Saturday, July 28, 2007

วันผู้ให้กําเนิด


“วันเกิดลูกคล้ายวันตายแม่……..” และ “………….ควรเรียกวันผู้ให้กําเนิดจะถูกกว่า” เป็นบทความที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือ นึกทีไร ก็มีความรู้สึกเดียวกับผู้แต่งทุกๆครั้ง


การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สัตว์ประเสริฐบนโลกใบนี้ นับว่าเป็นบุญมากมายแล้ว ในขณะที่หลายๆชีวิตไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดบ้าง และยิ่งเราได้เติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่น นับว่าเป็นความสุขที่แม้มีเงินมากเท่าไร ก็ไม่สามารถซื้อความสุขเช่นนี้ได้


วันหนึ่งเมื่อ 25 ปีที่แล้ว หญิงวัยกลางคนได้ให้กําเนิด ลูกชายคนที่สาม และแน่นอน เธอมีความเจ็บปวดเหมือนแม่ทั่วๆไป หากแต่เด็กคนนี้คลอดก่อนกําหนด(7 เดือน) ทางการแพทย์เรียกว่า Pre-Major โดยวิธีซีซาร์(หรือการผ่าท้องออก)


ก่อนถึงวันคลอด เด็กคนนี้ ทําให้แม่เจ็บปวดมากเพราะร่ำว่าจะออกจากท้อง พอไปถึงโรงพยาบาลกลับไม่มีอาการ พอกลับบ้านมีอาการอีก คุณหมอเห็นว่าจะเป็นอันตรายจึงให้หญิงคนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่ เดือนที่ 5 จนกระทั่งถึงกําหนดคลอด


เมื่อคลอดแล้ว เด็กคนนี้ต้องเข้าตู้อบ อีกทั้งยังต้องให้น้ำเกลือโดยเจาะทางศีรษะ โดยคุณหมอบอกหญิงคนนั้นและคู่ชีวิตของเธอว่าให้ทําใจไว้เพราะลูกชายอาจจะไม่รอด


ในที่สุดเด็กคนนั้นก็อยู่รอดปลอดภัย ตามปกติเด็กที่คลอดก่อนกําหนดหากไม่เอ๋อ ก็ฉลาดแบบเด็กอัจฉริยะไปเลย โชคดีที่เด็กคนนั้นปกติเหมือนทุกๆคน แม้จะเข้าใจในบทเรียน ช้ากว่าเพื่อนๆบางคนบ้าง


ในขณะที่วันเกิดของวัยรุ่นส่วนใหญ่ทั่วไป มักจะไปฉลองกับเพื่อนๆ(ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด) แต่เด็กคนนี้เลือกที่จะฉลองวันเกิดกับครอบครัวดังเช่นเด็กอีกหลายๆคน เพราะเขานึกเสมอว่า ชีวิตนี้ ที่เติบโตมา ที่ได้สนุกสนานในสิ่งที่ชอบ หากไม่มีพ่อกับแม่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดเป็นลูกใคร บุญคุณที่เลี้ยงดูมาจนเติบโต ช่างยิ่งใหญ่นัก ชีวิตนี้จึงไม่ใช่ของเขาเพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นของพ่อและแม่ด้วย


อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะมาถึงวันครบรอบวันเกิดของเขา(ไม่ซิ วันผู้ให้กําเนิดดีกว่า) ซึ่งก็จะมีอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี ไม่ว่าชีวิตข้างหน้าของเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สําคัญเท่า การตอบแทนบุญคุณของผู้ให้กําเนิดให้มากที่สุด ดังเช่น บุตรที่ดีควรกระทํา

Friday, July 27, 2007

ศึกกระชากเรทติ้งทีวี วันพฤหัส











ตามความคิดผม วันพฤหัสเป็นวันที่มีรายการทีวีดีๆ มากที่สุด โดยเฉพาะช่วงหลัง 3 ทุ่มครับ







เรื่องแรกละครซิทคอมที่มาแรงในเวลานี้ ใครๆก็น่าจะรู้จักละคร “เป็นต่อ” ครับ ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยเท่านั้นนะครับ ขนาดเพื่อนผมที่เป็นคนไทยในต่างประเทศ ก็ยังชอบละคร เป็นต่อเหมือนกัน







ผมลองสังเกตดู ในแต่ละตอน จะมีเหตุการณ์ประมาณ 2-3 เหตุการณ์ มาผูกกัน ทำให้แต่ละตอนไม่ซ้ำซากจำเจ สอนแง่คิดด้วย เป็นละครตลกบวกดราม่าก็คงไม่ผิดนัก







เหตุการณ์ที่ว่า ถ้าไม่ใช่พี่ยมเสียท่า สาวประเภท 2 พี่อู๊ดกับวอกก็ต้องวางแผนแกล้งคน หรือน้องพอใจพาเพื่อนผู้ชายมาบ้าน ทำเอาคุณเป็นต่อ พี่ชาย(หน้าวัว) นั่งไม่ติด







ส่วนตัวผมชอบพี่ยม วอก พี่อู๊ดมากที่สุด เพราะดูทีไรก็คลายเครียดได้ทุกครั้ง พี่ยมที่จีบสาวแป๊กตลอด วอกที่มุขลาวสุดๆแต่ขำ กับพี่อู๊ดชอบนอกเรื่องตลอด ถึงเวลาก็ไปซื้อน้ำปลาให้เมียประจำ แล้วก็ต้องโดนสันแฟ้มของพี่หมอน หน้าคว่ำตลอด







อีกคนก็คือ ไอ้ไหล ที่แค่ดูหน้าก็ขำแล้ว ส่วนใหญ่บทพูดจะอยู่กับพี่กอลฟ์ซะส่วนมาก แล้วก็ต้องตีกันประจำ







แต่คำพูดบางคำก็ไม่เหมาะให้เยาวชนดูจริงๆแต่ที่ไม่ใช่เยาวชนก็ดูได้ครับ ขำด้วย สมควรที่เขาใช้อักษร “น” อย่างมากครับ







เวลาดูละครเรื่องนี้ จึงควรปล่อยอารมณ์ให้มากที่สุด จะช่วยคลายเครียดกับชีวิตประจำวันเยอะเลยครับ







รายการต่อมา คือ “เจาะใจ” ผมเคยเขียนถึงรายการนี้ไปแล้ว จึงขอพูดสั้นๆ เพราะเป็นรายการที่ดี มีสาระอยู่แล้ว เมื่อวานนี้ แขกรับเชิญ คือ คุณเคน ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ มาทำภาระกิจสร้างหนังสั้น เพื่อนำรายได้ไปซื้อจานดาวเทียมให้เด็กๆได้มีโอกาสได้เรียนหนังสือผ่านดาวเทียมครับ







หนังสั้นที่ว่า(10กว่านาที) จะฉายให้ทุกท่านดูด้วยนะในวันที่ 28 กค-5 สค นี้ ที่โรงหนังเมเจอร์ รัชโยธิน และโรงหนังสยามพารากอน ตั๋วใบละ 50 รายได้จะนำไปช่วยเหลือเด็กด้วย เป็นโครงการดีจริงๆ ครับ







ผมเชื่อว่า คนไปดูล้นหลามแน่นอน







รายการต่อมา คือ “ชัยบดินทร์โชว์” รายการที่นำโดย โหน่ง-เท่ง และคุณ ตั๊ก มยุรา เนื้อหารายการจะเชิญแขกรับเชิญมาพูด และคุยกันส่วนใหญ่พิธีกรจะแซว ซึ่งสร้างความตลกตรงนี้ แต่ดูขำๆอย่าคิดมากครับ







เมื่อวานแขกรับเชิญ คือ นักมวยสาว 5-6 คน ผมรู้จักคนเดียว คือ น้องกระแต โฟรทีนหรือ น้ำหวานน้อย ศักดิ์บุญมา ที่เหลือไม่รู้จักเลยครับ แต่ดูแล้ว อึ้ง ทึ่ง เพราแต่ละคน หน้าตาสวยทั้งนั้น ใครจะไปคิดว่า เธอต่อยมวยด้วย







เปลี่ยนไปอีกช่อง รายการนี้ก็สุดยอดครับ อุดมไปด้วยสาระกับเหตุการณ์จริง คือ “เรื่องจริง ผ่านจอ” ไม่ว่าตอนติดตาม ลามะหนุ่ม หรือ คุณลุงนอนในหลุม หรือ ช่างทำรองเท้าทำรองเท้าให้คนขาพิการ เป็นต้น เมื่อวานนี้ผมดูตอนที่ ช้างกระทืบคนครับ เป็นช้างในคณะละครสัตว์ ถูกคนเมามาแหย่ก็เลยคลุ้มคลั่ง ใช้งวง จับหนุ่มเคราะร้าย ฟาดลงไปบนพื้น แถมยังเหยียบซ้ำ เจ้าหน้าที่กู้ภัย ต้องเข้าไปช่วยอย่างทุลักทุเล







นี่แค่ช่วงสั้นๆครับ ของรายการที่ผมติดตามครับ ใครชอบรายการไหนก็เชิญบริโภคตามแต่ชอบครับ แต่ทุกรายการที่บอกไม่มีสาระนั้น ผมเชื่อว่ามีสาระหมดครับ







ขึ้นอยู่กับว่า ใครจะคิดออกหรือเปล่า ว่าสาระอยู่ตรงไหนของรายการ







หยุด 3 วัน ขอให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพครับ

Friday, July 20, 2007

19 สิงหาคม 2550 อีกหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทย


เมื่อวานนี้พึ่งได้รับหนังสือ “ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย” ครับ หน้าปกสีเหลือง ส่งมาที่บ้าน เพื่อให้ประชาชนได้อ่าน ได้ศึกษา ก่อนที่จะไปใช้สิทธิในวันที่ 19 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ คาดว่าทุกๆบ้านก็น่าจะทยอยได้รับกันแล้ว


แบบนี้ค่อนข้างอ่านสบายกว่าในอินเตอร์เนตหรือตามหนังสือพิมพ์ที่ตัดออกมาเยอะเลยครับ เพราะเป็นเล่ม พกพาสะดวก อ่านสบาย


แม้ประเทศไทยเราจะไม่เคยมีการลงประชามติเลย แต่ผมคิดว่าเป็นสัญญาณที่ดีมากครับ เพราะเท่ากับว่าเป็นการให้ประชาชนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
ผมคิดว่า หลายคนอาจก็ได้อ่าน หลายคนก็ไม่ได้อ่าน ถ้าไม่มีเวลาจริงๆผมแนะนำให้อ่านหมวด 3 และหมวด 4 ครับ เพราะจะพูดถึงสิทธิและเสรีภาพของชนชาวไทย ค่อนข้างจะใกล้ตัวเรามากที่สุด


ความสำคัญของกฎหมายรัฐธรรมนูญ คือ การเป็นกฎหมายที่สูงสุดของประเทศ กฎหมายใดๆ จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น กฎหมายลูก เช่น พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา กฎ เป็นต้น จะต้องออกให้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญครับ


ไม่เกี่ยวกับว่า เฮ้ย ต้องอ่านเฉพาะนักกฎหมาย พ่อค้า แม่ค้า หรือคนที่ไม่ค่อยได้ใช้ ไม่รู้เรื่อง ไม่ต้องอ่านก็ได้ ทุกๆคนมีเสียง 1 เสียงเท่ากันครับ การมีความรู้สูง ไม่ได้เป็นสิ่งบ่งบอกว่า คนนั้นๆ จะเป็นคนดี มีคุณภาพในสังคมนะครับ


คนมีความรู้น้อย แต่มีจิตใจดีงาม เป็นคนที่ผมยกย่องมาตลอดยิ่งกว่าคนมีความรู้สูงแต่ประพฤติชั่วครับ


ทุกคนมีความคิดของตนเอง อย่ายอมให้ใครจูงจมูกได้ เราอ่านแล้วตัดสินใจ ตามความพึงพอใจของเราครับ ว่าจะ “รับ” หรือ “ไม่รับ”


แม้จะเป็น “สิทธิ” ไม่ใช่ “หน้าที่” เหมือนการเลือกตั้ง ก็ตาม กล่าวคือ หากไม่ไปก็ไม่เสียสิทธิใดๆ แต่หากเป็นหน้าที่ หากไม่ไปจะเสียสิทธิตามกฎหมาย เช่น สิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้ง เป็นต้น


การลงประชามติในวันที่ 19 นี้ จะไม่มีการลงประชามติล่วงหน้า แต่มีการลงประชามตินอกเขตจังหวัดได้(ไม่เหมือนการเลือกตั้ง ที่มีการใช้สิทธิล่วงหน้านะครับ)


อยากให้คนไทยไปใช้สิทธิมากๆ ครับ ใครไม่ติดธุระก็ขอให้ไปแสดงพลังกันในการปกครองระบอบประชาธิปไตย


1 เสียงของทุกคน สำคัญทุกเสียงครับ ไม่ว่าจะมีความเห็นแบบไหน


ว่าแล้ว อย่าลืมไปลงประชามตินะครับ


Thursday, July 19, 2007

ความผิดเกี่ยวกับเพศ(ตอนที่ 2 )



เว้นไปนานครับ วันนี้เรามาต่อกันที่ วรรค 2 ของมาตรา 276






“ถ้าการกระทำความผิดตาม วรรคแรกได้กระทำโดยมีหรือใช้อาวุธปืนหรือวัตถุระเบิด หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะ เป็นการโทรมหญิง ต้องระวางโทษ จำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่สามหมื่นบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต”






พูดง่ายๆ คือ “การโทรมหญิง” จะต้องมีการกระทำชำเรามากกว่า 1 คน ผลัดเปลี่ยนกันทำอย่างน้อย2 คน คนละครั้ง(คำพิพากษาฎีกาที่ 1992/2517) ซึ่งโทษก็ต่างกับวรรคแรกเยอะครับ






คราวนี้เรามาพูดกันถึงเรื่อง “อายุ” ดีกว่า หาก กระทำชำเรา “เด็ก” ผลจะเป็นอย่างไร






มาตรา 277 “ผู้ใดกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภรรยาของตน โดยเด็กหญิงนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่แปดพันบาทถึงสี่หมื่นบาท










ถ้าการกระทำความผิดตาม วรรคแรกเป็นการกระทำแก่เด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปีต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่เจ็ดปีถึงยี่สิบปีและ ปรับตั้งแต่หนึ่งหมื่นสี่พันบาทถึงสี่หมื่นบาท หรือจำคุกตลอดชีวิต










ถ้าการกระทำความผิดตาม วรรคแรกหรือวรรคสองได้กระทำ โดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันอันมีลักษณะเป็นการโทรมเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้นไม่ยินยอม หรือได้กระทำโดยมีอาวุธปืนหรือวัตถุ ระเบิด หรือโดยใช้อาวุธ ต้องระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต










ความผิดตามที่บัญญัติไว้ในวรรคแรก ถ้าเป็นการกระทำที่ชายกระทำกับเด็กหญิงอายุกว่าสิบสามปีแต่ยังไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมและภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและ เด็กหญิง นั้นสมรสกัน ผู้กระทำผิดไม่ต้องรับโทษ ถ้าศาลอนุญาตให้สมรสใน ระหว่างที่ผู้กระทำผิดกำลังรับ โทษในความผิดนั้นอยู่ ให้ศาลปล่อย ผู้กระทำความผิดนั้นไป”






ถ้าเป็นเด็ก ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ ผู้กระทำก็มีความผิด จะมาบอกว่า “ก็น้องมันสมยอม” แบบนี้ก็ไม่ได้ครับ คุกสถานเดียว






ยิ่งอายุน้อยก็ยิ่งโดนหนัก






วรรคท้าย เป็นการให้เด็กที่ยินยอม และภายหลังศาลอนุญาตให้ชายและเด็กหญิง สมรสกัน ทำให้ผู้กระทำความผิดไม่ต้องรับโทษ(แว่วๆ เหมือนกัน ว่าจะมีคนเสนอให้แก้ไขตรงนี้ด้วยครับ แต่ผมไม่แน่ใจนัก ว่าเขาว่าอย่างไร เอ้า ใครทราบช่วยด้วย)






งั้นหลายๆ คนก็บอกว่า เอ้า ถ้าเกิน 15 ก็ไม่ผิดซิ ฮ่าๆ อย่าลืมครับว่า แม้ไม่ข่มขืนกระทำชำเรา แต่พาไปจากอ้อมอก บิดามารดาไป ก็ถือว่าเป็นการ พรากผู้เยาว์ แล้ว (อายุเกิน 15 แต่ไม่เกิน 18 ปี)






ต่อให้ไม่ลักพาตัว เด็ก เดินออกจากบ้านไปหาถึงที่บ้าน ก็ไม่รอดในความผิดฐาน พรากผู้เยาว์ครับ






ไว้เราจะมาพูด ในเรื่องพรากผู้เยาว์ อีกที






เพื่อนๆ มักชอบถามว่า เกิน 18 ปี นี่ปลอดภัยใช่ไหมวะ






สมัยก่อนผมไม่ทราบนัก ก็บอกว่า “คงใช่มั้ง” เพราะดูแค่ตามตัวบท และความรู้สมัยปริญญาตรี






แต่ตอนนี้ หลังจากได้อ่านหนังสือเพิ่มขึ้น ขอบอกว่าไม่ใช่แล้ว






ยังมีโอกาส โดนฟ้องได้อยู่ดีครับ






(อย่าลืมว่า แม้อายุไม่ต้องห้าม แต่ถ้า “หญิงอื่นซึ่งมิใช่ภริยาตนไม่ยินยอม” ยังไงก็เป็นความผิดอยู่นะครับ)


Wednesday, July 04, 2007

ทดสอบ Dive computer….ที่พัทยา(3)







Dive 2 Dive computer ช่วยชีวิต!!!!!!!!!

“ภพ เสร็จหรือยัง” เสียงพี่โก้เรียกให้ผมรีบแต่งตัว

ไดฟ์ที่แล้วขึ้นทีหลัง ไดฟ์นี้ต้องลงก่อน ผมรีบแต่งตัวแล้วมาที่ plat form

“เดี๋ยวเกาะเชือก ตามลงไปนะครับ” พี่โก้บอก

ที่สายเชือกมีเพรียงค่อนข้างเยอะ ผมจึงต้องจับอย่างระมัดระวัง ไม่จับแบบรูดเพราะจะถูกเพรียงบาดมือได้ง่าย ว่าแต่น้ำวันนี้แรงจริงๆครับ แถมขุ่นมาก ผมค่อยๆสาวเชือก ตามพี่ๆลงไป

พี่เอ ทำสัญญาณให้ผมดูแก และตามลงมา ตอนแรก ผมยังไม่ปล่อยเชือกครับ จนแกต้องมาตามอีกที เอาวะ ปล่อยก็ปล่อย(แกคงอยากให้ตามติดเป็นคนๆ เพราะน้ำขุ่นมาก ต้องเกาะติดกันไว้ให้มากที่สุด)

ผมตัดสินใจปล่อยเชือก ว่ายตามพี่เอลงไป ในกระแสน้ำที่ค่อนข้างแรง ไม่นานนักผมมาถึงพื้น(ราวๆ 28 เมตร) ขณะที่กำลังว่ายตามพี่เอต่อ ร่างกายผมเกิดติดกับสิ่งๆหนึ่ง ไม่สามารถขยับตัวได้อีก แม้จะพยายามขยับอยู่หลายครั้ง จนขาไปเตะกับก้อนหินด้านล่าง

“เฮ้ย อะไรวะเนี่ย ใครมาดึงเราไว้” ผมคิดในใจ ซวยแน่ๆแล้ว ผมเริ่มหายใจผิดปกติ มีความรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที

ผมตั้งสติ ก่อนจะหันไปช้าๆ แกะ Octopus ของผมที่เกี่ยวกับเชือกออก และรีบว่ายตามพี่เอต่อไป(โอย โล่งอก)

ผมเห็นตัวเรือกูด มีเพรียงและสัตว์เกาะติดอยู่เพียบ พี่เอชี้ให้ผมระวังจะกระแทกตัวเรือ

หลังจากว่ายตามพี่เอต่อ ผมเริ่มเห็นพี่เอหายไปกับน้ำที่ขุ่น พี่เอไม่ได้ตีขาเร็วครับ แต่น้ำมีกระแสมาก ทำให้ผมตีตามแกไม่ทัน หลุดออกจากกลุ่มทันที และผมก็ไม่เห็นใครอีกเลย

ความกลัวเริ่มกลับมาอีกครั้ง ผมไม่ได้ตั้งใจจะหลุด และไม่ได้เตรียมใจไว้ด้วย สิ่งเดียวที่อยู่ในใจผม ตอนนี้ คือ “สติ” ผมต้องขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างปลอดภัยที่สุด ผมมี Dive computer อยู่ด้วย

ผมจ้องเขม็งที่ Dive computer(ไม่ต้องสนใจ รอบข้างเลยครับเพราะน้ำกลางทะเล ขุ่นแบบ 1 เมตรก็มองไม่เห็นแล้ว) (ไม่ได้ใสแบบ สิมิลัน ที่เคยหลงกลุ่มเสียด้วย แบบนั้นจะสบายใจกว่าเยอะ)

ค่อยๆตีขาขึ้นไป ช้าๆ ถ้าเร็วเกินไป เครื่องจะมีเสียงเตือน 25 เมตร, 24 เมตร ,23 เมตร, 22 เมตร, 21 เมตร, 20 เมตร

ผมใจเย็นลงเยอะ ไม่มีความกลัวอีกต่อไป ถึงตอนนี้ผมกังวลเล็กๆว่า ผมไม่มี Sausage(ไส้กรอกสัญญาณ) ถ้าเกิดมีเรือวิ่งผ่าน ในขณะที่ผมกำลังขึ้น ผมจะทำอย่างไร

ผมคิดในแง่ดี กลางทะเลแบบนี้ เรือวิ่งฉิวๆ แบบเกาะล้านไม่มีแน่นอน

15 เมตร 14 เมตร 13 เมตร 12 เมตร 11 เมตร 10 เมตร

9 เมตร 8 เมตร 7 เมตร 6 เมตร 5 เมตร

เครื่องส่งสัญญาณเตือนให้ผมหยุดเพื่อทำ safety stop ผมรอทำให้ครบ 3 นาที ก่อนจะขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างช้า โดยมีความคิดบ้องตื้น ว่ามีวิธีจะช่วยผมได้ หากมีเรือผ่าน

ใช้วิธี ชูมือขวาขึ้นพร้อม pointer สั้นๆ เผื่อจะมีใครเห็น(คงไม่มีใครมองเห็นล่ะครับ)

ผมขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างปลอดภัย โชคดีไม่มีเรือผ่านครับ ผมมองเห็นเรือ Ban ‘ s(แบน) อยู่ไกลๆ ระยะจากสายตา เกิน 15 เมตร แน่นอนครับ ลอยออกมาไกลมาก ผมดีใจ แม้จะค่อนข้างเหนื่อย แต่ก็พยายามตีขากลับเรือครับ

ผมเห็น Sausage ขึ้นมาอันหนึ่ง มีเสียงเรียกตามมา

“ไอ้ภพ ไอ้ภพ มาทางนี้” เสียงพี่ต่อเรียกผม ไกลๆ

ผมค่อยๆตีขา ตามไปแม้จะถูกกระแสน้ำ พัดให้ไปผิดทางบ้างก็ตาม

พี่ต่อกับพี่ดิ้น ก็หลุดออกมาจากกลุ่มเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่า ผมจะหลุดออกมาไกลที่สุด

พอขึ้นมาด้านบน ทุกคนขึ้นมาครบหมดแล้ว สีหน้าแต่ละคนดูเหนื่อยและตื่นเต้นกับเหตุการณ์ที่พบเจอ แต่ก็ยังขำได้ เช่นเดียวกับผม แม้จะพึ่งเจอเหตุการณ์ตื่นเต้นมา ผมก็ยังยิ้มแย้มพร้อมเล่าถึงเหตุการณ์

ผมคิดในใจว่า ในสถานการณ์ที่หน้าสิ่ว หน้าขวาน หากต้องมาอยู่คนเดียว สติมีความสำคัญมากที่สุด ที่จะสามารถช่วยแก้ปัญหาได้ ผมขอบคุณ Dive computer ที่ช่วยผมขึ้นมาอย่างปลอดภัย ถ้าให้ดีผมจะต้องซื้อ Sausage มาใช้แล้ว(อุปกรณ์ดำน้ำ ราคาถูกที่สุด ที่หลายคนมองข้ามครับ) ผมยังไม่ได้ซื้อเพราะว่ากะจะรอให้พี่ป้อมสอนก่อน คงรอไม่ได้แล้วครับ ถึงเวลาอยู่คนเดียวก็ใช้ได้เอง ไม่ให้พันขา ไม่ให้ดึงเราขึ้นสู่ผิวน้ำด้วยเวลารวดเร็วก็คงไม่เป็นอะไร

หลายคน อาจจะเข็ด ขยาด กลัว แต่สำหรับผม นี่คือ อีก 1 เหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้น และไม่ทำให้ผมกลัวจนไม่กล้าลงน้ำอีกต่อไป นั่นเป็นเพราะผมรักทะเลจนหัวโงไม่ขึ้นแล้วครับ

ผมขอโทษพี่เอ ที่หลุดออกไป เพราะไม่ได้อยากทำเท่หลุดออกไปครับ ซึ่งพี่เอก็เข้าใจ น้ำค่อนข้างแรง ทำให้หลุดออกจากกลุ่มกันหลายคน

จริงเป็นที่มาของคำว่า ทริปสนุกสนาน สะบักสะบอมครับ


Dive 3 เฮ้ หอยสังข์จุกพราหมณ์!!

เรือ Ban ‘ s(แบน) พาพวกเรามาบริเวณใต้สะพาน หาดตามแหวน ที่นี่น้ำลึกไม่เกิน 10 เมตร ดำอย่างปลอดภัย ไม่ต้องกลัวอะไร(ต้องระวังเรือ speed boat ครับ) ผมนั่งพักเหนื่อย ก่อนรีบลงไปเปลี่ยนแท๊งค์ใหม่

ผมลงกับพี่โก้และพี่เอ(หญิง)เหมือนเคย ที่นี่เหมือนอาณาจักรหนึ่ง หากให้ผมเปรียบเทียบ คงเหมือนสถานที่ดำน้ำที่ชื่อว่า Anacapa ในแคลิฟอร์เนีย ที่มีพืชน้ำใบใหญ่ๆ ประหลาดๆ เต็มไปหมด เรียกว่า ป่าเคลป์(Kelp) ผมเคยอ่านในหนังสือ คุณนัท สุมนเตมีย์ แกเคยไปมาแล้วครับ

ใครจะไปเชื่อว่า ทั้งเสา ยางรถยนต์ ที่นี่ กลับมีสิ่งมีชิวิตเต็มไปหมด ผมดูปูที่เกาะอยู่ตามเสา มีสัตว์เกาะติดอยู่ตามตัวด้วย เสียดายที่จำลักษณะไม่ได้จริงๆครับ ขอเรียกง่ายๆ ว่าปูแต่งตัวแล้วกัน

นอกจากนี้ตามเสาก็มีกัลปังหา(Sea fan) ขึ้นค่อนข้างเยอะ มีสีแดง สีชมพูก็มี(ใครจะไปเชื่อล่ะครับ)

พี่โก้ชี้ให้ผมดูหอยตัวหนึ่ง ผมสังเกตที่ลำตัวและรูปแบบลายที่เปลือก จำได้ทันทีว่า คือ หอยสังข์จุกพราหมณ์(NOBLE VOLUTE) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า CYMBIOLA NOBILIS ตัวที่พี่ดิ้นถ่ายรูปมาจากลอมฟาง เมื่อต้นเดือนที่แล้ว(ตอนแรกเข้าใจผิดว่าเป็นหอยเต้าปูนครับ) จนผมได้มาดูแฟนพันธุ์แท้เปลือกหอยถึงร้องอ๋อว่า เขา คือ หอยสังข์จุกพราหมณ์ ครับ ลักษณะเปลือกและลำตัว สวยงามดีครับ

ปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) ของที่นี่ ตัวจะใหญ่กว่าที่เกาะสากครับ แถบสีจะตุ่นๆกว่าเยอะ แต่อยากเห็นเวลามันกางครีบหางครับ เขาว่าน่ารักดี

นอกจากกนั้นก็เป็นปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded butterflyfish)ปลาผีเสื้อปากยาว(Beak butterflyfish)และปลาอมไข่ห้าเส้น(Five-lined cardinalfish) ที่ยังคงตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่ ผมมากี่ทีก็เจอพวกเขาครับ

ได้เวลาขึ้นแล้ว แต่ผมก็ยังทำ safety stop เพื่อความปลอดภัยครับ

คอแห้งมากครับ เป็นไปได้ว่าผมดื่มน้ำน้อยไปหน่อย(ดื่มเยอะอาจฉี่แต่คอไม่แห้งเป็นผง ดื่มน้อยไม่ฉี่ คอแห้งแต่ทรมาน เอาพอดีๆ ดีกว่าครับ)

เรือ Ban ‘ s(แบน) มุ่งหน้าสู่ท่าเรือพัทยา คุ้มค่ากับ 7 เดือนที่ผมรอคอยจริงๆครับ ผมและพี่ๆกลับไปอาบน้ำที่โรงแรม เก็บของ ไปรับประทานอาหารที่ร้าน “ป ปลา อยู่เย็น” ซึ่งลองสังเกตดูว่า ถ้าสั่งอาหารอะไรแล้ว พนักงานสาวจะสั่งอีกแบบ ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะของทางร้าน ฟังดูตลกดีครับ

อาจต้องย้อนถามพนักงานสาวทุกคนว่า

“เมื่อกี้ พูดว่าไงนะครับ”

พี่ต่อ ต้องไปโรงพยาบาล เย็บแผลที่เข่า เพราะถูกเพรียงบาดที่เรือกูด ผมไม่เห็นแผลที่เข่าแก แต่คาดว่าคงลึกพอสมควร ไม่งั้นคงไม่ถึงขนาดต้องไปเย็บหรอกครับ

ขากลับ ผมกลับกับพี่เอครับ พยายามชวนคุยแกจะได้ไม่หลับ ไม่งั้นผมจะขับแทน พี่เอเล่าให้ฟังว่า ไดฟ์สุดท้าย แกลืมเปิดอากาศ หรือเปิดแต่น้อยมาก เพราะลงไปด้านล่างมีเสียงประหลาดออกมาตลอด อาจเป็นไปได้ว่า Regulator เสีย หลังๆ เริ่มหายใจติดๆขัดๆ เลยขึ้นดีกว่า(เป็นสิ่งที่เราต้องระวังครับ Buddy check จึงสำคัญมาก ไม่อย่างงั้นก็ต้องดูให้แน่ใจด้วยตัวเองครับ)

หากไม่นับสวนสยาม ทะเลกรุงเทพ(อันนั้นทะเลคลอรีนครับ) พัทยาถือเป็นทะเลที่มาดำน้ำได้สะดวก ค่าใช้จ่ายน้อย เดินทางไม่ไกล แถมมีอะไรให้ดูมาก

หากมีโอกาสและทุกๆอย่างพร้อม ผมและเพื่อนๆ คงไม่พลาดที่จะกลับมาอีกครั้งครับ

ขอบพระคุณที่มาติดตามอ่านเรื่องอีกครั้งหนึ่งนะครับ


Phop Payapvipapong






3-07-07

11.38 am

Tuesday, July 03, 2007

ทดสอบ Dive computer….ที่พัทยา(2)







1 กรกฎาคม 2550

เช้านี้เรารับประทานอาหารเช้าที่โรงแรมครับ มีพี่เอที่พึ่งมาถึง ร่วมรับประทานอาหารกับเราด้วย ระหว่างทางไปท่าเรือพัทยา ผมมองริมหาดที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน นักท่องเที่ยวสวมชูชีพคอยฟังไกด์นำเที่ยวอย่างตั้งใจ บ้างก็เล่นน้ำทะเล บ้างก็นั่งขายของ บ้างก็ออกกำลังกาย สดชื่นครับ นี่คือบ้านอีกหลังของผมอย่างไม่มีผิดเลย

ก่อนเดินเข้าท่าเรือ ที่หัวสะพาน ผมเห็น 2 สาวสวย ผลัดถ่ายรูปให้กัน หนึ่งในนั้นสวมเสื้อสีเขียว เธอมองผมเหมือนคนรู้จักกันมาก่อน(ภายหลังจึงทราบว่า สาวคนนี้ คือ คุณโอ๋ เธอจำผมได้จากใน Multiply.com มาทราบภายหลังเพราะพี่ตอย(Jomplug) มาบอกอีกทีครับ) โลกก็ค่อนข้างกลมอีกเหมือนกันครับ

ผมเจอครูศรัณฑ์ที่นี่ด้วย หลังจากที่เคยเจอตัวจริงของแกมาแล้ว ที่งาน Thailand Dive Expo(TDEX) แกดูแข็งแรงจริงๆครับ

ไม่นานนักพี่โก้ก็มาถึงพร้อมพี่เอ(หญิง) สาวสวยอีกคน ที่มีคนบอกว่าหน้าตาละม้ายคล้ายกับ อั้ม พัชราภา

วันนี้เรือของเราชื่อว่า Ban ‘ s(แบน) แต่อยู่ในความดูแลของพี่ตุ๋นเหมือนเคย คลื่นค่อนข้างแรง ผมรีบประกอบอุปกรณ์ทั้ง BCD , Regulator และนำตะกั่วมาใส่ที่เข็มขัดให้เรียบร้อย

บนเรือมีคนญี่ปุ่นเพียบเลย(หัวสกินเฮด มูชิๆ เมื่อวานนี้ก็อยู่ด้วยครับ) ผมว่าบ้านเราโชคดีครับที่มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลมากมาย ถามว่าเหตุใดญี่ปุ่นถึงมาดำน้ำที่บ้านเรานอกจากค่าใช้จ่ายที่ถูกกว่าแล้ว ที่บ้านเขาแหล่งดำน้ำอยู่ไกลมากๆ ค่าใช้จ่ายก็สูงมากด้วยครับ(อย่าลืมว่าที่ญี่ปุ่น ค่าเงินแข็งโป๊กเลยนะครับ เท่าที่ผมจำได้สูงกว่าในอเมริกาเสียอีก)


Dive 1 ครั้งแรกกับการดำน้ำที่นานที่สุด

เนื่องจากคลื่นลมที่แรง เราจึงไปไหนไม่ได้มากนัก เรือ Ban ‘ s(แบน) จึงพาเรามาหลบคลื่นลมที่เกาะสากและเป็นจุดดำน้ำแรกของเราในวันนี้ด้วย

ไม่นานนัก Dive computer ของผมก็เริ่มทำงาน บอกความลึก บอกเวลาที่อยู่ใต้น้ำ บอกอุณหภูมิ ดีจริงๆครับ ผมแทบไม่ต้องยกเกจมาดูมาก(ในเรื่องความลึก) ที่ยกมาดูก็ดูแต่อากาศอย่างเดียวครับ และใช้เกจแตะพื้นทราย มือจะได้ไม่สัมผัสกับทรายครับ

ไดฟ์นี้พี่ป้อมให้ผมตามพี่โก้โดยมีพี่เอ(หญิง) ซึ่งไปด้วยกันครับ

ผมใช้ท่ากบไปเรื่อยๆ ทรายจะได้ไม่ฟุ้งกระจาย ไม่นานนักผมก็พบสัตว์ทะเลตัวแรก คือ ปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Monacanthus chinensis เพื่อนแสนรักของผมนั่นเอง ผมเคาะแท๊งค์เรียกนักดำน้ำเพื่อให้เขามาดูกัน ตัวนี้ไม่ใหญ่ครับประมาณ 4- 5 ซม เท่านั้นเอง

จากนั้นด้านหน้าของผม คือ ปลาจิ้มฟันจระเข้(Pipefish) ชนิดหนึ่ง ปลาที่อยู่ครอบครัวเดียวกับม้าน้า เป็นกลุ่มปลาปากท่อที่ตัวผู้เป็นผู้อุ้มไข่ เลี้ยงลูกเอง เป็นญาติห่างๆกับปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ (แต่จิ้มฟันจระเข้ปีศาจตัวเมียเป็นผู้อุ้มลูกนะครับ) น่าเสียดายผมไม่ได้สังเกตท้องของปลาจิ้มฟันจระเข้ว่ามีไข่หรือไม่

พี่เอโฉบผ่านมาพอดี กำลังเล็งถ่ายรูปทากเปลือย(Nudibranch)ขนาดจิ๋วอยู่(แค่ปลายเล็บเองครับ เล็กมากจริงๆ) พี่โก้กับพี่เอหญิงก็ถ่ายด้วย ผมเหลือบไปดูด้านขวามือ พบม้าน้ำ(Sea Horse) สีตุ่นๆเกาะอยู่กับสิ่งหนึ่งอยู่ จะแส้ทะเลก็ไม่ใช่ ปะการังก็ไม่ใช่ ฟองน้ำก็ไม่ใช่ เดาว่าเป็นสิ่งที่หล่นมาจากด้านบนแน่นอนครับ จึงรีบเคาะแท๊งค์เรียกให้พี่เอมาดู ปุ๊บเดียวแกก็เข้ามาถ่ายครับ ผมพยายามอยู่นิ่งๆ สังเกตพฤติกรรมม้าน้ำโดยที่ไม่ให้ทรายฟุ้งกระจาย เป็นอุปสรรคต่อช่างภาพใต้น้ำ

จากนั้นพี่โก้มาถ่ายม้าน้ำบ้าง(โดยมีพี่เอหญิงช่วยถือไฟฉาย) พี่เอก็กลับไปถ่ายรูปทากเปลือยตัวเดิม คราวนี้ผมขอไปดูทากเปลือยใกล้ๆบ้าง

พี่ปอ ท่าทางหลงกลุ่มมาครับ เลยเข้ามาสมทบด้วย เราจึงไปกันต่อ(พี่เอ ขอถ่ายภาพทากเปลือยต่อไปครับ) พี่โก้ชี้ให้ผมดูรูเล็กๆ มองเข้าไปนั่นคือ หนวดของปลาหมึกยักษ์(Octopus)ครับ ดูท่าทางมันกลัวเรามาก ไม่นานก็หายเข้าไปในรู

ผมกำลังคิดในใจว่า มาเกาะสาก ผมเจอซีมอส(Seamoth)หรือเจ้าปลาผีเสื้อกลางคืนสกุล Pegasus ทุกครั้งนี่นา (คนละตัวกับปลาผีเสื้อกลางคืนในอันดามันนะครับ ตัวนั้นจะชื่อ Short Dragonfish อยู่ในสกุล Pegasidae ซึ่งผมยังไม่เคยเจอเลย) Pegasus ปากมีลักษณะคล้ายปลาจิ้มฟันจระเข้(มีลักษณะยาวเป็นท่อ) ลำตัวไม่เกิน 7 ซม มีปีก 2 ข้าง กางออกเหมือนผีเสื้อ ส่วนหางตรง

มาวันนี้ยังไม่ได้เจอเลยแฮะ คิดถึงจัง หลังจากสังเกตตามพื้นทราย ก็เจอพวกเขาครับ มาทีเดียว 3 ตัว น่ารักเหมือนเคย

ผมมาคิดๆดู อากาศยังเหลืออยู่ ไดฟ์นี้ผมใช้อากาศดีพอสมควร นี่ก็ 1 ชั่วโมง เข้าไปแล้ว ถ้าพี่โก้ยังไม่ขึ้น ผมก็อยู่ต่อได้ ดูท่าทางแกวกไปวนมา เหมือนจะหาทางขึ้น ดูเข็มทิศแล้วไป ใช่ครับ แกหาทิศที่เรือจอดอยู่

ระหว่างนี้ผมได้อานิสสงฆ์ดูสัตว์แปลกๆต่อ เจอปลาลิ้นหมา(Flouder)ด้วยครับ แต่เคาะแท๊งค์แล้วไม่มีใครสนใจ แสดงว่าทุกคนกำลังหาทิศที่เรือจอดอยู่จริงๆครับ(ไม่งั้นมาถ่ายรูปแล้ว)

บอกตามตรงผมรู้สึกอุ่นใจขึ้นเยอะ ที่มีของดี มีประโยชน์ อยู่ในมือ แต่ก็ไม่ประมาทครับ ผมตามพี่โก้อย่างไม่ให้คลาดสายตา

ช่วงทำ safety stop ทุกคนขึ้นไปก่อนแล้ว ผมยังคงดู dive computer รอให้ทำครบ 3 นาที ทั้งๆ ที่เราดำกันไม่ลึกมากนัก ไม่ต้องทำก็ได้ แต่เพื่อความชัวร์ ผมจะทำเสมอทุกครั้งครับ

มาที่ผิวน้ำ เราออกมาจากเรือไกลพอสมควร ช่วยกันมองหาว่าลำไหนกันแน่ มีหลายลำเหลือเกิน ผมดู dive computer เราใช้เวลานานถึง 91 นาที ( 1 ชั่วโมง 31 นาที) เป็นการใช้เวลาอยู่ใต้น้ำยาวนานที่สุดของผมเลยครับ

ผมปวดท้อง(ฉี่)มาก จึงรอจังหวะให้พี่ๆ ลอยไปก่อน จึงปล่อยกระแสน้ำอุ่น(ไม่ต้องกลัวครับ นี่เป็น Wet Suit ของผม) แต่ถ้าใครไม่เคยฉี่ ผมว่ายากครับ(เหมือนเด็กหัดฉี่) ใครมีประสบการณ์แล้ว ทำสมาธิเล็กน้อยก็ออกมาได้ครับ(ไม่อยากเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบครับ)

“อายครู บ่รู้วิชา

อายภริยาบ่ได้บุตร

อายฉี่ใต้น้ำก็ได้กระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นของแถม”

ด้านบน ผมเจอเรือ Venus Marina เรือใหม่แกะกล่องที่พึ่งต่อเสร็จไม่นาน ช่วงนี้กำลังซ้อมการเดินเรืออยู่ครับ(ทราบว่าเป็นเรือใหม่เพราะเคยเห็นในบลอคของเพื่อนและในเว็บ Allstardiving ครับ ดิงกี้ ก็มีตั้ง 2 ลำแน่ะ แบบนี้หลุดกลางทะเล ตามเก็บสบายๆ ผมเห็นพี่ๆบางคน ลงดิงกี้เพื่อไปสำรวจที่ Venus Marina ด้วย(วงการนี้ก็รู้จักกันทั้งนั้นล่ะครับ) เดี๋ยวคนนี้เคยทำเรือด้วยกัน เดี๋ยวคนนั้นเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกัน เดี๋ยวคนโน้นเคยออกทริปด้วยกัน อย่างที่เคยบอกไว้ ไม่ได้กว้างเท่าไรเลยครับ

อาหารกลางวัน ผมได้กินน่องไก่ทอด ลาบหมู ไข่เจียว ตบท้ายด้วยสัปปะรดและแตงโม เสียดายจริงๆแม้ข้าวกลางวันจะอร่อยมากแค่ไหน ผมก็ไม่สามารถที่จะกินได้เต็มคราบเพราะมีไดฟ์ต่อไปรอคอยอยู่(เดี๋ยวให้อาหารปลาครับ พี่โอ๊บคงไม่อยากเห็นไข่เจียวจากปากผมอีกนะ คิดแล้วสยอง)

“พี่ตุ๋นครับ ไดฟ์หน้าเราไปเรือกูดนะ”

“ได้เลยพี่ป้อม”

เป็นอันว่า ผมจะได้ดำเรือจมเป็นลำที่ 3 แล้วครับ

สำหรับเรือกูด เป็นเรือที่ถูกจมอย่างตั้งใจของทางราชการเพื่อให้เป็นแหล่งดำน้ำโดยเฉพาะ พึ่งจมเมื่อไม่นานมานี้เองครับ มีข่าวออกด้วย(อีกลำ จมก่อนเรือกูด จมโดยวิธีเดียวกัน คือ เรือคราม ครับ) (คำถามแฟนพันธุ์แท้ทะเลไทย ข้อสุดท้ายไงครับ ถ้าใครจำได้)

ทดสอบ Dive computer….ที่พัทยา(1)







7 เดือนเต็มๆ ที่ผมห่างหายจากการดำน้ำ เนื่องจากต้องอยู่ดูแล คุณแม่ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง เมื่ออาการของท่านดีขึ้นและมีคุณพ่อคอยเฝ้าอยู่ที่บ้าน ผมจึงมีโอกาสได้ออกมาเปียกน้ำทะเลอีกครั้ง ตามประสาคนที่ไม่อยากใช้จมูกหายใจแต่ชอบหายใจทางปาก

ปลายเดือนเมษายน มีงาน Thailand Dive Expo(TDEX) ที่ศูนย์สิริกิติ์ ผมใช้เงินเก็บที่พลาดจากการดำน้ำอันดามันใต้ มาซื้ออุปกรณ์ดำน้ำ ซึ่งก็คือ Dive computer นาฬิกาดำน้ำที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่ตาเห็น เพราะสามารถคำนวนเวลาที่อยู่ใต้น้ำได้ว่า เราจะอยู่ได้อีกกี่นาที ลงมาแล้วกี่นาที ขึ้นเร็วไปหรือไม่(ซึ่งจะมีเสียงเตือน) สิ่งเล่านี้สามารถช่วยเหลือผมได้ เวลาอยู่ใต้น้ำ จำเป็นอย่างมาก เพราะจากประสบการณ์ผมมักจะหลุดออกจากกลุ่มโดยไม่ตั้งใจและติดดีคอม(เป็นอาการป่วยของนักดำน้ำ หากดำน้ำในความลึกเป็นระยะเวลานานๆครับ) โดยไม่ตั้งใจ หากนานเข้าอาจเกิดอันตรายได้

ผมจึงเลือกรุ่นที่สามารถใส่เป็นนาฬิกาบอกเวลาได้ด้วย(ยิงฉมวกครั้งเดียว ได้ปลาสองตัว) แน่นอนว่า ราคาแพงไปก็ไม่เหมาะ แม้จะดีก็ตาม ถูกเกินไปแต่ใส่แล้วใหญ่เทอะทะก็ไม่ไหว ผมจึงเลือก Sunnto Mosquito หรือเจ้ายุง(ฮวน คารลอส เฟอร์เรโร)(เกี่ยวไหมเนี่ย) มาเป็นสมาชิกใหม่

สัปดาห์นี้พี่ป้อมมีสอบนักเรียนที่พัทยา ผมอยากไปทดสอบเจ้ายุงว่า จะมีประสิทธิภาพแค่ไหน ไม่ใช่ว่าน้ำเข้าได้แต่ไม่ออก(แล้วจะซื้อมาทำไมเนี่ย) แบบนี้ก็ไม่ไหวครับ ต้องไปที่ร้านขอเปลี่ยนทันที(ประกัน 1 ปี)

แม้วันเสาร์ผมจะติดธุระต้องอยู่ที่บ้านเป็นเพื่อนคุณแม่ แต่ก็ไม่เป็นไรครับ วันอาทิตย์ก็ไปได้ พัทยาใกล้แค่นี้เอง เดินทางสะดวก ค่าใช้จ่ายน้อย แถมมีอะไรดีๆให้ดูเยอะ และนี่คือจุดแข็งที่ทะเลแถบอื่นไม่มี

การเดินทางของคนที่คลั่งไคล้ในโลกใต้ทะเล หาดทราย สายลม แสงแดด กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งหนึ่ง
แล้วครับ



30 มิถุนายน 2550

ผมเลือกเดินทางในวันเสาร์เย็นด้วยความที่กลัวว่าวันอาทิตย์จะตื่นไม่ทัน อีกอย่างการมีเวลานอนพักผ่อนจะเป็นการดีเสียกว่า เพราะผมมีโอกาสได้พักผ่อน จะได้ไม่รู้สึกอ่อนเพลียในการดำน้ำวันรุ่งขึ้น

การเดินทางไปพัทยา รถเยอะที่สุด มีรอบมากที่สุดก็ต้องเป็นที่สถานีขนส่งเอกมัยครับ ไปบ่อยจนผมสามารถกำหนดเวลาได้แล้ว ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง จากกรุงเทพเท่านั้นครับ

ชาวต่างชาติที่นั่งข้างๆผม(อธิบายว่าเป็นผู้ชายแก่ๆ ท่าทางเรื่องมาก) ในตอนแรกผมก็ไม่ทราบว่าแกจะมานั่งข้างๆ เข้ามาบอกซักหน่อยก็ได้ แกทำสัญญาณมือบอกว่าให้หลบไป(หมั่นไส้มากครับ)

ระหว่างเดินทาง พอหันไปเห็นเขาหลับก็เลยสงสารเพราะหลับแบบอ้าปาก(ลักษณะเหมือนฟันหลุดออกจากปากทั้งหมด) แถมฮัมเพลงด้วย คิดดูซิครับ น่าสงสารไหม? (ขำด้วยครับ)

ที่โรงแรม ผมเจอพี่ป้อมที่พึ่งกลับมาจากการออกไปดำน้ำ จากนั้นเจอครูโก้ ซึ่งครูโก้บอกว่า เมื่อเช้านี้กว่าเรือจะออกได้ก็เกือบ 11 โมง เพราะฝนตกหนักมาก เรือไม่สามารถจอดเทียบท่าได้เพราะคลื่นซัดมาอย่างต่อเนื่อง น้ำค่อนข้างมีกระแส คาดว่าพรุ่งนี้คงดีขึ้น(ผมก็หวังไว้เช่นนั้นครับ)

ไม่นานนักผมเจอพี่ตุ๋น ที่ทำเรืออยู่แถวนี้ ผมมักจะได้ใช้บริการเรือของแกบ่อยๆด้วย จำได้ว่า ไข่เจียว,น่องไก่ทอด, กระเพราหมู, ต้มข่าไก่ อร่อยมาก(อร่อยกว่าบนเรือ Liveaboard บางลำอีกครับ)

คุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัยและพนักงานต้อนรับ ยังคงทักทายผมอย่างคุ้นเคย ทั้งนี้เพราะผมมาบ่อย(แม้จะไม่บ่อยเท่าพี่ป้อม) จนพวกเขาจำได้นั่นเอง

ระหว่างรอทุกคนอาบน้ำ ก็นั่งดูบอลอุ่นเครื่อง ไทย-กาตาร์ หมดครึ่งแรกพอดี ฝน(ในทีวี)ตกหนักมากครับ แต่ที่นี่อากาศยังคงปลอดโปร่ง

ด้านข้างผม มีคนหัวสกินเฮดนั่งอยู่ หน้าตาออกจะคล้าย นายโคตรเมาแห่งทะเลไทยเหมือนกัน ซักพักนายคนนั้น พูดผ่านโทรศัพท์ว่า

“มูชิ มูชิ ......”

จากนั้นก็ร่ายยาว จนโออิชิ เบนโตะ กอนนิชิวะ กอนบังวะ มึนตึ้บ(เล่นใส่เป็นชุดเลย) คำแรกก็รู้แล้วครับ ว่าคนญี่ปุ่น

เมื่อเจอทุกคนหมดแล้ว ผม พี่ปุ๊ก พี่ป้อม ครูโก้ พี่พิช พี่เท็น พี่หนิง พี่โอ๊บ พี่จิน พี่ปอ พี่ต่อ พี่ดิ้น ส่วนพี่โจ สมาชิกใหม่ น่าจะเป็นลูกศิษย์ครูโก้ครับ ท่าทางแกทันสมัยพอสมควรเลยครับ ทั้งหมดไปรับประทานอาหารเย็นกันที่ร้าน “จ่าต๋อย” โดยเจ้าถิ่นอย่างพี่ตุ๋นเป็นคนนำเสนอครับ(ระวังเมาตัว “ต” ครับ)

พี่ตุ๋นเล่าให้ฟังว่า ร้าน “จ่าต๋อย” คนเยอะมาก(มีทั้งอาหารป่าและอาหารทะเลครับ) นักท่องเที่ยวทั่วๆไปจะไม่รู้จัก ไม่แปลกใจว่าทำไมค่อนข้างแปลก เพราะทางเข้าคดเคี้ยวในซอย งงมากครับ มาอีกรอบไม่รู้จะจำได้หรือเปล่า นอกจากอาหารอร่อยแล้ว แกบอกว่า พนักงานเสริฟจะเป็นกระเทยทั้งร้าน ที่เป็นแบบนี้เพราะ กระเทยแต่ละคนขยันมากนั่นเอง

อยากให้ลองมาพิสูจน์ครับเพราะอาหารอร่อยมากจริงๆ ของสดไม่มีคาว เคี้ยวทีกรุ๊บ กรั้บ(ปลาหมึก เต็มปากครับ) บางอย่างอาจมีเผ็ดบ้าง(ถึงมาก) สมกับเป็นอาหารป่า ราคาอยู่ในขั้นรับได้ พนักงานเสริฟเดินเด้งไป-มา จนพี่ๆถามกันว่า

“น้อง ทำไมต้องเดินเด้งแบบนั้นด้วยละ”

“ไม่ได้หรอกค่ะพี่ ต้องเด้งแบบนี้แหละ ถึงจะเป็นหนู” พนักงานเสริฟพูดแล้วก็ยิ้ม

ขากลับถึงทราบว่า ถ้าจะมาร้านนี้ มาทางถนนสุขุมวิทเลี้ยวเข้าพัทยาใต้ มาทางถนนเทพประสิทธิ์ ตรงมาเรื่อยๆ ฝั่งตรงข้ามจะมีซอย เทพประสิทธิ์ 8 จากนั้นตรงมาเรื่อยๆ จะมีซอยเล็กๆเข้าไปอีกที(ลักษณะเป็นทางแยก 2 ทางครับ) ทางที่ดีผมว่า พอเข้าซอย เทพประสิทธิ์ 8 แล้ว ถามทางคนแถวนั้นได้เลยครับ(ไม่ได้ค่าโฆษณาแต่อร่อยจริงครับ)

คืนนี้ อิ่มแล้วก็มีความสุขครับ นอนดีกว่า พรุ่งนี้มีเรื่องราวดีๆ รออยู่ครับ