของผมแล้วครับ( 900 กว่ากิโล) แต่เพราะเดินทางเวลากลางคืน การนอนหลับเลยช่วยทำให้ช่วงเวลาสั้นลงเยอะ

ผมยังไม่ได้ซื้อตั๋วกลับ เลยต้องเดินหาซื้อ ก่อนไปที่ ท่าเรือปากบารา(ขณะนั้น จะ 10 โมงครึ่งแล้วครับ) จึงเป็นบทเรียนให้ผมทราบว่า คราวหลังจะมาเที่ยว 19.30 น. ไม่ได้ ต้องช่วง 6 โมงกว่าๆเท่านั้น แต่ผมก็ยังมีความหวังครับ สอบถามชาวบ้านแถวนั้น หาซื้อตั๋วรถให้เร็วที่สุด

ตั๋วของบริษัท ทรัพย์ไพศาล เต็มครับ ต้องเดินย้อนกลับมาที่บริษัทขนส่ง(น่าจะตั้งใกล้ๆกันนะ ของก็หนัก) โชคดีว่า บริษัทขนส่ง มีตั๋วครับ แต่เป็นรถเสริม(ไม่บ่นหรอกครับ มีกลับก็ดีแล้ว) ซึ่งออกเวลา 16.30 น.(ผมเลือกเที่ยวสุดท้ายครับ)

โทรหาพี่นา เธอบอกว่า ยังมีเรือรอบ 11 โมง ให้ผมรีบมา(โอ้ เสียงสวรรค์) ผมโบกรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างทันที เพื่อความรวดเร็วในการเดินทาง(ขอตั้งชื่อว่า มอเตอร์ไซด์กู้ชีพครับ)

“พี่ครับ ไปท่าเรือปากบาราเท่าไรครับ” ผมถาม

“ 60 บาท ครับ” พี่มอเตอร์ไซด์ตอบ

เท่าไรก็คงต้องไปครับ เพราะจากตรงนี้ จะไปหารถโดยสารไปปากบารา ต้องเดินอีกพอสมควร ผมใช้มือจับหมวกกันหมวกปลิว อากาศก็ร้อนมีลมพัดมาตลอดแต่ทำไมรู้สึกว่าดีจัง(บ้าหรือเปล่า)

ผมผ่านหาดปากบารา มีสถานที่สำหรับให้ประชาชนพักผ่อน ออกกำลัง ถ้าได้วิ่งเล่นแถวนี้ทุกเย็น ผมคงมีความสุขมาก

ถึงที่หมายแล้วครับ ผมโทรติดต่อพี่นา เดินเข้าไปด้านใน พบสตรีคนหนึ่ง แต่งชุดแบบชาวใต้ เธอมีสีหน้ายิ้มแย้ม

“มาจนได้นะ พี่ซื้อตั๋วเรือให้เราแล้ว” พี่นาบอก

ผมควักเงิน พักเหนื่อยเล็กน้อย เหลือบเห็นหนังสือเดินทางของอุทยานแห่งชาติ จึงซื้อมาด้วย หลายๆที่ผมไปมาแล้ว แต่ไม่ได้ประทับตรา(แน่นอนว่า มีแต่อุทยานแห่งชาติทางทะเล) ต่อไปนี้คงเริ่มต้นใหม่ครับ

ตั๋วเรือเมล์ ราคาพึ่งจะลดลงก่อนผมมาไม่นาน(อะไรจะโชคดีปานนั้น) สนนราคา 800บาท(รวมไป-กลับแล้ว) ตั๋วจะมีอยู่หลายส่วน อ่านดูจะเข้าใจครับ สามารถแวะที่เกาะตะรุเตาแล้วค่อยไปเกาะหลีเป๊ะ หรือใครจะกลับมาแวะเกาะตะรุเตาตอนขากลับก็ไม่ว่ากัน

ทราบจากพี่นาว่า เต๊นส์ของอุทยานที่เกาะอาดังเต็มแล้ว คราวนี้ผมได้ใช้เต๊นส์ที่แบกมาแล้วครับ แต่ยังไม่แน่ว่า ในคืนแรกผมจะไปนอนที่ไหนก่อน ระหว่างเกาะหลีเป๊ะหรือเกาะอาดัง

ถ่ายรูปผู้มีพระคุณแล้ว รอบๆ มีนักท่องเที่ยวเยอะเลยครับ ส่วนใหญ่มาเป็นกลุ่มและครอบครัว สาวๆก็มีเพียบ แต่ละคนมองผมแปลกๆ ผมคิดว่าอาจเป็นเพราะกระเป๋าใบใหญ่ และมาคนเดียวแบบนี้ ก็คงเป็นจุดสังเกตได้ครับ(หรือผมคงหล่อกระชากใจล่ะมั้ง เอ้า เอาเข้าไป หลงตัวเองจริงๆ ไอ้นี่ 555)

“ขึ้นเรือเร็ว เรือจะออกแล้วน้อง ทางโน้นเลย” พี่นาบอก

“ได้ครับพี่” ผมยกมือไหว้ขอบคุณพี่นา ก่อนจะรีบเดินออกไป



“แวะตะรุเตาก่อนใช่ไหมครับ” ผมถามเจ้าหน้าที่

“ใช่ครับ เอาของหนักๆ ขึ้นก่อนเลยน้อง” เขาตอบ

เรือเมล์รอบที่ผมนั่ง คนไม่เยอะมากนัก ผมหาที่นั่ง ส่วนท้องทั้งหิวและกระหายเพราะนอกจากน้ำดื่มที่ดื่มหมดไปแล้วเมื่อเช้า ผมยังไม่ได้ทานอะไรเลย ไม่มีเวลาแม้แต่จะซื้อของ(ต้องรีบเร่งและไม่อยากให้โปรแกรมแวะตะรุเตาเสียไปครับ)

รอบๆ มีป่าชายเลนดูสวยงามดี ส่วนบนเรือมีแต่คนไทยครับ ส่วนใหญ่มาเป็นครอบครัว ใกล้ๆผมมีสี่สาวมาเที่ยว หนึ่งในนั้น ใจดีบอกให้ผมเขยิบมาด้านใน เพราะแดดที่แรงมากนั่นเอง(ส่วนอีกคนเซ็กซี่มากครับ แต่งตัวดี เข้าตำรา ขาว สวย หมวย เอ๊กซ์ เลยล่ะ 55)

เจ้าเด็กน้อย สวมชูชีพมานั่งใกล้ๆผมครับ ผมเรียกให้เขยิบมาด้านในเพราะตากแดดเดี๋ยวจะไม่สบาย ไม่นานนักโดนคุณพ่อเรียกกลับไปนั่งที่เดิม

“นั่งตรงนั้น รู้จักใครบ้าง”

ดุจังเว้ย(ผมคิดในใจ) แต่นั่นแหละ พ่อลูกก็ต้องห่วงกัน เป็นของธรรมดาครับ

ระหว่างทางไปเกาะตะรุเตา มีทิวเขาหินปูนหลายแบบ ดูสวยดี น้ำทะเลสีเขียวเข้ม นิ่ง เหมาะแก่การท่องเที่ยวจริงๆครับ

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ผมมองเห็นอ่าวด้านหน้า น่าจะใช่อ่าวพันเตมะละกาแน่ๆ ครับ

Monday, May 05, 2008

เรื่องของศีรษะ(แตก)


หลายๆท่าน ปกติก็จะตื่นเองโดยอัตโนมัติ บ้างก็ใช้นาฬิกาปลุก บ้างก็ให้เพื่อนหรือแฟนโทรมาปลุก ก็ว่ากันไป


เมื่อเช้านี้ ผมได้ยินเสียงปลุกที่ดังมาก เสียงปลุกนี้เคาะที่ศีรษะ มีความเจ็บปวดและมีน้ำที่เรียกว่า “โลหิต” ไหลออกมาซะด้วย


เมื่อคืนก่อน ผมนำปลั๊กสามตามาใช้ตามปกติ ปลั๊กนี้มีความหนักและมีโครงสร้างเป็นเหล็ก(ลักษณะเหมือนปลั๊กเสียบคอมพิวเตอร์ รูปร่างเรียวและยาว)


ต้องอธิบายว่า ผมนอนกับพื้นพรมโดยมีฝูกปูอีกทีหนึ่ง ด้านบนศีรษะจะมีชั้นเล็กๆ ที่มีเสื้อผ้าวางอยู่ แล้วผมดันเอาปลั๊กสามตาที่ว่า วางอยู่บนเสื้อผ้าเสียด้วย


ผลก็คือ ปลั๊กสามตานั้น ตกลงมาถูกที่ศีรษะผมครับ ดังโป๊กที่หน้าผากขวา ตาสว่างทันที หลังจากที่ลูบในจุดที่รู้สึกเจ็บปวด ก็มีน้ำอุ่นๆไหลออกมา


พอไปดูในที่สว่าง กลิ่นคาวๆ แบบนี้ สีแบบนี้ “เลือดออกด้วยนี่หว่า”


โชคดีว่าแผลไม่ใหญ่มากครับ แต่จนถึงปัจจุบันนี้ ก็หลายชั่วโมงอยู่ เลือดยังไม่หยุดสนิทเสียที อาจจะต้องไปเย็บแผลก็ได้ ถ้ายังไม่หยุด


เป็นอุทาหรณ์ว่า อย่าประมาท ความซวยไม่เข้าใครออกใคร คิดในแง่ดี ผมอาจจะโดนหนักกว่านี้ก็ได้ ถ้าไม่ถูกฟาดที่หน้าผาก ดอกนี้เสียก่อน เรียกว่า ฟาดเคราะห์กันไปครับ


แต่ในแง่ร้าย ผมต้องหยุดเล่นบาสเกตบอลไปก่อน ทั้งๆที่เล่นติดต่อกันมาแล้ว 2 วัน(แหม กำลังสนุกเลย) ไม่เป็นไรครับ สัปดาห์หน้าค่อยว่ากันใหม่ รักษาแผลก่อนดีกว่า


แล้วท่านผู้อ่าน เคยมีเรื่องราวที่โชคไม่ดีแบบนี้ บ้างไหมครับ เล่าให้ผมฟังได้นะ