Thursday, January 24, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(7)

http://www.underwater.com.au/
http://www.isegretidelmare.it/




Dive 14 ทักทาย ปลาลูกดอกหน้าม่วง!!!



บางจุดค่อนข้างปวดหูครับ ผมตีขาขึ้นไปเล็กน้อย พอ Clear หูได้ จึงเปลี่ยนระดับลงมา

ซ้ายมือของผมเป็นพื้นทราย ลึกไกลออกไปเรื่อยๆ ขวามือเป็นชั้นของปะการังผักกาด สูงท่วมหัว ดูสวยงามมากครับ ไล่ขึ้นไปเป็นชั้นๆ ช่างอุดมสมบูรณ์จริงๆ

มีปลาสิงโต(Common Lionfish) อยู่ที่นี่ครับ ชนิดนี้พบได้บ่อย ทุกคนจะคุ้นเคยกันดี เพราะปลาสิงโตชนิดนี้มักถูกจับไปเลี้ยงในอควอเรี่ยมเสมอๆ

พี่ตามชี้ให้ผมดู ปลาชนิดหนึ่งครับ หาไม่ง่าย ผมจำได้ทันที นี่ คือ ปลาลูกดอกหน้าม่วง(Decorated Dartfish) บางคนจะเรียกว่า Purple-goby ก็ไม่ผิด เรามักจะพบเห็นสีแดง(ปลาลูกดอกไฟ Fire Dartfish บางคนเรียกว่า red fire-goby ) บ่อยกว่าสีม่วง ถ้าเป็นการดำน้ำแบบผิวน้ำ จะเห็นค่อนข้างยากครับ(ต้องกลั้นหายใจลงมา บางที่อยู่ลึกถึง 20 กว่าเมตรเลยครับ)

ปลาชนิดนี้มีนิสัยขี้อาย อาศัยอยู่ตามพื้นทรายปนหิน ที่มีกระแสน้ำ แค่ผมเข้าไปในระยะอันตรายสำหรับเขา เขาก็หลบเข้าไปแล้วครับ

ผมเหลือบไปด้านข้าง เจ้าปลาปักเป้ากล่องเหลือง(Yellow Boxfish) หน้าตาน่ารักเชียวครับ ปลาปักเป้าชนิดนี้เป็นขวัญใจนักดำน้ำแบบ Scuba อยู่เหมือนกัน นักดำน้ำแบบผิวน้ำมีโอกาสเห็นครับ ที่ผมนึกออก ก็ที่อ่าวช่องขาด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ก่อนเกิดสึนามิครับ(ใครนึกออกว่า ดำน้ำแบบผิวน้ำ พบที่ไหนอีก ช่วยแจ้งด้วยนะครับ)

ระหว่างผมว่ายไป ด้านล่างของผม มีปลาตุ๊ดตู่อยู่ 1 ชนิดครับ เขาชื่อ ปลาตั๊กแตนหินสองสี(Bicolor Blenny) ครึ่งหน้ามีสีเทา ครึ่งหลังมีสีส้ม นอกจากตัวจะเล็ก ยังรวดเร็วมากครับ เผลอแป๊บเดียว ว่ายหลบหายไปแล้ว จึงไม่ทันได้เรียกคนอื่นๆ

อากาศเหลือ 50 แล้ว ผมบอกพี่ตาม เราตัดเข้าสู่ที่ตื้น มีปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) กำลังขบกัดปะการังอย่างมีความสุข

อาหารกลางวันมีข้าวมันไก่สับ +หมูแดง ปิดท้ายด้วยผลไม้ อร่อยจริงๆ(ไม่ได้โม้)

เสียงสวรรค์มาอีกครับ คุณเสรีบอกว่า เราจะไปที่เกาะสี่(เกาะเมียง) หากใครสนใจจะขึ้นเกาะ พักผ่อนตามอัธยาศัยก็เชิญ มีเหรอผมจะพลาด มาคราวนี้ ผมได้ขึ้นเกาะเกือบทุกวัน คุ้มจริงๆ

มองเห็นเกาะสี่แล้วครับ แต่คลื่นแรงกว่าเมื่อวานนะ คงไม่มีใครว่ายน้ำไปแน่ แต่ข้างๆ ผมมีพี่โหน่งสวมชุดชูชีพพร้อมสายตาที่มุ่งมั่นครับ

“ผมจะว่ายน้ำไปครับ ครูเอ๋อย่าลืมสอนด้วยนะ”

“เฮ้ย เอาจริงเหรอพี่” ผมถาม

ขนาดครูเอ๋ ยังขำเลยครับ และบอกว่า

“ไม่ต้องว่ายไปหรอกค่ะ”(ยิ้ม ยิ้มและยิ้ม)






ขึ้นเกาะสี่-ชมหาดเล็ก เส้นทางศึกษาธรรมชาติ- ชมปูไก่และนกชาปีไหน!!!!!


ดิงกี้เที่ยวแรก นำโดยพี่สายชล น้องฟิน พี่เตย หยั่น ประพันธ์ อารีย์ พี่โหน่ง ครูเอ๋ พี่ตู่ พี่อุ๋ยและพี่อิ๋ว เรามาถึงหาดเล็ก เกาะสี่ สถานที่ที่นักท่องเที่ยวใช้เป็นที่พัก(อีกที่ คือ เกาะแปดครับ)

คลื่นจัดว่าแรงนิดหน่อย แต่ยังพอมีนักท่องเที่ยวเล่นน้ำอยู่ ดูที่นี่คึกคักกว่าที่เกาะแปดครับ คนเยอะจัง มีใครไม่ทราบปั้นทรายรูปหน้าคนไว้ สวยดี ขอถ่ายรูปหน่อยแล้วกัน

ที่นี่ค่อนข้างร่มรื่นครับ มีต้นไม้เยอะดี เราเดินทะลุไปยังหาดอีกด้าน โดยผ่านเส้นทางศึกษาธรรมชาติ มีป้ายบอกตลอดทาง(เหมือนกับที่เกาะสุรินทร์ แต่ทางเดินไม่มีขึ้นเขามากนัก) แนะนำสัตว์หลายชนิดไม่ว่าจะเป็นตะกวด ปูไก่ นกชาปีไหน กระรอกบิน ตัวเงินตัวทอง งูเหลือม ค้างคาวแม่ไก่ เป็นต้น แต่สิ่งที่ผมอยากเห็น ที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ปูไก่และนกชาปีไหนครับ

เราได้ยินเสียงคลื่น เห็นเต๊นส์ของอุทยานอยู่ด้านหน้า แล้วผมก็พบนกชาปีไหนครับ ลักษณะมีขนทั่วตัวสีเขียวเหลือบเหลืองและม่วง ปลายปีกสีดำน้ำเงิน ไม่คิดว่าจะเจอเร็วขนาดนี้ ผมค่อยๆย่องเข้าไปและซูมเท่าที่กล้องจะอำนวย(เต็มที่แล้วจ้า) ท่าทางคงมาหาอะไรกินครับ แต่หนีเร็วเหลือเกิน

เดินลงไปชมบรรยากาศที่หาด ผมสูดอากาศเข้าเต็มปอด เป็นอากาศที่บริสุทธิ์จริงๆ ทรายละเอียด น้ำทะเลใส ถ้ามีแดดคงแจ่มมากครับ

ถ้ามีเวลา อยากมานอนสูดบรรยากาศ เล่นน้ำทะเลที่นี่ จริงๆ

ผมหามุมถ่ายรูปวิว และถ่ายรูปพี่ๆ แต่ไม่ขอถ่ายรูปตัวเอง เพราะเห็นสภาพแล้วรับไม่ได้ครับ ผมฟูยาว หน้าก็ดำ(คราวหน้าตัดผมสั้น ก่อนมาดำน้ำ ดีกว่า)

ระหว่างเดินออกจากหาด ได้พบกับนกชาปีไหนอีกครั้ง (น่าจะตัวเดิม) คราวนี้ไม่ให้พลาด เอาให้ชัดที่สุดครับ

บนขอนไม้ ผมเห็นปูชนิดหนึ่ง จากการสอบถามคุณนกกินเปี้ยวแห่งเวบทะเลไทย เป็น ปูไก่สกุล Gecarcoidea ครับ มาคราวนี้โชคดีจริงๆ เห็นครบเลย ปูไก่เป็นปูน้ำจืด ที่มาของชื่อ คือ เวลาใช้ก้ามเสียดสีกันจะมีเสียงเหมือนไก่นั่นเอง ตัวนี้มีสีออกน้ำตาลครับ

ปูตัวนี้ ค่อนข้างเชื่อง(แต่อาจหนีบได้) เขายอมให้ถ่ายรูปแต่โดยดี ไม่หนีเลยน่ะ

ขากลับ ผมเห็นลูกพาพ่อมาเที่ยว พ่อเดินจะไม่ไหวแล้ว เดินช้ามากครับ แต่นับว่าดี ที่กตัญญูพาพ่อมาเที่ยวด้วย อีกเรื่องลืมบอกไป เส้นทางศึกษาธรรมชาติจะมียุงครับ ผมมาดูที่ขาอีกที ยุงตัวอ้วนเชียว(เดี๋ยวคงกระอักเพราะเลือดผมเป็นพิษครับ พิษรัก 555)

สวนกับน้องปุ๊ย(อีกแล้ว) พี่โหน่งถ่ายรูป โดยมีผมสาระแน ยืนเป็นฉากหลักให้ (ป่านนี้น้องคงรู้แล้วล่ะ55)

ด้านหน้า เจอพี่สาวเอ็มกับสาวสวมหมวก ท่าทางมาดำผิวน้ำครับ เห็นถือ Fin มาด้วย ตอนนี้คนเยอะจริงๆ เดินไปเจอพี่พูห์ เธอบอกว่ายน้ำมาครับ(จริงหรือเปล่า ต้องถามอีกทีครับ)

พี่พูห์แนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของเธอ ผิวขาว ดูน่ารัก รูปร่างผอมบาง เธอมากับเรือวีนัส มารีน่าครับ

ทยอยกันกลับเรือครับ เราไปส่งสาวคนนี้ที่เรือ วีนัส มารีน่าด้วย เธอเล่าว่า เจอกระเบนราหูและกระเบนนกด้วยล่ะ ที่เกาะตาชัยและเกาะบอน แต่ไม่ได้เจอทุกคนนะ เจอบางคน บางชุดเท่านั้นเอง นับว่าเธอโชคดีมากๆครับ(ได้ยลโฉม เรือวีนัส มารีน่า คงมีโอกาสได้มาดำน้ำด้วยนะ)

มากินอาหารว่างดีกว่า หิวแล้ว ซาลาเปาไส้ครีบ+หมูแดง และขนมจีบกุ้ง+ปูครับ

ไดฟ์ต่อไป เป็นไดฟ์สุดท้าย เราจะลงดำน้ำกันที่เกาะเจ็ด หากใครสนใจไปดูปลากบที่เรือจม(30 กว่าเมตร) ครูปรีชาจะพาไปดู แต่ผมไม่อยากไปแล้วครับ ว่าจะไปถึงทุ่น อากาศผมคงจะเหลือน้อยละมั้ง ขอดำตื้นๆดีกว่า มีชุดของ ครูนิ้ม จะดำน้ำตรงจุดที่ตื้น เพื่อถ่ายรูปกัน กลุ่มของครูตุ๊ก ครูเอ๋ ก็ลงตรงที่ตื้นเช่นเดียวกันครับ

ผมบอกพี่โหน่งว่า ถ้าอยากจะไปดูปลากบก็ได้ ให้แกไปกับพี่ตาม ส่วนผมจะอยู่แถวนี้ พี่โหน่งไม่อยากไปครับ อยากอยู่ตรงตื้นๆนี้เหมือนกัน (ส่วนลีดเดอร์ ตามใจไดฟ์เวอร์ครับ ไปไหนไปกัน)

ไดฟ์สุดท้าย ผมอยากดำแบบสบายๆ ครับ ไม่อยากลงลึกแล้วน่ะ อีกอย่าง พรุ่งนี้เช้าผมกับพี่โหน่งกลับเครื่องบินเที่ยวแรก มีเวลาพักน้ำนานๆก็ยิ่งดี(ยิ่งลงไปลึก ก็มีไนโตรเจนซึมเข้าเส้นเลือดมากครับ)

โดยก่อนดำ ผมไม่ทราบเลยว่า ที่นี่มีอะไร การตัดสินใจไม่ไปดูปลากบที่เรือจมของผม เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆครับ



Dive 15 อลังการกับรูปปั้น 12 นักษัตร!!!


แปลกครับ ทำไมกดปล่อยลมออกจาก BCD แล้ว ไหงไม่จมล่ะ อ้าว ลืมใส่ตะกั่วนี่หว่า(มาปล่อยไก่ตอนไดฟ์สุดท้ายนี่เองครับ 555) คนอื่นลงไปหมดแล้ว ผมตีขากลับไปที่เรือ แต่น้ำตีออกมา ทำให้เข้ายาก พี่ Staff ขับดิงกี้มาส่งตะกั่วให้ผม

สบายๆครับ ระดับน้ำไม่ลึกแบบนี้ ผมชอบนัก กระแสน้ำไม่ค่อยมีด้วย ผมเห็นมนุษย์กบกำลังถ่ายรูปกัน ครูนิ้ม ทำสัญญาณเรียกให้ผมไปถ่ายรูป จัดฉากให้เรียบร้อย

จากนั้น ผมเข้าไปใกล้ๆ ปะการัง จ้องมองปลาสลิดหิน(Damsel Fish)ชนิดหนึ่งในระยะใกล้มาก พวกเขาน่ารักมากครับ ดูจะสงสัยอยู่เหมือนกันว่าตัวประหลาดที่อยู่ด้านหน้านี้เป็นใครหนอ

ปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) ว่ายไปวนมาอยู่ในดอกไม้ทะเล จ้องมองผมอยู่เช่นกัน ผมก็จ้องมองเขาครับ สีหน้าช่างใสซื่อจริงๆ

พี่ตามเรียกให้ผมลงมาที่พื้น ชี้ไปด้านหน้า เขียนสเล๊ดบอร์ดถามผมว่า ตัวที่อยู่ด้านหน้า คือ ปลาอะไรกันแน่(ข้างๆปลิงทะเล) ผมมองอยู่นาน ไม่เห็นครับ(มีปลิงทะเล 2 ตัวครับ มิน่ามองไม่เห็น ผมมองปลิงทะเลตัวแรกอยู่น่ะ)

พอมองไปที่ปลิงทะเลตัวที่ 2 ก็ถึงบางอ้อ นี่คือ ปลาไหลสวนจุดดำ(Spotted Garden EEL)ครับ มีอยู่หลายตัวเลยล่ะ ผมเขียนกระดานเพื่อบอกพี่ตาม

ปลาไหลสวนจะขุดรูอยู่บนพื้นทราย โผล่มาเฉพาะหัวเพื่อจับกินแพลงตอนที่ผ่านมา หากเราเข้าไปใกล้ พวกเขาจะหลบลงรู จะว่าไปมาคราวนี้ก็พึ่งมาเห็นในไดฟ์สุดท้ายนี่แหละ เห็นพวกเขาที่นี่ ดูดีกว่าเห็นที่สยามโอเชี่ยนเวอร์เยอะครับ

ว่ายต่อไปเรื่อยๆ เฮ้ย!!!! นี่มันรูปปั้น 12 นักษัตร นี่นา ทำไมผมถึงตกใจขนาดนั้น(ทำอย่างกับเห็นฉลามวาฬ 555) แล้วรูปปั้น 12 นักษัตร คือ อะไร?

รูปปั้น 12 นักษัตร เป็นปะติมากรรมที่สร้างขึ้น ไว้เป็นอนุสรณ์รำลึกถึงเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ มีตั้งอยู่หลายที่ครับ เช่น ภูเก็ต เป็นต้น แต่ผมไม่คิดว่าจะได้มาเห็น เพราะไม่ทราบมาก่อนว่า อยู่จุดที่ผมดำลงมานี่ล่ะ(อยากเห็นมานานแล้วครับ)

ผมถ่ายรูปกับรูปปั้น 12 นักษัตร ตามที่ช่างภาพขยันถ่ายรูปให้ บางทีก็นั่งท่าขัดสมาธิ ซะเลย ผมสังเกตดูมีสัตว์เกาะติดอยู่เยอะเชียว ต้องมองดีๆ ถึงจะเห็นเป็นรูปครับ ก็จะมีรูปลิง รูปหญิงสาว รูปสุนัข เป็นต้น

ระหว่างที่รอรูปปั้นว่าง(มีคิวถ่ายรูปครับ รอรูปปั้นว่าง ผมจะเข้าไปดูน่ะ) ระหว่างรอ ผมนอนราบ ในลักษณะคว่ำอยู่บนพื้นทราย จ้องมองไปด้านหน้ารอดูรูปปั้นว่าง (ดูซิครับ ว่าผม Enjoy แค่ไหน)

ผมยังสำรวจที่รูปปั้นอยู่ครับ ใกล้ๆ มีปลาปักเป้าจุดฟ้า(Bluespotted Puffer) ว่ายไปอย่างช้าๆ

มาดูที่แนวปะการังกันต่อ ผมลอยตัวแบบทำท่าหัวปัก ขาชี้ฟ้า อย่างสบายๆ เพื่อสังเกตสัตว์ทะเลเหนือแนวปะการัง ขยับตัวนิดหน่อย ร่างกายก็ไปฉิวแล้วครับ

ผมเจอขวดพลาสติดเลยเก็บขึ้นมาด้วย ใช้ pointer เกี่ยวไว้ จะมีขยะในที่แบบนี้ไม่ได้

ปิดท้ายไดฟ์แสนสุข ด้วยปลาสิงโต(Common Lionfish) และ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) ครับ

ไดฟ์นี้ผมลงไปลึกสุดก็แค่ 13 เมตร เท่านั้น เฉลี่ยก็แค่ 7- 8 เมตร จึงดำได้นานที่สุดกว่าทุกไดฟ์ครับ 61 นาทีแน่ะ

เราค่อยๆทยอย ขึ้นดิงกี้ครับ เชื่อหรือไม่ว่า 17 คน ก็สามารถยัดเข้าไปได้(นึกถึงภาพนักดำน้ำนั่งรอบๆ ดิงกี้ โดยมีอุปกรณ์ดำน้ำ คือ แท๊งค์และชุดBCDอยู่ตรงกลางนะครับ 555) ก่อนขึ้นดิงกี้ ผมลืมตัวไปหน่อย(มัวแต่ชูขยะ) ทำ pointer ตกน้ำ ปิดตำนาน 2 คน 2 คม(ต้องซื้อใหม่อีกแล้ว 555)

แต่ต้องขับอย่างช้าๆนะครับ ขับเร็วมีหวังกระเด็นตกแน่นอน(พี่สายชลเก่งมากๆ) ข้างๆมีเรือยอร์ทของชาวต่างชาติ เขาโบกมือทักทายด้วย

ทุกคนเฮฮา มีความสุขมากครับ เป็นไดฟ์สุดท้ายที่งดงามจริงๆ

เรือโชคศุลีมุ่งหน้ากลับสู่ท่าเรือรัษฎา เกาะภูเก็ต จะถึงฝั่งประมาณ ตี 2 ผมอาบน้ำ แต่งตัว ทยอยเก็บข้าวของเครื่องใช้บ้าง พรุ่งนี้ต้องไปแต่เช้าครับ ไปก่อนคนอื่นด้วย

อาหารเย็นมี ปลาหมึกและหมูทอดกระเทียมพริกไทย แกงเขียวหวานไก่มะเขือพวง ผักผัดรวมมิตรใส่กุ้ง น้ำพริก ผักสด และผลไม้รวม

ผมขอไรท์รูปลงแผ่นจากสมาชิกบนเรือ ได้มาเยอะเลยครับ นอกจากนี้ก็ไม่ลืมที่จะขออีเมล ติดต่อตามธรรมเนียม(ลืมปั้มตราของเรือ ลง log book ครับ แย่จัง)

นั่งคุยกับพี่อิ๋ว พี่อุ๋ย พี่ตู่ จึงทราบว่า พี่อุ๋ยมีเพื่อนเป็นเด็กวชิราวุธหลายคน พูดชื่อมา ผมตอบนามสกุลได้ทันที(จำได้ในเรื่องไม่เป็นเรื่องเสมอครับ555 จริงๆ ติดมาตั้งแต่สมัยเด็กน่ะครับ การจะเป็นเจ้าคน-นายคน เราก็ควรจำชื่อได้ทั้งเจ้านายและลูกน้องครับ) พอแกรู้เรื่องโรงเรียนของผม ก็เลยคุยได้ยาวเลยครับ

ฝนตก แถมมีคลื่นแรง หลายคนเมาเรือ จึงทยอยกันเข้าห้อง ผมไม่เมาเรือ และไม่อยากนอนเร็ว(แค่ 3 ทุ่มเองครับ) จึงรีบจัดของให้เสร็จ แล้วออกมาคุยกับพี่โอ๋ พี่พูห์ ครูนิ้ม พี่หนุ่ย

เดินออกไปถ่ายรูป staff ของเรือ เริ่มจากพี่ไข่นุ้ย ชายหนุ่มหน้าโหดจากนครศรีธรรมราชแต่ใจดี เดินขึ้นไปด้านหน้าเรือ จะไปถ่ายกัปตันน่ะครับ

“ตุ๊บ” ด้านหน้าเรือลื่นมากครับ ผมลื่นจากฝั่งหนึ่ง ไปอีกฝั่ง โชคดีที่ว่า มีราวกั้น ไม่งั้นผมคงตกทะเลไปแล้ว ตกทะเลตอนนี้ จบสิ้นแน่นอนครับ ทั้งมืดและไม่มีใครได้ยิน

และแล้ว ผมก็ได้รูปกัปตัน โดยแลกกับอาการเจ็บข้อมือ และก้นเปียกเล็กน้อย 555

ยังเหลือ Staff อีกหลายคน(แม่ครัวก็ยังไม่ได้ถ่าย) พอเจอตัว แม่ครัวเขินครับ(สงสัยคงไม่ค่อยมีคนบ้าๆอย่างผมมาเท่าไรนัก) แม่ครัวบอกให้ถ่ายพรุ่งนี้ เพราะต้องตื่นมาเตรียมข้ามต้มแต่เช้า โอเคครับ

แต่ละคนทยอยเข้านอนครับ ครูปรีชาพึ่งตื่นมาเก็บอุปกรณ์ เมื่อเรือเข้าฝั่งครูปรีชา เอ็มและบี จะขับรถกลับกรุงเทพทันที (อึดจริงๆเลยครับครู)

ก่อนนอน ผมเก็บ Wet Suit ลงในถุงพลาสติคที่เตรียมมา(ถุงธรรมดาใส่ไม่ได้ครับ ตัวใหญ่มาก) พรุ่งนี้ผมจะต้องกลับไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง วันเวลาแห่งความสุขนั้น มักจะ ผ่านไปอย่างรวดเร็วเสมอ


2 มกราคม 2551

ตื่นตี 5 ครับ น้ำท่าไม่ต้องอาบ แปรงฟันและห่วงเส้นผมอย่างเดียวพอ(สวมหมวกปิดผมฟู) เก็บของเรียบร้อย มากินข้าวต้มหมู+ไข่ลวก สุดอร่อย

ได้รูปแม่ครัว รูปพี่สายชลและพี่ Staff อีก 2 คน สมใจอยาก ก่อนกลับก็ไม่ลืมที่จะใส่ทิปไว้ในกล่องด้วยครับ

รถตู้มารับแล้ว ผมลาพี่ๆ ที่ตื่นเช้ามาอย่างพี่โอ๋ พี่หนุ่ย ครูเอ๋ พี่เตย พี่ตู่ พี่อิ๋ว เป็นต้น ขอบคุณ Staff ของเรือที่ดูแลอย่างดี

นั่งรถตู้ออกมาจากท่าเรือรัษฎา มากับพี่โหน่งและคุณโต(มาจาก Scubanet ครับ)

ที่สนามบินภูเก็ต คนเยอะจริงๆครับ ผมเลือกโดยสาร วัน-ทู-โก บริการดีทีเดียวครับ มีน้ำดื่มและขนมด้วย หลายคนไม่กล้าขึ้น แต่ผมว่าพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาสดีกว่านะ





บทส่งท้าย


เครื่องบินออกแล้ว ผมนึกถึง วัน-เวลา แห่งความสุขในทริปนี้ 15 ไดฟ์ ดำน้ำ 4 วัน แป๊บเดียวจริงๆครับ

ผมหวังว่า เรื่องราวของผม คงจะทำให้ผู้อ่านมีความสุขไม่น้อยไปกว่าผม และนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า เหตุใดผมถึงชอบบรรยายและเล่าเรื่องยาวๆที่ไม่มีใครเขาทำกัน

ผมต้องการให้ทุกท่านสนุก ประหนึ่งว่าไปดำน้ำด้วยกันกับผม(ผมเจออะไร ผู้อ่านก็เจอด้วย)

ขอบคุณพี่ป้อมที่ห่วงใย ส่งพี่ตามมาเป็น Leader ให้ และพี่ตามก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม

ขอบคุณพี่ตาม ที่ดูแลผมกับพี่โหน่งดีมากครับ

ของคุณสมาชิกร่วมทริปทุกคนกับมิตรภาพใหม่ๆ ที่ทำให้การเดินทางของผม มีความสุขอีกครั้ง

ขอบคุณคุณเสรีและ staff ของเรือโชคศุลีทุกคน ที่บริการดีมากครับ พูดตามตรง แบบไม่ได้ยกยอ ผมอาจเป็นกบในกะลา(ยังมีอีกหลายลำที่ผมยังไม่เคยไปครับ) แต่เรือ Liveaboard ที่ผมเคยไปมา ก็หลายลำอยู่ ผมว่าอาหารของโชคศุลี ดีที่สุดครับ(ความเห็นส่วนบุคคลนะครับ บางคนอาจจะว่าธรรมดาก็ได้)

และขอบคุณท่านผู้อ่าน ที่ติดตามเรื่องราวของผมครับ




Phop Payapvipapong

15 January 2008

03.01 PM

Wednesday, January 23, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(6)

http://prints.wetpixelquarterly.com/
www.csproductions.org
http://www.starfish.ch/



หินใบ–อ่าวเกือก ความงามของเกาะแปด!!!!

ดิงกี้รอบแรกมีผม ครูปรีชาและน้องฟิน พี่โหน่ง พี่อุ๋ย พี่อิ๋ว ครูเอ๋ เอ็ม บี พี่พูห์ หยั่น ประพันธ์ อารีย์ โดยมีพี่สายชลเป็นคนขับเรือเหมือนเคย ส่วนพี่เตย โน่นครับ เธอว่ายน้ำไปแล้วน่ะ ไม่ธรรมดาครับ สาวอึดตัวจริงเลยล่ะ

ครูเอ๋บอกว่า ถ้าผมกับพี่โหน่งว่ายน้ำไป จะสอนดำน้ำให้ฟรี ว่าแต่จริงหรือเปล่าครับพี่ 555

ผมสงสัย ทำไมพี่สายชลสวมเสื้อที่เขียนว่า (Love Miho) แล้วมิโฮะเป็นใคร แกบอกว่า

“แฟนผมเองครับ เป็น Instructor ชาวญี่ปุ่น ประจำอยู่เรือใกล้ๆนี่เอง”

ยอดครับ ยอดมาก แม้สาวไทยจะเสียดุลการค้า แต่พี่สายชลเก่งมากครับ(ว่าแล้ว สอนเคล็ดลับบ้างดิพี่ ผมน่าจะได้ ตรงผิวคล้ำนี่แหละ เห็นว่าสาวญี่ปุ่นชอบผิวคล้ำด้วยครับ 555)

ขึ้นมาบนเกาะแปด ทรายละเอียดดุจแป้ง ละเอียดมากจริงๆ น้ำทะเลสีฟ้าใสสะอาด พี่เตยมาถึงก่อนแล้ว ดูเธอมีความสุขมากๆด้วย

หินใบ ตั่งเด่นเป็นสง่า สวยงามมาก ไม่แปลกใจว่าหลายๆคนก็ชอบเช่นกัน

ผม หยั่น ประพันธ์ อารีย์ พี่พูห์ เลือกที่จะขึ้นจุดชมวิวก่อนครับ เรามีเวลาแค่ 1 ชั่วโมง ขืนมาแล้วไม่ได้ขึ้น เสียดายแย่เลย แต่ดันลืมหยิบแล้วเท้าแตะออกมาจากดิงกี้ ทางขึ้นต้องเหยียบหินหยาบๆเยอะเสียด้วย เจ็บเท้าเป็นบ้าเลย(สมน้ำหน้า)

เดินขึ้นอย่างระมัดระวัง ก้มตรงนั้น จับเชือกตรงนี้ ไม่นานนัก เราก็มาถึงด้านบนครับ โชคดีว่า ยังไม่มีใครขึ้นมาเลย ถ่ายรูปกันก่อนดีกว่า

วิวสวยมากครับ หินใบอยู่ด้านซ้ายมือ(ใกล้มาก ต้องแหงนหน้าขึ้นไปครับ) ด้านล่าง มองเห็นอ่าวเกือกและน้ำทะเลสีฟ้าใส มีกลุ่มคนเตะฟุตบอลอยู่(หนึ่งในนั้นน่าจะเป็นเจ้าเอ็มครับ มันยังชวนผมเตะบอลอยู่เลย โย่งๆแบบนี้หาไม่ยากครับ)

ภาพที่ผมเคยเห็นในนิตยสาร ผุดขึ้นมาทันที จุดชมวิวตรงนี้ ผมเคยเห็นมาบ้างแล้วในหนังสือแต่คงไม่ดีเท่า เห็นด้วยตาตนเองครับ มองออกไปด้านขวาเห็นเรือ Liveaboard อยู่หลายลำ

ชายเกาหลี พูดภาษาไทยได้ ดูมั่นใจมากครับ(น่าจะดำน้ำด้วยครับ ดูจากการแต่งตัว) เล่นยืนอยู่ใกล้ๆขอบหิน (ไม่กลัวตกเลยเหรอเนี่ย)

ไม่นานนักพี่อิ๋ว พี่อุ๋ย พี่ตู่ ก็ขึ้นมาถ่ายรูปด้วยครับ จากนั้นนักท่องเที่ยวก็เริ่มขึ้นมา ส่วนใหญ่เป็นนักดำน้ำจากเรือต่างๆ ที่ปล่อยให้นักท่องเที่ยวขึ้นเกาะ(โชคดีครับที่ขึ้นมาก่อน เพราะที่ยืนตรงนี้ก็ไม่กว้างมากเท่าไร มายืนกันเยอะๆ ก็ถ่ายรูปลำบากเหมือนกันนะ)

ลงไปด้านล่างดีกว่าครับ ระหว่างลงเจอสาวคนหนึ่ง ผมจำได้ว่าเจอที่สนามบินดอนเมืองและเธออยู่บนเรือ Scubanet ด้วย เธอปีนขึ้นไปนั่งบนก้อนหินก้อนใหญ่ ผมถ่ายรูปเธอ ว่าแต่จะส่งให้ยังไงล่ะ 555(เธอบอกว่าให้ส่งรูปให้ด้วย ผมก็ลืมถามด้วยน่ะ)

แล้วก็เจอสาม สาวในเรือ Scubanet อีกครั้งนำมาโดยน้องปุ๊ย พี่สาวเอ็มและสาวสวมหมวก ก็มาถ่ายรูปบนจุดชมวิวเหมือนกัน

ด้านล่าง เจอครูเอ๋ พี่ตาม ครูตุ๊ก พี่โหน่ง มานั่งคุยกันอยู่แล้ว เราเลยเข้าไปผสมโรงด้วย(พี่ตามพูดแบบไม่เชื่อว่า ไอ้ภพ เอาเรคกูเลเตอร์ออกจากปากเหรอ ของแปลก 555 ผมเอาออกบ้างครับ เวลาคอแห้งน่ะ บางทีกลืนน้ำลายไม่ค่อยได้ด้วย ก็ต้องเอาออกบ้าง)

แต่หน้ากาก ไม่ค่อยได้เอาออกครับ(ของผมส่วนใหญ่น้ำไม่ค่อยเข้าด้วยน่ะ เวลาเป็นฝ้าก็ไม่เคยไล่ออกซะด้วย) คุยกับพี่โหน่งว่า จะให้ครูเอ๋ช่วยสอนเนี่ย 5555(ครูเอ๋ บอกเช่นเดิมครับ ได้ ว่ายน้ำกลับไปที่เรือ จะสอนให้ 555)

ผมร้อนมากครับ จากการเดินขึ้นจุดชมวิว ไปเล่นน้ำดีกว่า ผมถอดเสื้อลงไปเล่นน้ำทะเลใสๆ ที่อ่าวเกือก สดชื่นครับ โดยมีพี่เตยและน้องฟินกำลังเล่นน้ำอยู่ พอผมเข้าไป เป็นอันว่า ครบเซ็ท พ่อ แม่ ลูก(5555 ล้อเล่นครับ สนุกๆน่ะ)

นักดำน้ำส่วนมาก มาขึ้นเกาะแปดกันครับ ทั้งโชคศุลี เจ้าหญิงน้อย Scubanet เป็นต้น ผมเห็นสาวหน้าเด็ก ตัวเล็ก ผิวขาวคนหนึ่ง มาจากเรือเจ้าหญิงน้อย น่ารักดีครับ

พี่สายชลมาแล้วครับ เราค่อยๆทยอยกันกลับ ผมรอเป็นชุดสุดท้าย อยากอยู่ที่นี่นานๆน่ะ ผมกับพี่โหน่งได้นั่งดิงกี้ของเจ้าหญิงน้อยกลับ(เขาไปส่งให้น่ะครับ นี่เป็นน้ำใจอย่างหนึ่งในการดำน้ำ ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เป็นเรื่องที่ดีครับ)

พระอาทิตย์ค่อยๆ ลับขอบฟ้า เรือโชคศุลีมาอีกด้านของเกาะแปดเพื่อดำ Night Dive เห็นเจ้าเอ็มดึงข้อ ผมเลยขอลองบ้างครับ ได้ 5 ที ก็หมดแรง แต่เรียกเสียงได้พอสมควร(เสียงผมเองแหละ 555)

อ้าว สาวหน้าเด็ก ตัวเล็ก ผิวขาว คนนั้นนี่นา ยืนอยู่หน้าเรือเจ้าหญิงน้อย ดูท่าทางอารมณ์ดีแฮะ

จุดนี้ กระโดดลงจาก Plat form ได้ทันที มีหรือที่ผมจะพลาด เห็นครูปรีชาบอกว่า เวลาเที่ยงคืน มาลงน้ำก็จะเป็นการดำน้ำ-ข้ามปี ด้วย(แกกับลูกศิษย์คงจะลงแน่ๆครับ)

มาครับ ตามผมมา ไปสำรวจด้านล่างกัน




Dive 12 ปลาไหลมอเรย์ลายเกล็ดหิมะ กับ แววตาพยาบาท!!!

สบายครับน้ำใสๆ ไม่ลึกมากนัก ผมส่องดูสัตว์ทะเลตามรู ไม่นานนักก็พบปลาไหลมอเรย์ลายเกล็ดหิมะ(Snowflake Moray) ลายที่ลำตัวมีสีเหมือนเกล็ดหิมะ ผมอยู่หน้ารูของเขา จ้องมองอยู่ในระยะที่เห็นชัด ขืนไปอยู่ติดโพรง (กลัวเหมือนกันครับ) สังเกตเห็นว่า แววตาของเขาช่างน่ากลัวซะจริงๆ เป็นแววตาของความพยาบาทได้เลยล่ะ ผมถอยให้พี่โหน่งถ่ายรูปเขา

ตาแดงๆ อยู่ในปะการัง เดาว่าน่าจะเป็นปูครับ แต่ไม่ได้ลงไปสังเกตดูใกล้ๆ

ที่พื้นทราย เจ้า ปลากระเบนจุดฟ้า(Blue-spotted stringray) ว่ายไปโน่นแล้วครับ เพราะเป็นสัตว์หน้าดิน พวกเขาจึงเคลื่อนตัวเหนือพื้นทรายไม่มากนัก

ยาวๆ ผอมๆแบบท่อเล็กๆ นี่ คือ ปลาปากขลุ่ย(Smooth flutemouth) ดวงของผมมักจะถูกโฉลกกับเขาในการพบกันเวลา Night Dive เสมอๆครับ

ในดาวขนนก(Feather Star) มีกุ้งขนาดเล็กอยู่ครับ แต่จำลักษณะไม่ได้มากนัก เรียกว่ากุ้งดาวขนนกไปก่อนแล้วกัน

รวมฮิตนิรนามหยิบสิบดีกว่า เอ้ยไม่ใช่ รวมฮิตปลาปักเป้าครับ ด้านหน้าผมมี ปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ถัดไปซ้ายมือมี ปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Black Blotched Porcupinefish) ส่วนด้านขวามือมีปลาปักเป้ายักษ์(Star Puffer)ด้วยครับ ตัวใหญ่จริงๆ

อยู่ๆไฟฉายผมก็ดับครับ(ไม่ได้เปลี่ยนถ่าน คิดว่าน่าจะยังมีอยู่น่ะ) ตอนแรกว่าจะเรียกพี่ตามครับ เลยลองถามพี่โหน่งว่าจะขึ้นไหม แกทำท่าเหมือนกับว่า ไปต่อก็ได้ แล้วให้ผมดำไปด้วยกันกับแก ใช้ไฟฉายดวงเดียว(จริงๆแล้ว คุยกันคนละภาษาครับ ความหมายของแกไม่ใช่แบบนั้น ถ้าขึ้นก็คงไม่ว่าอะไร ผมกลัวว่าจะขึ้นเร็วไปน่ะครับ เผื่อแกอยากดูต่อ)

ตรงนี้มีปลาสิงโตครีบขาว(Clearfin Lionfish) ด้วยครับ ลายขวางสีขาวที่ลำตัว ค่อนข้างเด่นชัด ผมเลยจำเขาได้ทันที หากได้พบกัน(ตอนแรกเรียกให้พี่โหน่งถ่ายครับ ไหงแกไม่ถ่ายหว่า พึ่งทราบภายหลังว่า แบตเตอรี่ของกล้องหมดน่ะครับ 555)

ขึ้นมาด้านบน คอแห้งจริงๆ พี่ตามบอกว่า ไฟฉายดับทำไมไม่ยอมบอก ผมก็ตอบตามเหตุผลที่เล่าไป(จริงๆควรเรียกครับ) น่าแปลกว่า บนนี้ ไฟฉายติดครับ ผมมั่นใจว่าใต้น้ำเมื่อซักครู่ ไฟฉายดับแน่นอน หมุนเปิด ปิดแล้วก็ไม่มีไฟแน่ๆ หรือว่า............55555 ผมจะโดนเข้าแล้ว

ผมอาบน้ำ เปลี่ยนชุดมาทานข้าว เห็นคุณเสรีกำลังคุยกับเหล่านักดำน้ำ พร้อมแนะนำ Staff ของเรือ เริ่มจากกัปตัน คนขับดิงกี้ ไปจนถึงแม่ครัว ผมหยุดฟังจนจบเพราะถือว่าเป็นตอนสำคัญเหมือนกัน

อาหารเย็นมี ต้มยำโป๊ะแตก น้ำพริก-ผักสด คอหมูย่าง ปูม้านึ่ง กุ้งอบเกลือ ปลาหมึกย่าง ปลาเผา จิ้มด้วยน้ำจิ้มซีฟู๊ด ข้าวสวย และผลไม้รวม(ขณะเขียนเรื่อง ยังหิวเลยครับ 55)

ลมเริ่มแรง ฝนตก(โชคดีมาตกเอาวันใกล้จะกลับแล้ว พรุ่งนี้เหลืออีก 3 ไดฟ์ครับ) เรือโชคศุลีมาหลบลมระหว่างเกาะเจ็ดกับเกาะแปด ผมเข้าไปหลบฝนในห้องนั่งเล่น โดยมีครูปรีชาและน้องฟิน ครูนิ้ม คุณเสรี

ผมได้คุยหลายๆเรื่องกับครูปรีชาเกี่ยวกับวงการดำน้ำ ทำให้รู้อะไรเยอะเลย ผมถามคุณเสรีเกี่ยวกับเรื่องงูทะเล เพราะ Night Dive คืนก่อน เจ้าเอ็มเล่าให้ฟังว่า ขณะกำลังส่องตามรู เจองูและขาไปเตะถูกงูเข้า ครูปรีชาต้องกระชาก BCD ของเอ็ม เพื่อไม่ให้โดนงู และงูพุ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ(น้องบอกสยองมากครับ) บางคนว่าเป็นงูบก บางคนว่าเป็นงูทะเล แต่คุณเสรีบอกว่า เป็นงูบก มาจากเกาะ ลงมาหาปลากิน ที่ว่ายน้ำได้เพราะธรรมชาติได้สร้างให้มันว่ายน้ำได้ จนทำให้ส่วนหาง มีครีบเหมือนปลา

เมื่อคลื่นลมสงบนิ่ง น้องเอ็มชวนผมไปเรือ Scubanet ไปเล่น กิจกรรมฝึกปรือวิชาว่า ดอกของใครจะสูงกว่ากัน วันนี้เป็นนัดที่โชคศุลีต้องไปเยือนบ้าง ตอนแรกผมว่าจะไม่ไป เพราะไปก็ไม่ได้เล่น แต่อยากไปสำรวจบนเรือ Scubanet ดูเหมือนกัน อีกอย่างในตอนนี้หลายๆคนก็เข้าห้องนอนกันแล้วด้วย(มีบีและครูนิ้มที่ไปก็ไม่ได้เล่นครับ มีเพื่อนแล้ว)

เรามาถึงเรือ Scubanet เรือใหญ่จริงๆครับ ขึ้นไปด้านบน มีผู้ใหญ่และสาวๆที่มาเมื่อวานนี้ มารอกันอยู่แล้ว(ผมเจื่อนๆ ยังไงไม่รู้ซิ) โชคดีว่ามีพี่ขุนอยู่ นั่งคุยกับแกดีกว่า

บี เอาไวน์มาให้ครับ ตอนแรกจะไม่กินแต่ปฎิเสธยากจัง เลยแค่จิบๆ แรงใช้ได้เลยล่ะ(ขืนดื่มหมดแย่แน่ครับ พรุ่งนี้อดดำน้ำชัวร์)

ขึ้นไปสำรวจบนดาดฟ้า ลมเย็นดีจริงๆ ดาดฟ้าที่นี่กว้างมากครับ สมคำร่ำลือจริงๆ มีโอกาสคงได้มาดำน้ำบนเรือนี้ซักครั้ง

ปีเก่า ผ่านไป ปีใหม่กำลังจะเข้ามาแล้ว มีการนับถอยหลังเพื่อ Coutdown ด้วย

ไม่นานพี่โอ๋ก็มาด้วยครับ พอได้เวลาที่จะกลับ ผมขอตัวกลับก่อนดีกว่านะ

กลับมาที่เรือ เจอพี่หนุ่ยกับพี่พูห์นั่งอยู่ นอกนั้นหลับกันหมดแล้ว ผมขอตัวไปพักผ่อน ยังมีอีกดำน้ำอีก 3 ไดฟ์ในวันพรุ่งนี้ครับ



1 มกราคม 2551


เช้าวันสุดท้ายของการดำน้ำครับ ขนมปัง 1 แผ่นก็พอเพียงสำหรับการรองท้องแล้ว พี่โหน่งทำท่าทางว่าปวดหัว ไดฟ์แรก แก Skip Dive ครับ

ชุดผม จึงเหลือผมกับพี่ตาม แค่ 2 คน เท่านั้น ครูปรีชาเปิด Notebook ชี้จุดให้ดูว่า ที่หินหัวกะโหลก จุดที่เราจะลงในไดฟ์แรกนี้ มีปลากบอยู่ 1 ตัว อยู่กับกัลปังหาต้นใหญ่ พอผ่านโพรงให้เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา(ชักงงครับ) ผมก็จำไม่ได้ แต่ว่า ยังไงผมก็มีความหวังที่จะได้เห็นปลากบครั้งแรกในชีวิตนะ

ด้านบนของหินหัวกะโหลก เป็นกองหินลักษณะเป็นเนิน โผล่พ้นน้ำเล็กน้อย ผมยังจำได้ดีว่า ในคราวที่แล้ว ผมทำตะกั่ว(ทั้งเส้น) และท่อหายใจสุดที่รัก ตกที่นี่(ป่านนี้คงจะอยู่แหละครับ โดนกวาดไปหมดแล้ว 555)

เราลงกับกลุ่มครูตุ๊ก ที่มีครูเอ๋ พี่ตู่ พี่อิ๋วและพี่อุ๋ย เป็นอันว่าไดฟ์นี้ ผมมีสมาชิกเพิ่มครับ ลงไปลุยกันเลย



Dive 13 ไชโย ปลากบยักษ์สีขาว!!!!!

ที่หินหัวกะโหลก น้ำค่อนข้างใส ตะกอนไม่ค่อยเห็นเท่าไรนัก เจ้าปลาสินสมุทรออกมาทักทายก่อนเลยครับ คือ ปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-ringed Angelfish) ที่มักจะพบในอ่าวไทย แต่ในอันดามันก็มีพวกเขาเช่นกัน อีกชนิด คือ ปลาสินสมุทรหน้าดำ(Indian Yellowtail Angelfish) ซึ่งพบเห็นได้ยากกว่า พบเฉพาะในที่ลึก ไม่พบในแนวปะการัง พบในทะเลอันดามันเท่านั้น ที่สำคัญเป็นปลาสินสมุทรรายล่าสุดที่พบในทะเลไทยด้วยนะครับ

ครูตุ๊กเรียกผมให้ลงไปดูในโพรง ตอนแรกมองไม่เห็นครับ ผมเลยขยับเข้าไปใกล้ๆ จนตาเกือบจะชิดโพรง ถึงจะเห็น นี่คือ กุ้งมดแดง(Durban hinge-beak shrimp) ครับ ลายที่ลำตัวดูเหมือนมดแดง จริงๆ ในโพรงเล็กๆนี้ ที่เห็นมีอยู่ 4-5 ตัวครับ กุ้งมดแดงมีพฤติกรรมพยาบาลสัตว์อื่นด้วยนะ ผมก็ยังไม่เห็น แค่เห็นตัวเขาก็ดีใจแล้วครับ

ผมลอดโพรงออกมา เห็นมนุษย์กบคุยกัน ท่าทางคงคุยกันเรื่องปลากบ แน่นอน เหมือนจะหาเจอง่าย ผมว่าไม่ง่ายหรอกครับ กัลปังหาก็มีอยู่หลายต้นนะ

จนกระทั่งผมมาเจอกัลปังหา(Sea Fan) ต้นหนึ่ง มีมนุษย์กบกำลังถ่ายภาพสิ่งๆหนึ่งอยู่ ผมเห็นไม่ชัดนัก ไม่รู้ว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ เมื่อพี่ตามเข้าไปดูแล้ว จึงเรียกผมเข้าไปครับ

ปลาประหลาดที่อยู่ตรงหน้าผม ปลากบนี่หว่า!!! ผมคิดในใจ นี่ คือ ปลากบยักษ์(Giant Frogfish) อย่างแน่นอน ตัวไม่เล็กเลยครับ จัดว่าใหญ่ มีลักษณะสีขาวทั้งตัว ผมตื่นเต้นเพราะดำน้ำมานี่ก็ไดฟ์ที่ 71 พอดี พึ่งเห็นปลากบครั้งแรกนะเนี่ย 5555

ปกติสีของปลากบจะเหมือนกับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ แต่แปลกครับ ปลากบตัวนี้สีแตกต่างจากสภาพแวดล้อมชัดเจน ทำให้เรามองดูง่ายมาก ที่สำคัญในระดับความลึกแบบนี้(เกือบ 30 เมตร) ผมว่าศัตรูของปลากบก็คงมีไม่เยอะล่ะมั้ง แต่เหยื่อของปลากบผมว่ามีนะ ไม่งั้นปลากบอยู่ไม่ได้หรอกครับ

ปลากบไม่ค่อยย้ายถิ่นไปไหนครับ เขาชอบอยู่เฉยๆ ใช้ส่วนที่คล้ายเบ็ดล่อเหยื่อเพื่อให้เข้ามาใกล้แล้วฮุบเหยื่อ หากเดินก็ใช้ครีบเดิน ถ้าว่ายน้ำเห็นยากครับ แต่เดาได้ว่า ปลากบหนีภัยจากนักล่า ไม่ก็หนีจากการรบกวนของนักดำน้ำครับ

เสียดายที่ผมไม่เห็นลูกตาของเขาครับ ครูเอ๋บอกว่าไม่แปลกที่มองไม่เห็นเพราะปลากบก้มหน้าอยู่น่ะ

ขึ้นมาด้านบน พี่โหน่งฟื้นคืนชีพแล้วครับ หลังจากไปดูดเลือด(ไม่ใช่แวมไพร์555) ดูแกสดชื่นดี พอทราบว่าไดฟ์ที่แล้วเจอปลากบ แกเสียดายเหมือนกันแต่แกว่าไดฟ์ต่อไปลงได้ครับ ดีขึ้นมาก(ผมว่าพักผ่อนในไดฟ์แรกน่ะดีแล้ว เห็นสัตว์ทะเล ถ้าจังหวะได้ เดี๋ยวก็เห็นครับ ดูอย่างผมซิ กว่าจะเห็น555)

อาหารเช้ามีข้าวผัดแฮม ไส้กรอก เบคอน สลัดผักและผลไม้รวม

ผมกับพี่โหน่งนั่งคุยกับพี่อุ๋ย พี่อิ๋ว เฮฮากันใหญ่ครับ มีแต่เสียงขบขัน(พึ่งจะได้มาคุยกันจริงๆ ก็วันนี้แหละครับ)

ซักพักใหญ่ เราเตรียมลงดำน้ำในจุดต่อไป จุดนี้เรียกว่า เรือนกล้วยไม้ (East of Eden)

Tuesday, January 22, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(5)

http://habitatnews.nus.edu.sg/
http://www.nmfs.noaa.gov
http://www.reefkeeping.com/




31 ธันวาคม 2550

เช้านี้ตื่นขึ้นมาอย่างสดใสครับ ขึ้นมาทานขนมปังด้านบน ไดฟ์เช้านี้เราจะลงกันที่เกาะตาชัยเหมือนเดิม

เห็นครูเอ๋ใช้ยาชนิดหนี่ง(คล้ายยาหม่อง) ทาบริเวณหลังหู ผมเลยลองขอมาทาบ้าง ครูเอ๋บอกว่า ช่วยให้เคลียร์หูดีขึ้น(แบบนี้ต้องลองครับ) จะว่าไป ผมไม่ค่อยได้เห็น Instructor ที่เป็นผู้หญิงเท่าไรนัก(คงมีน่ะครับ เยอะด้วย) แต่นี่เป็น Instructor ที่น่ารักที่สุด เท่าที่เคยเห็นเลยครับ

น้องเอ็ม เด็กตัวโย่งบอกว่า ไดฟ์แรกจะลงไปกับพี่สาวที่อยู่บนเรือ Scubanet เพื่อคอยดูแล แต่น้ำวันนี้ไหลใช้ได้ครับ กระโดดลงไปต้องจับเชือกให้ดี ไม่งั้นหลุดไปไกลแน่ๆ

เอ้า เราไปลุยกันต่อครับ




Dive 9 เปลี่ยนสี ยูนิคอร์น !!!

พี่ตามเขี่ยสิ่งที่มีลักษณะคล้ายหัวอะไรซะอย่าง น่าจะเป็นหัวกุ้งมังกร(Lopster)ครับ อาจถูกนักล่าฟาดจนเหลือซากอย่างที่เห็น

ลักษณะของจุดที่ลงมาเป็นกองหิน หลายๆกอง เป็นหย่อมๆ บางกองเล็ก บางกองใหญ่ ผมว่ายตามพี่ตามไปเรื่อยๆ เลี้ยวทางนั้น ไปทางนี้ จนกระแสน้ำเริ่มแรง ขาผมก็เริ่มเมื่อยแล้วครับ

ผมว่ายช้าลง จนพี่โหน่งแซงขึ้นไป ในใจอยากจะเคาะ pointer บอกพี่ตามว่า “รอหน่อยพี่ เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว” แต่อดทนครับ เดี๋ยวจะหาว่า อะไรกันแค่นี้เหนื่อยแล้วเหรอ อีกอย่างถ้าไม่ไหว จนต้องให้คนอื่นลากไป เสียฟอร์มคนมาสิมิลันเป็นครั้งที่ 2 อย่างผม แย่เลย(เท่าที่คุยๆ หลายคนพึ่งมาสิมิลันเป็นครั้งแรกครับ)

ปล่อยควายก็ปล่อยควาย สู้เว้ย!! ในขณะที่กระแสน้ำแรงขึ้น ผมใช้มือช่วย กวาดน้ำออกไปรอบๆ(ท่ากบของแท้ มีใช้มือด้วย) ได้ผลครับ ขาเมื่อยน้อยลง แต่ทำให้ร่างกายของผมขยับไปด้านหน้าต่อไปได้(ใครเห็นคงตลกแน่ๆ ว่า ไอ้มนุษย์กบคนนี้แปลกว่ะ ใช้มือด้วย) แต่เอาเถอะครับ ขอผมเถอะ ผมไม่ได้ทำแบบนี้ทุกไดฟ์นะ เฉพาะหมดแรงจริงๆ น่ะ

ในระหว่างนี้เอง ผมเห็นปลายูนิคอร์นลายจุด(Spotted Unicornfish) แต่ไม่ได้เคาะ pointerครับ เพราะเห็นแต่ละคนจ้ำเอาๆ กลัวโดนทิ้งห่างด้วยล่ะ อีกอย่างมันเหนื่อย หายใจออกก็เร็วด้วย

ปลายูนิคอร์นลายจุด(Spotted Unicornfish) ถือเป็นปลาประหลาดเพราะมีเขายื่นมาด้านหน้าคล้ายสัตว์ในเทพนิยายโบราณ ตัวที่ผมเห็นมีลักษณะสีดำ ใช่ครับ เป็นปลาเพศผู้ที่เปลี่ยนสีจนเข้ม ช่วงนี้เป็นฤดูผสมพันธุ์ของพวกเขา(เคยเห็นรูปจากพี่หมอนัท ที่โลซิน ถ่ายรูปปลามงที่เกี้ยวพาราสีกัน ตัวผู้ก็มีสีเข้มเช่นกันครับ)

ในที่สุด พี่ตามก็หยุด ตรงนี้กระแสน้ำไม่แรงเท่าไรแล้ว(ทราบภายหลังว่า แกหยุดพักเหนื่อยครับ)

มาตรงจุดที่มีมนุษย์กบเยอะจริงๆ พวกเขาดูอะไรกันน่ะ พี่ตามเข้าไปดูซักพักก็ถอยออก ถึงผมอยากจะดูก็ไม่สนใจครับ Leader ผมกำลังจะไปแล้วนี่(ภายหลังทราบว่า ตรงนั้นมีปลากบครับ แต่ตัวเล็กมากๆ พี่ตามยังมองไม่เห็นเลยน่ะ ถ้าเป็นปลาฟิน (Fin) หลากหลายยี่ห้อ ผมเห็นเพียบเลยครับ หลายยี่ห้อก็โดนเตะมาแล้วด้วย 555)

ส่วนปลาอื่นๆในไดฟ์นี้ ก็มีปลาวัวหางพัด(Scrawled Leatherjacket) ปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) และ ปลาปากแตร(Trumpetfish) ครับ

ขึ้นมาบนผิวน้ำ ผมถอดหน้ากากออกมาไว้ที่คอ(ตามปกติ ขึ้นมาผมก็ถอดครับ) ใกล้ๆ มีสาวคนหนึ่งสวมหน้ากาก จ้องผมและเข้ามาทักทาย(มาจากเรืออื่นแน่ๆ)

“กระสาบหรือเปล่า” สาวคนนั้นเรียก

“ใช่ครับ” ผมตอบด้วยสีหน้างงๆ

“นี่ก้อยเอง จำได้หรือเปล่า” เธอบอก ผมอึ้ง เพราะจำไม่ได้ว่า ก้อยไหน(ขึ้นมาต้องโหลดนานครับ มันมึนๆด้วยน่ะ)

“ก้อย- เป้ ไงล่ะ” ผมอ๋อทันที เป็นแฟนเก่าเพื่อนผมนี่เอง ไม่แปลกใจที่เธอจำผมได้ แต่ผมจำเธอไม่ได้ เพราะผมถอดหน้ากาก แต่เธอสวมอยู่(ใครจะไปมองออกล่ะครับ)

สอบถามได้ความว่า เธอพึ่งเรียนดำน้ำครับ มากับเรือ แมนต้าควีน(พี่ขุนเล่าให้ฟังบนเครื่องว่า เรือนี้เป็นของซักที่ ทางเขาหลัก น่ะครับ)

โลกมันก็ช่างกลมนะครับ บนบกไม่เจอ มาเจอบนผิวน้ำซะได้ 55555

อาหารเช้ามี ข้ามต้มไก่ฉีก ไข่ลวก หมูทอดกระเทียมพริกไทย สลัดผัก และผลไม้ หรอยจังฮู้ 5555

เรือโชคศุลี มุ่งหน้าไปยังจุดดำน้ำต่อไป คือ เกาะบอน(อีกครั้ง) มาสิมิลันคราวนี้ ผมดำที่เกาะบอนกับเกาะตาชัย เยอะกว่า 2 ปีก่อนครับ(คราวนี้ดำ 2 เกาะ รวม 6 ครั้ง มี Night Dive ด้วย ก็ดีนะครับ ผมว่า Night Dive 2 ที่นี้ มีอะไรดูเยอะเลยล่ะ)

รูตรงกลาง แล้วมีน้ำซัดเข้าไปแบบนี้ คือ จุดเด่นของเกาะ ผมจำได้แล้วครับ ผมเห็นคุณเสรีแต่งตัว(เจ้าของก็ลงด้วย) ไม่บ่อยนะครับ ที่เราจะเห็นเจ้าของเรือมาลงดำน้ำด้วยแบบนี้

ตามผมลงไปสำรวจเกาะบอนอีกครั้งนะครับ




Dive 10 หมึกยักษ์ ขี้อาย!!

รู้สึกว่า ไดฟ์นี้สบายขึ้นครับ ไม่ถูกปล่อยควายเหมือนไดฟ์แรก(กระแสน้ำไม่แรงเท่าน่ะครับ) พี่ตามชี้ให้ดูสัตว์ทะเลชนิดหนึ่งในโพรง

Octopus หรือเจ้าปลาหมึกยักษ์ครับ เห็นแค่หนวดผมก็จำได้ทันที แต่ยิ่งดูเขาก็ยิ่งหลบเข้าไปด้านใน ดูแล้วถอยออกมาดีกว่า เผื่อพี่โหน่งจะถ่ายรูปด้วย

จะว่าไปแล้ว นอกจากในสารคดี ผมยังไม่เคยเห็นเจ้าOctopus ว่ายน้ำแบบเต็มๆ ซะที เจอทีไร ซ่อนอยู่ในโพรงตลอด ไม่เหมือนหมึกกระดอง หมึกกล้วย(อันนี้เห็นยากกว่าหมึกกระดองครับ ถ้าบนจานอาหารน่ะไม่ยากหรอก) 2 ชนิดหลัง เคยเห็นว่ายน้ำอยู่ บ่อยๆ

เป็นไปได้ว่าหมึกยักษ์ออกหากินเวลากลางคืน เวลากลางวันหลบซ่อนอยู่ในโพรงเหมือนสัตว์ทะเลอีกหลายชนิดที่ทำเช่นนั้น

มาถึงจุดเดิมครับ จุดที่รอดูแมนต้า เรย์ แต่ก็ยังคงไม่พบครับ เป็นไปได้ว่า คนมาเยอะแบบนี้ สัตว์ก็กลัวเป็นนะครับ คนยังกลัวสัตว์ได้ ไฉนสัตว์จะกลัวคนบ้างไม่ได้ เป็นไปตามธรรมชาติอยู่แล้ว

ส่วนสัตว์ทะเลอื่นๆ ก็เยอะครับ แต่ผมจำได้แค่ ปลาวัวหางพัด(Scrawled Leatherjacket) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moorish Idol) และ ปลาโนรี(Longfin Bannerfish)ครับ

อาหารกลางวัน มีส้มตำ น่องไก่+ปีกไก่ทอด ลาบหมู ข้าวเหนียว ใครจะไปคิดว่า อยู่กลางทะเลแบบนี้ ก็มีอาหารอีสานกินครับ อร่อยมากๆ

จากนี้ไป ไดฟ์ที่เหลือ เราจะกลับไปดำกันที่สิมิลันครับ เรือโชคศุลีแล่นออกจากเกาะบอน จุดหมาย คือ เกาะเก้า(North Point)

ตอนแรกคุยกันว่า จะดำกันที่ ต้นไม้สามต้นครับ(ชื่อจุดดำน้ำน่ะ) ผมก็ไม่เคยดำที่นี่เหมือนกัน แต่ยังไงก็ได้ครับ พวกพี่ลงที่ไหน ผมก็ลงด้วย แต่ขอแบบมีแนวปะการังให้ดูด้วยนะ ให้ผู้ใหญ่ไปคุยกันครับ ว่าจะพาลงที่ไหน

เรือมาถึงที่ เกาะเก้า(North Point) สรุปว่าเราจะลงกันที่นี่ครับ



Dive 11 เต่ากระโบยบิน/งูทะเลปล้องดำ!!!!!

ดีมากครับ น้ำใสจริงๆ ผมอยู่ในระดับความลึกประมาณ 15 เมตร ยังมีแนวปะการังให้เห็นอยู่ มองออกไปไกลสุดสายตา บางคนอาจไม่ชอบแนวปะการังแต่สำหรับผมแล้ว ผมชอบมากครับ เพราะในแนวปะการังย่อมมีสัตว์ทะเล หลายชนิดไม่ได้หาง่ายๆซะด้วย

เจ้าบ้านที่ออกมาทักทายก่อน คือ ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray) ลำตัวสีน้ำตาล โผล่แต่หน้าออกมาแบบนี้ แต่ก็ไม่รอดจากการสังเกตของมนุษย์กบไปได้

ขวัญใจเหล่าเด็กๆและผู้ใหญ่ คือ ปลาการ์ตูนส้มขาว(False Clown Anemonefish) ตามมาด้วยปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ‘ s Anemonefish) เวลาจ้องหน้าพวกเขานานๆแล้ว ก็อยากเป็นปลาเหมือนกันน่ะ

ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish)และ ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) แหวกว่ายตามแนวปะการัง แต่ปลาผีเสื้ออีก 1 ชนิดที่ผมสังเกตเห็น คือ ปลาผีเสื้อปากยาวหน้าดำ(Big Long-nosed Butterflyfish) ปากยาวๆ ธรรมชาติสร้างให้ขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการหาอาหารตามซอกของปะการังโดยเฉพาะ

ด้านล่าง ผมเห็นเจ้าตัวเล็กอยู่ 1 ชนิด อยากเข้าไปใกล้ชิดเลยลงไปถึงพื้นในระยะ 18. 3 เมตร เป็น ลูกปลานกขุนทองแอฟริกา(African Coris) ครับ คราวนี้ ผมมีโอกาสได้จ้องเขาอย่างนานๆ ดูเหมือนว่า เขาอยากรู้ว่าผมเป็นใคร ไม่หลบเข้าไปในรู แต่ว่ายหลบแล้วโผล่ออกมาเป็นระยะๆ (มาเล่นซ่อนแอบกันดีกว่าน้อง555)

อยู่นิ่ง กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมแต่แฝงไปด้วยพิษ เจ้าปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled Scorpionfish) นอนเป็นใหญ่บนก้อนหิน ผมเรียกให้พี่ๆดู เพราะหากใครไม่สังเกตก็จะมองไม่เห็นและมักจะมองข้ามไป

เสียงเคาะ pointer ดังครับ ผมหันไปด้านขวา เป็นภาพที่สวยงามมากครับ เหนือแนวปะการังเขากวาง เต่ากระตัวใหญ่(Hawksbill Turtle) กำลังว่ายไปด้านหน้าผมทาง 2 นาฬิกา ท่าว่ายของเขาช่างสง่างามนัก หากบนบกมีนกกางปีกโผบิน ใต้น้ำก็มีเต่ากระนี่ล่ะครับ ที่แหวกว่ายในน้ำ บินได้ดั่งนกและสง่างาม ผมว่ายตามทันทีเพราะอยากจะใกล้ชิดเขา

ดูเหมือนจะไม่มีใครว่ายตามด้วยครับ ผมห่างจากเต่ากระไม่ถึง 2 เมตร จ้องมองเขาใกล้ๆอย่างมีความสุข ก่อนที่จะลดความเร็ว(เหนื่อยน่ะ ขืนว่ายต่อไปก็หลงกลุ่มซิครับ) ผมปล่อยให้เขาว่ายต่อไป จ้องมองจนเต่ากระลับตาไป

กลับมาต่อครับ เหนือก้อนหินก้อนนี้ ลายปล้องแบบนี้ มันงูทะเลปล้องดำนี่นา(Sea Snake) แค่คำว่างู หลายคนบกบกก็ขยาดแล้วครับ แต่นี้มาอยู่ใต้น้ำ ผมออกเสียงลำบาก งูทะเลชนิดนี้ ถ้าจำไม่ผิดมีพิษต่อระบบกล้ามเนื้อครับ พิษร้ายถึงตายได้เลยล่ะหากโดนกัด ผมเรียกให้พี่โหน่งถ่ายรูป(ตอนถ่ายแกไม่รู้ว่าเป็นงูครับ พอขึ้นมาและทราบว่าที่ถ่ายน่ะเป็นงู แกตกใจใหญ่ครับ 555) (ตกใจอะไรกันพี่ บนหัวก็มีกันทุกคนนะ 55)

นอกนั้นก็เป็นปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) ที่มักใช้ปากขบกัดปะการังจนได้ยินเสียงกรุบกรับ(ถ้าเป็นแขนเราก็ไม่เหลือครับ นิ่มกว่าปะการังเยอะ) และทากทะเล(Sea Slug) ที่จำชนิดไม่ได้

ขึ้นมาบนผิวน้ำ ผมคลื้นไส้เล็กน้อย(เวลามีอาการก็รีบหันไปทางอื่นครับ เกรงใจคนใกล้ๆน่ะ เผื่ออาเจียนขึ้นมา) ผมและเพื่อนๆเกาะเชือกจากดิงกี้กลับเรือ

ด้านบน อาหารว่างเตรียมพร้อมแล้วครับ รสชาดอร่อยจริงๆ เป็น ขนมปังหน้าหมูชุบไข่ทอด จิ้มน้ำจิ้มอร่อยดี ไม่จิ้มก็อร่อยจัง

เรือโชคศุลีแล่นมาที่เกาะแปด(หินใบ) จุดเด่นเป็นหินรูปเรือใบที่ตั้งตระหง่านอย่างน่าอัศจรรย์ มองเห็นอ่าวเกือกอยู่ใกล้ๆ ทรายสีขาว สวยมากครับ

ได้ยินแว่วๆว่า จะให้ขึ้นเกาะด้วย ผมดีใจมากครับ 2 ปีก่อน ผมมาดำน้ำเรือ Liveaboard แต่เขาไม่ได้แวะให้ ได้แต่มองหินใบอยู่ไกลๆ การมากับเรือที่มีเวลาให้นักดำน้ำ ขึ้นเกาะกับไม่ได้ขึ้น ความประทับใจย่อมต่างกัน สำหรับผม ความหรูหราของเรือเป็นปัจจัยท้ายๆในการตัดสินใจครับ

เรามาถ่ายรูปรวมกันด้านหน้าเรือ ทุกคนดูมีความสุขครับ ผมถอยหลังจนสุดเพื่อถ่ายรูป กล้ามท้องเกร็งจนตัวสั่น ทุกคนเลยหัวเราะกันใหญ่เลยครับ 5555

ดูนั่น ครูปรีชากับน้องฟินเร็วจริงๆครับ ขึ้นไปรอบนดิงกี้แล้ว ผมไม่รอช้า สวมเสื้อ เตรียมอุปกรณ์ถ่ายรูป ไปสำรวจเกาะดีกว่า อยากขึ้นไปบนหินใบด้วยครับ และไม่ลืมที่จะหยิบรองเท้าแตะไปด้วย(กันเจ็บเท้าน่ะ)

Monday, January 21, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(4)

http://www.colours.dk/

http://filaman.ifm-geomar.de



Dive 6 ผมเจอปลากัดทะเลครับ!!!!

เจ้าปลาไหลมอเรย์หน้าปาน(Darkspotted Moray) อ้าปากหวอทักทายนักดำน้ำ ผมจดจำลักษณะเขา เป็นครั้งแรกที่ได้เห็น เช่นกัน

สอดส่องตามโพรงบริเวณผาหิน พี่ตามเรียกให้ผมมาดูสัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง ตอนแรกมองไม่เห็นครับ โพรงก็ไม่ใหญ่ แถมคนดูก็ตาถั่ว ผมเลยเข้าไปใกล้ ในระยะมากๆ ระยะ ไม่กี่เซนติเมตร(ถ้าเป็นปลาไหลมอเรย์ก็ออกมาฉกตาได้เลยล่ะครับ)

สิ่งที่ผมเห็น คือ ปลากัดทะเล(Comet)ครับ ขนาดไม่เกิน 12 ซม ดีใจสุดๆ เพราะถือว่าเป็นปลาที่หายาก กลางวันมักหลบซ่อนอยู่ตามโพรงหิน พฤติกรรมก็ไม่ใช่ปลาว่ายน้ำในที่โล่งซะด้วย รูปร่างเหมือนปลากัดน้ำจืดแต่มีลำตัวสีดำ มีจุดสีขาวรอบตัว ความขี้อายของเขา ทำให้เราพบเห็นได้ยากครับ ปลากัดทะเลมีตาปลอมไว้ขู่ผู้รุกรานด้วย ผมเห็นตาปลอมชัดเจน(ภายหลังกลับมาดูภาพในเว็บอีกที ถึงเห็นครับ ว่าตาปลอมนั้น เหมือนหัวปลาไหลมอเรย์เลยล่ะ)

ผมทำสัญญาณมือให้พี่ตามว่า โอเค ผมเห็นแล้วพี่(แต่หลายคนอาจไม่ทราบครับ ว่า ปลากัดทะเลนั้นหายากจริงๆ ถ้าถามผม ตัวใหญ่ๆที่หายาก เช่น แมนต้า ฉลามวาฬ เรายังมีโอกาสเห็นพวกเขาบนผิวน้ำได้ ถ้ามาถูกที่ ถูกเวลา บางคนดำผิวน้ำก็เห็น แต่สำหรับปลากัดทะเลขนาดเต็มวัยแบบนี้(วัยเด็ก อาจจะว่ายในแนวปะการัง แต่ก็ดูยากอยู่ดี) ต้องแปลงกายเป็นมนุษย์กบลงมาดูครับ ยิ่งตัวเล็กๆแบบนี้ด้วย)

ต่อไป มีอีกโพรงหนึ่งครับ พี่ตามเรียกให้มาดูอีกเช่นกัน คราวนี้เป็นกุ้งครับ ชื่อว่า กุ้งนักมวย(Boxer Shrimp) ลายปล้องน้ำตาลแดงสลับขาว จดจำได้ง่าย หลายคนสงสัยว่านักมวยอะไร จะไปต่อยมวยเหรอ จริงๆแล้ว กุ้งนักมวยมีพฤติกรรมไล่กุ้งตัวอื่นที่อยู่ในรัศมีออกไป(นักเลงแฮะ ตรงนี้ล่ะมั้งที่เป็นที่มาของชื่อ)

ด้านล่าง ปลาชนิดหนึ่งว่ายผ่านผมไป นี่คือ ปลาปักเป้ากล่องดำลายจุด(Spotted Boxfish) มีสีน้ำเงินสลับสีดำ สวยดีครับ ปลาชนิดนี้เปลี่ยนเกล็ดให้เป็นเกราะแข็ง เพื่อใช้ป้องกันตัว สามารถสร้างเมือกพิษที่ชื่อว่า Ostracitoxin ได้ด้วยครับ

นอกนั้นก็มีทากทะเล(Sea Slug) ที่จำชนิดไม่ได้ และปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ครับ

ผมสวนกับกลุ่มนักดำน้ำชาวต่างชาติ(เห็นหัวทองน่ะครับ) ไม่น่าจะต่ำกว่า 10 คน จะเรียกว่า ตลาดน้ำริเชลิวคงไม่ผิดนัก(ยังมีกลุ่มอื่นๆ อีก) เผลอแวบเดียว ผมหลงกับพี่ตาม Leader ของผมเรียบร้อย(ขนาดน้ำใสๆนะ) พี่โหน่งก็ไปไหนเนี่ย

โชคดีเจอพี่โหน่งครับ ช่วยกันมองหา Leader เราดีกว่า ไม่นานก็เจอครับ

ในช่วงอากาศเหลือ 50 บาร์ ผมบอกพี่ตาม แกกำลังหาทางขึ้น ผมกับพี่โหน่งก็ว่ายตามแกไป จากนั้นไม่นาน เราหลงกันอีกแล้วครับ(ทราบภายหลังว่า แกหาผมและพี่โหน่งไม่เจอ) เอายังไง อากาศก็จะหมดแล้วด้วย จะแชร์กันคงไม่ไหว เพราะเหลือน้อยด้วยกันทั้งคู่(เวรกรรม)

ขึ้นดีกว่าครับ ค่อยๆทำ Safety stop แต่พลาดอยู่อย่าง คือ ไม่ได้จุด Sausage(ไส้กรอกสัญญาณ) ระหว่างทำ ไปๆมาๆ มันขึ้นเองน่ะครับ จะลงมาอีกทีก็ไม่ทันแล้ว พลาดอีกข้อ คือ พึ่งทำ Safety stop ไป 1 นาทีเอง โชคดีว่า ไม่มีเรือบนหัวนะ ไม่งั้นก็.............

ตีขา เข้าเรือครับ(มองหาดีๆล่ะ เรือเยอะมาก) ปรากฎว่าพี่ตามยังไม่ได้ขึ้นมา เรามองหากันใหญ่ คิดในใจว่า แกไม่เป็นไรอยู่แล้ว

ไม่นานนักพี่ตามก็ขึ้นมาครับ แกบอกว่ามองไม่เห็นจริงๆ คราวหน้าจะไม่พลาดแล้ว(ไม่เป็นไรครับพี่ นิดๆหน่อยๆ)

อาหารกลางวันมี ราดหน้าทะเลกุ้ง หมูและปลาหมึก มีเส้นใหญ่ เส้นหมี่และหมี่เหลือง ตบท้ายด้วยผลไม้รวม อร่อยดีครับ

เรือโชคศุลีออกจากกองหินริเชลิว จุดหมายต่อไป คือ เกาะตาชัย ผมมองเห็นข้างๆเรือ มีที่ว่าง(ของพอส) แถมด้านหน้าเรือ(ที่นอนบ่อยๆ) มีแดดครับ ไปนอนข้างเรือ หาผ้าห่มมาหนุนหัวนอนดีกว่า สบายใจ(กิจกรรมยามว่าง คือ นอน ครับ มันเพลียน่ะ)

มาถึงเกาะตาชัยเป็นที่เรียบร้อย เห็นหาดทรายสีขาวอยู่ใกล้ๆ ผมมีความหวังที่จะได้ขึ้นเกาะ หลังจากที่เคยได้ยินเจี๊ยบกับเดียร์เล่าให้ฟังถึงความสวยงามของหาดทรายบนเกาะตาชัย ครั้งเธอมากับเรือบัณฑิต แต่เอาเถอะครับ นี่ถึงเวลาจะลงไดฟ์ต่อไปแล้วล่ะ



Dive 7 ปลาหมูหน้าเสี้ยมหลบกระแสน้ำ!!!

น้ำใสกว่าที่กองหินริเชลิวครับ ไดฟ์นี้ผมรู้สึกว่า ดำดีสีไม่ตก เอ้ย รู้สึกว่าดำน้ำดีกว่า 2 ไดฟ์แรกวันนี้ครับ การหายใจเข้า-ออก อย่างช้าๆ ทำให้ผมตีขาน้อยมากๆ ลอยตัวอย่างอิสระ หันข้าง หงายหน้ามองดูปลากลางน้ำอย่างมีความสุข

ที่กลางน้ำ ผมเห็นฝูงปลาตะคองเหลือง(Golden Trevally) 1 ในปลากลางน้ำที่มีรูปร่างเพรียว ช่วยในการว่ายน้ำได้ดี ที่ผมเห็นเป็นขนาดโตเต็มวัยครับ หากเป็นวัยเด็กจะสีออกเหลืองๆ ที่น่าสนใจ คือ ปลาวัยอ่อนจะอาศัยอยู่ตามหนวดของแมงกระพรุน(คราวหน้าลองสังเกตดู อาจจะเจอครับ)

จากนั้นเป็นปลามงครีบฟ้า(Bluefin Trevally) ที่ออกมาทักทายติดๆกันเลยครับ

บริเวณผาหิน มีฝูงปลาชนิดหนึ่งหลบกระแสน้ำอยู่ เรียงตัวอย่างเป็นระเบียบ เมื่อผมสังเกตดู พวกเขาคือฝูงปลาหมูหน้าเสี้ยม(Longface Emperor) หัวยาวและแหลมคือจุดเด่น(ไม่ใช่ หม่ำ-เดียว หัวเหลี่ยมหัวแหลมนะครับ อันนี้ปลาหมู 555) ปลาหมูหน้าเสี้ยมพบได้ยากกว่าฝูงปลามง การได้พบพวกเขาตอกย้ำได้ดีว่า ใต้ทะเลที่เกาะตาชัยอุดมสมบูรณ์มากครับ

ด้านหน้ามีฝูงปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ที่มักจะไม่กลัวนักดำน้ำ นักดำน้ำจะชื่นชอบในความขี้เล่นของพวกเขา ผมอยู่ใกล้ปลาหูช้างในระยะที่เอื้อมถึง ขนาดจะชนแล้วยังไม่หนีเลยครับ ในบรรดาปลาทะเลหากจะกล่าวถึงความเป็นมิตรกับนักดำน้ำ เชื่อว่าปลาหูช้างติดอยู่ในอันดับต้นๆแน่นอนครับ

อ้าปากยาวๆ ออกมานอกโพรงแบบนี้ เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray) ถ้าไม่ผิดพลาดชนิดนี้แหละครับ ที่นักดำน้ำถูกกัดจนนิ้วขาดเพราะไปให้อาหารพวกเขา(ผมว่าอย่าไปให้เลยครับ นอกจากจะอันตรายแล้ว ยังทำให้พฤติกรรมของปลาเปลี่ยนไปด้วย)

ปิดท้ายด้วยปลาปากแตร(Trumpetfish) ที่มีมากเหลือเกิน ผมเห็นปลาปากแตร ไม่ต่ำกว่า 7 ตัว ที่นี่ครับ

ขึ้นมาด้านบนครูนิ้มบอกว่า กำลังรอดูสัตว์ใหญ่เพราะมีแพลงตอนเยอะ ถ้ามีปลาว่ายเหมือนหนีอะไรมาเมื่อไร มีลุ้นได้ดูแน่ครับ

มีอาหารว่างสุดยอดความอร่อย อย่างปูอัด ผักกาดหอมชุบแป้งทอด ถั่วชุบแป้งทอด(รูปร่างเหมือนถั่วฝักยาวครับ) มันฝรั่งชุบแป้งทอด จิ้มด้วยน้ำจิ้มปลาดิบ คงไม่ต้องอธิบายความอร่อยนะครับ

ผมกินได้ยังไม่เต็มคราบ มีเสียงสวรรค์บอกมาว่า ใครอยากขึ้นเกาะตาชัย ให้ไปลงดิงกี้ได้เลย มีเหรอจะพลาด ผมรอโอกาสที่จะขึ้นเกาะมานานแล้วครับ(เกาะไหนก็ขึ้นหมดล่ะครับ ไม่มีคำว่าเบื่อแน่นอน อารมณ์เหมือน เดวี่ โจนส์ ในหนัง Pirates of the Caribbean ที่จะขึ้นเกาะได้ ปีหนึ่งมีวันเดียว ผมกระหายขึ้นเกาะ อดอยากปากแห้งแบบนั้นเลยครับ 555) นอกจากจะได้เปลี่ยนบรรยากาศแล้ว ผมจะไปถ่ายรูปด้วยน่ะ ว่าแล้วหยิบของว่างเข้าปาก ไปกันเลยครับ



หาดสวย น้ำใสที่เกาะตาชัย!!!!

ชุดแรกมีผม พี่โหน่ง เอ็ม บี พี่เตย พี่พูห์ ครูปรีชาและน้องฟิน เนื่องจากเรามาในช่วงเย็น แสงแดดจึงไม่ค่อยมี แต่ไม่เป็นไรครับ ยังพอมองเห็นความงามของเกาะตาชัยได้

ทรายละเอียดมาก สีขาว ตัดกับสีฟ้าของน้ำทะเล เสียงคลื่นซัดเข้าฝั่ง หาดยาวสุดลูกหูลูกตา ทุกคนดูมีความสุขมากครับ เดินถ่ายรูปกัน โดยเฉพาะน้องฟิน ลูกสาวครูปรีชา เด็กสาวที่อายุน้อยที่สุดบนเรือ ได้มาเหยียบเกาะตาชัยแล้ว(ผมว่าเธอโชคดีมากครับ ตอนผมอายุเท่าเธอยังไม่มีโอกาสดีๆแบบนี้เลยน่ะ)

มีชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งอยู่บนเกาะครับ สวมทูพีช 2 ราย(โอ้ แม่เจ้า ต้องบอกว่า Cool!) เดี๋ยวว่าจะเดินผ่านไปทักทายซะหน่อย (ว่าแล้วก็ขอซูมก่อน แต่ได้เต็มที่แค่นั้นน่ะ 55)

ย่ำ เหยียบ ไปบนผืนทราย เท้าที่จมลงไป รับรู้ถึงความละเอียดของเนื้อทราย ผมเดินไปสุดหาดกับพี่เตย พี่พูห์ แวะทักทาย 2 สาวชาวต่างชาติเล็กน้อย(แค่ Hello ก็พอ เดี๋ยวสามีที่นั่งอยู่ด้วยจะเตะก้านคอเอาครับ 55)

เห็นครูตุ๊กกับมังคุด ตัวเปียก ไปไถ่ถามจึงทราบว่า 2 คนนี้ว่ายน้ำมาครับ(สุดยอดครับพี่)

ตอนแรกนึกว่าไม่มีใครมาครับ ไปๆมาๆ มากันหมดทั้งเรือ(ทนความเย้ายวนใจของเกาะตาชัยไม่ไหว) ดิงกี้รอบต่อมา ผมเห็นหยั่น ประพันธ์ อารีย์ พี่ตาม พี่หนุ่ย พี่โอ๋ ครูนิ้ม พี่อิ๋ว ครูเอ๋ พี่อุ๋ย พี่ตู่ ก็มากันครับ เรามาถ่ายรูปหมู่ร่วมกันดีกว่า

เขียนชื่อเกาะบนพื้นทรายดีกว่า ผมใช้มือเขียน แล้วก็ถ่าย ก็พอดูได้ครับ

มีปูน้อยอยู่(ไม่แน่ใจชนิดครับ) ผมลองถ่ายวีดีโอไว้ ตั้งใจเก็บพฤติกรรมน่ารักๆของเขาไว้ดู

ได้เวลากลับแล้วครับ พี่สายชลมารับแล้ว มาถึงเรือโชคศุลี นั่งพักเล็กน้อย ก่อนที่เรือโชคศุลีจะเคลื่อนตัวออกมา บริเวณอ่าวของเกาะตาชัย สถานที่ที่เราจะลง Night Dive ในวันนี้

ผมชอบมากครับ ไดฟ์นี้ เราไม่ต้องนั่งดิงกี้โดยจะกระโดดจาก Plat form เรือ ผมรีบแต่งตัว ขึ้นมาจะได้อาบน้ำและทานข้าวเร็วๆ



Dive 8 โอ้ ลูกปลาสิงโตแคระม้าลาย!!!!

ในแนวปะการังแบบนี้ น้ำใสมากครับ อยู่ในอ่าวแบบนี้กระแสน้ำก็ไม่มี ผมรู้สึกว่าชอบในการดำน้ำตามแนวปะการังมากกว่าออกไปตามกองหินในทะเล อาจเป็นเพราะในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระแสน้ำ การใช้อากาศ เป็นต้น

สัตว์ทะเลที่หลับแล้วก็มี(สงสัยเมื่อคืนนอนดึกล่ะมั้ง555) ที่ยังไม่หลับก็มี ปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) และ ปลานกแก้ว(Parrot Fish) คือ 2 ชนิด ที่เจอทั้งหลับและตื่น น่ารักดี

ส่องตามรูเจอปูครับ เจ้าปูเสฉวนยักษ์(White-spotted hermit crab) ดูจะตื่นกลัว ออกมาแล้วก็รีบหนีเข้าไปในโพรงเหมือนเดิม ต่อด้วยปูใบ้ปะการัง(Coral Crab)

หอยมือเสือ(Giant Clam) ระดับบิ๊กไซด์เลยครับ ใหญ่จริงๆ ไม่ได้เห็นขนาดใหญ่แบบนี้มานานแล้วเหมือนกันนะ

พี่ตามเรียกให้ผมดู สัตว์ทะเลชนิดหนึ่ง เป็นลูกปลาสิงโตครับ แต่ขนาดเล็กมากๆ ไม่เกิน 10 ซม ชื่อว่า ปลาสิงโตแคระม้าลาย(Zebra Dwarflionfish) เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพวกเขาในวัยเด็ก หลังจากที่เคยเห็นขนาดโตเต็มวัยมาแล้ว(ขนาดโตเต็มวัย 18 ซม ครับ) ปลาสิงโตแคระม้าลายตัวนี้ ดูไม่กลัวนักดำน้ำเลย เขาเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ผมสังเกตเขาได้อย่างใกล้ชิด เพลินจังครับ เหมือนเฝ้าดูเด็กน้อยเดินทางกลับบ้านเลยครับ(แสดงว่าเลี้ยงเด็กบ่อยน่ะซิ 555)

ถัดจากนั้น มีปลาสิงโตครีบจุด(Spotfin Lionfish) ไม่แปลกใจว่าเมื่อรัตติกาลมาเยือน เหตุจึงพบพวกเขาได้บ่อย เนื่องจากกลางวันเขามักซ่อนตัว ตกกลางคืนออกหาอาหารครับ

ส่องไปเรื่อยๆ พบเพื่อนอีกหลายชนิดครับ เริ่มจาก ปลาอมไข่(Cardinalfish) ปลาผีเสื้อแบนเนต(Bennett ‘ s Butterflyfish) ที่พบได้ไม่บ่อย แต่ผมมั่นใจว่าใช่พวกเขาครับ ปลาโนรีครีบยาว(Longfin Bannerfish) ปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish) ปลาผีเสื้อเทวรูป (Moorish Idol) ปลิงทะเล (Sea Cucumber)

ก่อนขึ้นด้านบน บริเวณทุ่น ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray) เลื้อยออกมาให้เห็นแบบเต็มๆ ลำตัวยาวน่าดูเลยครับ

ขึ้นมาคอแห้ง คลื้นไส้นิดหน่อย(เป็นปกติน่ะครับ กับน้ำทะเลแบบนี้ )

อาบน้ำ แต่งตัว อาหารเย็นมี แกงส้มปลากระพง ใส่ยอดมะพร้าวและผักกะเฉด ไข่เจียวหมูสับ ผัดผักสี่สหายราดซอสหอยนางรม ปลาแดงทอดขมิ้น และผลไม้

ครูปรีชาเล่าเรื่องตลกครับ มุขเยอะมาก ไม่ต่ำกว่า 10 มุข แถมไม่ซ้ำกัน เสียงหัวเราะทำให้เรือคึกคักขึ้นมาทันที คนที่หัวเราะจนน้ำตาไหล(ขำจัด) คือ พี่เตย ส่วนหัวเราะเสียงดังที่สุด ยกให้พี่โอ๋เลยครับ 555(บางมุข ผมตลกเพราะเสียงพี่นี่แหละ 555)

จากนั้นมีเกมทายไพ่ ที่ทายยังไงผมก็ยังจับไม่ได้ว่า เขาทราบได้อย่างไรว่าผมเลือกใบไหน แต่น่าจะเกี่ยวกับการชี้ไพ่แน่นอน(อาจเป็นการบอกรหัสลับก็ได้) แต่ก็สนุกดีครับ

สาวๆ จาก Scubanet มาอีกครับ คราวนี้มาพร้อมกัน 3 สาว พร้อมครูต้องและผู้ใหญ่อีกหลายคน เขามาทำกิจกรรมฝึกปรือวิชาว่า ดอกของใครจะสูงกว่า ผมไม่ค่อยมีโชคเลยไม่เล่นดีกว่า(ดูสาวอย่างเดียวพอแล้ว)

ขึ้นมาดาดฟ้าครับ มานั่งคุยกับพี่โหน่ง พี่เตย ประพันธ์ หยั่นและอารีย์ ลมด้านบนนี้ออกเย็นๆ ผมใส่เสื้อกล้ามยังหนาวเลยครับ ดุทุกคนจะแฮปปี้กับการดำน้ำทริปนี้มาก

ผมมองเห็นประพันธ์คอยดูแล ถามไถ่ อารีย์ พี่สาวเขาตลอด ดูแลทั้งใต้น้ำและบนบก รู้สึกเหมือนกับอีกหลายๆคนว่า ประพันธ์รักพี่สาวของเขามาก เป็นภาพที่ดีมากๆ น่าชื่นชมครับ

ทุกคนเริ่มแยกย้ายกันไปนอนครับ ผมลงไปด้านล่างดีกว่า กิจกรรมฝึกปรือวิชา ปรากฎว่า ผู้มาเยือนพ่ายเจ้าบ้านครับ สร้างรอยแค้นให้กับผู้มาเยือน พร้อมกับบอกว่า พรุ่งนี้ โชคศุลี ต้องไปเยือน Scubanet บ้าง ต่างคนต่างเกทับ ฟังแล้วก็สนุกดีครับ

คืนนี้ ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์แล้ว(พี่ตามบอกว่า การดื่มมีผลกับการดำน้ำแน่นอน จะมากหรือน้อย) ผมคิดว่าอาจจะเกี่ยวกับผมแน่ ผมอยากดำแบบสบายๆ แบบสองไดฟ์แรกวันนี้ อึดอัดครับ

นั่งคุยกับน้องเอ็มและพี่โหน่ง เด็กอะไร หิวบ่อยจัง เดี๋ยวก็ต้มมาม่ามากิน(น่าจะเหมือนผมครับ ระบบการเผาผลาญอาหารดีมากๆ ไม่รู้พยาธิเยอะหรือเปล่า)

เมื่อได้เวลา เราแยกย้ายกันไปนอน พรุ่งนี้แผนการดำน้ำเราน่าจะกลับไปดำแถวสิมิลันในช่วงบ่าย และไปจอดเรือ ดำ Night Dive ที่นั่นครับ

Thursday, January 17, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(3)

http://www.julianrocks.net/


http://www.starfish.ch/ http://animal-world.com/


Dive 3 ปลาสากยักษ์ แค่มองเขี้ยวก็กลัวแล้ว!!!

สบายมากครับ หลังจากทานแอคติเฟดเข้าไป เคลียร์หูได้อย่างดีเยี่ยม(ผมขอตั้งชื่อว่า ยาบ้า สำหรับผมก็แล้วกัน 555)

ที่นี่แม้จะมีตะกอนบ้าง แต่ระดับความใสของน้ำก็หลาย10 เมตร อยู่ดี 2 ปลาวัวอย่าง เจ้าปลาวัวดำ(Blue durgon) ตัวนี้ผมคุ้นเคยดีครับ เพราะปีที่แล้วเห็นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์จนจำได้ อีกชนิด คือ ปลาวัวหางพัด(Scrawled Leatherjacket) ก็ออกมาทักทาย ปลาวัวหางพัดสามารถกางครีบออกได้เหมือนพัด หลายคนอาจสงสัยว่า นายภพเอ้ย ปลาวัวมัน Triggerfish ไม่ใช่เหรอ 555 ถูกต้องครับ อย่าลืมว่าปลาวัวมีหลายสกุลนะ(คนจีน ยังมีหลายแซ่เลยครับ จริงไหมล่ะ)

ดวงตาเหมือนแบลคโฮ(ผมตั้งจากที่สังเกตเห็นเองน่ะ 55) คือ ปลาปักเป้าจุดฟ้า(Bluespotted Puffer) เนื่องจากเขาว่ายช้า ผมเลยมีเวลาสังเกตครับ อีกชนิดก็เป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ที่พบได้บ่อยอยู่แล้ว

ที่กลางน้ำ ปลาสากยักษ์(Great Baracuda)ลอยตัวนิ่งๆ อยู่ตัวเดียวครับ เขี้ยวที่โผล่ออกมานนอกปากดูแล้ว ขนพองสยองเกล้าดีแท้(จะซัดนักดำน้ำไหมเนี่ย) ปกติไม่เป็นอันตรายครับแต่จะจู่โจมเมื่อเห็นวัตถุสะท้อนแสง(จะลองดูก็ได้ครับ ผมยังอยากดำน้ำอีกนานนะ 555) เขี้ยวคมๆแบบนี้ ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่าคมมากๆ ผมเคยดูสารคดีของเมืองนอก นักดำน้ำไปให้อาหารปลาสาก แค่เฉี่ยวๆ มือ เลือดยังออกเลยครับ

บางทีผมเหนื่อย ก็ใช่มือช่วยครับ จะได้เป็นท่ากบที่สมบูรณ์(ผมว่าไม่มีใครเขาทำกันหรอก ) จริงๆ เป็นข้ออ้างว่าเหนื่อยน่ะ 5555(ดีกว่าเป็นตะคริวครับ)

มาถึงจุดยอดฮิต แม้ผมไม่ได้มา 2 ปีแล้ว แต่เห็นก็จำได้ทันทีครับ เป็นจุดที่นักดำน้ำมารอดูเจ้ากระเบนราหู(Manta ray) ลักษณะเป็นผาหิน มองออกไปด้านนอกจะเป็นกลางน้ำ พี่ตามเขียนสเล๊ดบอร์ดให้ผมทราบว่า “Wait for Manta” เป็นอันรู้กันว่า ให้คอยดู ถ้าโชคดีก็เจอครับ เพราะกลางน้ำแบบนี้ มักจะมีมวลอาหาร เช่น แพลงตอน มากับกระแสน้ำ และแมนต้า ก็ชอบเสียด้วย

คอยดูซักพัก เขาไม่มาครับ เมื่อได้เวลาอันสมควร ทั้งความลึกและอากาศ เราจึงเปลี่ยนระดับไปที่ตื้นขึ้น พี่ตามดูเข็มทิศเพื่อที่จะได้กลับเรือให้ใกล้ที่สุด

ส่วนปลาอื่นๆ ในไดฟ์ไซด์นี้ ที่สังเกตเห็นได้ ก็มีปลาปากแตร(Trumpetfish) ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish)ขนาดใหญ่ ปลาขี้ตังเบ็ด(Surseonfish) และปลาสลิดหิน(Damsel Fish)

อาหารว่างมีซาลาเปาไส้ครีม+หมูแดง ขนมจีบหมู+กุ้ง เติมพลังงานได้ดีเลยล่ะครับ อร่อยมากด้วย

ผมหาวิวถ่ายรูปเกาะบอน แต่ดันมีเรือมาบัง ต้องหาโอกาสเหมาะๆครับ ผมขึ้นไปบนดาดฟ้าเห็นเรือคายัคด้วยครับ(แหล่มเลยๆๆ)

พระอาทิตย์กำลังตกทะเล ดวงสีส้มแม้มีเมฆมาบังเล็กน้อยแต่ไม่เป็นอุปสรรคของช่างภาพครับ

นักดำน้ำหลายคนเริ่มอาบน้ำเพราะพวกเขาไม่ลงไนท์ไดฟ์(Night Dive) กัน หลายคนไม่ชอบครับ แต่สำหรับผมชอบมากๆเลยแหละ(เมื่อลงไปครั้งแรก จะบอกได้ทันทีครับ ว่าคุณชอบหรือไม่ชอบ)

Night Dive วันนี้ เราดำกันที่เกาะบอนครับ ไฟฉายผมได้มาจากพี่ป้อม (แกให้ยืมก่อน) พี่ตามก็อุตส่าห์ไปเอามาให้ด้วย ดีจริงๆ ลงดิงกี้(เรือยาง) แล้วไปกันดีกว่าครับ



Dive 4 ฮัลโหล หอยเขา!!!!

ใช้ท่า Back Row เอามือจับหน้ากากคาบเรคกูเลเตอร์ หงายหลัง แต่......(ผมลืมคาบเรคกูเลเตอร์ครับ 555) ไม่เป็นไร ไม่ได้กินน้ำทะเลเข้าไปเท่าไร โอเคครับ

ไฟฉายส่องหาสัตว์ทะเล ไม่นานนัก ผมก็พบกับหอยเขา Lamellaridae/Lamellarids(Coriocella Hibyae) 2 ปีก่อนที่ผมมาสิมิลัน ลงไนท์ไดฟ์ก็เจอหอยเขาครั้งแรกที่นี่ครับ ตอนแรกไม่รู้จักชื่อ พอตั้งกระทู้ถามพี่ Doris แห่งทะเลไทย จึงทราบคำตอบครับ(ผมรู้นะ จะพูดต่อว่าอะไร 5555)

หอยเขา เป็นชื่อไทยที่ตั้งกันเอง เป็นญาติกับหอยเบี้ยครับ ไม่ได้พบได้บ่อยๆ ที่พบก็มีที่เกาะสุรินทร์ จ. พังงา และเกาะเฮ จ. ภูเก็ต ลำตัวที่เป็นเนื้อจะห่อหุ้มเปลือกไว้หมด ที่นี่มีหอยเขาเยอะเลยครับ

ต่อจากนั้น เพื่อนซี้ผม ปลานกแก้ว(Parrot Fish) กำลังหลับอยู่ครับ เลยขอไปจูบ เอ้ย ไปทักทายนิดนึง แค่ลูบเบาๆน่ะครับ เขาก็ไม่ตื่นด้วยนะ

มีปูแต่งตัวอยู่บนก้อนหิน(Decorator Crab) (ปูแต่งตัวจะใช้ฟองน้ำมาติดตามร่างกาย เพื่อพรางตัว) ผมคุ้นเคยมาก เพราะพึ่งช่วยเหลือปูแต่งตัวออกจากอวนที่ระยอง เมื่อเดือนที่แล้ว ดีใจที่ได้เห็นพวกเขาไร้เครื่องพันธนาการครับ

เย้ย!!! นั่นมันปลาแมงป่องเกล็ดเล็กนี่นา(Tassled Scorpionfish) เป็นครั้งแรกที่ผมเจอเขาในการดำน้ำกลางคืน เคยแต่พบในเวลากลางวัน ต้องรักษาระยะห่างๆไว้ หากไปถูกอาจจะโดนพิษได้ครับ

นอกนั้นก็เป็นปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Black Blotched Porcupinefish) และดาวขนนก(Feather Star) ที่มักจะคึกคักในยามรัตติกาลแบบนี้

ระหว่างขึ้น พี่ตามเรียกให้ผมดูกลุ่ม ผมมัวแต่มองดูพี่โหน่งอยู่(Leader ผม พี่ตามก็อยู่ใกล้ๆ) เลยไม่ได้มองคนอื่นเท่าไรนัก ขึ้นมาบนผิวน้ำเลยถูกบ่นเล็กน้อยครับว่า ต้องดูกลุ่มด้วย ว่าเขาขึ้นกัน (คราวหน้าจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ครับ ขอบคุณมากพี่ )

พี่สายชลบอกให้ผมถอด BCD และตะกั่ว ผมบอกว่า ขอเกาะท้ายเรือไปได้ไหมพี่(ด้านข้างจะมีที่เกาะครับ) แกบอกว่าไกล ให้ขึ้นมา

ถูกต้องที่สุดครับ ระยะทางค่อนข้างไกลมาก ขืนไม่เชื่อพี่สายชล คงเหนื่อยแน่ครับ เพราะจุดที่ดิงกี้มารับ จนไปถึงเรือนั้น ผ่านเรือ Liveaboard อยู่หลายลำทีเดียว ไกลพอสมควรเลยล่ะ

อาบน้ำแต่งตัว เรียบร้อยแล้ว อาหารเย็นมี ข้าวสวย แกงจืดเต้าหู้หมูสับ ไก่ผัดขิง หน่อไม้ฝรั่งผัดกุ้ง น้ำพริก+ผักสด ตบท้ายด้วยผลไม้รวม เช่น แตงโม ฝรั่ง สาลี่ เป็นต้น

อย่างที่เคยเล่าให้ฟังว่า มา Liveaboard แบบนี้ ผมมักจะทานมื้อเย็นได้มากที่สุด เพราะกว่าจะลงไดฟ์ต่อไปก็วันรุ่งขึ้น(ไม่ต้องกลัวอาเจียนครับ 555) ไม่แปลกใจที่ว่า ผมเดินไปเติมอาหารบ่อยกว่าทุกมื้อ

ประมาณ 4 ทุ่ม พี่ตามนอนไปแล้ว(คนเป็น Leader ต้องคอยมองคนอื่น ผมว่าเหนื่อยกว่า Diver หลายเท่าครับ) ส่วนผมยังนั่งคุยอยู่กับพี่ๆ เพื่อนๆ นักดำน้ำอีกหลายคน ดื่มเบียร์ไปกระป๋องนึงครับ(นานๆที)

ท้ายสุดก็เหลือเพียง ผม ครูตุ๊กและ น้องเอ็ม เรานั่งคุยกันในหลายๆเรื่องๆ ไปๆมาๆ กลายเป็นว่า ต่างคนก็เล่าประสบการณ์ความรักของตัวเองซะอย่างงั้น ก็สนุกดีนะครับ แชร์ๆ ประสบการณ์กัน

อย่างไรก็ตาม ผมได้ความรู้หลายๆเรื่องจากครูตุ๊กและ เรื่องราวเกี่ยวกับวงการบันเทิงจากน้องเอ็ม (น้องเอ็มมีเพื่อนเป็นดาราและนางแบบเยอะน่ะครับ)

เราแยกย้ายกัน คืนนี้ ผมลองทานแอคติเฟดก่อนนอน(พี่ตามจะทานก่อนนอน ช่วยให้หลับสบายด้วยครับ) พรุ่งนี้อาจเคลียร์หูสบาย ผมอาจจะไม่ต้องทานก็ได้



30 ธันวาคม 2550

ได้ยินตั้งแต่เมื่อคืน ก่อนที่จะนอนว่า เรือจะออกช่วงดึกๆ เพื่อเดินทางมาที่กองหินริเชลิว ซึ่งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์

เช้านี้ ผมตื่นเวลาเดิมครับ เรือเกือบที่จะถึงกองหินริเชลิวแล้วล่ะ กินขนมปังรองท้องก่อนดีกว่า

เมื่อเรือมาถึงกองหินริเชลิว คุณเสรีเล่าให้ฟังถึงประวัติคร่าวๆ บางเรื่องผมเคยอ่านจากในหนังสือท่องเที่ยว ถือว่าฟังซ้ำอีกทีครับ

กลุ่มครูปรีชา บีและเอ็ม แต่งตัวลงไปรอในดิงกี้เรียบร้อยแล้วครับ กลุ่มนี้เขาเร็ว แรง สมกับเป็นกลุ่มแรกเลยทีเดียว

ว่าแล้ว อย่ารอช้าครับ กระโดดด้วยท่า Back Row ลงไปลุยกันเลยครับ



Dive 5 ใต้ทะเลมีปลาดุก!!!!

ริเชลิวน้ำยังคงใสไม่เปลี่ยนแปลง ปะการังอ่อนสีสวย มากจริงๆ ประดับประดาตามกองหิน เหมือนจัดไว้เพื่อต้อนรับเหล่ามนุษย์กบโดยเฉพาะ

ที่นี่ ผมพบกับปลาการ์ตูนถึง 4 ชนิด เริ่มจากปลาการ์ตูนส้มขาว(False Clown Anemonefish) หรือเจ้านีโมที่ทุกคนที่คุ้นเคยกัน เล่าคร่าวๆนิดนึงว่า สังคมปลาการ์ตูน ผู้หญิงเป็นใหญ่ครับ ตัวใหญ่เป็นตัวเมีย ตัวเล็กเป็นตัวผู้ ยามใดที่ตัวเมียตายไป(เหมือนหญิงชรา ที่มักมีคนบอกว่า ยิ่งแก่ ยิ่งตายยาก เกี่ยวกันไหมเนี่ย 555) ตัวเล็กที่เป็นตัวผู้ก็จะกลายเป็นตัวใหญ่และเป็นตัวเมียแทน นั่นก็หมายความว่า 2 เพศในร่างเดียว ปลาการ์ตูนเป็นกระเทยครับ เหมือนกับสัตว์ทะเลอีกหลายชนิดที่มีวงจรชีวิตแบบนี้

ต่อด้วยปลาการ์ตูนอินเดียน(Skunk Anemonefish) ที่คนมักเข้าใจผิดว่า เป็นปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) จริงๆแล้ว ที่อันดามันจะเป็นเจ้าอินเดียนครับ ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงจะมีเฉพาะในอ่าวไทย จุดสังเกต คือ แม้จะมีลำตัวสีน้ำตาลอมส้มเหมือนกัน ด้านบนมีแถบสีขาวเหมือนกัน แต่อินเดียนไม่มีขีดสีขาวพาดขวางตรงแผ่นปิดเหงือก(ก็ตรงแก้มนั่นแหละครับ) เหมือนอย่างเจ้าอินเดียนแดงแห่งอ่าวไทย

ตามมาติดๆด้วยปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ‘ s Anemonefish) ดูง่ายๆที่สีขาว สลับดำพาดขวางลำตัว แต่อาจมีการผันแปรของสีครับ ไม่ต้องตกใจว่าทำไมเห็นแล้ว สีมันแปลกๆ เหลืองบ้าง ส้มบ้าง ใช่พวกเขาแน่นอนครับ

และปลาการ์ตูนปานดำ(Red Saddleback Anemonefish) หรืออีกชื่อว่าปลาการ์ตูนมะเขือเทศ จะว่าไปสีลำตัวเหมือนซอสมะเขือเทศจริงๆ แต่ยังไงก็น่ารักอยู่ดี

หันไปด้านขวามือ ใต้ผาหินจะมีซอกอยู่ ผมได้เจอกับปลาดุกทะเล(Striped Catfish) ครั้งแรกโดยบังเอิญ ปกติอาศัยอยู่ในน้ำขุ่นครับ(อ่าวไทย เช่น พัทยา ก็มีเยอะ) แต่ในน้ำใสๆแบบนี้ก็มีพวกเขาเช่นกัน(ขืนไปดูน้ำขุ่น คนตาถั่วแบบผมจะมองเห็นเหรอ 55) ในซอกนี้มีไม่ต่ำกว่า 10 ตัว ปลาดุกทะเลเป็นญาติกับปลาดุกน้ำจืดครับ นอกจากจะมีหนวด(เพราะสายตาไม่ดี ต้องมีหนวดไว้ช่วยหาอาหารครับ) ก็ยังมีเงี่ยงพิษด้วย อย่าไปจับดีที่สุดครับ

พี่ตาม ชี้ให้ผมดูด้านล่าง(มีอะไรหนอ) ผมมองไม่เห็นน่ะ ขยับสายตาไปทางขวา นั่นคือ หมึกกระดอง(Pharaoh Cuttlefish) กำลังลอยตัวอยู่ เสียดายผมไม่เห็นคู่ของเขาครับ ไม่งั้นอาจได้เห็นหมึกมีรักก็ได้นะ(ในหนังสือ เคยเห็นภาพหมึกกระดองมีรักโดยเอาหนวดชนกัน เป็นภาพที่น่ารักมาก)

ด้านล่างมีปลาสิงโต(Common Lionfish) เรียกว่าเป็นครอบครัวดีกว่าไหม(มันน่าจะรู้จักกันน่ะครับ) มีตั้ง 5 ตัว ว่ายวนเวียนใกล้ๆกัน พอเห็นภาพนี้ ไม่ต้องสงสัยถึงความสมบูรณ์ของริเชลิวเลยครับ

ว่ายต่อไป พี่ตามชี้ให้ผมดูสัตว์ทะเลด้านล่าง โอ้ว้าว นี่ คือ ปลาไหล์มอเรย์ม้าลาย(Zebra Moray) กำลังเลื้อยออกมานอกโพรง เลยทำให้เห็นเขาได้อย่างชัดเจน เป็นครั้งแรกที่เห็นเขา หลังจากที่เจอแต่ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray)ซะบ่อย สีสันสวยงามเหมือนม้าลายจริงๆแหละ แต่ไม่ควรเข้าไปใกล้ครับ ยังไงก็ไว้ใจไม่ได้ อย่างไรก็ตามถือว่าหาดูไม่ง่ายนัก พบในทะเลอันดามันตามเรือจมหรือกองหินกลางทะเล

ระหว่างไดฟ์ ผมอึดอัดมากครับ ดูหายใจไม่ค่อยเป็นปกติ น้ำก็เข้าหน้ากาก(เพราะไปขยับๆ นั่นแหละครับ) ปวดขมับยังไงก็ไม่รู้ สน๊อคเกิ้ลก็มาบดบังทัศนวิสัย มันจะมาบังหน้าอยู่เรื่อย (ขึ้นไปผมจะถอดออกแน่นอนครับ จะคลายหน้ากากด้วย คิดว่าน่าจะรัดแน่นเกินไป)

ปิดท้ายไดฟ์แรก ที่นายหน้าหมา ชื่อปักเป้า เจ้าเก่าครับ(Blackspotted Puffer)

ขึ้นมาถอดสน๊อคเกิ้ล คลายหน้ากากก่อนเลย ไดฟ์ต่อไป คิดว่าน่าจะดีขึ้นครับ

อาหารเช้ามี ข้าวต้มกุ๊ย ยำไข่เค็ม ปลาเค็มทอด กุนเชียง ยำผักกาดดอง คะน้าหมูกรอบ และผลไม้รวม อร่อยมาก ผมยังอดที่จะไม่เติมไม่ได้แล้ว (อาหารธรรมดาแต่ความอร่อยขั้นเทพครับ)

สาวๆ จาก Scubanet มาอีกครั้งครับ คนแรก คือ พี่สาวเอ็ม(เห็นเอ็มเรียกว่า เจ้) อีกคนหนึ่ง นึกออกกว่า เคยเห็นที่สนามบินภูเก็ต(ทราบภายหลังชื่อว่าปุ๊ย) ทั้ง 2 คนมานั่งที่โต๊ะด้วยครับ ดูจะสนใจหนังสือสัตว์ทะเลของผมมากด้วย ส่วนพี่โหน่งก็ใช้กล้อง SLR ให้เป็นประโยชน์ ถ่ายสาวๆ จนได้เบอร์อีเมลซะงั้น(ผมคงต้องเรียนรู้จากพี่โหน่งอีกเยอะครับ 555)

ตอนแรกว่าจะนอนครับ เพราะไดฟ์ที่แล้วปวดขมับ แต่ 2 สาวประกบแบบนี้ ออกไม่ได้ครับ(ผมว่า ผมไม่ออกดีกว่านะ 5555) ภายหลัง คุยกับพี่โหน่งเล่นๆ ว่า ถ้าผมใช้หนังสือสัตว์ทะเลเรียกสาวๆ ได้ พี่ก็ใช้กล้องเรียกสาวๆได้เหมือนกัน ต่างคนต่างมีทีเด็ดแฮะ 555(เหลือบมองเห็นพี่ตาม แกยิ้มกรุ้มกริ่มครับ แกบอกภายหลังว่า อยากเข้ามานั่งเหมือนกัน แต่ไม่มีที่น่ะ )

ไดฟ์ต่อไป ลงที่กองหินริเชลิวเหมือนเดิมครับ ก่อนลง ผมถ่ายรูปรอยสักบนไหล่พี่โอ๋ ด้านขวาเป็นรูปมังกร น่าเกรงขามมาก ไหงด้านซ้าย กลายเป็นรูปปลาคาร์ฟ มีดอกไม้แดงด้วย(คนละแนวเลยนะพี่ 555)


Wednesday, January 16, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(2)

http://www.reefkeeping.com/

http://www.hku.hk/
http://www.delivery.superstock.com/


Dive 1 นโปเลียนประจัญบาน!!!!!


แม้ด้านบนผิวน้ำ แดดจะไม่แรงเท่าไรนัก แต่ด้านล่าง สิมิลันก็ยังคงเป็นสิมิลันครับ น้ำใส มองออกไปได้ระยะไกลหลาย 10 เมตร

ผมเคลียร์หูค่อนข้างยาก จึงเปลี่ยนระดับขึ้นมาเล็กน้อย(ปวดมากครับ ถ้าฝืนลงไป) ทำสัญญาณให้พี่ตามเห็นว่า มีปัญหาที่หู(เคาะแท๊งค์ให้รอผมก่อนด้วยครับ) ใช้เวลาซักพักพอเริ่มเคลียร์หูได้ ผมให้สัญญาณโอเค เราไปลุยกันต่อดีกว่า

พี่โหน่งแกสบายๆมากครับ ได้ลองกล้องใหม่ก็กดกระจาย จากนี้ไปรับรองว่าแกจะถ่ายดีขึ้น ดีขึ้นไปเรื่อยๆแน่นอน

ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue Surgeonfish) ออกมาทักทายหลายตัว พวกเขาเป็นปลาเจ้าถิ่นในแนวปะการังน้ำใส ในทะเลอันดามันอยู่แล้ว ลำตัวสีฟ้าสดคือจุดเด่น นานมาแล้วที่ผมไม่ได้เห็นพวกเขาเยอะขนาดนี้ ล่าสุดก็ที่ดงปะการังเขากวาง เกาะตอรินลา อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์(ก่อนเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิครับ)

ในมวลน้ำสีน้ำเงินเข้ม ผมเคาะ pointer เสียงดัง เรียกพี่โหน่งกับพี่ตาม เพราะปลาที่ผมเห็นตอนนี้ไม่ได้เห็นง่ายๆซะด้วย เจ้าปลานกขุนทองหัวโหนกหรือที่เรียกกันว่า นโปเลียน(Napoleonfish) ออกมาให้ยลโฉมตั้งแต่ไดฟ์แรกเลยครับ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมเห็นเขา ริมฝีปากที่หนา ลายที่ลำตัวและลักษณะหาง คือ สิ่งทีผมจำได้ ตัวใหญ่ดีครับ แม้จะไม่ใหญ่ที่สุดก็เถอะ(ขนาดโตเต็มวัยได้ถึง 230 ซม เลยครับ) ปลานโปเลียนถือเป็นปลานกขุนทองที่มีขนาดใหญ่ที่สุด บางครั้งผมสับสนกับปลานกแก้วหัวโหนกที่เคยเจอที่โลซิน แต่ตอนนี้ไม่แล้วครับ 2 ปลานี้ มีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ใครได้เจอ ต้องบอกว่าคุณโชคดีครับ

ผมเห็นน้ำทะเลแปลกออกไป เหมือนมีวุ้นอยู่ ปรากฎว่าพอเข้ามากระทบหน้าเท่านั้นแหละ มีความรู้สึกเย็นจับขั้วหัวใจทันที นี่คือ กระแสน้ำเย็นครับ(อุณหภูมิประมาณ 26 องศาเซลเซียส)

บนพื้นทราย สัตว์ทะเล 1 ชนิด ขยับหนีพวกผมออกไปคนละทาง(รวม 3 ตัว ฉีกออกไป 3 ทางครับ) พวกเขาคือ ปลากระเบนจุดฟ้า(Blue-spotted stringray) แผ่นลำตัวรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน คือจุดเด่น(บนลำตัวจะมีจุดสีฟ้าด้วยครับ หากสังเกตดีๆ) ดูแต่ตาครับ อย่าริที่จะเข้าไปใกล้ๆเพราะบริเวณหาง กระเบนชนิดนี้มีเงี่ยงขนาดใหญ่ตั้ง 2 อันแน่ะ(คงไม่ต้องอธิบายต่อนะครับ แม้พวกเขาจะขนาดไม่ใหญ่นักแต่มีอาวุธป้องกันตัว ดูเฉยๆดีกว่านะ)

ตัวยาวๆ ปากยาวๆแบบนี้ เครื่องดนตรีอะไรจะมาอยู่ใต้น้ำได้(งงซิครับ) พวกเขา คือ ปลาปากแตร(Trumpetfish) พบในแนวปะการังที่มีความอุดมสมบูรณ์ ปลาปากแตรมีความผันแปรของสี อาจเห็นในสีที่หลากหลาย จำลักษณะลำตัวไว้ให้ดีครับ

พี่ตามชี้ให้ดูสัตว์ชนิดหนึ่งในโพรง พอโผล่หน้าเข้าไปดู เป็นเจ้าปลาหมึกยักษ์(Octopus) ใครเห็นก็คุ้นครับ แม้จะไม่เห็นทั้งตัว เพราะคุ้นเคยในร้านอาหารญี่ปุ่นกันอยู่แล้ว

พี่ตามเรียกอีกแล้วครับ คราวนี้ตัวเล็กมาก ขนาดไม่เกิน 5 ซม ผมต้องลงไปดูถึงพื้น ไม่งั้นมองไม่เห็นแน่ครับ ยิ่งตาถั่วอยู่ด้วย(หาที่ landing กางขาดีๆ ไม่ให้โดนปะการัง) นี่คือ ลูกปลานกขุนทองแอฟริกา(African Coris) ลำตัวสีส้ม มีแถบขาวคือจุดเด่น เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาครับ หลังจากที่เคยเห็นในรูปจากมัลติพลายที่นักดำน้ำมาโพสไว้(ถ้าไม่ใช่ของคุณ bankie ก็ของคุณ umtgzmo น่ะครับ ไม่แน่ใจ) ใกล้ๆ มีลูกปลานกขุนทองอีก 2 ชนิด แต่ลักษณะไม่เด่นเท่า เลยจำไม่ได้ แต่รู้ว่าหายากครับ

ปะการังอ่อน(Soft Coral) สีม่วง ดูสวยงามครับ ทั้งนี้เพราะอยู่ในที่ลึกเลยเป็นสีนี้(ลงไปด้านล่าง ยิ่งลึก สีจะค่อยๆหายไปครับ) ลองเอากล้องถ่ายรูปแล้วตบแฟลชดู จะได้อีกสีหนึ่งแน่นอน นอกจากนี้ก็ยังมีดาวขนนก(Feather Star) อยู่มาก ดูสวยดีครับ

ในบรรดานักล่าในแนวปะการัง ที่นี่มีเยอะเลยครับ ไม่ว่าจะเป็นปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน(Coral Rockcod) ปลากะรังลายนกยูง(Peacock Grouper) ปลากะรังหน้าแดง(Black-tipped grouper) แต่ที่แปลก คือ มีปลากะรังอยู่ 1 ชนิด รูปร่าง หัวและลำตัว ยาวกว่าปลากะรังทั่วไป แถมมุดเข้าไปอยู่ในกิ่งปะการังด้วยครับ พวกเขาชื่อว่า ปลากะรังหน้ายาว(Slender Grouper) นั่นเอง ต้องขึ้นมาเปิดหนังสือด้านบน จึงจะร้องอ๋อครับ

ในน้ำมีเทวดา อ. ธรณ์ เคยบอกว่า หากผมไม่พูดถึงพวกเขาก็แปลกครับ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) และปลาสินสมุทรบั้งเหลือง (Regal Angelfish) คือเทวดา ที่มาโปรดสัตว์ที่ชื่อว่า มนุษย์ เช่นผม

ผีเสื้อในทะเลก็ดูสวยงามครับ(ไม่ใช่ผีทะเลนะ) เริ่มจาก ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ปลาผีเสื้อหลังดำ(Black-backed Butterflyfish) และยังมีปลาในครอบครัวอื่นๆ อย่างปลาโนรี(Longfin Bannerfish)และปลาผีเสื้อเทวรูป(Moorish Idol)ด้วย

จำได้ว่า คุณประพันธ์พึ่งถามผมด้านบนเกี่ยวกับ ปลาสร้อยนกเขาแตงโม(Indian Ocean Oriental Sweetlips) ที่นี่ก็มีครับ แต่เจอโดดเดี่ยวอยู่ตัวเดียว ตัวไม่เล็กเลยล่ะครับ ขนาดน่าจะเกือบเต็มวัยด้วย

ปลาวัวที่นี่ ผมเจอ 2 ชนิดครับ คือ ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) กับปลาวัวลายส้ม(Orangestriped Triggerfish) โดยเฉพาะไตตัน ชื่อเสียง เรียงนาม เรื่องความดุ เลื่องลือครับ แต่ที่สิมิลันยังไม่เคยได้ยินว่าดุเท่าไรนะครับ เคยได้ยินที่เกาะเต่า กับที่เกาะราชาซะมากกว่า

รวมฝูง สวยๆ หลายคนจะเรียกว่า ข้างเหลือง แสดงว่ายังไม่เจาะจงครับ เพราะหลายชนิดก็เป็นข้างเหลือง ตัวที่ผมเห็นอยู่นี่ คือ ปลากระพงลายห้าแถบ(Five-Lined Snapper) เวลาเห็นพวกเขาเป็นฝูง ดูแล้วสดชื่นดีครับ

เวลาตกใจจะพองตัวออก บางชนิดมีหนาม บางชนิดไม่มีหนาม ปลาปักเป้าครับ ที่นี่ผมเจอปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Black Blotched Porcupinefish)(พองตัวมีหนาม)และปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer)(พองตัวไม่มีหนาม) แต่อย่าให้เขาพองตัวเลยครับ แกล้งสัตว์เปล่าๆ

นอกนั้นก็จะมีเจ้าประจำในแนวปะการังอยู่แล้ว คือ ปลานกแก้ว(Parrotfish) ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel)และปลาสลิดหินสามจุด(Three-spot Dascyllus)ครับ

อาหารเช้ามี ไข่ดาว แฮม เบคอน ไส้กรอก สลัดผัก และผลไม้ ผมไม่กล้ากินเยอะมากนักเพราะเดี๋ยวจะอึดอัดเวลาลงไดฟ์ต่อไป

แต่ที่ไม่กินไม่ได้ คือ แอคติเฟด ครับ ผมเตรียมมาเยอะเลย สำคัญมากเวลามีปัญหาเรื่องการเคลียร์หู(เป็นยาลดน้ำมูกครับ แต่น่าจะช่วยขยายโพรงจมูก) แอคติเฟดกลายเป็นคู่ซี้ของผมไปซะแล้ว ข้อเสีย คือง่วงนอนครับ

ดิงกี้จาก Scubanet มาที่นี่ พร้อมกับครูต้องและอีก 2 สาว(คนหนึ่งผมจำได้เพราะเห็นที่สนามบินภูเก็ต อีกคนหนึ่ง ทราบภายหลังว่า เป็นพี่สาวของน้องเอ็มครับ) ดูเธอจะสนใจหนังสือสัตว์ทะเลของผมด้วยครับ(55555 เข้าล็อค เข้าล๊อค)

ผมหาที่ว่างด้านหน้าเรือ แดดส่องไม่ถึง นอนหลับได้ซักพักเจ็บหัวครับ เลยไปหาผ้าห่มมาหนุนหัว สบายดีแท้(จำได้ว่ามีพี่หนุ่ยกับพี่ไข่นุ้ยอยู่ใกล้ๆด้วย)

เรือโชคศุลีมาถึงเกาะเก้า(North point) เป็นสัญญาณให้ผมทราบว่า ถึงเวลาลงไดฟ์ที่ 2 แล้ว




Dive 2 Cleaning Station/ Depth Gate เสีย!!!


ลงมาได้ไม่นานนัก เจ้าปลานกขุนทองหัวโหนก (ปลานโปเลียน Napoleonfish) ออกมาปรากฎกายก่อนเลยครับ แต่ไม่ใช่ตัวเดียวกับไดฟ์ที่แล้วนะครับ เพราะจุดที่เราลงคนละจุด แถมห่างกันมากซะด้วย

พี่ตามเรียกให้ผมดูสิ่งเล็กๆเหนือแนวปะการัง ตอนแรกผมมองไม่ออกว่า มันคืออะไรกันแน่ สังเกตดีๆ เหนือแนวปะการังแห่งนี้ คือ Cleaning Station ครับ เจ้าปลาพยาบาล(Bluestreak Cleaner Wrasse) รับหน้าที่ทำความสะอาดปลาอื่น โดยกำลังตอดกินปรสิตตามร่างกายของปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Cressent Wrasse) ดูท่าทางจะมีความสุขทั้งคู่ครับ(ไปดำน้ำครั้งต่อไป ลองสังเกตชีวิตจริงๆเหล่านี้นะครับ ดีกว่าที่สยามโอเชี่ยนเวอร์เยอะเลยล่ะ)

เจ้าป่าบนบก ลงมาใต้ทะเลเหมือนกันครับ เขาคือ ปลาสิงโตครีบจุด(Spotfin Lionfish) ถือเป็นปลาสิงโตอีก 1 ชนิด ที่พบได้บ่อย นอกจาก ปลาสิงโต Common Lionfish ครับ

ปลาวัวที่ว่ายผ่านผมไป ชื่อไทย คือ ปลาวัวหางลิ่ม(Wedge Picassofish) แต่ผมกลับชอบเรียกว่า ปลาวัวปิกัสโซ่มากกว่า ลวดลายที่ลำตัว เหมือนแต่งแต้มศิลปะจากฝีมือศิลปินเอกจริงๆครับ

ปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ‘ s Anemonefish) แถมสีขาว 3 แถบที่พาดขวางลำตัว คือ จุดเด่น ลองสังเกตดีๆนะครับ ปลาการ์ตูนไม่ได้มีแต่เจ้านีโมอย่างเดียวนะ ชนิดอื่นก็มีความน่ารักไม่แพ้กัน

ต่อไป คือ ปลาผีเสื้อลายไขว้(Threadfin Butterflyfish) ผมจำได้เพราะลายทแยงที่ลำตัวและลักษณะของสี อีกชนิด คือ ปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish) สีและลวดลายที่ลำตัว ทำให้ผมมองเห็นความลึกลับของปลาผีเสื้อชนิดนี้ครับ

สัตว์ทะเลชนิดหนึ่งกำลังเคลื่อนไหวอยู่ด้านล่างครับ ลักษณะเป็นปูแน่ๆ สีผมไม่มั่นใจนัก แต่พี่ตามอยู่ใกล้ที่สุด บอกลักษณะให้ฟัง เจ้านี่ คือ ปูเสฉวนเกล็ดขนทอง(Hairry yellow hermit crab) จัดเป็นปูเสฉวนที่หายากมากครับ นับว่าโชคดีเหมือนกันที่เจอพวกเขา

นอกจากนั้นตามแนวปะการังก็มีปลาปากแตร(Trumpetfish) ปะการังอ่อนสีม่วง(Soft Coral) ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) และปลาสินสมุทรบั้งเหลือง (Regal Angelfish) ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish)และปลิงทะเล(Sea Cucumber)

พี่โหน่งเรียกผม หยิบ Depth Gate ของแกมาให้ดู คนอะไรเก่งจริงๆ ลงมาหลายนาที แต่อากาศเหลือ 200 บาร์ เท่าเดิม ท่าทางพี่โหน่งจะใช้เหงือกหายใจซะละมั้ง

ไม่ต้องสงสัยเลยครับว่า Depth Gate ของแกเสีย(เป็นคนอื่น อาจมี Panic ก็ได้ แต่พี่โหน่งไม่ครับ) แต่พอจะเดาอากาศของแกได้ โดยดูจากอากาศของผม เพราะส่วนใหญ่ แกจะใช้อากาศมากกว่าผม 20-30 บาร์

บอก Leader ของเราให้ทราบดีกว่า พี่ตามเรียกให้ลงมาที่พื้น ให้ Octopus กับพี่โหน่ง และลองปิดแท๊งค์และเปิดใหม่ Depth Gate ยังนิ่งที่ 200 บาร์เท่าเดิม ขึ้นไปด้านบนคงต้องไปเปลี่ยนแล้วครับ

พี่ตามแสดงสัญญาณให้ผมและพี่โหน่ง ดำน้ำตีคู่กันไว้ หากมีปัญหาจะได้ช่วยเหลืออย่างทันท่วงที ผมคอยเหลือบมองแก ในขณะที่พี่โหน่งเรียบเฉย(กลายเป็นว่า ผมตื่นเต้นกว่าพี่โหน่งอีกครับ 555)

แต่ผมยังพอสังเกตเห็นปลาได้บ้าง หนึ่งในนั้น เป็นปลาปักเป้าขนาดบิ๊กไซด์ คือ ปลาปักเป้ายักษ์(Star Puffer) ตัวใหญ่ดีจริงๆครับ

กลางน้ำมีปลา ใช่ครับ นี่ คือ ฝูงปลามงครีบฟ้า(Bluefin Trevally) ผมจดจำลักษณะลำตัวได้ดี เมื่อประกอบกับอยู่รวมฝูงขนาดเล็ก 2-4 ตัว จึงมั่นใจว่าใช่พวกเขาแน่นอนครับ

เงาทะมึนด้านข้างผม แม้จะไม่เห็นใบหน้า แต่ลำตัวและลักษณะครีบหางที่ตัดตรงทำให้ผมทราบว่า นี่คือ ปลากุดสลาดจุดฟ้า(Squaretail coralgrouper) กุดสลาดก็ถือเป็นปลานักล่าเช่นกันครับ

จากนี้ไป ผมก็ไม่ค่อยได้สังเกตสัตว์ทะเลแล้วครับ ต้องคอยดูอากาศของตัวเอง(คิดในใจด้วยว่า อากาศของแกจะเหลือเท่าไร)และเหลือบมองพี่โหน่งให้มากกว่าเดิม

มื้อกลางวัน มี บะหมี่เกี้ยวหมู+ลูกชิ้นหมู+หมูแดง ผมชอบแห้งเลยกินแบบแห้ง รสชาติของลูกชิ้นหมู ผมว่าอร่อยมากครับ ตบท้ายด้วยผลไม้รวม

จบไดฟ์นี้ เราเปลี่ยนแผนไปที่เกาะบอนครับ ในวันสุดท้ายเราจะกลับมาดำแถวสิมิลันอีกครั้งหนึ่ง

ใช้เวลาพอสมควร เรามาถึงเกาะบอน เกาะที่มีลักษณะเด่น มีรูอยู่ตรงกลางเกาะ(พี่จินเคยบอกไว้ครับ)

Tuesday, January 15, 2008

อันดามันเหนือ….สวรรค์แห่งการดำน้ำ(1)







หน้าฝนผ่านพ้นไป หน้าหนาวเข้ามาเยือน เป็นสัญญาณที่บอกว่าฤดูกาลท่องเที่ยวทะเลอันดามันกำลังจะเปิดขึ้นอีกครั้ง

นักท่องเที่ยวหลายคนรอเวลานี้ เพราะทะเลอันดามัน นอกจากจะมีหาดทรายขาว น้ำทะเลใสแล้ว ที่นี่ก็เป็นขุมทรัพย์ทะเลไทยอย่างแท้จริง ทั้งสร้างรายได้ให้กับประเทศเรามากมายเหลือเกิน นอกจากนี้ความหลากหลายของสัตว์ทะเลที่พบเจอนั้นอยู่ในขั้นที่สูงมาก หากจะกล่าวว่า “มากที่สุดของประเทศไทย” ก็มิใช่คำกล่าวที่เกินความจริงแต่อย่างใด

นักดำน้ำหลายคนก็รอเวลานี้เช่นกันครับ เวลาที่จะไปดำน้ำแบบมาราธอนบนเรือ liveaboard เวลาที่จะไปใช้ชีวิตร่วมกันและรู้จักมิตรภาพใหม่ๆ หรือความหวังที่จะเจอยักษ์ใหญ่ใจดีอย่างฉลามวาฬ และกระเบนราหู ที่ใครได้เห็นคงมีความประทับใจไม่รู้ลืม

สำหรับผม เมื่อ 2 ปีก่อน เคยไปดำน้ำที่นี่มาแล้วครั้งหนึ่งครับ เป็นครั้งแรกซะด้วย ประทับใจมากๆ(รายละเอียด ลองติดตามเรื่อง “สิมิลัน.....ฉันรักเธอ” นะครับ)

ปีใหม่นี้ ผมอยากไปดำน้ำข้ามปีเหมือนเมื่อครั้งก่อน แต่เป็นที่อันดามันใต้นะครับ(ตะรุเตา พีพี หินแดง หินม่วง) แต่ด้วยเหตุผลเรื่องการโอนเงิน ทำให้ผมไม่สามารถโอนเงินล่วงหน้าได้นานๆ(ต้องใช้เงินเยอะครับ หากไปไม่ได้ เท่ากับสูญเงินไปเปล่าๆ ) จึงมีอันต้องยกเลิกไปเสียทุกครั้ง

ข่าวคราวปะการังอ่อนที่หินแดง-หินม่วง อันเนื่องมาจากปรากฎการณ์ลานีนย่า ไม่ได้บั่นทอนจิตใจผมแม้แต่น้อย ผมเชื่อว่า โลกใต้ทะเลยังสวยอยู่(จากการสอบถามนักดำน้ำหลายๆท่านที่ได้ไปมา) ไม่ว่าที่นั่นจะเป็นอย่างไร ผมจะไปเยือนให้ได้ครับ สัตว์ทะเลหลายชนิดที่นั่น ก็แตกต่างกับที่อันดามันเหนือเสียด้วย

ผมเลิกดิ้นรน รอให้โอกาสเหมาะๆ พร้อมกว่านี้ แล้วค่อยไปอันดามันใต้แล้วกัน ทริปดำน้ำปีใหม่นี้ส่วนมากก็จะมีแต่อันดามันเหนือ

พี่ป้อมไม่มีทริปปีใหม่นี้ครับ แต่แกก็หาทริปให้ผม โดยไปอันดามันเหนือกับเรือโชคศุลีร่วมกับบริษัทดำน้ำที่ชื่อว่า Dive-evolution โดยมีครูต้องเป็นหัวเรือใหญ่ ซึ่งรู้จักกับพี่ป้อมดีอยู่แล้ว

เนื่องจากเป็นการดำน้ำแบบ 15 ไดฟ์ และใช้เวลายาวนานแบบนี้ หากไม่ใช่ปีใหม่และสงกรานต์ วันหยุดอื่นๆจะคาบเกี่ยววันธรรมดา อีกทั้งผมจะต้องกลับมาดูแลแม่ด้วย ปีใหม่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดครับ

เมื่อสอบถามที่บ้านแล้ว ทุกคนโอเค ผมจึงมีโอกาสได้กลับไปเยือนถิ่นเก่าอีกครั้งหนึ่ง

น้ำทะเลใสๆ สัตว์ทะเลหลายชนิดที่นั่น และยังมีอีกมากที่ผมยังไม่เคยเจอ เย้ายวนใจผมยิ่งนัก ผมอยากกลับไปทักทายเพื่อนเก่าและใหม่จะแย่อยู่แล้ว

หากพร้อมแล้ว เราไปสำรวจโลกใต้ทะเลด้วยกัน อีกครั้งนะครับ


28 ธันวาคม 2550

เตรียมของเยอะแยะเลยครับ โดยเฉพาะหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทะเล ที่ผมขนไปอ่านและแบ่งปันให้เพื่อนนักดำน้ำอ่านด้วย(ไปหลายวันแบบนี้ ก็ขนไปเต็มที่ครับ เป็นสิบๆเล่ม)

นอกจากนี้ก็มี ซิมโทรศัพท์แบบเติมเงิน ที่ผมซื้อมาใช้ เพราะเวลาอยู่กลางทะเล หาสัญญาณโทรศัพท์ไม่ค่อยได้ครับ ใว้ใช้โทรติดต่อกับทางบ้านน่ะ

แต่ไม่รู้จะเยอะไปไหมครับ แค่กระเป๋าก็ 10 กิโลแล้ว(หนักหนังสือน่ะครับ) นี่ยังไม่รวมเกียร์แบค(กระเป๋าที่ใส่อุปกรณ์ของนักดำน้ำ) นะ(บ้าหอบฟางจริงๆ 555)

ทริปนี้นอกจากจะมีพี่โหน่งไปด้วยเหมือนเดิม(แกต้องขายของ ต้องไปวันหยุดยาวแบบนี้สถานเดียวครับ) ก็มีพี่ตาม ว่าที่ไดฟ์มาสเตอร์ ที่พี่ป้อมส่งให้มาทำงาน เป็น Leader ให้ผมและพี่โหน่งโดยเฉพาะ

หยุดปีใหม่แบบนี้ คนก็ไปเที่ยวเยอะเช่นกัน ผมต้องวางแผนการเดินทางให้ดีครับ เลือกสายการบินที่ลงสนามบินดอนเมือง ประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่ายด้วย(ใกล้บ้านกว่าด้วยครับ)

รถติดยาวเหยียดอย่างที่คาดไว้ ผมบอกแท๊กซี่ว่าให้ขึ้นทางด่วน แบบไม่ต้องคิดมากเลยครับ

ที่สนามบินดอนเมือง คนมาต่อคิวเพียบเลย(แต่ยังไงผมก็ชอบบรรยากาศที่นี่ มากกว่าสนามบินสุวรรณภูมิอยู่ดีครับ) ไม่นานนักผมก็พบกับครูต้อง และเกียร์แบคหลายชิ้น (ต้องแจกจ่ายให้นักดำน้ำแต่ละคน ทยอยขึ้นเครื่อง ไม่งั้นน้ำหนักเกินแน่ๆครับ)

เฮ้ย!!! นั่นมันรักแร้นี่หว่า ว่าไงเพื่อน(หลายท่านอาจจะงงครับ รักแร้ก็มีทุกคนไม่ใช่เหรอ) รักแร้เป็นชื่อเพื่อนโอวี(Old Vajiravudh) ครับ จะนั่งไปลงภูเก็ตเหมือนกัน จะไปหาดป่าตองด้วยล่ะ

ไม่นานนัก ผมก็ได้รู้จักกับพี่หนุ่ย หนุ่มผิวเข้ม หนึ่งใน staff ของ Dive-evolution พี่หนุ่ยเล่าให้ผมฟังว่า ปีใหม่นี้ Dive-evolution ออก 2 ลำ คือ เรือ scubanet กับเรือโชคศุลี โดยครูต้องไปกับเรือ scubanet ส่วนพี่หนุ่ยไปกับเรือโชคศุลี

เรือ scubanet คนแน่นลำ ในขณะที่เรือของผม มีนักดำน้ำเพียง 20 คน เท่านั้น(ดีครับ คนเยอะๆผมก็ไม่ค่อยชอบหรอกครับ) ว่าแต่ที่พี่โก้บอกก่อนมาว่า มีผู้หญิง 14 คน เนี่ย ชัวร์หรือมั่วนิ่มนะ (ผมอาจจะเป็นพระเอกเข้าไปในดินแดนแม่ม่ายก็ได้นะ ใครจะไปรู้ 5555)

ผมมองไปรอบๆ หลายคนคุ้นหน้าครับ อย่างที่บอกว่า มีนักดำน้ำมาปีใหม่ก็ไม่ใช่น้อย เรือออกก็ไม่ต่ำกว่า 10 ลำ ในนี้ก็มี 2 ดารา อย่างคุณอิงค์ อชิตะ และคุณลิพท์ สุพจน์ นักร้องชื่อดังด้วย

สาวผิวขาว เจ้าเนื้อ เธอชื่อพี่เตยครับ ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา เธอไปเรือโชคศุลีเหมือนกัน ผมคุยกับเธอไม่นานก็รู้ได้ทันทีว่าเธอค่อนข้างนิสัยดีและน่ารักครับ

หนุ่มผมยาว มาดเซอร์ มีรอยสักที่แขน ชื่อว่าพี่โอ๋ครับ พี่โอ๋กำลังเรียนหลักสูตรไดฟ์มาสเตอร์ นานมาแล้วที่ผมไม่ค่อยเห็นนักดำน้ำผมยาวแบบนี้ พี่โอ๋คอยช่วยครูต้อง พี่หนุ่ย เช็ครายชื่อนักดำน้ำ พี่โอ๋ก็ไปกับเรือโชคศุลีเช่นกันครับ

พี่โหน่งมาแบบอุปกรณ์ครบครับ ทั้งกล้องใต้น้ำแบบคอมแพค และกล้องบนบกแบบ SLR มาทริปนี้จะได้ลองของใหม่ทั้ง 2 อย่างเลยล่ะ

เอากระเป๋าโหลดขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว โม้มาก หิวน้ำ ไปหาน้ำดื่มก่อนครับ แต่นำเข้าไปด้านในไม่ได้ซะด้วย(เขาไม่อนุญาตให้เอาของเหลวเข้าไปด้านใน) เลยต้องรีบดื่มให้หมดครับ

ด้านใน ก่อนขึ้นเครื่อง ผมรู้จักกับพี่พูห์ อีกหนึ่งนักดำน้ำที่ไปเรือโชคศุลีเช่นกัน และพี่ปู(เพื่อนของพี่พูห์)ที่เจอกันโดยบังเอิญ ไปเที่ยวบินเดียวกันเพียงแต่เธอกลับบ้าน ไม่ได้ไปดำน้ำครับ

ส่วนชายผมขาวที่เห็นแว๊บๆนั้น ชื่อว่าพี่ขุนครับ ก็เป็นอีกหนึ่ง Instructor เช่นกัน

เมื่อถึงเวลา พวกเราเดินไปที่ Gate เพื่อขึ้นเครื่องครับ

แอร์โฮสเตสสายการบินนกแอร์คนนี้ ทำเอาหัวใจของผมหยุดนิ่ง เธอสวยจริงๆครับ ผมมองดูเธอสาธิตการใช้อุปกรณ์บนเครื่องจนตาเยิ้มไปหมดแล้ว(อยากจะบอกเธอใจจะขาดว่า ช่วยผมหน่อย แบบว่าเป็นโรคหัวใจล้มเหลวเพราะมองคุณน่ะ 5555)

ผมนั่งใกล้กับพี่ขุนและพี่โหน่ง คุยกันเรื่องการดำน้ำตั้งแต่ขึ้นเครื่องครับ(ยันเครื่องลงจอด พักการสนทนาไม่ถึง 10 นาที) แกไปกับเรือ scubanet พี่ขุนคุยเก่งมากๆ ผมได้ทราบเรื่องราวหลายๆเรื่อง ที่ไม่เคยทราบเลย ก็สนุกดีครับ พี่ขุนบอกว่า เรือโชคศุลีที่ผมไปนั้น หลังๆมานี้ เจ้าของเรือจะมาออกทริปด้วย หากเจอเจ้าของเรือมาออกทริป นั่นก็หมายความว่า ผมจะโชคดี เพราะอาหารการกินจะมีแต่ของดีๆ เพียบพร้อม อิ่มหนำสำราญแน่นอน

เครื่องไม่มีดีเลย์ครับ เพียง 1 ชั่วโมง สายการบินนกแอร์พาผมและเหล่านักดำน้ำ(ที่มองแล้วเกินครึ่งลำ) มาสู่สนามบินภูเก็ต ผมมองเห็นที่นี่แล้ว ก็อดนึกถึงเหตุการณ์ที่น่าสลดใจ เมื่อหลายเดือนก่อนไม่ได้

ลงมารอกระเป๋าสัมภาระและเกียร์แบคของแต่ละคนที่จะผ่านสายพานเข้ามา หากไม่สังเกตดีๆอาจพลาดกระเป๋าได้ เพราะมีกระเป๋าเยอะมากๆครับ

บางคนรอกระเป๋าอย่างนานก็ไม่มา ไม่แปลกใจครับเพราะบางคนก็หยิบผิดไป อย่างในรถเข็นใกล้ๆผม ก็มีกระเป๋าของสาวสวยนิรนามที่มากับแม่(น่ารักจริงๆ) และของ 2 สาวบนเรือ scubanet ด้วย(เกียร์แบคจะมีสีเขียวครับ ถ้าของเรือโชคศุลีจะมีสีแดงน่ะ)

เมื่อได้กระเป๋าครบแล้ว เข็นออกไปด้านนอก พบกับพี่ตาม(เสือตาม) Leader ของผม ที่มารอตั้งแต่เย็นแล้ว

ระหว่างนี้ เรารอนักดำน้ำอีก 3 คน ที่เครื่องจะลงจอดในอีกไม่ช้า มองไปรอบๆค่อนข้างคึกคักครับ มีตัวแทนจากโรงแรมต่างๆมาชูป้ายหาลูกค้าของตนเอง

พี่หนุ่ย พี่โอ๋ บอกให้เราขนของไปที่รถตู้และ ไปนั่งรอบนรถตู้ก่อน ซึ่งก็ใช้เวลาไม่นานนัก นักดำน้ำอีก 3 คนก็มาถึง เราจึงออกเดินทางมุ่งหน้าลงใต้ สู่ท่าเรือรัษฎา ท่าเรือที่มักจะเป็นท่าจอดของเรือ liveaboard หลายๆลำ ครับ

ถนนหนทางที่นี่ แม้จะมืดในบางจุดแต่ยังมีแสงไฟให้เห็นอยู่ตลอด ผมว่ายังดูน่ากลัวน้อยกว่า จาก อ. หาดใหญ่ จ. สงขลา มายัง อ. เมือง จ. สงขลา ตอนไปโลซินอีกครับ

เราแวะร้านเซเว่น อิเลฟเว่น หลายๆคนยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่เย็น(ผมหิวมากเลยล่ะ) ได้โดรายากิกับนมถั่วเหลือง ทำให้สดชื่นขึ้นมาทันที(คราวหน้า ต้องทานข้าวมาก่อนครับ ไม่งั้นแย่แน่ๆ)

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เบียร์ ก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญในการเฉลิมฉลองในเทศกาลปีใหม่นี้ แต่ต้องมีลิมิตครับ ดื่มมากก็มีผลกระทบกับการดำน้ำในไดฟ์เช้าแน่นอน

ผมเห็นพี่หนุ่ยซื้อลูกชิ้นมาทาน และพี่เตยก็เดินไปซื้อโจ๊กที่อยู่ใกล้ๆเซเว่น อิเลฟเว่นครับ

นักดำน้ำ 3 คน ที่พึ่งมาถึง ชื่อ หยั่น, ประพันธ์และอารีย์(2 คนนี้เป็นพี่น้องกัน) เป็นลูกศิษย์ของครูต้องครับ พึ่งดำน้ำได้ไม่นาน มาครั้งนี้ก็ถือเป็นการมา liveaboard ครั้งแรกด้วย

เราช่วยขนของที่ซื้อมาขึ้นรถตู้ ไม่นานนักเราก็มาถึงท่าเรือรัษฎา ผมเห็นแล้วก็จำได้ทันที ภาพต่างๆเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ผุดขึ้นมาในหัวสมองอีกครั้งหนึ่ง

เดินผ่านเรืออื่นๆเข้ามา เราก็มาถึงเรือโชคศุลีครับ พูดถึงเรือนี้ ผมเคยได้ยินชื่อมานานแล้ว สมัยที่เรือโชคศุลีออกทริปไปดำน้ำที่เกาะกระ จ. นครศรีธรรมราช(สมัยนี้คงไม่ไปแล้วมั้ง) เพดานด้านล่างเตี๊ยไปนิด เวลาเดินต้องก้มให้ดี 555 เขาคงไม่ได้ออกแบบให้คนสูงมากๆอย่างผมละมั้ง

ข้างๆเรือของผม มีเรือเจ้าหญิงน้อย(Little princess) อยู่ด้วย มีครูโก้อยู่ที่ plat form ผมสวัสดีครูโก้ เพราะไม่คิดว่าจะเจอครูโก้ที่นี่

ห้องนอนของเรือ ปูด้วยพรมสีเขียว เป็นเตียง 2 ชั้น หันเท้าชนกัน ค่อนข้างน่ารักดีครับ ผมนำของจากกระเป๋าออกมาด้านนอก ถ่ายใส่อีกกระเป๋าหนึ่ง เวลาขนหนังสือขึ้นๆลงๆ จะได้สะดวกครับ

ผมไม่ค่อยระวังตัว ตะขอในห้องเลยเกี่ยวที่มือ เลือดออก ต้องหากระดาษปิดไว้ก่อน ขึ้นมาด้านบน มีข้าวต้มไก่ฉีก และส้ม คอยให้บริการ พี่พูห์ ใจดีมากครับ เธอหยิบข้าวต้มมาให้ผมด้วย

พี่เตยกำลังกินโจ๊กอยู่ พอเห็นแผลที่มือของผม เธอรีบไปหาเบตาดีนมาทาให้ทันที(ผมบอกแล้วครับ ว่าเธอเป็นคนดีจริงๆ)

ส่วนพี่ไข่นุ้ย ชายผิวเข้ม หน้าตาดูน่ากลัว แต่ใจดีมากครับ(staff ของเรือโชคศุลี) หยิบยาทาแผลมาให้ผมด้วย เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ ผมเลยทาแผลอีกรอบหนึ่งด้วย

ชายสูงอายุคนหนึ่ง เดินไป เดินมา บนเรือ แต่งตัวภูมิฐาน ใช่ครับ(หลังจากสอบถามพี่ๆ) ชายคนนี้ คือ คุณเสรี เจ้าของเรือนั่นเอง เท่ากับว่าทริปนี้ผมสบายแล้ว อิ่มหนำสำราญแน่ๆ 555

ถามว่าทำไมเขาถึงต้องมาดูเอง เพราะว่า ปัจจุบันมีเรือ liveaboard เยอะมาก ธุรกิจการดำน้ำเติบโตขึ้นเรื่อยๆ หากเราไม่พัฒนาให้การบริการดียิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ถูกคู่แข่งแซงหน้าแน่ๆครับ

ผมนั่งคุยกับพี่โอ๋และพี่หนุ่ยพร้อมเปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือไปด้วย เพลงเก่าๆที่มี ถูกใจพี่ๆอย่างยิ่ง(ผมก็ชอบฟังเพลงเก่าสมัยรุ่นพ่อน่ะ) เห็นพีดีเอของพี่หนุ่ย มี Dive site จุดดำน้ำด้วยครับ เจ๋งจริงๆ

พี่ตามหยิบ Sausage มาให้ครับ อภินันทนาการจากพี่ป้อม (คราวนี้คงไม่ทำหายแล้ว มีซองใส่อย่างดีด้วย หายอีกคงต้องซื้อเองแล้วล่ะครับ 555 )

ด้านข้างเรา ที่เรือเจ้าหญิงน้อย มีลิพท์ สุพจน์อยู่ด้วยครับ ไม่นานนัก เสียงประทัดก็ดังขึ้น พร้อมกับการเคลื่อนตัวของเรือ ซึ่งน่าจะเป็นความเชื่อว่า ให้การเดินเรือเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและปลอดภัย

เด็กน้อยคนหนึ่ง ขึ้นมาบนเรือ เธอคนนี้ชื่อน้องฟิน เป็นลูกสาวของครูปรีชา(ทริปนี้ Instructor เพียบเลยครับ ดีๆ)

เด็กหนุ่ม 2 คนขึ้นมาครับ คนนึงโย่งและล่ำกว่าผมเสียอีก(ทราบภายหลังว่า คือ เอ็มและบี ลูกศิษย์ครูปรีชาครับ)

อีกคนที่อยู่บนเรือ คือครูนิ้ม เป็น Instructor อีกเช่นกัน

เรารอกลุ่มสุดท้ายอีก 6 คนครับ (ทราบภายหลังคือ ครูตุ๊ก ครูเอ๋ พี่อิ๋ว พี่อุ๋ย พี่ตู่ และคุณมังคุด) เมื่อพวกเขามาถึง เรือโชคทวีก็ค่อยๆเคลื่อนตัวออกจากท่าเรือรัษฎาพร้อมเสียงประทัด(ดังสนั่น)

ครูปรีชาเปิด Notebook ให้ดูรูปใต้ทะเล ในเครื่องแก มีทั้งเมืองไทยและต่างประเทศ สวยๆทั้งนั้นเลย ในนั้นมีรูปพลอย จินดาโชติด้วยครับ(แกบอกว่า ดีใจกับลูกศิษย์ที่ได้ดิบได้ดี มีแฟนเป็นดารา)

ผมขึ้นไปดูดาดฟ้า ทางขึ้นลำบากหน่อย แต่อากาศดีครับ พื้นยังเปียกๆอยู่เลย( ใครจะนอนต้องระวัง กลางคืนอาจมีน้ำค้าง ไม่ระวังก็อาจเปียกได้)

ผมเห็นพี่ตาม ท่าทางจะนอนไม่หลับ(นอนในห้องทีวี จะต้องรอให้คนอื่นๆ หลับเสียก่อนครับ ลำบากตรงนี้แหละ ไม่งั้นก็จะหลับยาก) เลยชวนให้แกมานอนในห้องด้วย(ตรงพื้นยังมีที่ว่างอยู่หลับ ถ้าปิดไฟก็นอนหลับสบายกว่าแน่นอน)

ผมลองเปิดโทรศัพท์มือถือที่ดูทีวีได้ด้วย ใช้ได้เลยครับ ถ้ามีคลื่นทีวีแบบนี้ เวลาผมไปเที่ยวทะเล ก็ไม่จำเป็นต้องหาห้องที่มีทีวีแล้วล่ะ 555

พักผ่อนดีกว่าครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นมาดำน้ำแต่เช้า จะมีอะไรรอผมอยู่ในวันพรุ่งนี้นะ




29 ธันวาคม 2550

ตื่นสบายๆ 7โมงเช้าครับ ไม่ต้องรีบร้อนมากนัก เนื่องจากเราออกจากท่าเรือรัษฎาช้าเมื่อวานนี้ เราจึงยังไม่ถึงจุดดำน้ำแรกครับ(เห็นว่าจะถึงเกือบๆ 10 โมงน่ะ)

ผมกะจะมาดูอุปกรณ์ในเกียร์แบคเช้านี้(เมื่อวานขี้เกียจทำน่ะครับ) ปรากฎว่า Dive leader แสนดีของผม พี่ตาม จัดการให้หมดแล้ว ตะกั่วก็ร้อยให้ด้วย(ผมเพียงแค่ดู Fin กับ Clean mask เท่านั้นเองครับ) เป็น Dive leader ที่บริการ Diver ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลยครับ(แต่ Diver ก็ต้องทำทุกอย่างเป็นนะครับ ไม่ใช่ให้คนอื่นทำให้ จนตัวเองทำอะไรไม่เป็นเลย)

ขนหนังสือสัตว์ทะเลและแผ่นปลามาด้านบนครับ ผมบอกหลายๆคนว่า หากใครสนใจก็หยิบไปดูได้เลย(555 ผมจดไว้เรียบร้อยแล้วครับ ว่ามีกี่เล่ม กี่แผ่น)

หลายๆคน ตื่นกันแล้ว ส่วนใหญ่จะกินอะไรเบาๆเช่น ขนมปังทาแยม ทาเนย ทานมข้มหวาน เพราะอาหารเช้า เราจะได้ทานหลังจากเสร็จไดฟ์แรกครับ

เรือโชคศุลีพานักดำน้ำมาถึงเกาะห้า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน คุณเสรีออกมาเล่าถึงประวัติคร่าวๆของที่นี่ รวมทั้งกฎ กติกา สิ่งอำนวยความสะดวกบนเรือลำนี้ จากนั้นก็ให้นักดำน้ำทุกคนแนะนำตัว เพื่อให้ทุกๆคนรู้จักกัน จากนี้ไปเราจะต้องเจอกันอีกหลายวันครับ

สำหรับกลุ่มของนักดำน้ำก็จะมี กลุ่มของครูปรีชา ที่มีบีและเอ็ม กลุ่มของครูตุ๊ก ที่มีครูเอ๋ พี่อุ๋ย พี่อิ๋ว พี่ตู่ มังคุด(คนนี้เป็นชาวต่างชาติที่พูดไทยชัดแจ๋วครับ) กลุ่มของพี่หนุ่ยและครูนิ้ม ที่มี หยั่น ประพันธ์ อารีย์ และพี่เตย กลุ่มของผมที่มี พี่โหน่งและมีลีดเดอร์ คือ พี่ตาม