Tuesday, December 11, 2007

ปฎิบัติการตัดอวน....ทะเลระยอง(3)







Dive 2 ผมจะพาพวกคุณกลับบ้าน!!

พี่นก พี่โหน่ง และผม ให้สัญญาณลงพร้อมๆกันครับ ปรากฎว่า ผมพยายามอยู่หลายครั้ง กดปุ่มปล่อยลมที่ BCD ยกขึ้นเหนือหัว ยังไงก็ไม่สามารถที่จะทำให้ตัวผมลงไปได้ ทั้งๆที่หายใจเป็นปกติ ไม่ได้ตื่นเต้นเลยแม้แต่น้อย

หันไป พี่นกหายไปแล้ว แต่พี่โหน่งยังอยู่ครับ แกรอผม(เกรงใจแกเหมือนกันครับ) พอลงได้ ผมพยายามไต่ระดับความลึกลงไป พยายามเคลียร์หู เกิดปัญหาขึ้นอีกครับ เคลียร์ยังไงก็ไม่ได้ ปวดหู จนต้องไต่ระดับขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงลงไปต่อได้

ลงไปประมาณ 14 เมตรกว่า ไม่เจอใครเลยครับ เจอแต่ฝูงปลาสากบั้ง(Blackfin Baracuda) แถมสีดำที่ลำตัว คือจุดเด่น(พยายามไม่มองปลาครับมากเท่าไรครับ เพราะมาทำงาน แต่พวกเขาว่ายมาอยู่ในระดับสายตาผมเองนะ)

ผมแค้นใจตัวเอง ในใจคิดแต่ว่าจะตัดอวน ช่วยสัตว์ทะเล อากาศก็มีน้อย ทำไมเป็นแบบนี้หนอ คนอื่นๆไปไหนหมด(ผลพวงจากการ ตื่นเกือบทุกๆชั่วโมง เมื่อคืนนี้แน่ๆครับ เวลาจะมาดำน้ำ การพักผ่อนอย่างเพียงพอถือเป็นสิ่งสำคัญครับ เคลียร์หูช้า ตามไม่ทันคนอื่นเขา น้ำก็ขุ่นซะด้วย)

ผมให้สัญญาณขึ้นให้พี่โหน่งเห็น แต่ผมไม่ได้ทำ safety stop เพราะในใจที่มีแต่อารมณ์โกรธตัวเองที่เคลียร์หูช้า อยากขึ้นไปหาจุดที่เพื่อนๆอยู่ เพื่อตัดอวนเร็วๆนั่นเอง (หากให้อารมณ์ครอบงำ ผมว่าหลายคนสติก็อาจจะหายไป เช่นผมครับ พอลองถามพี่ป้อม แกบอกว่า ไม่ติดดีคอมหรอกน้อง เพราะเราดำในความลึกที่พอเหมาะ ไม่เกินในตารางน้ำแน่นอน คราวหน้าผมจะทำ safety stop ทุกครั้ง ซึ่งปกติผมจะทำทุกครั้งอยู่แล้ว

พอขึ้นมา สติกลับมาครับ พี่โหน่งทำ safety stop นี่หว่า ต้องรอแกก่อนนะ (แน่นอนว่า เลือดชั่วๆก็มีมาอีกไดฟ์ครับ เคลียร์หูแรงเกินไปนั่นเอง)

เราหลุดออกมาไกลเหมือนกันครับ(มิน่า ไม่เจอใครเลย)

ผมคุยกับพี่โหน่งว่าจะลงอีกครั้งหนึ่ง พอตีขาไปจนถึงสถานที่ที่ถุงพลาสติคลอยอยู่(คาดว่าเพื่อนๆน่าจะทำงานอยู่ใต้นี้) ปรากฎว่าพอลงไปก็ไม่เจอครับ ขึ้นดีกว่า(ถึงตอนนี้ อากาศผมเหลือ 60 แล้วครับ)

คงต้องยอมรับสภาพครับ ผมดึงอวนที่อยู่ใกล้ๆ ภายในมีปูติดอยู่หลายตัว รีบขึ้นไปช่วยชีวิตพวกเขาดีกว่า พวกเขาจะได้กลับบ้านเร็วๆ(พี่โหน่งเห็นด้วยว่า ขึ้นเถอะน้อง)

ด้านบน ผมวางอุปกรณ์ หาที่นั่ง ใช้กรรไกร บรรจงตัดอวนที่มีปูติดอยู่ เยอะมากครับ ส่วนใหญ่จะเป็นปูแต่งตัว ปูใบ้หลังเต่า ปูตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่ในปะการัง หอยต่างๆ เป็นต้น

เครื่องพันธนาการค่อนข้างพันหลายชั้น พันทั้งก้าม และตัว แม้แต่บริเวณจับปิ๊ง(ส่วนด้านล่าง กระดองน่ะครับ อยากเห็นลองพลิกดู ก็ถูกพันไว้ด้วย) ขนาดคนตัดยังเหนื่อยเลยครับ รีบตัดมากก็ไม่ได้ เดี๋ยวจะตัดโดนก้ามปู นับประสาอะไรกับการถูกมัดไว้ คงทรมานน่าดู

ความแค้นเปลี่ยนเป็นพลัง ผมทำไป สงสารไป แม้แดดจะร้อน ผมทำงานแข่งกับเวลา เพื่อที่จะช่วยพวกเขาให้มากที่สุด ผมคิดในใจว่า ผมจะพาพวกคุณออกไปจากอวนชั่วๆนี้ ไม่ต้องห่วง(เวลาร้อน ให้พี่ๆช่วยฉีดน้ำให้น่ะครับ ช่วยได้เยอะเลย)

เหมือนเขาจะรู้ครับ(หรือหมดแรงก็ไม่ทราบ) พวกเขาไม่หนีบผมเลย เหมือนจะรู้ว่าผมมาดี ซึ่งผมก็ทำงานง่ายขึ้นเยอะ

ปะการัง สังเกตได้ว่า ถ้ามีสีเขียว แสดงว่ายังไม่ตายครับ ช่วยไว้ ปล่อยลงไปก็มีโอกาสรอด

เม่นทะเล ถ้ายังขยับก็แสดงว่ายังรอดครับ แต่ต้องตัดด้วยความระมัดระวังหนาม นิดนึง แต่นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสัตว์ทะเลครับ เราจะเลือกปฎิบัติไม่ได้

น้องเบสกับน้องบอส(ลูกชายพี่บอย) ดูจะสนใจการทำงานของผมมาก ว่าปูจะหนีบไหม ปะการังกินอะไร ตัวนั้นตายหรือยัง ผมก็ใช้ความรู้ที่มีอธิบายให้เด็กๆฟังครับ หวังว่าเมื่อเติบใหญ่ พวกเขาจะมีจิตใจรักธรรมชาติ ไม่มากก็น้อย

ลำตัวผมเลอะเทอะไปหมดครับ ทั้งกลิ่นปลาเน่า กลิ่นความสดของทะเล(เหมือนเอาตัวเข้าไปคลุกกับห้องเย็นเลย 55) แต่ผมก็ไม่หวั่นครับ บอกแล้วว่า แค้นที่ลงไปช่วยไม่ได้ ผมก็สามารถช่วยโดยวิธีนี้ได้ ผมใช้มือดึงอวนขึ้น พลิกไป พลิกมา หาว่ายังพอมีชีวิตน้อยๆให้ผมช่วยอีกหรือไม่(มีพี่ดาวกับเจี๊ยบมาช่วยด้วยครับ ผ่อนแรงไปเยอะเลย )

เมื่อหาจนคิดว่า ไม่มีแล้ว ผมล้างตัว ภูมิใจที่ได้ช่วยชีวิตสัตว์ทะเล แม้ว่าหลายชีวิตที่ผมปล่อยลงไป อาจไม่รอดชีวิตทั้งหมด อาจถูกปลากินบ้าง ตายเองบ้าง แต่ก็ดีกว่าที่จะให้พวกเขาอยู่ด้านล่าง รอความตายที่จะมาถึง(โดนมัดแน่นแบบนั้น ยังไงก็ตายครับ)

จุดที่ต้องแก้ไข ในคราวต่อๆไป ควรให้มีปะการังติดขึ้นมาน้อยกว่าเดิม แต่นี่ คือ ปฎิบัติการเร่งด่วน หากช้ากว่านี้ ผมเชื่อว่าจะมีอีกหลายชีวิตที่ต้องตายครับ ความเสียหายจะมีมากกว่าได้ประโยชน์ ผมมองว่าทุกชีวิตที่นี่ มีความสำคัญเท่ากันหมดครับ

ผมนั่งพัก กินขนมปังทานมข้นหวาน ที่อันและพี่ตามส่งให้หมดไป 3 ชิ้น อร่อยจริงๆครับ(ตอนเก็บอุปกรณ์ทราบว่า Sausage หายไป ได้ซื้อใหม่อีกแล้วล่ะ 55)

พระอาทิตย์ดวงกลมสีแดง อมส้ม กำลังจะตกทะเล ช่างภาพต่างหามุมถ่ายรูป ช่างสวยงามเสียจริงๆ ผมมองเห็นพี่นก คุยกับทุกคนอย่างถูกคอ(พี่นกเข้ากับคนง่ายด้วยครับ)

ผม รู้สึกดี ว่านอกจากผมจะมีส่วนร่วมกับกิจกรรมครั้งนี้แล้ว ผมยังชักชวนพี่นก เข้ามาทำกิจกรรมด้วย พี่นกบอกว่า มาทะเลครั้งนี้ เหมือนมาหาคุณแม่ด้วย เพราะครั้งสุดท้ายที่มาทะเล ก็นำเถ้ากระดูกของท่านมาปล่อยลงทะเล ตอนแรกคิดว่าแม่จะเหงา แต่พอเห็นใต้ทะเลแล้ว มีปู มีปลาและสัตว์ทะเลเป็นเพื่อนแม่เยอะแยะ แม่คงไม่เหงาอย่างแน่นอน

ก่อนกลับ เราแวะกินข้าวที่ร้านโจโจ้ บริเวณแหลมแม่พิมพ์ ก่อนจะแยกย้ายกันกลับคนละทิศคนละทาง

เป็นอันจบกิจกรรมดีๆ แบบนี้ครับ ผมประทับใจมากๆ ที่ได้มีส่วนร่วมในการช่วยเหลือสัตว์ทะเล ผมว่านักดำน้ำทุกคน ก็คงมีความรู้สึกไม่ต่างไปจากผมครับ

แม้อวนที่พวกเราตัด จะเป็นแค่ส่วนน้อย(แต่ผืนใหญ่นะ) ไม่ถึง 10 เปอร์เซนต์ ของอวนทั้งหมดที่อยู่ในทะเลไทย แต่พวกเราก็พร้อมที่จะลงไปทำอีกครับ แม้จะต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวเองก็ตาม

หากวันนั้นมาถึง พวกเราและกลุ่มดำน้ำอื่นๆ ทั่วประเทศ คงจะทำกิจกรรมนี้กันอีก ในแต่ละจุดของทะเลไทย เพื่อให้บ้านของเหล่าสัตว์ทะเลน่าอยู่มากขึ้น

หวังว่า เรื่องราวของผม คงช่วยจุดประกายให้ผู้ใหญ่ของบ้านเมือง ได้ตื่นตัวนะครับ ปัญหาที่มองดูว่ามีมานานแล้ว ฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ ไม่สำคัญก็ตาม แต่นี่เป็นภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของเมืองไทยเชียวนะ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อรายได้การท่องเที่ยวของประเทศด้วย

แต่กระนั้น ถึงไม่มีใครสนใจก็ตาม ก็ยังมีกลุ่มนักดำน้ำนี่แหละ ที่จะมีส่วนช่วยตรงนี้ได้มาก

ช่วยๆกันนะครับ ขอบคุณผู้เสียสละทุกท่าน(กลุ่มดำน้ำกลุ่มอื่นๆด้วย) หวังว่าคงได้มีโอกาสได้ร่วมงานกัน

และขอบคุณที่ติดตามอ่านเรื่องราวของผมครับ


Phop Payapvipapong

6 Dec 2007

03.13 pm

Friday, December 07, 2007

ปฎิบัติการตัดอวน....ทะเลระยอง(2)







2 ธันวาคม 2550

นาฬิกาปลุกดังตอน 6 โมงเช้า ผมลุกขึ้นทันทีเลยครับ เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ(ตื่นเกือบทุกๆชั่วโมง)เพราะกลุ่มที่นั่งกินสุรา คุยเสียงดังเหลือเกิน

พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแต่ยังพอเห็นแสงสีส้มเล็กน้อย ผมนั่งที่เก้าอี้ข้างๆเต๊นส์ รอถ่ายภาพพระอาทิตย์ขึ้น ลมหนาวพัดมา บรื้อๆๆๆ หนาวเว้ย!!

เช้าๆ แบบนี้ กลุ่มเด็กๆที่มาออกค่ายตื่นเช้าเหมือนกัน แน่นอนว่าห้องน้ำก็ต้องเต็ม ผมเลยแปรงฟันโดยใช้น้ำจากก๊อกน้ำด้านนอกดีกว่า ขี้เกียจไปต่อคิวครับ

ไม่นานนักพี่โหน่งก็ตื่นครับ ตื่นมาถ่ายรูปเช่นกันแต่ดูท่าทางแกจะนอนหลับสบายกว่าผมอีกนะ 555

เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น บรรยากาศรอบๆก็เริ่มสว่าง เดินถ่ายรูปดีกว่า ด้านหน้าก็มีแนวหินและมีท่าเรือศรีวิกาอยู่ใกล้ๆด้วย

ตรงข้ามท่าเรือ แสงไฟและต้นคริสมาสต์ที่เห็นเมื่อคืนนี้ เป็นที่ตั้งของโรงแรมครับ(ใครทราบว่าโรงแรมอะไร ช่วยบอกด้วยครับ)

กลับมาเก็บของ พับเต๊นส์เตรียมตัวเดินทางไปท่าเรืออ่าวไข่(เต๊นส์แบบนี้ มีรูป การพับเต๊นส์ให้ดูด้วยครับ ทำเองก็ได้ง่ายจัง)

ขณะเดินไปขึ้นรถเพื่อไปจ่ายค่าเข้าอุทยาน ค่ากางเต๊นส์ เมื่อคืนนี้ พบเด็กๆ(สาวๆ)ที่มาออกค่าย หน้าตาแฉล้มกันทั้งนั้น เมื่อวานน่าจะมาเร็วๆนะเนี่ย จะได้เจอสาวๆ (คนเขียนออกแนวหื่นนะเนี่ย 555 พึ่งรู้เหรอครับ 555)

มาที่ทำการอุทยาน เจ้าหน้าที่ถามผมว่าทำไมกลับเร็วจัง ผมบอกว่าต้องไปท่าเรืออ่าวไข่ ไปดำน้ำเก็บขยะ ตัดอวน เธออวยพรให้ผมโชคดี หากมีโอกาสกลับมาพักที่แห่งนี้อีกครั้ง พวกเธอยินดีต้อนรับ

ถ่ายรูปกับป้ายอุทยานซะหน่อยว่ามาถึงแล้ว ออกเดินทางไปทางถนนเลียบหาดกันดีกว่า ได้บรรยากาศดีครับ

เริ่มจากบ้านเพ ที่นี่มีท่าเรือสำหรับไปเกาะเสม็ดด้วย ใครมาเกาะเสม็ด ผมว่าคงคุ้นชื่อนี้นะครับ บ้านเพยามเช้า ดูคึกคักดี แม่ค้าร้านขายของที่ระลึกกำลังเปิดร้านพอดีเลย ดูขะมักเขม้นดีครับ

จากบ้านเพ เราเข้าสู่หาดสวนสน หาดที่ผมคุ้นตาดีจากหนังสือท่องเที่ยว วิวต้นสน รายรอบ 2 ข้างทาง ดูสวยงามดีครับ(ถ่ายรูปจากบนรถไปก่อน มีโอกาสจะกลับมาถ่ายแบบดีๆครับ ตอนนี้ต้องรีบ)

มาถึงแหลมแม่พิมพ์ หาดนี้ค่อนข้างยาวครับ เรามาที่สินสยาม รีสอร์ท เพื่อมาหาพี่นก แล้วค่อยขับรถไปท่าเรือด้วยกัน

“ภพ ใช่ไหมครับ” หนุ่มใหญ่วัยเลขสี่ ผิวคล้ำ อารมณ์ดี เข้ามาทักผม(อายุ เป็นเพียงตัวเลข แกดูหนุ่มจริงๆครับ)

“พี่นกเหรอครับ หวัดดีครับพี่” ผมทักทายพี่นก

สินสยาม รีสอร์ท เป็นที่พักใกล้หาด(เดินข้ามถนนมาก็ถึงครับ) สไตล์ทรงไทย สีที่ตกแต่งหลังคาก็ดูสวยดีครับ

เรามาถึงท่าเรือ อ่าวไข่ ไม่นานนักพี่ป้อมและคนอื่นๆก็มาถึง เริ่มจาก พี่ปุ๋ม พี่เปล่ง เจี๊ยบ พจน์ สี่ พี่เอ พี่หมี พี่ปุ๊ย พี่จ๋า พี่มิ๊ง พี่โจ พี่เอ๋ พี่ตาม พี่นัท(โดนัท) พี่ปอ ส่วนสมาชิกใหม่ที่ผมพึ่งรู้จัก คือ พี่ต่าย พี่โอ๋ น้องตั้มและน้องหยี(เป็นหมออีกแล้วครับ หมอดำน้ำเยอะจริงๆ อย่างที่ผมเคยเขียนไว้เลย)

เรือของเรา ชื่อ เดอะทอย จะพานักดำน้ำทุกคนไปปฎิบัติภารกิจเร่งด่วน เพื่อตัดอวนกัน ผมเจอสมาชิกแก๊งค์ ปตท.ระยอง อย่างพี่ทศ พี่ดาว อัน พี่บอย(คราวนี้หนีบเอาน้องเบสมาเหมือนเดิม เพิ่มน้องบอสมาด้วยอีกคนครับ และยังมีพี่วิเชียรเจ้าของเรือ มาช่วยเหลือเหมือนเดิมด้วย

เติมพลังกันด้วยข้าวต้มครับ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ไม่งั้นแย่แน่ๆ เดี๋ยวจะไม่ได้ช่วยสัตว์ทะเลกัน

หลังจากเตรียมอุปกรณ์เรียบร้อย พี่ป้อมแนะนำสมาชิกบนเรือให้ทุกๆคนรู้จัก ยังมีอีกหลายท่านที่ผมไม่ได้กล่าวถึง แต่ทุกท่านเป็นผู้เสียสละอย่างแท้จริงครับ

เราจะลงปฎิบัติการ ตัดอวนกันที่หินเพิง โดยแบ่งเป็น 3 ชุด ชุดแรกลงไปผูกถึงพลาสติคไว้ที่อวน ตามด้านต่างๆ ชุดที่สอง คอยตัดอวนและเติมลมในถุงพลาสติค(เติมเพื่อให้ถุงมีอากาศ หากตัดอวนหมด ถุงแต่ละด้านจะยกตัวอวนขึ้น ลอยขึ้นสู่ผิวน้ำ ) เพราะอวนผืนใหญ่มาก หากไม่ใช้วิธีนี้ก็ไม่สามารถดึงขึ้นมาได้ ส่วนชุดที่สาม เป็นชุดที่ลงไปเก็บ แก้ไข ข้อผิดพลาด หากตัดอวนไม่หมด จนไม่สามารถนำขึ้นมาได้(แต่ละคน มีเวลาอยู่ครับ หากอากาศใกล้หมด ก็ต้องเซฟตัวเอง ขึ้นมาบนผิวน้ำ ให้ชุดต่อไปลงไปแทน)

ถึงตอนนี้ หลายๆคน ทยอยทำถุงพลาสติค ร้อยเชือก ผมไม่ค่อยถนัดงานแบบนี้จริงๆ ทำไมมันดูยากจังเลย พี่ป้อม พี่ดาว พี่ทศ เตรียมถุงมือ กรรไกร มีด ไว้ให้สำหรับทุกๆคนด้วย ผมเตรียมกรรไกรมาจากบ้าน กะว่าจะนำติดตัวไปตลอด เจออวนที่ไหน หากไม่เกินความสามารถของผม ผมจะตัดทิ้งให้หมด

เรือเดอะทอยมาถึงหินเพิง(บริเวณกองกลาง) เราทั้งหมดถ่ายรูปร่วมกันเป็นสักขีพยาน พี่ๆเพื่อนๆชุดแรกลงไปแล้ว ชุดของผมแต่งตัว พี่ป้อมตะโกนบอกชุดแรก ว่าอาหารอร่อยมาก(จริงๆยังไม่ได้กินครับ) ให้รีบขึ้นมาเพราะจะหมดแล้ว เป็นการแซว เรียกเสียงหัวเราะได้พอสมควร 555

แม้ผมจะไม่แน่ใจว่าจะทำงานนี้ได้ดีแค่ไหน แต่ไฟ(ในทรวง เอ้ย ไม่ใช่ครับ) จิตใจที่อยากช่วยเหลือสัตว์ทะเล เคียดแค้นพวกจับปลาแบบไม่มีหลักเกณฑ์ ก็ได้ติดขึ้น เรียบร้อยแล้ว


Dive 1 ครั้งแรกกับปฎิบัติการตัดอวน

เคลียร์หูยากมากๆ น่าจะเกี่ยวกับการที่ผมนอนไม่พอแน่นอน แต่พยายามไม่ฝืนครับ เพราะถ้ารีบลงจะปวดหูมาก แก้วหูอาจจะทะลุได้ ผมใช้ความพยายามอยู่นาน จึงเปลี่ยนระดับ ลงไปเรื่อยๆครับ

ในระดับความลึก17-19 เมตร อวนผืนใหญ่ คลุมทั่วแนวปะการัง เป็นภาพที่ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เพื่อนๆนักดำน้ำ กำลังช่วยกันตัดอวนกันอยู่

ความรู้สึกบอกผมว่า ผมต้องหาที่ว่าง หาส่วนที่ยึดติดระหว่างอวนกับแนวหิน แล้วตัดมันออกให้ได้โดยเร็ว ผมทำมันราวกับว่า ผมเคยทำงานนี้มาแล้ว

มีชิ้นส่วนของอวนติดอยู่กับแนวปะการังเยอะมากครับ ทุกคนจึงต้องช่วยกัน หากผมเจอปะการัง ผมจะตัดมันให้ออกจากเศษอวนเสียก่อน

เป๊าะๆๆ เสียงอวนในแต่ละด้านที่ถูกตัด เริ่มยกตัวสูงขึ้น ตามถุงพลาสติคที่มีลมอยู่ นั่นก็หมายความว่า เครื่องพันธนาการกำลังหลุดออกจากแนวปะการังแห่งนี้ ฟังเสียงแล้วผมดีใจครับ

บางจุดน้ำขุ่นจนมองไม่เห็น ผมใช้มือคลำหาอวนแล้วตัดออก(ต้องคลำครับเพราะอาจจะตัดผิดเป็นตัดปะการังได้)

กว่าจะรู้ตัว ผมใกล้เม่นทะเลมาก ไม่กี่เซนติเมตร ต้องขยับหนีนิดนึงครับ(โชคดีว่า พวกเขาคงรู้ว่าผมมาดี ผมมองเห็นเขาขยับหนีแต่โดยดีครับ)

มีจุดหนึ่ง อวนมีอยู่หลายปม ตัดยากมาก ใกล้ๆมีพี่นัทและพี่โหน่ง กำลังช่วยกันอยู่ พี่นัทชี้ให้ผม ตัดอวนจุดนี้ให้ได้ แม้จะไม่ได้พูดกัน แต่ผมรู้ดีกว่า หากผมตัดได้ อวนผืนนี้ อาจจะหลุดจากแนวปะการังแห่งนี้

ผมตัด ตัด และตัด ยังไม่หลุด มันไม่น่าใช่จุดหลักที่ติดกับหินแน่ๆ ผมดำลึกลงไป มองหาตัวการสำคัญ ที่ทำให้ กากเดนแห่งท้องทะเลติดอยู่

ความแค้นชาวประมงที่วางอวนผืนนี้ ก่อให้เกิดพลัง ผมคิดในใจว่า ต้องเอาอวนขึ้นให้ได้

“ผมเจอแล้วครับ”

มีอวนเส้นยาว ยึดอยู่กับหินด้านล่างนี้ ผมใช้กรรไกร บรรจงตัดออก เสียงแห่งความยินดี ก็ได้บรรเลงขึ้น

“เป๊าะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ” เสียงอวนขึ้นสู่ผิวน้ำ พี่นัททำท่าปรบมือและยกนิ้วให้ผมด้วย

พี่โหน่งอากาศเหลือ 50 ครับ ผมบอกพี่นัท ทำสัญญาณสื่อสารใต้น้ำ เธอเข้าใจ และบอกให้ผม ระมัดระวัง เรือที่อยู่บนศีรษะด้วย ขณะเราทำ safety stop (เราจึงตีขาออกมาเล็กน้อย)

ด้านบน ผมตีขาเข้าเรือ เห็นอัน ทำท่าทางห่วงใย ตกใจเวลามองผม ใช่ครับ เลือดชั่วๆเต็มหน้ากากของผมเลย (อุตส่าห์หายไปหลายไดฟ์แล้วนะ) ไม่ต้องสงสัยว่า เกิดจากการเคลียร์หูของผม อาจแรงไป เส้นเลือดฝอยในจมูกจึงแตก แต่ผมเฉยๆครับ เพราะเคยเป็นมาแล้ว หลายๆคนไม่คุ้นเคย อาจตกใจได้(แรกๆผมก็ตกใจครับ)

ตัวล๊อคระหว่าง BCD กับแท๊งค์ของผมหลุดนิดนึง โชคดีไม่หลุดขณะอยู่ใต้น้ำ ไม่งั้นผมลำบากแน่ๆ เลยยกไปให้พี่ๆ Staff ของเรือ ช่วยซ่อมครับ

เราพักกินข้าวกลางวัน มีหมูผัดพริกขิง และทอดมัน ผมรู้สึกยินดีถึงเหตุการณ์เมื่อซักครู่ยังไม่หาย

อีกด้าน(ยังมีอวนอีกผืนครับ) มีที่ยังไม่หลุดทั้งหมด ชุดที่สามจึงลงไปเก็บ ผมอยากจะลง แต่กลัวว่า ไดฟ์ต่อไปจะไม่ได้ลงไปเก็บ(เพราะดำนานเกินไป) จึงพัก เก็บแรงไว้ ช่วยในชุดต่อไป เผื่อว่าชุดต่อไปจะได้พักบ้าง (อวนมีเยอะครับ คนวางก็ขยันกันจัง)

ซักพักใหญ่ พี่ๆ เพื่อนๆก็ขึ้นมา พร้อมกับอวน ภายในมีสัตว์ทะเลมากเลยครับ ต้องช่วยเหลือโดยใช้กรรไกรค่อยๆเล็มอวนออกจากสัตว์ทะเลเหล่านั้นกันโดยด่วน และปล่อยลงทะเล หลายตัวผมไม่เคยเห็นในท้องทะเล เคยเห็นแต่ในรูป เช่น ปูแต่งตัว ปูแมงมุมกรียาว ปูใบ้หลังเต่า เป็นต้น

หลายคนสวมบทเป็นหมอ เป็นพยาบาล เช่น พี่นัท พี่ดาว เจี๊ยบ พี่บอย เป็นต้น โดยสัตว์ทะเลเหล่านี้เป็นคนไข้ พวกเขาอยู่นิ่งๆครับ ไม่ทำร้ายเราเหมือนจะรู้ว่า เรามาช่วยเหลือ(ผมถ่ายรูปเก็บความประทับใจนี้ไว้ด้วยครับ)

ชุดต่อไปเตรียมตัวลงที่หินเพิง(บริเวณกองใหญ่) ผมแต่งตัว มาเช็คอากาศปรากฎว่าเหลือ 120 ( ปกติ จะมีประมาณ 200 บาร์ ลืมบอกไปว่า Octopus ของผมรั่วครับ อากาศเลยระเหยออกไป) พี่ป้อมบอกไม่เป็นไร ลงไปได้ อากาศหมดก็ขึ้นซิน้อง(จะเติมอากาศ คนต่อคิวก็เพียบเลยครับ)

ผมพร้อมที่จะลงไปช่วยพวกเขา อีกครั้งครับ

Thursday, December 06, 2007

ปฎิบัติการตัดอวน....ทะเลระยอง(1)







ปัจจุบันทะเลไทย ถูกรุกรานอย่างหนัก เกี่ยวกับการลักลอบทำประมง การวางอวนตาถี่แบบไม่คำนึงถึงผลที่จะตามมา นึกถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตน ด้วยเหตุนี้เอง หากเปรียบเทียบทะเลไทยในหลายสิบปีที่แล้ว กับในปัจจุบัน จำนวนปลาจึงลดลงอย่างเห็นได้ชัด

นอกจากการแก้ปัญหาในการออกกฎหมายมาลงโทษผู้กระทำความผิดแล้ว นักดำน้ำก็มีส่วนช่วยในการช่วยเหลือสัตว์ทะเลอย่างมากครับ หลายๆครั้งที่ผมอ่านเรื่องนักดำน้ำที่มีจิตใจดีงาม เช่น คุณเจี๊ยบอภินันท์ ตัดอวนช่วยฉลามเสือดาว เป็นต้น หรือแม้แต่ กลุ่ม saveoursea ที่เป็นกลุ่มของนักดำน้ำ รวมตัวกันเพื่อเรื่องนี้โดยเฉพาะ ซึ่งพวกเขาก็มีกิจกรรมสำหรับเรื่องนี้อยู่เรื่อยๆ

ผมเคยเข้าไปดูในเว็บของพวกเขาครับ นึกอยากจะไปเก็บขยะ ตัดอวนกับพวกเขาอยู่เหมือนกัน แต่วันเวลาไม่ตรงกัน หลังๆเข้าเว็บไม่ได้แล้วครับ เพราะระบบบอก User name และ password ผิด(ทั้งๆที่ไม่น่าจะผิด) ให้แจ้งทางอีเมล ระบบก็ไม่ตอบ ติดต่อเว็บมาสเตอร์ก็ไม่ได้ เลยได้แต่ดูข่าวสารของพวกเขา แต่ คอมเมนต์ไม่ได้ครับ(หากพี่ๆ ในกลุ่ม saveoursea ได้ยิน ช่วยผมด้วยนะครับ)

ครั้งใดเวลาไปดำน้ำ หากผมเห็นขยะก็มักจะเก็บขึ้นมาอยู่เสมอ หลายครั้งที่มีอวนชาวประมง แต่ยากเกินความสามารถของผม ก็มักจะเศร้าใจทุกครั้งไป

ในครั้งนี้ พี่ป้อมในฐานะ หัวเรือใหญ่ ของ
www.nivach.net ได้ร่วมมือกับชมรมดำน้ำบริษัท PTT chemical นำโดยพี่ทศและพี่ดาว เกี่ยวกับการไปตัดอวนที่ทะเลระยอง เพราะทริประยอง หลายสัปดาห์ก่อน พี่ตามและนักดำน้ำคนอื่นๆพบอวนผืนใหญ่ที่หินเพิง มีปลาและสัตว์ทะเลอื่นๆมากมาย ทั้งที่จะมีชีวิตอยู่อีกไม่นานเพราะถูกอวนพันธนาการจนไม่สามารถกลับบ้านได้ หรือแม้แต่จะขยับตัวเพื่อช่วยเหลือตนเอง ทั้งที่สิ้นชีวิตไปแล้วก็มี

งานนี้จึงถือเป็นงานช้าง ไม่ใช่ว่าใครคนหนึ่งจะลงไปทำแล้วสัมฤทธิ์ผล ต้องอาศัยความร่วมมือกันครับ

ผมไม่ลังเลและพร้อมที่จะช่วยเหลือ การไปดำน้ำครั้งนี้จึงไม่ใช่การไปสำรวจสัตว์ทะเล ตอบสนองความต้องการของตนเองเหมือนทุกๆครั้ง แต่เป็น “งาน” ที่ผมและเหล่าเพื่อนๆมนุษย์กบ ในฐานะกลุ่มบุคคลที่มีความสามารถเฉพาะด้าน(อ่อ คนที่ยังไม่เรียนดำน้ำ ลงไปทำไม่ได้แน่ๆครับ) จะไปช่วยจัดการ ปัดกวาดท้องทะเล ให้สะอาด ช่วยเหลือชีวิตเล็กๆที่มีค่า(ที่หลายๆคนไม่เห็นค่า) ให้อยู่รอดปลอดภัย

การวางอวนจับปลา ไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะเป็นอาชีพหนึ่งของชาวประมง แต่ต้องมีหลักเกณฑ์ ไม่ใช่วางอวนครอบแนวปะการัง จับสัตว์ทะเลทุกชนิดที่ติดมา อันไหนไม่ต้องการก็โยนทิ้ง แบบนี้มันใช้ไม่ได้ครับ

แม้ผมจะยังไม่เคยทำมาก่อนซึ่งก็ต้องระมัดระวังไม่ให้ไปทำร้ายเหล่าสัตว์ทะเลโดนไม่ตั้งใจ แต่การเริ่มต้นถือเป็นสิ่งที่ดีครับ ผมมั่นใจว่า การกระทำของผมและเพื่อนๆจะเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ แน่นอน

ก่อนเดินทาง ผมวางแผนจะไปนอนที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด(เพื่อความแปลกใหม่ครับ) ซึ่งที่นี่ตั้งอยู่ระหว่างหาดแม่รำพึงและหาดบ้านเพ การเดินทางไปท่าเรืออ่าวไข่ ในตอนเช้าก็ง่ายกว่าด้วย เนื่องจากจะออกเดินทางในเย็นวันเสาร์(รอพี่โหน่ง ปิดร้านก่อนครับ) อุทยานจะปิดเวลา 6 โมงเย็น ผมจึงคิดๆว่า จะมีหวังไปนอนกางเต๊นส์ที่นี่หรือไม่(บ้านพักน่ะ เต็มอยู่แล้ว ไม่น่าเชื่อเลยใช่ไหมล่ะครับ)

ผมได้ชักชวนพี่นก(อีกหนึ่งในมิตรภาพจาก
www.multiply.com ) พี่นกเรียนดำน้ำที่มนุษย์กบไทยครับ แต่ห่างจากการดำน้ำไปหลายปี เพราะต้องมาดูแลคุณพ่อ แกเขียนบทความที่ผมอ่านแล้วประทับใจเพราะแฟนสาวที่พี่นกคบอยู่ กลับไม่เข้าใจในความกตัญญูรู้คุณบิดาของพี่นก ทำให้มีอันต้องเลิกรากันไป (พี่นกเลือกความกตัญญูเป็นที่หนึ่ง ซึ่งหาได้ไม่ง่ายเลยในสังคมไทยครับ)

หากทุกคนพร้อมแล้ว ผม(อีธาน ฮันต์) (เฮ้ย ไม่ใช่ MI 3) จะพาทุกท่านไปร่วมกิจกรรมครั้งนี้ด้วยกันครับ



1 ธันวาคม 2550

ผมโทรบิ้วพี่โหน่งให้รีบปิดร้าน มาถึงก่อนเวลาเพราะเห็นรูปถ่ายจากที่พี่ชายเคยไป อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด มาเมื่อหลายปีก่อน น่าอยู่มากครับ จากเต๊นส์ ก็มองเห็นทะเลแล้ว

พี่นก แกล่วงหน้าไปก่อนตั้งแต่บ่ายครับ ผมฝากพี่นกให้สอบถามเจ้าหน้าที่อุทยานให้ว่า หากผมมาถึง 3 ทุ่มจะเข้าพักได้หรือไม่

ส่วนคนอื่นๆ ไปพักกันที่โรงแรมอาร์ เอ็ม ของพี่เปล่ง ที่เดิม(เดือนที่แล้ว ผมก็มา Fun dive ที่ระยองครับ)

ผมไม่ได้เตรียมหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทะเลไปเท่าไรนัก เพราะคิดว่าคงไม่ค่อยได้ดูเท่าไร เลือกที่จะเตรียมแผนที่การเดินทางและที่พัก มากกว่าครับ(แผนที่ ผมใช้ของ Thinknet ครับ พกพาสะดวก เปิดก็ง่าย) หากผิดพลาดนอนที่อุทยานไม่ได้ จะได้หาที่พักได้ทันท่วงที

พี่นกโทรมาบอกว่าเลือกที่จะพักที่ สินสยาม รีสอร์ตบริเวณแหลมแม่พิมพ์ (ห่างจากท่าเรืออ่าวไข่ แค่ 2 กิโลเมตรเท่านั้นครับ) แกเข้ามาทาง อ. แกลง จ. ระยอง ก็เลยไม่ได้ผ่านอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด

พี่โหน่งมาถึงช่วง 6 โมงครับ เราออกจากกรุงเทพฯ เร็วกว่าเมื่อครั้งก่อน ผมลองเสี่ยงดวงโทรศัพท์ไปที่อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด อีกครั้ง ถึงแม้จะรู้ตัวว่าไม่มีหวังแล้วก็ตาม

“อุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ค่ะ” เสียงเจ้าหน้าที่สาวของอุทยาน

“ ผม ที่เคยโทรมาน่ะครับ อยากจะไปนอนที่อุทยานฯ แต่ว่าจะไปถึงช่วง 3 ทุ่มน่ะครับ มีธุระพอดี ไปพักได้ไหมครับ” ผมตอบ

“คงมีความจำเป็นที่ทำให้มาไม่ทันใช่ไหมค่ะ ถ้า 2 คนก็ได้ค่ะ แต่ตอนนี้เต๊นส์อุทยานเต็มแล้วเพราะมีเด็กๆมาออกค่าย ถ้านำเต๊นส์มากางเองก็ได้ค่ะ” ผมเริ่มมีความหวังเพราะพี่โหน่งมีเต๊นส์มาเองครับ

มีเด็กๆ มาออกค่าย นั้นก็หมายความว่า ก็ต้องมีสาวๆครับ ท่าทางเราจะโชคดีซะแล้ว ไชโย!!!!

ผมโทรกลับไปสอบถามเจ้าหน้าที่สาวผู้ใจดีอีกครั้ง เพราะอยากทราบชื่อของเธอ

“พี่เพ็ญนภาเหรอครับ ขอบคุณมากนะครับพี่ ผมจะได้เจอพี่ไหมครับ”

“เดี๋ยวพี่เลิกเวร 2 ทุ่ม เช้าก็มา 8 โมง คงไม่ได้เจอกันค่ะ แต่น้องเห็นพี่อาจจะผิดหวังนะ พี่น่ะเสียงกับหน้าตาไม่เหมือนกันหรอก”

“พี่ครับ ไม่เป็นไรมั้ง ผมไม่ได้จีบพี่ซะหน่อย” ณ เวลานั้น เรื่องดีๆ ก็เกิดขึ้นกับผมอีกครั้งหนึ่งครับ สำหรับการเดินทาง ผมมักจะมีโชคอยู่เสมอจริงๆ 5555

พอแจ้งชื่อกับทางอุทยานเรียบร้อย เท่านี้ ยามหน้าอุทยานก็ให้ผมเข้าแล้วครับ แวะกินข้าวที่จุดพักรถ Rest area ก่อนดีกว่า ผมหยิบหนังสือมาศึกษาเส้นทาง ว่าเราจะผ่านทางหลวงหมายเลขที่เท่าไร ไปทางไหนได้บ้าง

เผลอแป๊บเดียว เราขับหลงเข้าไปในดินแดน UTAH ของเมืองไทย ใช่ครับ เมืองโรงงาน อย่างแหลมฉบังนั่นเอง ในเวลากลางคืนแบบนี้ ไฟที่โรงงานดูสวยมากครับ(นักถ่ายภาพอาจจะชอบนะ) ไม่น่าเชื่อว่าจะมีที่แห่งนี้ในเมืองไทยด้วย แต่ระวังเด็กแว๊นหน่อยก็ดีครับ มีเยอะมาก หมวกกันน๊อคก็ไม่ใส่ ขับรถแบบไม่กลัวโดนชนเลยล่ะ

กลับเข้าเส้นทางดีกว่า ไม่งั้นจะเอาแผนที่มาประสาอะไร(วะ) หยิบแผนที่มาได้ประโยชน์จริงๆครับ เราสามารถเดินทางในเส้นทางที่ใกล้ที่สุด ถนนเส้นที่ผมกำลังเดินทาง มีไฟตามรายทางค่อนข้างเยอะ รถก็โล่งมากด้วย

เราขับรถเข้ามาในเส้นบายพาส(ไม่เกี่ยวกับหัวใจนะ 55) เพื่อเลี่ยงเมือง แวะปั้มน้ำมันหน่อยดีกว่า ใกล้ถึงอุทยานอยู่แล้ว หาซื้อของกินสำหรับวันรุ่งขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่มีเบียร์ครับ(สงสัยอยู่ในโครงการเมาไม่ขับแน่ๆ)

ร้านขายของชำซิ ยังไงก็มี พบสาววัยรุ่นอยู่ 2 คน รูปร่างหน้าตา สระสวยทีเดียว น่าชวนไปกินเบียร์ที่อุทยานจริงๆ (แค่คิดครับ ขืนชวนโดนสามีมันเตะแน่นอน อาจจะมีมากกว่านั้นด้วยครับ สมัยนี้จิตใจคน มันโหดร้ายมากขึ้นด้วย ต้องประหารชีวิต ขังลืมซะให้เข็ด)

ถนนเส้นเลียบชายหาดนี้ ต่างจากที่พัทยาลิบลับครับ แค่ 3 ทุ่ม แต่กลับเงียบมาก ไม่มีนักท่องเที่ยวหลงเหลืออยู่เลย บางจุดค่อนข้างเปลี่ยว ขณะกำลังมองอยู่ ผมกับพี่โหน่งต้องหัวเราะออกมาครับเพราะ มีคุณลุงแก่ๆ ถือไมค์ กำลังร้องคาราโอเกะพร้อมเครื่องเสียงครบชุด ในขณะที่มีเก้าอี้มากมาย แต่ไม่มีคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้เลย 555

“เล่นแบบนี้เลยเหรอลุง” แต่ก็เอาเถอะครับ ความสุขของเขานี่นะ

เรามาถึงอุทยานแห่งชาติเขาแหลมหญ้า-หมู่เกาะเสม็ด ผมบอกยามเกี่ยวกับการจอง ยามอนุญาต ตอนนี้อากาศเย็นลงมากและเงียบจริงๆครับ แต่คงสมใจคนที่อยากมานอนเต๊นส์ริมทะเลเช่นผมกับพี่โหน่งนักแล(มีความหวังหลีสาวนิดนึงด้วย555) (หน้าไหนก็เที่ยวได้ครับ ทะเลน่ะ เชื่อผมเถอะ ไม่จำเป็นต้องหน้าร้อน)

มาติดต่อที่สำนักงานของอุทยาน แลกบัตรประชาชน กรอกรายละเอียด ผมถามเกี่ยวกับจุดชมวิว เพื่อจะตื่นมาถ่ายรูปในตอนเช้า

เจ้าหน้าที่บอกว่า ตรงจุดที่เราอยู่นั้น คือ เขาแหลมหญ้า ลานกางเต๊นส์จะมี 2 จุด ติดหาดกับไม่ติดหาด ถ้าริมหาด(แน่นอนซิครับ ริมหาด ผมชอบ) ยังพอมีที่กางเหลืออยู่ใกล้ๆต้นมะขาม(ฟังดูน่ากลัวแฮะ) ตรงนั้นจะใกล้ห้องน้ำด้วย มีท่าเรืออยู่ใกล้ๆ ชื่อ ท่าเรือศรีวิกา

หลังจากจอดรถ ขนเต๊นส์และอุปกรณ์ลงไปด้านล่าง เราเดินอยู่ริมหาดที่บรรยากาศดีมาก มองเห็นดวงดาวชัดเจน แต่มีเสียงคนดื่มเหล้าโหวกเหวกโวยวาย(ทั้งผู้ชายและผู้หญิงเลยครับ แต่ละคนแรงจริงๆ) ถ้ากางตรงนี้ไม่ไหวแน่ๆครับ นอกจากจะนอนไม่หลับ ยังต้องระมัดระวังตัวด้วย(กลุ่มนี้กำลังร้อง “ยาม” ของลาบานูน ด้วยครับ เสียงก็แย่ เพลงลาบานูน เขาเสียหมด 555)

เดินไปอีกด้าน เฮ้อ ค่อยดีหน่อย มีจุดกางเต๊นส์ด้วย มีพื้นหญ้าว่างอยู่ กางมันตรงนี้แหละ(เต๊นส์ของพี่โหน่งที่ยืมเพื่อนมาดีมากครับ ไม่ต้องใช้สมอบกให้ยุ่งยาก เวลาเปิดระวังเต๊นส์ดีดใส่หน้าเท่านั้นพอ แต่ค่อนข้างเล็กมาก นอนคนเดียวกำลังดีเลยครับ)

ด้านหน้าจุดกางเต๊นส์ ค่อนข้างมืด มีสิ่งหนึ่ง ยื่นออกไปในทะเล ผมคุ้นๆว่า จะเป็นวิวที่ผมเคยเห็นในหนังสือท่องเที่ยวหรือเปล่านะ

ผมเปลี่ยนกางเกงจีนสีแดง(เพื่อไปเล่นลิเก รอนางเอกอยู่เนี่ย 555) ไม่นานนัก สาวในกลุ่ม(มีผู้ชายด้วยครับ เซ็งเลย) ที่นั่งกินเหล้าอยู่ก็แซวออกมาจากความมืด

“ใส่กางเกงแดง รับไม่ได้ว่ะ”

“ใส่กางแกงแดง แล้วไงวะ” เจอสาวหยาบคายแบบนี้ ก็ต้องตาต่อตาฟันต่อฟันครับ(เฮ้ย อย่าคิดลึกนะ 55) แต่ผมว่าในกลุ่มได้ยินนะ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาครับ(ไม่งั้น มีวางมวยแน่นอน ไม่รู้จะไหวหรือเปล่า ท่าทางจะมีหลายคน ผมมีกัน 2 คนเอง)

มานอนเต๊นส์ ชายกับชายแบบนี้ ต้องยอมรับสภาพกับการที่ถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็น “เพื่อน กูรักมึงว่ะ” แน่นอนครับ แต่ผมไม่มีทางยอมแพ้ เพราะเรื่องแบบนี้หรอก ขืนอายก็อดมาซิ (ก็แบบนี้ล่ะนะ สาวๆ หนีหาย รักอิสระ เสรีเหลือเกิน พ่อนักเขียน 555)

อีกข้อที่สำคัญครับ หากผมมีเวลา คงไปพักเกาะเสม็ดที่หาดทรายขาวละเอียดกว่า น้ำทะเลใสกว่าอยู่แล้ว จะมานอนเต๊นส์ที่นี่ ผมว่าโอกาสค่อนข้างยากครับ (พี่โหน่งบอกว่า ลูกเจ้าของที่พัก บริเวณอ่าวกิ่ว เกาะเสม็ด สวยมาก อยากเห็นหน้าจัง)

ย้ายรถที่จอดมาอยู่ใกล้ๆดีกว่าครับ ปลอดภัยกว่า ผมมาที่ร้านอาหารของทางอุทยาน มีป้าต้อย ยิ้มแย้มแจ่มใส คอยผัดกับข้าวให้กิน

ทอดมันปลากราย กับกุ้งผัดพริกเผา และข้าวเปล่า ในราคา 100 นิดๆ อร่อยสุดๆครับ ป้าต้อยเล่าให้ฟังว่า ทอดมันน่ะน้องสาวของป้าเป็นคนทำ ทำมาจากปลาอินทรีย์(บางที่จะใช้ปลาหลายๆชนิดรวมกัน) อาหารที่ทำค่อนข้างสด ใหม่ เพราะได้มาจากชาวประมง

“เห็นไฟแวบๆ ด้านหน้าไหมล่ะ พ่อหนุ่ม นั่นล่ะเกาะเสม็ด ส่วนท่าเรือศรีวิกา จะใช้เฉพาะเจ้าหน้าที่ในการเดินทางไปเกาะเสม็ดเท่านั้น ส่วนที่ยื่นออกไปในทะเล เป็นแนวหินที่ถมไว้กันคลื่นน่ะ” ป้าต้อยเล่าให้ฟัง ผมคิดในใจ เกาะเสม็ดอยู่ด้านหน้าผมนี่เองน่ะเหรอ

ก่อนจากกัน ป้าต้อยให้นามบัตรผมไว้ ป้าต้อยบอกว่าพรุ่งนี้เช้าต้องมาทำข้าวต้มให้นักท่องเที่ยวตั้งแต่ตี 5 ส่วนร้านอาหารเปิดเวลา 6 โมง(ขณะนั้น ห้าทุ่มแล้วนะครับ) ผมชื่นชมในความขยัน ขันแข็ง ของป้าต้อยมาก

ผมมองไปด้านหน้า ในความมืด(พอเห็นเป็นเงา ระยะไม่เกิน 3 เมตร)มีนักท่องเที่ยววัยรุ่นนั่งจีบกันอยู่ ถ้าสายตาผมไม่ผิดพลาด มีหนังสดฉายครับ(เด็กสมัยนี้ ไม่อายกันหรือไงเนี่ย) เงามืดๆ โน้มตัวลงไป (จบแค่นี้ดีกว่า 555)

ผมกับพี่โหน่งเดินกลับเต๊นส์ นั่งกินเบียร์ที่ซื้อมา แต่ไม่รู้จะคึกยังไง ไปหาใครคุยด้วยก็ลำบาก เพราะดึกๆแบบนี้ สาวๆก็เข้าเต๊นส์หมดแล้ว มีแต่เป็นกลุ่มๆที่นั่งกินเหล้ากัน

พี่โหน่งจะให้ผมเข้าไปนอนในเต๊นส์ ส่วนแกจะนอนถุงนอนอยู่ด้านนอกเพราะอุ่นดี จะเอาผ้ามาปิดหน้ากันน้ำค้าง ผมเถียงกับแกอยู่นาน ว่าจะนอนข้างนอกเอง แกไม่ยอมครับ(แกอาจกลัว เรื่อง “เพื่อน กูรักมึงว่ะ” ก็ได้ๆครับ แต่เต๊นส์มันเล็กจริงๆนะ 555)

อากาศเย็นสบายจนถึงหนาว ผมนอนขดเป็นงูอยู่ในเต๊นส์ ในขณะที่พี่โหน่ง กรนอยู่ด้านนอก หลับสบายไปแล้ว หนีเสือปะจระเข้ครับ ใกล้ๆห้องน้ำ มีคนดื่มเหล้าอยู่อีกกลุ่ม คุยกันเสียงดังมากๆ(ตามประสาคนเมา) พยายามนอนดีกว่า พรุ่งนี้ ไม่เกิน 7 โมง 20 ต้องออกจากที่นี่ ไปท่าเรืออ่าวไข่ให้ทันช่วง 8 โมง เพราะนัดหมายกับพี่ป้อมและนักดำน้ำคนอื่นๆไว้