Friday, August 31, 2007

Scuba…..ที่เกาะเต่า(3)







ได้เหยียบเกาะเต่าเป็นครั้งที่ 2 !!!

เรานั่งดิงกี้ไปในรอบที่ 2 ครับ มีพี่โจ พี่ปอ คุณมาโนช(เพื่อนคุณนิคกี้) พี่โหน่ง พี่ท๊อป พี่อรรถ เดียร์ จูน และพี่นัท 20 นิ้ว

พระอาทิตย์กำลังตกที่เกาะเต่า แสงสีทองสวยงามมากครับ ในขณะที่แสงสว่างบนเกาะกลับยังไม่มืดเสียทีเดียว

ผมมองดูสะพานท่าเทียบเรือที่ทอดยาวออกไป จำได้ดีว่าเคยเดินมาแล้ว แสงพระอาทิตย์กับ สะพานท่าเทียบเรือ เป็นมุมถ่ายรูปที่ดูไม่เลวเหมือนกันครับ

แอบถ่ายน้องหมาซะหน่อย แต่เจ้าหมาดำตัวนี้ ดูไม่ค่อยเป็นมิตร ตาแดงก่ำเลย อยู่ไกลๆดีกว่า เดี๋ยวโดนกัด

เรานัดกับดิงกี้ประมาณ 1 ทุ่ม เท่ากับว่ามีเวลาอยู่บนเกาะประมาณ 40 นาที เดียร์กับจูนถามว่า อยากไปเดินหาดอื่นๆ ด้วย ในฐานะที่ผมเคยมาแล้วจึงแนะนำว่า เดินที่หาดแม่หาดนี่แหละเพราะหากไปหาดทรายรี จะต้องนั่งรถไปที่ถนนด้านหลัง ต้องใช้เวลาพอสมควร(ไม่สามารถเดินลัดเลาะจากด้านหน้าไปหาดทรายรีได้ครับ น่าจะมีกองหิน บังอยู่)

หาดแม่หาดก็เป็นอีกหาดที่เป็นหาดยอดฮิตของชาวต่างชาติ(ก็มีทุกหาดแหละครับ บนเกาะนี้หาคนไทยที่เป็นนักท่องเที่ยวยากครับ) เพราะอยู่ใกล้ท่าเรือ ที่พักมีเยอะ มีทั้ง Bar สำหรับนั่งดื่ม ร้านอาหาร ร้านโรตีก็มี ร้าน Internet ADSL สนนราคา 2 บาท ต่อนาทีครับ(ราคาปกติสำหรับเกาะที่ห่างไกลชายฝั่งแบบนี้ครับ) ร้านดำน้ำที่มีมากมายเหลือเกิน ร้านสนุกเกอร์ ร้านขายเสื้อผ้า ร้านสะดวกซื้อที่มีรอยยิ้มที่เป็นกันเองของชาวบ้านบนเกาะ ที่สำคัญ ที่หาดแม่หาดจะออกเรือไปดำน้ำรอบเกาะเต่าหรือจะไปเกาะนางยวนที่อยู่ใกล้ๆก็แสนจะสะดวกครับ

พระอาทิตย์มาอยู่ระหว่างกลางช่องๆหนึ่งของเรือพอดี จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูปไว้ครับ ฉากเรือไม้บนพื้นทรายกับแสงสีทองก็สวยไปอีกแบบครับ

มีเต่าตัวใหญ่อยู่ในน้ำ ผมอยากไปถ่ายรูปกับเต่าหินซะหน่อย ซึ่งก็ไม่ลำบากมากครับ(แต่ต้องยกเสื้อขึ้นเหนือยอดอกหน่อย เดี๋ยวเปียกครับ) ส่วนช่วงล่าง เป็นคนขี้เกียจครับ ยังใส่ Wetsuit อยู่เลย 555

บนเกาะมีทีวีจอยักษ์ ค่อนข้างเยอะครับ คืนวันเสาร์แบบนี้ เป็นอื่นไปไม่ได้นอกจาก ฟุตบอล Primier league กำลังถ่ายคู่ Liverpool VS Sunderland อยู่เลยครับ

ขากลับผมสักการะศาลเจ้าพ่อเกาะเจริญ เพื่อความเป็นศิริมงคล ก่อนที่จะเดินเลยจุดนัดพบไปนิดหน่อย(มันมืดครับ) ต้องสอบถามชาวบ้านบนเกาะเล็กน้อย

พี่โหน่งหายไปครับ คาดว่าน่าจะอยู่กับพี่ปอ พี่โจและคุณนิคกี้ เดี๋ยวถึงเรือ เราจะลองติดต่อคุณนิคกี้ทางวิทยุสื่อสาร

บนเรือแทบไม่เหลือ Diver เลยครับ(เหลือแค่พี่สมบูรณ์กับครูตั้มเท่านั้นเอง) ส่วนใหญ่ออกเดินเล่นบนเกาะเต่ากันหมด( โอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆนะครับ ใช่ว่าทุกลำซะเมื่อไร จะให้ขึ้นเกาะ)

ผมใช้เวลาที่เรือปลอดคนแบบนี้ ถ่ายรูปบนเรือบางจุด กับนั่งเขียน log book เปิดหนังสือปลาดูว่า เจออะไรมาบ้าง

ในที่สุดก็เจอพี่โหน่ง(ก็อยู่กับพี่ปอ พี่โจและคุณนิคกี้ นั่นแหละครับ)

เมื่อทุกคนมากันครบ เรือโชคทวีจึงออกเดินทางไปบริเวณอ่าวแห่งหนึ่ง ใกล้หินเด่น เกาะนางยวน จุดที่จะทำ Night Dive ในคืนนี้ ผมยืมไฟฉายของพี่ปุ๊ยมาใช้เพราะแกไม่ได้ลง (คนลงเป็นส่วนน้อยครับ ส่วนใหญ่ไม่ได้ลงกัน อาจเป็นเพราะเริ่มที่จะดื่มน้ำเปลี่ยนนิสัยกันแล้วครับ 555)




Dive 4 ทักทายเพื่อนเก่าชื่อ กุ้งตัวยาว ตอน Night Dive!!!

หลังจากนั่งดิงกี้ออกไป เราทำท่า Back row ลงสู่น้ำ Dive site ที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นพื้นทรายครับ มีกอปะการังอยู่บ้างแต่ไม่มาก ไม่นานนักผมเจอปูเสฉวนตัวหนึ่ง หลังจากมาเปิดหนังสือดู เขาคือ ปูเสฉวนยักษ์(White-spotted hermit crab) จุดสังเกต คือ พบตามพื้นทรายและก้อนปะการัง อยู่ในเปลือกหอยที่มีช่องเปิดกว้างและจุดสีขาวที่มีอยู่ตามตัวครับ

จากนั้นเจอปูขนาดเล็กอีกตัว บริเวณพื้นทราย จำรายละเอียดได้ไม่มากนักครับ

พี่ป้อมเรียกให้ดูที่แส้ทะเลกอนึง ตอนแรกไม่เห็นมีอะไร พอดูชัดๆ นี่ คือ กุ้งตัวยาว(Sawblade shrimp) หนึ่งในสุดยอดกุ้งที่นักดำน้ำปรารถนาที่จะเห็น เพราะหายาก แต่ดูได้นานไม่ค่อยหนีไปไหน(หนีไป พวกเขาก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้ เพราะอาศัยบนปะการังดำแบบเส้น(แส้ทะเล)และปะการังดำแบบพุ่มเท่านั้นครับ ฉะนั้นอย่าแกล้งไล่เขาไปที่อื่นนะครับ)

นี่เป็นครั้งที่ 2 ที่ผมได้พบเขาครับ หลังจากเจอที่เกาะง่ามน้อย สมัยมาเรียนดำน้ำเมื่อหลายปีก่อน เจ้าตัวนี้เล็กมากครับ ขนาดไม่เกิน 5 ซม(ต้องเพ่งดีๆครับ เล็กจริงๆ) แถมเป็นการเจอตอน Night dive ซะด้วย สุดยอดจริงๆครับ

นอกนั้นที่เจอส่วนใหญ่ก็เป็นปลากระรอกลายแดง(Red coat )และปลาแพะ(Goat fish)

ช่วงทำ safety stop ผมเคาะแท๊งค์ให้ทุกคนมารวมกัน อาจดูหนวกหูแต่ผมเจตนาดีครับ กลัวคนอื่นจะมาไม่ครบ เพราะการดำแบบ Night dive ยิ่งต้องใช้ความระมัดระวังให้มากเป็นพิเศษครับ

เราเกาะดิงกี้ จนมาถึงเรือ ผมแหงนหน้าดูท้องฟ้าตลอดทาง สำหรับผม การดำน้ำแบบ Night dive แม้จะมืด มีเพียงแสงไฟฉาย แต่เย้ายวนใจผมตลอดเวลาๆครับ

บนเรือมี UBC ด้วยครับ แปลกแต่จริง เลยได้อานิสสงฆ์ ดูบอลคู่ Arsenal VS Manchester city เล็กๆ น้อยๆ อาร์เซนอลชนะด้วย ก็เฮซิครับ

5 ทุ่มกว่าแล้ว ผมพึ่งจะได้ทานข้าวเย็นเอง วันนี้มีกุ้งเผา ปลาหมึกและปลาเผา ต้มยำกุ้ง ข้าวผัดปู จากนั้นก็เปิดหนังสือดูปลา จด log book คุยกับพี่ๆ นานพอสมควรครับ เพราะยังไม่ง่วงนอนเลย

เมื่อสมาชิกเริ่มหาย ก็แยกย้ายกันไปนอนครับ พรุ่งนี้ยังมีการดำน้ำที่กองชุมพร อีกหนึ่งจุดดำน้ำยอดฮิตในเวลานี้ รอเราอยู่ครับ


26 สิงหาคม 2550

เช้านี้ทานแค่ผลไม้รองท้องก่อนครับ ที่กองชุมพร(Chumporn Pinacle)เรือเยอะแบบที่ครูโก้ว่าไว้จริงๆครับ(ที่เห็นก็ 4 ลำแล้วครับ)

ความลึกสูงสุดอยู่ที่ 30 เมตรครับ จุดเด่นอยู่ Bull Shark ฉลามที่ทุกคนอยากจะเห็น(ถามว่าเป็นฉลามกินเนื้อใช่ไหม ตอบว่า ใช่ครับ) แต่เราไม่ทำร้ายเขา เขาก็ไม่ทำอะไรเราหรอกครับ อีกอย่างการเห็นฉลามที่เมืองไทย เดี๋ยวนี้ไม่ง่ายนักเพราะมักจะถูกจับไปทำหูฉลามหมด Bull Shark จึงมีค่ามากสำหรับวงการดำน้ำบ้านเรา สร้างรายได้ให้ประเทศอีกบานตะไทเลยครับ นอกจากนี้ก็ยังมีฝูงปลาหูช้างและฝูงปลาสากที่เราอาจจะได้เห็นกันครับ

ในวันนี้ กลุ่มผมได้ลงเป็นชุดแรกด้วย ผมว่าโชคดีมากๆครับ (ถึงก่อนมีสิทธิก่อนเจ้า)


Dive 5 ผมเจอ Bull Shark ครับ!!!

กองชุมพร น้ำใสจริงๆครับ ปลาเยอะอย่างที่ได้ยินมาด้วย ฉลามตัวหนึ่งว่ายผ่านข้างๆผม ในแนวดิ่งประมาณ 45 องศา ชัดเจนครับ เขาคือ Bull Shark หรือฉลามกระทิง(คนไทยจะเรียกว่าฉลามหัวบาตรครับ) อยู่ในแม่น้ำก็ได้นะครับ เมืองไทยจะพบในแม่น้ำโขง แปลกแต่จริงนะ

จากการที่ผมดูรูปในเว็บ
www.scubazoom.com อยู่หลายสิบครั้ง ก็ค่อนข้างมั่นใจครับ ผมอยากนำคำพูดของพี่นัท สุมนเตมีย์มาลงไว้ เกี่ยวกับ Bull Shark ครับ

“มีข้อสงสัยหลายข้อเกี่ยวกับ bull shark ที่กองหินชุมพร หลายคนว่าเป็น grey reef อ้วนๆ หลายคนว่าเป็น bull shark หรือที่คนไทยเรียกกันว่าฉลามหัวบาตร(เพราะว่าหัวมันป้านๆคล้ายบาตรพระ) แต่ที่แน่ Bull shark กับ grey reef รูปร่างต่างกันเหมือนเขาทราย กาแลคซี่ กับไมค์ ไทสัน

สังเกตได้ว่า grey reef shark หัวของมันจะแหลมมาก จนทำให้ชาวประมงบางคนเรียกมันว่า "หัวแหลม" นอกเหนือไปจาก "หัวบาตร" และ "หัวค้อน" grey reef shark เป็นฉลามสามัญประจำ reef ทั่วโลก หลายๆที่มีเป็นฝูงๆ ราวกับยุง

มาดู bullshit เอ้ย bull shark ของเรากันบ้าง ข้อแรก หัวป้านกว่า ข้อที่สองครีบหลังเป็นกระโดงรูปสามเหลี่ยมมุมป้านกว่า ข้อสามแหล่งอาศัยชอบอยู่ในพื่นที่ที่มีความเค็มของน้ำต่ำ (ลืมบอกไปว่า Grey reef shark ชอบอาศัยอยู่ตาม Atoll กลางทะเล)

ลืมบอกไปว่า อ้วนกว่าด้วย

bull shark สามารถปรับตัวเข้าไปอาศัยในน้ำจืดได้ และรายงานการโจมตีหลายๆครั้งพบในแม่น้ำสายใหญ่ๆที่เชื่อมกันกับทะเล เช่น แม่น้ำ Zambezi ใน South africa ฉลามหัวบาตร กินอาหารหลายชนิดตั้งแต่ปลาชนิดต่างๆ โดยเฉพาะปลากระเบน และฉลามขนาดเล็ก(รวมทั้งพวกเดียวกันเอง) ปลาหมึกชนิดต่างๆ เม่นทะเล ยังไม่มีรายงานว่าโจมตี นักดำน้ำแบบ scuba (แต่ข้อมูลนานแล้วนะ)

ข้อสงสัยสุดท้ายว่าทำไม bull shark ที่กองชุมพรมีโคนหางสีดำ ตอบง่ายๆครับ ตัวที่มีสีดำแต้มที่โคนหางและปลายครีบเป็นตัวยังโตไม่เต็มวัย ฉะนั้น Bull shark ที่ชุมพรหลายๆตัวยังเป็นน้องเด็กอยู่ เมื่อโตเต็มที่พี่ Bull shark อาจโตได้ถึงเกือบ 4 เมตรครับ สรุปว่าผมเชื่อว่าเป็น bull shark ครับและฉลามฝูงนี้มีคุณค่าต่อเกาะเต่า และประเทศไทยมากๆ เพราะ Bull shark ไม่ใช่ bullshit ที่เป็นฉลามโหลๆเหมือนกับ white tip reef shark หรือ grey reef shark ทรัพยากรอันทรงคุณค่านี้ควรจะอยู่คู่ท้องทะเลไทยไปนานๆ”


ผมเคาะ pointer เรียกทุกคน แต่ Bull shark ว่ายไปเร็วมากครับ เหมือนจะมาทักทายเฉยๆ

ที่ผิวน้ำ ผมเห็นปลาหมอทะเล(Giant Grouper) ตัวใหญ่และอ้วนพี เป็นครั้งแรกเช่นเดียวกันครับ ที่ผมได้เห็นปลาหมอทะเลตัวเป็นๆใต้น้ำ หลังจากเคยเห็นแต่ในร้านข้าวต้ม อีกอย่าง ปลาหมอทะเลก็ถือเป็นปลาที่หาดูยากเหมือนกันครับ เพราะโดนตกไปซะเยอะแล้ว

จากนั้น ด้านซ้ายมือของผม Bull shark 2 ตัว ว่ายผ่านไป อย่างเร็วเช่นเดียวกันครับ(ไม่ใช่อย่างแรงนะ) มองเห็นเหาฉลาม(Shark Sucker) เกาะตึดหนึบเลยครับ

ไม่นานนัก ด้านล่างของผมก็พบ ปลาหมอทะเล(Giant Grouper) อีก 2 ตัว รูปร่างใหญ่กว่าเดิมอีกครับ น่าจะเข้าไปกอดเล่นซักตัว(คงจะทันอยู่หรอกนะ55 ล้อเล่นครับ แกล้งสัตว์ทะเล ไม่ดีครับ)

ฝูงปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ออกมาทักทาย ปลาหูช้างประเภทนี้ ขี้เล่น พบได้บ่อยในฝั่งอ่าวไทย สังเกตที่ครีบท้องมีสีเหลืองครับ นอกจากนี้ ผมกวาดสายตาไปอีกด้านหนึ่ง พบตัวที่มีครีบท้องสีดำ เลยไม่แน่ใจว่าจะเป็น ปลาค้างคาว(Pinnate Batfish) ที่พบบ่อยในฝั่งอันดามันหรือไม่

ฝูงปลามงตาโต(Bigeye Trevally) อยู่ด้านขวามือผม แม้จะไม่มากเท่าที่หินใบ แต่น้ำที่ใสกว่า เห็นในระยะที่ใกล้กว่า ทำให้ผมทึ่งกลับกำแพงสีน้ำเงินนี้จริงๆครับ

ยังไม่หมดครับ ปลาสากหางเหลือง(Yellow-tail Baracuda) หลายฝูง ฝูงละประมาณ 20 ตัวขึ้นไป ออกมาปรากฎตัว ผมมีความสุขจริงๆครับ ปลาเยอะดี

ผ่านแนวปะการัง ผมเห็นปลาไหลมอเรย์ตาขาว(Greyface moray) ยื่นหน้าออกมา ฟันยังคมเหมือนเดิมเลยครับ(ฟันทู่ก็ไม่ใช่มอเรย์ซิเว้ย ไอ้น้อง)

นอกจากนั้นก็จะมี ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) ปลาสลิดหินสามจุด(Three-spot Dascyllus) ปลากระรอกลายแดง(Red coat ) ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ‘ s Butterflyfish) ปลาเก๋าหน้าแดง(Black-tipped grouper) และปลาโนรี(Longfin Bannerfish) ครับ

หลังทานอาหารเช้า ผมไม่ลืมที่จะทานแอดติเฟดและหามุม(เดิม) นอนหลับตามระเบียบครับ(ไม่ใช่จับได้โดยละม่อมนะ)

Thursday, August 30, 2007

Scuba…..ที่เกาะเต่า(2)







Dive 1 ขึ้นมาตามพี่โหน่งที่สายเชือก!!!

นอกจากการเคลียร์หูที่ยากแล้ว ผมหายใจเร็วเกินไปและค่อนข้างตื่นเต้น จากการที่นอนไม่พอ มักทำให้เป็นแบบนี้เสมอๆ

ตีขาไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็เหนื่อย น้ำมีกระแสเล็กน้อย ทัศนวิสัยประมาณ 8-10 เมตร ผมอยู่หลังสุดในขณะที่พี่ป้อม เดียร์ จูน หายไปแล้ว เห็นพี่ปุ๊ย พี่นัท 20 นิ้ว พี่หมี อยู่ไกลๆ

แล้วพี่โหน่งล่ะ? ผมหันไป แต่เห็นไม่ชัดนักเพราะมีคนเกาะอยู่ตรงสายเชือก อยู่หลายคน คนไหนละว้า สายตาก็สั้นเล็กน้อย แต่เห็นหน้าไม่ชัดอยู่ดี แต่ผมพอจะจำ wetsuit ของแกได้ครับ ว่าสีออกน้ำเงินๆ ครับ

จึงต้องเปลี่ยนระดับขึ้นไปประมาณ 6-8 เมตร แล้วช่วยดึงพี่โหน่งลงมา(คนดึงกับคนถูกดึงก็ตื่นเต้นพอๆกันครับ เพราะผมก็ไม่เคยดึงใครมาก่อนเช่นกัน)

น้ำมีกระแส ทำให้ตีขาไปยิ่งลำบากเข้าไปใหญ่ (ในตอนนั้นมองไม่เห็นใครแล้วครับ เห็นแค่ฟองอากาศด้านหน้าซึ่งอยู่ไกลเหมือนกัน) แต่ยังไงก็ไม่น่ากลัวแบบพัทยาครับ เพราะน้ำไม่ขุ่นมากแบบนั้น

ในที่สุดบรรยากาศทุกอย่างผ่อนคลายครับ เมื่อมาเจอทุกๆคน อีกทั้งกระแสน้ำก็นิ่ง ทำให้ดำสบายขึ้น พี่โหน่งทำสัญญาณโอเค บอกว่าสบายมากครับ

มีกอปะการังดำและแส้ทะเลมากมายเหมือนที่ครูโก้บอกไว้จริงๆครับ มีหลายสี สวยงามมาก ผมไม่ได้ดูตามกอเท่าไร ได้แต่สังเกตในมุมกว้างๆ

ส่วนปลาที่พอจะสังเกตได้ก็มีปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Buttelflyfish) ปลานกแก้ว(Parrot fish) ปลาสลิดทะเลแถบ(Java Rabbitfish) ที่มีเยอะเหลือเกินครับ มาเป็นฝูงๆ ตื้นเต้นดีจัง

และไฮไลท์สุดท้ายที่พอจำได้ คือ ฝูงปลากระพงเหลืองแถบฟ้า(Bluestripe Snapper) ครับ

นับว่ากองหินวงศ์(Hin Wong Pinacle) เหมาะแก่การ Check Dive ที่ดีจริงๆครับ

ขึ้นมา เดียร์บอกว่าเจอ Razor fish ปลามีดโกน(ปลาข้างใส) ด้วยครับ เอกลักษณ์อยู่ที่การว่ายกลับหัว และว่ายเป็นแนวดิ่งโดยตลอด แต่ยังไม่ได้ดูรูปเลยครับ(ว่าถ่ายมาจริงหรือเปล่า ลืมบอกไปว่า นี่เป็นการลองกล้องใหม่ของเธอด้วยครับ)

มื้อเช้าเป็นข้าวผัดกุ้ง ไส้กรอกและแฮม โดยเฉพาะไส้กรอกที่อร่อยที่สุดครับ ถ้าไม่ติดว่าต้องลงไดฟ์ต่อไปอีก ผมจะกินให้พุงกางเลยครับ ฮ่าๆ

เพลียแล้วก็ต้องนอนครับ ไดฟ์ต่อไปจะสดชื่นขึ้น ผมว่าช่วยได้เยอะเลยครับคงไม่ต่างกับการหลับซักงีบ ตื่นมาทำงานต่อ ทำนองนั้นครับ



Dive 2 ตะลึงกับฝูงปลามงหลายร้อยตัวที่หินใบ!!!!

เรือโชคทวี พาพวกเรามาที่จุดดำน้ำต่อไป คือ หินใบ(Sail Rock) ครับ ซึ่งเป็นกองหินที่โผล่พ้นน้ำ ด้านบนมีศาลอยู่ด้วยครับ 1 ศาล ท้องฟ้า สีฟ้าสดใส เหมาะแก่การดำน้ำจริงๆ

ครูโก้ Brief ให้ฟังว่า ในจุดนี้ความลึกสูงสุด 25 เมตร ไฮไลท์อยู่ที่ฝูงปลามงตาโต(Bigeye Trevally) จะทำไซโคลนให้พวกเราดู(หมายถึง ปลามงจะรวมกลุ่มกันเหมือนพายุไซโคลนครับ) นอกจากนั้นก็จะมีฝูงปลาสาก(Baracuda) ให้เราดูด้วย

เมื่อลงไปไม่นานนัก ผมหันไปทางขวามือก็ต้องตะลึง ทึ่งกับฝูงปลามงตาโต(Bigeye Trevally) หลายร้อยตัว ที่ออกมาให้ยลโฉม แม้พวกเขาจะไม่ได้ทำไซโคลนให้ดู แต่ก็รู้สึกดีใจมากครับ ผมไม่เคยเห็นปลาฝูงใหญ่แบบนี้มาก่อน แม้ตอนไปสิมิลันเมื่อ 2 ปีก่อน ก็ยังไม่เห็นเยอะเท่านี้ นับว่าเป็นโชคดีของเกาะเต่าและเมืองไทยครับ ที่จะไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ผมลอยตัวได้อย่างอิสระขึ้น หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกช้าๆแต่ยาวๆ หลายๆครั้ง ทำให้ relax ขึ้นเยอะครับ(การได้นอน ช่วยได้เยอะเลยครับ)

ผมมองดูสัตว์เกาะติด ตามริมผาที่สูงชันด้านขวามือ เผื่อจะเจออะไรบ้าง แล้วก็เจอจริงๆครับ เป็นปลาไหลมอเรย์ตาขาว(Greyface moray) ยื่นหน้าออกมา อ้าปากเพื่อหายใจ ผมเห็นพี่โหน่งอยู่ใกล้ๆ เลยเรียกแกเข้ามาดูครับ เสียฟอร์มเล็กน้อย เพราะพอมาดูปรากฎว่าไม่เจอเสียแล้ว(หาจุดไม่เจอแล้วนะครับ 555)

ผาหินของที่นี่ สูงตระหง่าน หน้าอัศจรรย์จริงครับ เหมือนดั่งป้อมปราการที่ไว้ใช้คอยป้องกันข้าศึกก็ไม่ปาน มองแล้วยิ่งชอบ เพราะมีความลึกลับอยู่ภายในนะ

ที่นี่เริ่มเห็นปลาการ์ตูนครับ เพราะมีกอดอกไม้ทะเลอยู่ และเจ้าประจำก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ปลาการ์ตูนอินเดียนแดงนั่นเอง(Pink Anemonefish) ผมสังเกตเห็นว่า บางตัวว่ายออกมานอกดอกไม้ทะเลไกลเหมือนกันครับ คาดว่ามันคงมั่นใจในระยะปลอดภัยพอสมควร(ถ้าเผลอล่ะก็เสร็จปลาเก๋าแน่นอน) หนึ่งในนั้นก็มีปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน(Coral rockcod) อีกหนึ่งนักล่าที่พบเห็นได้ทั่วไปครับ

ปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ‘ s Butterflyfish) ปลาผีเสื้อเจ้าประจำแห่งอ่าวไทย มาเกาะเต่าคราวนี้พบเยอะมากครับ มีลำตัวสีเหลืองสด แถบตาจะมีสีดำ สลับขาว ดูน่ารักดี แพร่กระจายทางตอนใต้ ของญี่ปุ่นและจีน ไม่พบในอันดามันครับ

นอกนั้นก็จะมีดาวขนนก(Feather star) แส้ทะเล(Sea Whip) และปะการังดำ(Black Coral)ที่มีเยอะเหลือเกินครับ อย่าคิดว่าไม่สำคัญเชียว พวกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลอื่นๆทั้งนั้นเลยครับ

ขึ้นมาครูโก้เจอกุ้งตัวยาวด้วยครับ น่าอิจฉานัก แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมก็เห็นครับ เหลืออีกตั้งหลายไดฟ์ ค่อยๆหาไปเรื่อยๆ

อาหารกลางวันของเราในวันนี้มี ปลาทอด ไข่เจียว ผัดบล๊อคคลอรี่ใส่แครอท อยากกินอีก แต่กลัวอาเจียนครับ เดี๋ยวจะไม่สนุกเอา 555

จะว่าไปไดฟ์ที่แล้ว ก็มีปัญหาเล็กน้อยเรื่องการเคลียร์หู เลยกินแอดติเฟดดีกว่า(เป็นยาลดน้ำมูกครับ กินแล้วจะทำให้เคลียร์หูง่าย ฉะนั้นกินแล้วต้องนอนครับ ไม่งั้นไปหลับใต้น้ำ เรคกูเลเตอร์หลุดจากปากนี่ไม่ดีแน่ครับ) ผมแบ่งให้พี่โหน่งทานด้วย โน้มน้าวว่าดีจริงๆ ให้ลองดู ไม่นานนักครูโก้กับพี่โจก็มาขอด้วยครับ

พี่ป้อมมอบ Sausage อุปกรณ์สำคัญในการดำน้ำ(แต่ราคาแสนถูก) ที่ผมควรจะมีตั้งนานแล้ว ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์ที่พัทยาเมื่อคราวก่อน ผมคงไม่คิดจะหาซื้อหรอกครับ 555 กะว่าจะลองใช้ในไดฟ์ต่อไปนี้ล่ะ

ผมหาที่นอนและมุมสงบก็อยู่ที่พื้น นอนพิงเสานั่นเองครับ(ขี้เกียจถอด wetsuit ครับ ใส่ยาก ถอดยาก แถมจะไปนั่งที่อื่นก็กลัวเปียก เกรงใจคนอื่นครับ)



Dive 3 น้ำใสที่ตุ้งกู+ ชายหนุ่มผู้โง่เขลาและ Sausage!!!

เรือโชคทวีพาเรามาที่ กองตุ้งกู(South West Pinacle) พี่หมึกมา Brief ให้ฟังครับ ความลึกสูงสุด 25 เมตร ลักษณะจะเป็นผาสูงชันรายล้อมกัน อาจได้เห็นปลาหมอทะเล(Giant Grouper) ปลามง ปลาสาก และดงดอกไม้ทะเลครับ

จุดนี้น้ำไม่ค่อยแรงมาก แม้จะมีเชือกให้เกาะลงไป แต่ค่อยๆดำลงไปก็ได้ครับ ด้านล่างจะมีกระแสนิดหน่อย เกาะเชือกไว้บ้างก็ดี Clear หูสบายมากครับ รู้สึกสดชื่น ยาดีจริงๆ(เริ่มแรกก็มาจากเดียร์นี่แหละครับ ที่ให้ผมกินที่สิมิลัน เพราะเห็นผมบ่นๆว่า Clear หูยาก)

ไดฟ์นี้ดำอย่างมีอิสระมากขึ้นครับ เพราะทัศนวิสัยระดับ 12-15 เมตร แน่ะ ตามผาหิน ผมตีขาขึ้นไปเห็นกอดอกไม้ทะเลจำนวนมาก ในนั้นมีแต่ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) ทั้งนั้น มากกว่าที่เคยเห็นที่เกาะง่ามน้อยอีกครับ เรียกว่ามากที่สุดเท่าที่เคยเห็นคงไม่ผิดนัก

สังเกตดีๆว่า ปลาอะไรเอ่ยชอบอยู่ใกล้ๆ เหนือดงดอกไม้ทะเลเหล่านี้ คำตอบ คือ ปลาสลิดหินสามจุด(Three-spot Dascyllus) ครับ มีเยอะจริงๆ แสดงให้เห็นว่าระบบนิเวศใต้ทะเลที่กองตุ้งกูสมบูรณ์มากครับ

2 นักล่า แม้จะไม่ได้อยู่ระดับบนสุด แต่ก็สร้างความตื่นกลัวให้กับชีวิตเล็กๆเหมือนกัน คือ ปลาเก๋าหน้าแดง(Black-tipped grouper) และปลากะรังลายนกยูง(Peacock grouper) สังเกตหน้าตาและฟันให้ดีครับ เหมือนจะบอกว่า “เผลอเมื่อไรเจอกัน”

นอกจากนั้นก็มีปลาข้าวเม่าน้ำลึก(Soldierfish) ลีลาที่พร้อมเพรียงกัน คงเป็นที่มาของชื่อละมั้ง ปลาพยาบาล(Cleaner wrasse) พนักงานทำความสะอาดที่มักเข้ามาช่วยขจัดสิ่งสกปรก เช่น ปรสิต จากสัตว์ทะเล ปลาอมไข่(Cardinalfish) ที่ผมยังไม่เห็นพวกเขาอมไข่ในปากซะที แต่รู้ดีกว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในเครื่องชี้วัดความสมบูรณ์ของแนวปะการัง และปลาผีเสื้อเหลืองชุมพร(Weibel ‘ s Butterflyfish) ที่มาทีไรก็พกลูกเล่นที่น่ารักมาทุกๆครั้ง

เมื่อได้เวลา และความลึกประมาณ 5 เมตร ผมพยายามหาที่ว่าง(สายเชือกจะได้ไม่พันคนอื่นๆครับ) หยิบ Sausage ออกจาก BCD แกะเชือกออก หยิบ Octopus ออกมา เติมลมใน Sausage แต่ดันคว่ำหัว Sausage ลง(แล้วจะเติมลงเข้าไหมเนี่ย) มิน่าถึงไม่เข้าซะที(ระหว่างทำมีพี่อรรถกำลังจับเชือกของผมไว้ครับ)
พอหงายหัว Sausage ขึ้น คราวนี้เติมลงมากเกินไป ผลก็คือ พุ่งครับ Sausage พุ่ง ดึงผมขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว(พี่อรรถน่ะ ไหวพริบดีครับ ปล่อยเชือกออกไปแล้ว) เช่นกันครับ ผมก็ยอมทิ้ง หายก็หาย ดีกว่าทำให้ผมขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว(ภายหลังพี่ป้อมบอกทำถูกแล้วน้อง คราวหน้าลองใหม่ ใจเย็นๆกว่านี้ ดีว่านี้แค่ 5 เมตร ความอันตรายก็ลดน้อยลงไปด้วย)

ผมตามขึ้นมาเก็บ Sausage ข้างบน(ไม่หายวุ้ย ไม่ต้องซื้อใหม่ 55) แต่ Sausage แน่นเหลือเกิน แสดงว่าเติมลมไปเยอะจริงๆ (เป็นบทเรียนที่ดีครับ ไม่มีใครเก่งตั้งแต่เกิด เพียงแต่ผมจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง)

ผมทราบคร่าวๆว่า Night Dive จะลงในช่วง 2 ทุ่มกว่าๆ ที่บริเวณหินเด่น เกาะนางยวน ผมเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า พอแดดเริ่มหาย พื้นเริ่มแห้ง ลมเย็นๆบนดาดฟ้าของเรือก็น่านอนอยู่เหมือนกันครับ มีพี่อรรถกับพี่ท๊อปนอนเล่นอยู่ก่อนแล้ว

“อ้าว เฮ้ย นี่มันหาดแม่หาด เกาะเต่านี่หว่า” ผมมองไปด้านหน้าเห็นเกาะที่คุ้นเคย สถานที่ที่ผมเคยมากับเพื่อนๆ เมื่อหลายปีมาแล้ว

ไม่นานนัก เดียร์ก็ขึ้นมาถ่ายรูปเหมือนกัน ผมเดินขึ้นไปด้านหน้าของเรือ เห็นมีกลุ่มพี่ๆกำลังขึ้นดิงกี้ไปเกาะเต่า

“ก็ดีน่ะซิ ขึ้นเกาะเต่าได้ด้วย มีใครไปบ้างครับ พี่อรรถ เดียร์ พี่ท๊อป พี่โหน่งไปไหมครับ ผมอยากกลับไปเดินบนเกาะมานานแล้ว” ผมเอ่ยปากชวน

“ไปๆ” มีแต่เสียงตอบตกลง ไม่มีใครปฎิเสธเลยครับ

................................

Wednesday, August 29, 2007

Scuba…..ที่เกาะเต่า(1)







ผมค่อนข้างผูกพันกับทะเลชุมพรมาก เพราะจบ Open Water Course จากที่นั่น กิน-นอน-เรียน ที่นั่นก็หลายวัน ความประทับใจแรกของการดำน้ำแบบ Scuba ความใสของน้ำทะเล ได้เห็นเต่ากระ โบยบินดั่งนก กุ้งตัวยาวกับแส้ทะเลที่น่าอัศจรรย์ ผาหินที่มีปลาการ์ตูนอินเดียนแดงกับรอยยิ้มที่มีให้นักดำน้ำ ก็อยู่ที่นั่นครับ

สำหรับการดำน้ำบนเรือ Liveaboard(กิน-นอน บนเรือหลายๆวัน ดำน้ำกันแบบมาราธอนน่ะครับ) ผมไม่เคยได้มาที่นี่อีกเลย ได้แต่มา Fun Dive เท่านั้น

ส่วน Liveaboard ที่อื่นๆก็ไปแค่ไปสิมิลันกับโลซินอย่างละครั้ง เท่านั้นเอง(อาจเป็นเพราะผมยังชอบการท่องเที่ยวแบบแบคแพคอยู่ก็ได้ครับ)

พูดถึงเกาะเต่า สมัยผมยังหน้าละอ่อน(ตอนนี้ก็ยังอ่อนอยู่เด้อ) เคยมานอนกับเพื่อนๆ กับห้องราคาที่ถูกมาก 300 บาท/คืน นอนได้ 4 คน แถมคางคกในห้องน้ำ 1 ตัว ออกไปสน๊อคเกิ้ลตามจุดต่างๆ เช่น อ่าวหินวง, Shark point, แหลมเทียน, กระโจมไฟ เป็นต้น ไปเกาะนางยวน เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากครับ

จากการติดตามข่าวสารใน
www.scubazoom.com โดยมีภาพจากคุณนัท สุมนเตมีย์, พี่AA , พี่ Fat Fish และพี่คนอื่นๆอีกหลายท่าน เกาะเต่าปีนี้ น่าไปมากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปลาที่มากขึ้นจนน่าตกใจ ความใสของน้ำทะเล บวกกับ Bull Shark ที่กองชุมพร ฉลามที่เป็นไฮไลท์อยู่ในเวลานี้

สำหรับสัตว์ใหญ่ ผมรู้สึกเฉยๆนะครับ เจอก็ดี ไม่เจอก็ไม่ผิดหวัง(โกหกหรือเปล่า ไอ้น้อง 55) แต่ภาพปลาที่มากมายและความใสของน้ำทะเลนั่นซิที่เย้ายวนใจกว่า

ผมพลาดที่ไปเรือ MV-1 เรือซึ่งผมคุ้นเคยและอยากไปมาก เมื่อสัปดาห์ก่อน แถมไปเกาะเต่าแบบ 2 วันซะด้วย(ปกติ เขาจัด 3 วันครับ สัปดาห์ก่อนผมก็ติดลงประชามติ ต้องอยู่ใช้สิทธิครับ)

แม้คราวนี้จะมากับเรือโชคทวี(ซึ่งก็ยังไม่เคยไป) แต่ก็ไม่เป็นไรครับ

นอกจาก Dive computer ที่จะไปลองของอีกครั้งก็มี Sausage ที่อยากจะฝึกใช้ซะที จะได้ปลอดภัยเวลาขึ้นสู่ผิวน้ำ

อีกทั้งยังมี พี่โหน่ง ลูกศิษย์คนใหม่ของพี่ป้อม ที่จะไปสอบ Open Water ที่นี่ด้วย(โอ้ มาสอบเกาะเต่าเลยเหรอพี่)

เมื่อปัจจัยทุกอย่างพร้อม คุณแม่อาการดีขึ้น ผมก็พร้อมที่จะไปสำรวจโลกใต้ทะเลอีกครั้งหนึ่ง

ถ้าพร้อมแล้ว ผมจะพาทุกท่านไป Scuba สำรวจโลกใต้ทะเลที่เกาะเต่ากันครับ


24 สิงหาคม 2550

ผมนัดกับพี่โหน่งที่ food land ย่านรามอินทรา ก่อนที่หนุ่มที่หน้าตาไม่น่าจะฟังเพลง Underground ได้ แต่กลับชอบเพลงแนวนี้มาก มาในชุดสบายๆ ยิ้มแย้ม พร้อมกับการไปสอบ Open Water ที่เกาะเต่า

เดินทางมาที่ร้านทะเลบางกอก ใกล้โรงแรมเรดิสัน อันเป็นจุดนัดพบของเรา เดินตรงไปเรื่อยๆ พบพี่นัท 20 นิ้ว(1 ใน staff ) พี่ปุ๊ย พี่หมี และสมาชิกใหม่ 2 หนุ่ม คือ พี่อรรถและพี่ท๊อป นั่งรออยู่ที่ร้านๆหนึ่งอยู่แล้ว

ไม่นานนัก หมอเดียร์และหมอจูนก็เดินทางมาถึง สำหรับผม หมอจูนก็ถือเป็นสมาชิกใหม่เช่นเดียวกัน

ถึงตอนนี้เหลือพี่ป้อมคนเดียวเท่านั้น(โชคดี ที่ผมกับพี่โหน่งกะเวลาออกมาก่อน เพราะในทริปนี้ พี่นัท 20 นิ้ว อยากให้ออกเดินทางเร็วขึ้น เพราะจะพาพวกเราไปดูฝูงปลามง(Trevally) ทำไซโคลนที่หินใบด้วย เนื่องจากหินใบ เป็น dive site ที่อยู่ไกลนั่นเอง )

พอพี่ป้อมมาถึง เราฝากท้องไว้ที่ร้านนี้ จะได้ไม่เสียเวลากับการแวะทานอาหารระหว่างทาง(ตาลุง หน้าตาคล้าย ลิขิต เอกมงคล (ภาคชราภาพ) เจ้าของตบจูบในละคร เรื่องจำเลยรัก ทำไมโหดแบบนั้นล่ะลุง 555)

“กระเพราปลาหมึกของใคร?” (พูดพร้อมกระแทกเสียง) นี่ล่ะครับที่มา 555

นอกจากกลุ่มพวกเราที่เดินทางไปโดยรถตู้ ก็มีกลุ่มครูโก้ พี่ปอและพี่โจ เดินทางโดยรถส่วนตัวไปก่อนหน้านั้นแล้ว

ผมนั่งด้านหลังสุดกับพี่อรรถและพี่ท๊อปแต่ยังโน้มนาว 2 สาวว่า หากไม่นั่งจะเสียใจ เพราะเป็นที่นั่ง VIP ยืดขาสบาย(ความจริงก็เป็นที่รู้ๆกันอยู่ครับ ว่าด้านหลังเสี่ยงต่อการกระแทกเสมอๆ)

แล้วก็เป็นจริงๆครับ ก้นลอยจากเบาะกันเป็นทิวแถว(แต่ฮา) นอกจากถนนลงภาคใต้ที่แย่ลงกว่าช่วงที่ผมลงมาตอนปีใหม่ ก็มีรถบบรรทุกวิ่งตลอดครับ นี่ละมั้งเป็นสาเหตุของการที่ทำให้ถนนเสื่อมสภาพเร็ว

แต่ยังไงก็ตาม ในรถก็เงียบกริบ ทุกคนมีความสามารถในการหลับได้อยู่ดีครับ

ช่วงแวะปั้มเติมน้ำมัน ผมแวะเข้าไปร้านสะดวกซื้อหาอะไรหวานๆทานเพราะตื่นมาปากจะขม(ขาดหวานนั่นเอง) ท้องเริ่มหิวแล้วด้วย แฮมเบอร์เกอร์ก็เป็นอะไรที่ง่ายๆดีครับ ช่วยได้เยอะเลย

ผมเริ่มหนาวๆร้อนๆตั้งแต่เมื่อวานนี้ อาจติดไข้จากพี่ชาย เลยขอพาราเซ็ทจากหมอเดียร์มา 1 เม็ด(ขืนไข้ขึ้นเซ็งแน่ๆครับ ผมไม่อยาก skip ซะด้วย)

สลบไหลกันอีกครั้ง ตื่นมาคราวนี้ แวะอีกปั้มหนึ่ง ผมเห็นห้องน้ำก็จำได้ทันทีว่า ถึง จ. ชุมพร แล้ว(จะมีปั้มที่ใหญ่และห้องน้ำสะอาด ดูแปลกตาอยู่ปั้มหนึ่งครับ เคยมาสัมมนาที่ จ. สุราษฐธานี ก็แวะปั้มนี้ด้วยเช่นกัน)

ก่อนถึงท่าเรือท่ายาง จ. ชุมพร(มีคนชอบเถียงครับ ว่า ท่ายางเป็น อำเภออยู่ที่ จ. เพชรบุรี ไม่ใช่เหรอ ก็ถูกครับ แต่ชุมพรก็มีท่าเรือ ชื่อนี้นะ) เนื่องจากเป็นเวลางดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จึงหาซื้อยากหน่อย แต่ก็ไม่พ้นขีดความสามารถของเราๆครับ(ผมขอไปเดินยืดเส้น ยืดสาย ฟังสำเนียงใต้ ก็โอเคแล้วครับ)

เรามาถึงท่าเรือ ท่ายาง(ฟังแล้วคิดถึงการเผาแบบนั่งยางยังไงก็ไม่รู้ซิ 555) ท่าเรือนี้ มักเป็นประตูท่าด้านเพื่อเดินทางไปยังเกาะเต่าของนักท่องเที่ยว เป็นที่หลบคลื่นลมของเรือหลายๆลำ ยามพายุเข้าด้วยครับ

เรือโชคทวีก็อยู่ที่นี่เช่นกัน พี่หมึกและครูตั้มแห่งเรือโชคทวี(ครูตั้มเป็นอาจารย์ของพี่เอด้วยครับ) ออกมาต้อนรับพวกเราด้วย หลังจากขนของขึ้นเรือ จัดของเข้าห้อง เตียงของเรือจะเป็น 2 ชั้น เหมือนกับรถไฟตู้นอน แต่ผมชอบตรงที่เตียงชั้น 2 แม้เวลาลุกจากเตียงต้องระวังศีรษะโขกเพดาน แต่มีวิวสวยๆ นอกหน้าต่าง ถือว่าชดเชยกันได้ครับ(พี่โหน่งจองด้านล่างไปแล้วครับ)

ชั้นบน ผมเจอพี่ปอ ครูโก้ พี่โจ ที่ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว นอกจากนั้นก็มีคุณนิคกี้ ที่ผมเคยเจอตอนทริปอันดามันเหนือ ช่วงปีใหม่ 2 ปีก่อน คราวนี้ฉายเดี่ยวไม่พาหวานใจ(พิงค์กี้)มาด้วย แต่พาเพื่อนๆ มาเพียบเลยครับ

เรือโชคทวีค่อยๆแล่นออกไป พร้อมเสียงประทัด ผมมองดูเรือที่อยู่ใกล้ๆเรา มีเรือโชคศุลี(เคยเข้าใจผิดไปช่วงหนึ่ง นึกว่าเป็นลำเดียวกับโชคทวีครับ) ,เรือคูนและเรือสคูบ้าเน็ต(Scubanet) โดยเฉพาะลำสุดท้าย เรือใหญ่น่าดูเลยครับ

ผมปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าของเรือเพื่อสำรวจ พื้นเปียกแฉะ เป็นไปได้ว่าก่อนผมมา ฝนตก เบาะที่นอนก็เปียกไปด้วย

ลงมาหาอุปกรณ์ คนเท้าใหญ่อย่างผม ลำบากนิดนึง หา Fin ใส่ยากหน่อย แต่พี่ staff ของเรือคนหนึ่งบอกว่า จะหยิบมาให้ในวันรุ่งขึ้นครับ

เปิดกระเป๋ามา ถึงกับร้อง เฮ้ย!!(ไม่ได้เล่นงิ้ว เล่นโขนนะครับ) เกิดสงครามยาสีฟันขึ้น ยาสีฟันที่ใส่มาโดนทับจนแตกเลอะเสื้อผ้าด้านในกระเป๋าไปหมด ต้องเอาเสื้อผ้าออกมาเช็ด ตัวไหนโดนเยอะ ต้องซักทันทีครับ จนกระดาษทิชชู่หมดในห้อง

ผมบอกพี่โหน่งว่า

“จะมีใครสงสัยไหมพี่ ว่าห้องนี้ทำไมกระดาษทิซชู่หมดเร็วจัง 555 ”

“เฮ้ย! ภพคิดได้ไงน่ะ” พี่โหน่งตอบ

ขำๆครับ เรื่องตลกก่อนนอน นี่ก็ดึกมากแล้ว จะตี 3 แล้วด้วย รีบพักผ่อนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องดำน้ำแต่เช้า จะมีอะไรรอผมอยู่ในวันพรุ่งนี้นะ ชักตื่นเต้นซะแล้ว


25 สิงหาคม 2550

แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาที่หน้า ผมบิดตัวไปมาเหมือนไส้เดือน ด้วยความขี้เกียจ แล้วจึงหามุมถ่ายรูปเล็กน้อย วิวสวยจริงๆครับ ก่อนจะรีบลุกออกมาล้างหน้า แปรงฟัน

กินขนมปังรองท้องก่อนครับ ไม่นานนัก พี่หมึก ครูโก้และพี่ป้อม มา Brief ถึงจุดดำน้ำแรกที่เราจะลงกัน นั่นก็คือ กองหินวงศ์(Hin Wong Pinacle) ความลึกสูงสุดที่ 20 เมตร เวลาที่ดำประมาณ 50 นาที และทำ safety stop ที่บริเวณ 5 เมตร 3 นาทีด้วย จุดนี้ไม่ลึกมากนักจึงเหมาะแก่การที่จะ Check Dive กันครับ จุดเด่นอยู่ที่ปะการังดำหลากสีสัน(ไม่ใช่ด้านนอกมีสีดำนะครับ หากแต่จะเป็นแกนด้านในต่างหากที่เป็นสีดำ ด้านนอกจะมีหลายสีแตกต่างกันไป เช่น สีเขียว สีเหลือง เป็นต้น) หากเราสังเกตดีๆ ตามกอแส้ทะเล ตามกอปะการังดำ ก็อาจจะพบกุ้งตัวยาว(Sawblade Shrimp)ก็ได้ครับ

ชุดของผมจะมีพี่ป้อม เดียร์ จูนและพี่โหน่ง แต่จะลงเกือบจะพร้อมๆกับ ชุดพี่นัท 20 นิ้ว ที่มีพี่ปุ๊ย พี่หมี พี่อรรถและพี่ท๊อปครับ

Wednesday, August 22, 2007

สระเอ๋ย....... สระมรกต







หากพูดถึงป่าที่ราบต่ำแห่งเดียวในประเทศไทย หลายคนคงงงเป็นไก่ตาแตก อะไรเหรอ ป่าที่ราบต่ำ แต่สำหรับนักดูนก คำว่า “นกแต้วแร้วท้องดำ” คงจะดึงดูดพวกเขาไม่น้อย เพราะนกแต้วแร้วท้องดำเป็นนกหายากและมีดูได้แห่งเดียวเท่านั้น คือ ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม อำเภอคลองท่อม จังหวัดกระบี่




ที่ที่ผมจะกล่าวถึง อยู่ที่นี่ครับ สระมรกต หนึ่งใน Unseen Thailand นั่นเอง สระน้ำจืดที่อยู่กลางป่า มีน้ำสีเขียวมรกต ใส สะอาด สาเหตุที่เป็นสีเขียวเพราะ แบคทีเรีย และสาหร่ายในน้ำซึ่งจะทำให้น้ำมีสีต่างๆแตกต่างกัน และ นอกจากนั้น สายน้ำแร่ใต้ดินที่มีอยู่บริเวณนี้ ยังทำให้สารแขวนลอยในน้ำตกตะกอน จึงทำให้น้ำมีความใสมากด้วย




ผมไปที่นี่มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ครั้ง ทั้งๆที่ทางเข้าก็แสนลึก ต้องเดินเท้าไปอีกพอสมควรกว่าจะถึงสระ(ผ่าน เส้นทางศึกษาธรรมชาติทีนา โจลิฟฟ์ (ทุ่งเตียว) ตั้งชื่อตามคุณทีนา โจลิฟฟ์ ชาวอังกฤษ ผู้ริเริ่มความคิดที่จะรักษาอนุรักษ์ป่าดิบชื้นผืนนี้ไว้ไม่ให้ถูกทำลาย เส้นทางเดินศึกษานี้มีระยะทาง ๒.๗ กิโลเมตรครับ)




ถามว่าไปทำไม ตอบง่ายๆว่าติดใจครับ เธอ(สระมรกต)หว่านเสน่ห์ผมจนโงหัวไม่ขึ้นจริงๆ




ผมมักจะชอบดำผุด ดำว่าย ในสระ โดยมี Snockle คู่ใจ ดูปลาด้านล่างบ้าง ดำเก็บขยะด้านล่างบ้าง อยู่ได้เป็นชั่วโมงๆครับ(หรือมากกว่านั้น)




เพื่อนผมหลายคนบอกว่า “มาครั้งเดียวก็พอแล้วว่ะ ทางเข้าลำบากมาก” ช่วงมาตอนแรกๆ มีแต่ดินลูกรังครับ เพื่อนๆหัวโขกกระจกกันเป็นแถว แต่อย่าห่วงครับ สมัยนี้ทางดีขึ้นมาก




แนะนำว่าให้ไปในวันธรรมดานะครับ สระมรกตจะเหมือนสระว่ายน้ำส่วนตัวของคุณจริงๆ พยายามหลีกเลี่ยงวันหยุดยาว เพราะคนจะล้นสระจนน้ำมีสีน้ำตาลครับ กลายเป็นสระน้ำธรรมดาๆไป




คุณอาจจะหลงรักสระมรกตเหมือนผมก็ได้นะครับ ไม่แน่นะ

Friday, August 10, 2007

หยุดการ Forward อย่างเมามัน ด้วย กฎหมายคอมพิวเตอร์


ผู้อ่านทุกท่านคงได้ยินข่าวเรื่องกฎหมายคอมพิวเตอร์ที่พึ่งออกมาใหม่และมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งกฎหมายตัวนี้ ชื่อว่า พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550


ถามว่าสำคัญแค่ไหน ตอบได้ว่ามากครับ โดยเฉพาะคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เพราะต่อไปนี้ จะทำอะไรก็ต้องดูให้ดีๆ ไม่งั้นอาจผิดกฎหมายได้ครับ


ผมจะพูดให้เข้าใจง่ายเข้าไว้ และจะพูดในมุมกว้างๆ ครับ กฎหมายตัวนี้มีบทลงโทษสำหรับ แฮคเกอร์ ทั้งหลาย ที่ชอบเข้าถึงข้อมูลผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาติ จะเป็นการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือทำลายก็แล้วแต่ หรือหากไม่เข้าแต่ก่อกวนให้ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้ให้บริการ ถูกชะลอ ไม่สามารถปฎิบัติงานได้เหมือนปกติก็มีความผิดครับ


คำว่า “ผู้ให้บริการ” น่าสนใจครับเพราะหมายความว่า


(๑) ผู้ให้บริการแก่บุคคลอื่นในการเข้าสู่อินเทอร์เน็ต หรือให้สามารถติดต่อถึงกันโดย
ประการอื่น โดยผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการในนามของตนเอง หรือในนามหรือเพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น


(๒) ผู้ให้บริการเก็บรักษาข้อมูลคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ของบุคคลอื่น


นั่นหมายความว่า เว็บที่ให้บริการรับฝากรูป ก็ถือเป็น “ผู้ให้บริการ” นะครับ


มาว่ากันเรื่องเจ้าพ่อหรือเจ้าแม่โพสกันบ้าง ต่อไปนี้ หากโพสข้อมูลใดๆเข้าไปในระบบผู้ให้บริการแล้วมีความเสียหายเกิดขึ้นต่อระบบคอมพิวเตอร์หรือแก่ผู้อื่น(ก็ประชาชนนั่นแหละ) จะมีความผิดครับ


ตามมาติดๆด้วยเจ้าพ่อหรือเจ้าแม่ Forward เมลทั้งหลาย ถ้ามีรูปหรือข้อมูลที่น่าจะเป็นที่เสียหายแก่ผู้อื่นและผู้กระทำรู้ว่าเป็นข้อมูลเช่นนั้น ส่งต่อหรือเผยแพร่ไปก็มีความผิดครับ


ต่อด้วยผู้ให้บริการที่จงใจสนับสนุนหรือยินยอมให้มีการกระทำความผิดดังกล่าวก็จะมีโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดครับ


ข้อนี้น่าสนใจครับ ถ้ามีการกระทำความผิดเช่นนี้นอกราชอาณาจักรล่ะ จะลงโทษได้ไหม? ถ้า


1) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนไทย และรัฐบาลแห่งประเทศที่ความผิดได้เกิดขึ้นหรือ
ผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ หรือ


2) ผู้กระทำความผิดนั้นเป็นคนต่างด้าว และรัฐบาลไทยหรือคนไทยเป็นผู้เสียหายและ
ผู้เสียหายได้ร้องขอให้ลงโทษ


จะต้องรับโทษภายในราชอาณาจักร


สรุปถ้าเข้าองค์ประกอบ ก็สามารถลงโทษผู้กระทำความผิดได้ครับ


ยังมีรายละเอียดใน พ.ร.บ. นี้ ที่ผมยังไม่ได้กล่าวอีกครับ แต่คิดว่าเท่านี้ทุกท่านน่าจะเข้าใจในภาพกว้างๆ


เนื่องจากกฎหมายนี่ค่อนข้างใหม่ แนวคำวินิจฉัยของศาลฎีกาจึงยังไม่มี กฎหมายนี้จะบังคับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่


คงต้องรอดูกันต่อไปครับ


ที่แน่ๆ ยังมีคนจ้องทำอยู่เยอะนะ


ตัวบทกฎหมายดีแค่ไหน ถ้าไม่มีความจริงจังในการแก้ไขปัญหา


ผู้กระทำความผิดก็ไม่กลัวหรอกครับ

Thursday, August 09, 2007

Internet ดาบ 2 คม


“ขอโทษนะครับ ผมเป็นตำรวจ”


เฮ้ย ชักจะนอกเรื่องตั้งแต่เริ่มต้น นั่นเป็นคำพูดยอดฮิตในหนังเรื่อง 2 คน 2 คม ขอโทษทีครับ หนังเขาสนุกดีน่ะ(ถ้าใครนึกไม่ออกลองนึกภาพของ หลิวเตอะหัว เหลียงเฉาเว่ย หลี่ หมิง ดูนะครับ หน้าตาอินๆหน่อยนะ)
วันนี้ ผมจะมาเล่าภัยของ Internet ที่หลายคนอาจไม่ทราบครับ


พูดถึง Internet ที่กำลังเป็นเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากในปัจจุบัน ทุกครัวเรือน เริ่มมีคอมพิวเตอร์ เด็กๆคนไหน พ่อแม่ไม่ซื้อให้ ก็จะไปเล่นที่ร้าน Internet แถวบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมออนไลน์ ดูเว็บไซด์ต่างๆ(ทั้งต้องห้ามและไม่ต้องห้าม)


มีน้องคนหนึ่ง บอกผมว่าถูกนำรูปและ e-mail ไปโพสในเว็บที่ธรรมดาๆเว็บหนึ่ง ภายในมีหัวข้อปลุกใจ เสือป่า พร้อมรูปวับๆแวมๆ เรียกว่า หมกเม็ดนั่นเอง


รูปและ e-mail ถูกมือดีนำมาโพส และมีข้อความเชิญชวนในทำนองชู้สาว ผลคือ มีคน add e-mail ของน้องเขาเต็มเลยครับ(เสียดายที่ผมไม่ได้ add) (ล้อเล่นครับ)


ผมลองเข้าไปที่เว็บไซด์นั้น ในกระดานที่ติดต่อเว็บมาสเตอร์ พบว่า มีน้อง(สาวๆ) อีกหลายคน ถูกกระทำเช่นนี้เหมือนกัน แต่เว็บมาสเตอร์ก็เงียบ(ไม่รู้ว่า เขาได้ดำเนินการลบไปหมดแล้วหรือยังนะครับ)


หากถามผมในฐานะนักกฎหมาย ต่อให้น้องเขาโพสอีเมลและรูปในเว็บอื่น ซึ่งถือว่าสาธารณะก็จริง การจะใช้สิทธิย่อมทำได้ แต่ต้องไม่กระทบสิทธิของผู้อื่นครับ การที่เอารูปและอีเมลมาโพส มีข้อความส่อในทางชู้สาว ถือเป็นการหมิ่นประมาทผู้อื่นต่อบุคคลที่สามแล้วครับ ทำให้ผู้ถูกหมิ่นประมาท เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง


แม้คนอื่นจะเป็นคนโพส แต่เจ้าของเว็บไซด์จะบอกไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ครับ ต้องลบข้อความที่หมิ่นประมาทนั้นออก ไม่งั้นโดนฟ้องนะ(ฟ้องขอให้ลบข้อความและเรียกร้องค่าเสียหาย) หากไม่กลัวก็เชิญครับ


อย่างไรก็ตาม ต้องแล้วแต่ผู้เสียหายครับ ถ้าเขาไม่ฟ้อง ก็ทำอะไรไม่ได้นะ(การมีคดีความขึ้นศาลนั้น ต้องเสียทั้งเงินและเวลาครับ)


ผมเลยบอกน้องว่า ถือเป็นบทเรียนแล้วกัน ถ้าไม่อยากเปลี่ยน e-mail ก็อย่ากดรับใครแปลกๆ ใน msn


โชคดีว่า เป็นแค่อีเมลครับ ถ้ามีเบอร์โทร ที่อยู่ ปวดหัวกว่านี้แน่(หัวกระไดบ้านจะไม่แห้งเอา)


โลกไซเบอร์สเปซก็เหมือนกับสังคมภายนอกครับ มีทั้งคนดีและคนไม่ดี


เหรียญมี 2 ด้านเสมอ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมองในมุมไหน


คุณประโยชน์มีมาก โทษก็มหันต์เช่นกัน

Saturday, August 04, 2007

แฟนพันธุ์แท้ พระราชประวัติ รัชกาลที่ 6


ไม่แปลกใจเลยที่ผมรู้สึกตื่นเต้นกับหัวข้อในการแข่งขันแฟนพันธุ์แท้ในสัปดาห์นี้เป็นพิเศษ เมื่อได้ทราบ จึงต้องหยุดจากกิจกรรมทุกสิ่งทุกอย่างมาใจจดใจจ่อทางหน้าโทรทัศน์


สำหรับนักเรียนมหาดเล็กหลวงทุกคน พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เปรียบเสมือนพระราชบิดา ที่นักเรียนทุกคนเคารพและยึดมั่นในพระราชดำรัสของท่าน


ยิ่งได้ทราบว่า มีนักเรียนวชิราวุธเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ด้วย(น้องชุมพล ฉายาว่า กินผ้า นักเรียนวชิราวุธรุ่น 79) ใยเลยรุ่นพี่อย่างผมจะไม่ตามเชียร์(นักเรียนวชิราวุธทุกคนจะมีฉายาที่พี่ตั้งให้ครับ)


ผมอินถึงขนาดโทรศัพท์ไปบอกเพื่อนๆให้ทราบกันเลยนะครับ(ขอหน่อยแล้วกัน)


ในรอบแรก น้องชุมพลผ่านเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ส่วนในรอบต่อมา น้องชุมพลตอบข้อคุณสมบัติ โดยเปิดเพียงครั้งเดียว สามารถตอบได้อย่างถูกต้อง(คำใบ้มีแค่ว่า “เป็นพระราชโอรสของรัชกาลที่ 5” พระราชโอรสของรัชกาลที่ 5 มี 77 คนแน่ะ)


ในรอบชิงชนะเลิศ น้องชุมพลตอบพลาดไป จากยศ “พลเอกพิเศษ” ตอบแค่ว่า “พลเอก” ทำให้พลาดตำแหน่งแชมป์ไป


แต่ต้องยอมรับว่า แชมป์ นิ่งและรอบคอบกว่ามากครับ สมควรได้ตำแหน่งแชมป์แล้ว


ท้ายสุดนี้ ผมขออัญเชิญพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว 2 ตอน ที่ผมไปค้นคว้า มาให้ทุกท่านได้อ่านกันครับ

ตอนที่ 1


“..... เจ้าเหล่านี้ ข้าถือเหมือนลูกของข้า ส่วนตัวเจ้า เจ้าก็ต้องรู้สึกว่าข้าเป็นพ่อเจ้า ธรรมดาพ่อกับลูก พ่อย่อมอยากให้ลูกดีเสมอ ถ้าลูกประพฤติตัวดีสมใจพ่อ พ่อก็มีใจยินดี ถ้าลูกเหลวไหลประพฤติแต่ความเสื่อมเสีย พ่อก็โทมนัส ลูกคนใดที่ประพฤติตนเลวทรามต่ำช้า เป็นเหตุให้พ่อได้ความโทมนัส ลูกคนนั้นเป็นลูกเนรคุณพ่อ......”

ตอนที่ 2


“….ข้าจะไม่โศกเศร้าเลย ถ้าเจ้ามารายงานว่าเด็กคนหนึ่งเขียนหนังสือไม่คล่อง คิดเลขซ้อนไม่เป็น และไม่รู้วิชาเรขาคณิตเลย;


ถ้าข้ารู้ว่าเด็กคนนั้นได้ศึกษาพอที่จะรู้ว่าความเป็นผู้ชายคืออะไร และขี้แยคืออะไร


ข้าไม่อยากได้ยิน “คนฉลาด” บ่นอีกว่า “ปัญญาท่วมหัวเอาตัวไม่รอด”


สิ่งที่ข้าต้องการในโรงเรียนมหาดเล็กหลวงคือ ให้การศึกษาเป็นเครื่องทำให้เด็กเป็นยุวชนที่น่ารักและเป็นพลเมืองดี ไม่ใช่ทำลายบุคลิกภาพเสียหมด โดยบรรจุหลักสูตรลงไป….


…..ถ้าข้าอยากจะได้โรงเรียนธรรมดาเพียงหลังหนึ่ง แล้วสร้างเป็นโรงเรียนไปมาจะไม่ดีกว่าหรือ จะสร้างโรงเรียนกินนอนขึ้นมาทำไม?


….สำหรับโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ข้าไม่ห่วงการปั้นนักเรียนชั้นมัธยมให้เป็นเทวดาเหมือนกันหมด ทุกคนได้คะแนนกันคนละหลายพันคะแนน

เท่ากับการสร้างเด็กหนุ่มที่ขยันขันแข็ง และสะอาดทั้งทางกายและจิตใจ เตรียมพร้อมที่จะรับภาระต่างๆ ซึ่งจะมีมาในอนาคต


ข้าไม่ต้องการนักเรียนตัวอย่างที่สอบไล่ได้คะแนนขั้นเกียรตินิยมทุกๆครั้ง ข้าไม่ต้องการตำราเรียนที่เดินได้


ข้าอยากได้ยุวชนที่เป็นสุภาพบุรุษ ซื่อสัตย์สุจริต มีอุปนิสัยใจคอดี…”

หลายคนมาจากสถานศึกษาที่ต่างกัน แต่ทุกสถานศึกษาล้วนสอนให้ทุกคนเป็นคนดี


ผมอยากให้ทุกคนมีความรักและรำลึกถึงสถานศึกษาของตนเองครับ



หมายเหตุ: ชื่อของน้องผมฟังไม่ชัดครับ ถ้าไม่ใช่ "ชุมพล" ก็"จุมพล"ครับ

Friday, August 03, 2007

บัตรประชาชนหมดอายุ


ไม่เคยสังเกตเลยครับว่าบัตรประชาชนของเรานั้นจะหมดอายุก่อนวันเกิดตัวเอง 1 วัน เสมอๆ(จูน เพื่อนผมบอกมาน่ะครับ พอมาดู เออจริงแฮะ) ส่วนอายุของบัตรนั้นประมาณ 7 ปี(อันนี้ดูจากบัตรใหม่ที่พึ่งไปทำมาครับ)


ได้โอกาสเลยไปทำบัตรใหม่ที่สำนักงานเขตลาดพร้าว ซึ่งเดี๋ยวนี้เขาพัฒนาไปมาก ปรับปรุงสถานที่โอ่โถงมากขึ้น


เวลาพักเที่ยงก็มีคนอยู่คอยบริการตลอดครับ ฉะนั้นไม่ต้องกลัวหากมาเวลาหยุดพักเที่ยง


หลังจากกรอกรายละเอียดส่วนตัวเล็กน้อย กดบัตรคิว รอเจ้าหน้าที่เรียก นำบัตรเก่าไปอย่างเดียวเท่านั้น สำเนาทะเบียนบ้านไม่ต้องครับ(เขตอื่นอาจจะไม่ใช่แบบนี้ก็ได้ครับ)


พอเจ้าหน้าที่เรียก ผมนั่งดูคอมพิวเตอร์ที่เจ้าหน้ากำลังตรวจประวัติอยู่ มีใบหน้าของผมในแต่ละครั้งที่ทำบัตรประชาชน(ไม่ได้เรื่องทั้งนั้น ครั้งหนึ่งตัดผมสั้นไป อีกครั้งหนึ่งพึ่งตื่นนอนแถมผมยาวฟูจนน่าเกลียด) เจ้าหน้าที่แหงนหน้ามาดูผม เพื่อให้แน่ใจว่า ไม่ใช่ตัวปลอมนะ(เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีทันสมัยจริงๆ คงมีคนปลอมบัตรประชาชนเยอะ)


จากนั้นขยับไปอีกโต๊ะหนึ่ง เจ้าหน้าที่ให้ผมไปวัดส่วนสูง ซึ่งผมก็ถอดรองเท้าเพราะมีป้ายบอกอยู่


พอมายืน เจ้าหน้าที่ขยับตัวมาอีกทีบอกว่า “ถอดรองเท้าด้วยนะคะ”


เธอหน้าแตกครับ


ผมถอดรองเท้าแล้ว เพียงแต่ว่าผมสูงจนเจ้าหน้าที่คิดว่ายังไม่ได้ถอดรองเท้านั่นเอง


แต่ส่วนสูงมันเกินไปเล็กน้อยครับ(ประมาณ 2-3 ซม) เจ้าหน้าที่บอกผมว่า ไม่มาตรฐานหรอก ทำไว้สำหรับคนที่ไม่ค่อยสูงน่ะ เลยเขยิบให้หน่อย


ก็ว่าอยู่ พยาบาลสาวคนหนึ่งเคยบอกผมว่า เราจะหยุดสูงตอนอายุ 25 นี่นา


เสียดายว่าเพื่อนผม ชื่อเจ้าวุ้น อยู่ที่กาญจนบุรี มีหน้าที่ทำบัตรประชาชนด้วย ไม่งั้นจะไปให้เพื่อนทำให้ซะหน่อย(คงเลือกรูปได้จนกว่าจะพอใจได้นะเนี่ย)


เพราะรูปที่ออกมา ไม่ทันตั้งตัวเลยไม่ได้ยิ้มครับ หน้าตาเลยเหี้ยมเกรียมไปนิด


แต่ก็โอเคกว่ารูปที่เคยถ่ายผ่านๆมาครับ


มีข้อสังเกตอีกข้อว่า ทำไมเวลาขอดูบัตรประชาชนของเพื่อน(โดยเฉพาะผู้หญิง) ไม่ค่อยมีใครอยากให้ดูเท่าไร อาจเป็นเพราะอย่างที่ผมบอกครับ หน้าตาปัจจุบัน สวยกว่าในรูปทั้งนั้น(ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่ง)


ถ่ายเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็เอารูปมาให้ ไม่ต้องเสียค่าบริการทั้งนั้นครับ


แต่บัตรเก่า เขาไม่ให้คืนครับ บอกว่าถ้าอยากได้


อีก 12 ปี ค่อยมาเอานะคะ


น่าจะเป็นระเบียบของเขาครับ

Thursday, August 02, 2007

เราจะบริจาคเลือด หรือจะบริจาคเกล็ดเลือด?


ช่วงวันเกิดไปบริจาคเลือดที่สภากาชาดไทยมาครับ ครั้งนี้คนจะเยอะเป็นพิเศษเพราะตรงกับวันอาสาหบูชา ต้องต่อคิวเป็นร้อยครับ แต่ก็ยังไม่เท่ากับคราวคลื่นยักษ์สึนามิ ตอนนั้นต่อคิวหลายร้อยครับ


คนเยอะมากๆ จนรอไม่ไหว ขอออกไปกินข้าวแกงที่อยู่ใกล้ๆที่บริจาคเพื่อฆ่าเวลาและให้อาหารน้องๆในท้อง


หลังจากหรอกรายละเอียด วัดความดัน(ทุรัง) เจาะความเข้มของเลือด ผมบอกเจ้าหน้าที่ว่า “ตอนนี้ดีนะครับ เปลี่ยนเข็มแบบใหม่เจาะแล้วไม่เจ็บ” เจ้าหน้าที่ตอบว่า


“อยากเจาะเข็มแบบเก่าก็ได้นะคะ”


“ไม่เอาดีกว่าครับ” ผมยิ้มแหยๆ


ออกมาด้านนอก เจ้าหน้าที่สาวสวยคนหนึ่ง ถามถึงกรุ๊ปเลือดและ ดึงตัวผมไปห้องบริจาคเกล็ดเลือดเพราะกำลังต้องการเกล็ดเลือดด่วนและใช้ทันที


ก่อนหน้านี้ ผมทราบเบื้องต้นแค่ว่า การบริจาคเกล็ดเลือด ทำได้เดือนละครั้ง ส่วนการบริจาคเลือดทำได้ 3 เดือน ต่อหนึ่งครั้ง ที่สำคัญระยะหลังๆมีคนต้องการเกล็ดเลือดค่อนข้างมาก การบริจาคก็คงไม่ยากอะไรนัก


หลังจากที่เจ้าหน้าที่เจาะเลือดผมไปตรวจ(ก่อนนั้นบอกว่า ถ้าผมจะต้องบริจาคเลือดให้ใช้แขนอีกข้างหนึ่ง) ผลปรากฎว่า พลาสม่าของผมขุ่น เลยค่อนข้างงง ว่า เมื่อวานผมก็นอนพอ ไม่ใช่หรือ?


หลังจากสอบถาม ผมจึงทราบว่า การบริจาคเกล็ดเลือดนั้น ต้องดูแลตัวเองมากกว่าการบริจาคเลือดอีกครับ เพราะต้องดูเรื่องการกินอาหารด้วย เมื่อเช้าผมกินผัดไทย ส่วนซักครู่กินหมูทอดกระเทียมซึ่งเป็นอาหารมัน ทำให้พลาสม่าขุ่น


ส่วนบริจาคเลือดแค่นอนให้พอ ไม่มีโรค ก็โอเคแล้วครับ


ผมเลยต้องขึ้นไปบริจาคเลือดโดยใช้แขนอีกข้าง สรุปโดยเจาะ 2 ข้างเลยครับ(จริงๆแล้วติดผงขาว หาเส้นเจาะไม่ได้น่ะครับ ฮ่าๆ)


ทำให้ผมรู้ว่า เกล็ดเลือดเป็นที่ต้องการมาก แถมเวลาเก็บก็ทำได้ไม่นาน ฉะนั้นมาคราวหน้าผมจะลองมาบริจาคเกล็ดเลือดก่อนครับ


หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่ ระยะเวลาเป็นแบบนี้ครับ ถ้าพึ่งจะบริจาคเลือดไป จะบริจาคครั้งต่อไป(ไม่ว่าจะเป็นการบริจาคเลือดหรือเกล็ดเลือดก็ตาม) ต้องเว้นระยะเวลา 3 เดือนครับเพราะเสียเม็ดเลือดแดงไปมาก


ถ้าอีก 3 เดือนข้างหน้า ผมบริจาคเกล็ดเลือดได้ ถัดจากนั้น 1 เดือน ผมถึงจะบริจาคเลือดหรือบริจาคเกล็ดเลือดได้อีกครั้งครับ


แต่อย่าลืมว่า ถ้าบริจาคเลือดเมื่อไร ก็ต้องเว้นไปอีก 3 เดือนอยู่ดีครับ


อ่อ ยาเหล็กที่เขาแจกให้ทาน(สมัยก่อนเขาให้ผู้หญิงเวลาตกเลือดทานกันครับ) หลายคนไม่ชอบทาน แนะนำว่าควรทานครับ เพราะร่างกายจะได้ทดแทนส่วนที่เสียไปในเวลารวดเร็ว


ใครอยากทำบุญก็เชิญครับ ตอนนี้ผมว่าเกล็ดเลือดก็ยังเป็นที่ต้องการมากอยู่ดี

Wednesday, August 01, 2007

นิทานเต่ามะเฟืองและผ้าขาว


งานสัปดาห์หนังสือเด็กที่ผ่านมา จัดที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เห็นภาพพ่อแม่ พาลูกๆมาเลือกซื้อหนังสือก็รู้สึกดีครับ


แม้จะมีแต่เด็กๆ แต่ผมก็ไม่อายครับ เพราะมางานนี้ มีเป้าหมาย ผมจะมาหาซื้อหนังสือของอาจารย์ธรณ์ครับ คือ “กำเนิดเต่ามะเฟือง” และ “ชั่วชีวิตหมึกกระดอง”


มาช่วงใกล้ 5 โมงเย็น บนเวทีมีละครเต่ามะเฟืองพอดีเลยครับ นำแสดงโดยนิสิตปริญญาโท ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลยขอดูซะหน่อย


เรื่องราวเริ่มจากแม่เต่ามะเฟือง เต่าที่หายากแสนยากในเมืองไทย ณ เวลานี้ เดินทางมาจากประเทศนอรเวย์ เพื่อมาวางไข่ ณ เกาะภูเก็ต สวรรค์ที่เต่ามะเฟืองถวิลหา เพราเคยได้ยินใครๆก็เล่าให้ฟังว่า มีหาดทรายขาว สวย เหมาะแก่การวางไข่


เต่ามะเฟืองพบเพื่อนร่วมทาง เช่น เต่ากระ มาจากเกาะสุรินทร์ เต่ากระบอกว่า เขาไม่สามารถทนอากาศที่หนาวเย็นมากๆ ในสถานที่ที่เต่ามะเฟืองมาได้ เพราะไขมันที่มีน้อยกว่าเต่ามะเฟืองนั่นเอง (เด็กๆข้างๆผม ชอบใจ หัวเราะใหญ่เลยครับ)


เมื่อเต่ามะเฟืองมาถึง พบแสงสีมากมาย และคนก็เต็มเกาะไปหมด ไม่สามารถหาที่วางไข่ได้ เต่ามะเฟืองจึงต้องปล่อยไข่ลงทะเลเพราะถึงเวลาที่ลูกๆต้องออกแล้ว เรื่องเศร้าจึงเกิดขึ้นกับลูกๆของเต่ามะเฟือง


ครั้งต่อมา เต่ามะเฟืองไม่ยอมแพ้ กลับมาอีกครั้งและหาที่วางไข่ได้ แต่ต้องถูกนักท่องเที่ยวพาลูกมาขี่เต่า สร้างความลำบากให้เต่ามะเฟือง (อาจารย์และลูกชายมาแสดงเองเลยครับ)


ในที่สุด ลูกๆเต่ามะเฟืองก็ถือกำเนิดมาได้ แต่เรื่องเศร้ายังไม่จบแค่นั้นครับ แม่เต่ามะเฟืองเห็นถุงพลาสติคที่เด็กๆทิ้งลงมา แม่เต่ามะเฟืองคิดว่าเป็นแมงกระพรุน อาหารอันโอชะ จึงกินเข้าไปและจากโลกนี้ไปพร้อมกับความทรมาน


ฉากสุดท้ายเป็นภาพที่ลูกเต่าที่เติบใหญ่ ชี้ไปบนดวงจันทร์ที่มีแม่รอคอยอยู่ ทำเอาเด็กด้านหน้าผม ร้องไห้เพราะสงสารแม่เต่า


ผมจึงอยากบอกว่า เด็กๆเปรียบเหมือนผ้าขาวจริงๆครับ เราปลูกฝังเรื่องดีๆให้ เขาก็จะจดจำสิ่งดีๆ เราปลูกฝังเรื่องไม่ดี เขาก็จะจดจำสิ่งเหล่านั้น


ดูอย่างนิทานเต่าและเด็กๆรอบข้างผม คงตอบได้เป็นอย่างดีครับ