Friday, February 23, 2007

เกาะสุรินทร์….สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล(4)





ข้าวเที่ยงคิดมุขไม่ออก เลยสั่งไข่เจียว ส่วนส้มกับจูนก็เอามาม่าที่ผมให้มาทานในมื้อนี้ด้วย ผมขอเบอร์โทรศัพท์ติอต่อและเบอร์ E-mail ไว้ส่งรูปและเรื่องราวให้อ่าน(เป็นธรรมเนียมปฎิบัติสำหรับผมไปแล้วครับ) ใกล้ๆมีป้าอารมณ์และพี่นิดอยู่ด้วย จึงขอเบอร์ติดต่อเช่นเดียวกัน

ผมเดินไปส่งจูนและส้มที่จุด 200เมตร ช่วยจูงป้าอารมณ์ขึ้นเรือ ช่วยอุ้มน้องไทเกอร์(ไม่ค่อยสันทัดเรื่องการอุ้มเด็กครับแต่ก็นับว่าผ่านไปได้ด้วยดี ไทเกอร์ไม่ตกน้ำ ฮ่าๆๆๆ) ก่อนที่จะมองเรือของซาบีน่าที่ค่อยๆแล่นจากไป(ไม่เศร้านะ ไม่เศร้า ฮ่าๆๆ) ต้องยอมรับว่า 2 สาว ทำให้ผมมีความสุขในการท่องเที่ยวครั้งนี้มากเลย ขอบคุณพวกเธอมากๆครับ

2 สาว จากไปแล้วแต่ชีวิตของหนุ่มแบคแพจเกอร์ต้องดำเนินต่อไป ผมกลับมาซื้อตั๋วเรือและเช่าชูชีพเหมือนเคย บ่ายนี้เราจะไปดำน้ำกันที่เกาะสตอร์คและอ่าวจากครับ

“อ้าว นึกว่าไปแล้ว” ผมถามคุณอานิรนามเมื่อเจออีกครั้งที่นี่(จริงๆอยากคุยกับลูกสาวคุณอาด้วยครับ)

“เนี่ยครับ ผมรอ Speed Boat อยู่” เขาตอบ

ผมยืมคุยกับแกซักแป๊บจึงขอตัวไปนั่งเล่นริมหาด รอทางอุทยานเรียก(บ่ายนี้ขึ้นเรือที่หาดไม้งามครับ ไม่ต้องเดินไปจุด 200เมตร)

“นักท่องเที่ยวที่จะไปดำน้ำบ่ายนี้ ขอให้เตรียมตัวได้แล้วครับ” เสียงเจ้าหน้าที่อุทยานประกาศ

บ่ายนี้น้ำที่หาดไม้งามลดลงมาก ต้องเดินไปขึ้นเรือไกลพอสมควร ระหว่างทางผมถ่ายรูปปะการังสมอง(Brain Coral) หอยมือเสือ(Giant clam) ปลิงทะเล(Sea Cucumber) น้ำทะเลใสๆตลอดจนภาพนักท่องเที่ยวที่กำลังลุยน้ำไปขึ้นเรือหางยาว(เกือบหัวทิ่มแน่ะครับ ปะการังและเศษหินคมมากๆ)

ยิ้มสยามต้องมีมิตรภาพที่ดี ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ต่อไป ก่อนขึ้นเรือผมเห็นพี่หนุ่มวิ่งหอบฟิน วิ่งขึ้นเรืออีกลำด้วย


เกาะสตอร์ค

ภาพของการมาที่สตอร์คเมื่อวานนี้ ต่างจากวันนี้โดยสิ้นเชิง วันนี้น้ำนิ่ง ทะเลเรียบ ค่อนข้างสงบ น้ำใสมาก เมื่อมองไปเขตแนวน้ำลึก ไม่ค่อยเห็นอะไร(จริงๆรอ สัตว์ใหญ่ครับ เอาแค่ฝูงปลาสากก็ดีใจแล้วจ้า)

เมื่อนัดไว้แล้ว เธอไม่มา ข้าพเจ้าก็เลยต้องว่ายน้ำเข้าไปที่ตื้น(แต่ต้องระวังปะการังให้ดีนะครับ) บางครั้งเจอปัญหาน้ำเข้าปากบ้าง(ไม่รู้จะออกแบบให้มีรูพ่นน้ำออกทำไม ไม่ค่อยชอบเลยครับ) น้ำตื้นมากจนกระทั่งบางจุด เป็นพื้นทรายโล่ง สามารถลงไปเหยียบได้เลยครับ

ที่นี่ผมร้องด้วยความดีใจ(จะร้องได้ไงคาบท่อหายใจอยู่ไม่ใช่เหรอ) ผมพบปลาวัวจมูกยาว(Long-Nose Filefish) ปลาวัวแสนน่ารักอีก 1 ชนิด (นอกจาก Triggerfish) ไม่ได้มาเดี่ยวครับพวกเขามาเป็นคู่ จะพบพวกเขาได้เฉพาะปะการังที่สมบูรณ์เท่านั้น ที่สำคัญผมเจอพวกเขาในวัยเด็ก(ความยาวไม่เกิน 5 ซม) ผมไม่เคยเจอมาก่อนเลยครับ(เคยเจอแต่ตัวใหญ่ๆแล้วครับ)

จากนั้นเป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) เวลาผมกวาดมือไปด้านหน้า สัญชาติญาณเขาไวมากครับ ว่ายหนีผมออกไปอีก 1 ช่วงตัวทันที

ผมสังเกตพฤติกรรมปลาการ์ตูนที่พบที่นี่ เช่น ปลาการ์ตูนปานดำ(Red Saddleback Anemonefish) ที่มองหน้าผมด้วยความฉงนก่อนจะหลบไปด้วยท่าทางที่เอียงอาย(ยังมีแอบมาดูแล้วส่งตาหวานอีกแน่ะ น่ารักจริงๆ) ต่อด้วยปลาการ์ตูนปล้องขาว(Clark’ s Anemonefish) พฤติกรรมต่างจากปานดำสิ้นเชิง มองผมอย่างดุดันดุจนักเลงเจ้าถิ่น ออกมาจากดอกไม้ทะเลเหมือนจะพุ่งเข้าชน(แล้วหลบเข้าไปในกอดอกไม้ทะเลเหมือนเดิม ฮ่าๆๆ)

มีดงปะการังเขากวาง(Coral Branching)และดงปะการังพุ่ม(Coral Submassive) มากมายจริงๆ ตอบคำถามได้อย่างดีสำหรับความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศทางทะเลแห่งนี้

ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish) ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ออกมาทักทายผมเช่นเดิมหากแต่ว่าพวกเขาพาเพื่อนใหม่มาให้ผมรู้จักด้วย เขาคือ ปลาผีเสื้อเหลืองอันดามัน(Andaman Butterflyfish) สำหรับผีเสื้อเหลืองอันดามัน ผมเจอพวกเขาล่าสุดที่หมู่เกาะในทะเลกระบี่ครับ

ปิดท้ายด้วย ปลาสลิดทะเลโฉมงาม(Fox-Face Rabbitfish) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol) และปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish)

ขึ้นมาหนาวมากครับ(ยิ่งตอนนี้น้ำทะเลเย็นลงด้วย) แถมยังใส่เสื้อกล้ามอีกก็ยิ่งหนาวเข้าไปใหญ่





อ่าวจาก

ไม่นานนัก เราก็มาถึงอ่าวจาก อ่าวนี้ ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ ยกย่องว่าเป็นอ่าวที่มีปะการังหลากหลายชนิดมาก (แกบอกว่าระดับ Mega) ผมเห็นด้วยกับอาจารย์ครับ(จากประสบการณ์ที่ผมเคยมาดำน้ำที่นี่ เห็นด้วยอย่างแรงครับ)

น้ำใสสุดๆ ผมตื่นตาตื่นใจทุกครั้งที่ได้มาอ่าวจาก แม้จะรู้จักปะการังไม่กี่ชนิดก็ตาม

ผมเจอเจ้านีโมหรือปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish)เยอะมากๆ ส่วนปลาการ์ตูนปล้องขาว(Clark’ s Anemonefish)ก็ออกมาไกลจากดอกไม้ทะเลมากนับเป็นพฤติกรรมที่น่าสนใจครับ ส่วนปลาการ์ตูนปานดำ( Red Saddleback Anemonefish) ที่นี่ก็ยังน่ารักเหมือนเคยครับ(วันใดเขาพุ่งเข้าชนผม ก็ยังน่ารักอยู่ดีแหละครับ)

เมื่อเป็นปะการังระดับ Mega ก็ต้องเจอพวกเขาแน่นอนครับ ปลาวัวจมูกยาว(Long-Nose Filefish) ออกมาทักทายผมอีกแล้ว ยังเป็นระดับเยาว์วัยเหมือนเดิม น่ารักสุดๆ

ผมเห็นปะการังเขากวางที่งอกใหม่(Coral Branching) (ที่จำได้เพราะว่าเคยเห็นภาพจากหนังสือ Sea Thai Sea ครับ) ส่วนปลายจะมีสีขาวงอกออกมา นั่นล่ะครับ ปะการังงอกใหม่ นอกจากนั้นก็ยังมีปะการังพุ่ม(Coral Submassive) ปะการังโต๊ะ(Coral Tabulate) อีกด้วย

สำหรับปลาผีเสื้อเท่าที่ผมพยายามจดจำและแยกชนิดในเวลาที่จำกัดก็มี ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ปลาผีเสื้อเหลืองอันดามัน(Andaman Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish) และปลาผีเสื้อลายเส้น(Lined Butterflyfish)

โอกาสดีมากครับที่ได้เห็นปลาพยาบาล(Cleaner Wrasse) กำลังทำความสะอาดปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrasse) มันคงรู้สึกสบายมากๆเลย (คิดว่านะครับ ฝ่ายหนึ่งคงเมามัน ฝ่ายหนึ่งคงจั๊กจี้น่าดู)

ผมยังจดจำปลานกขุนทองที่ชื่อว่า Bird Wrasse และปลาขี้ตังเบ็ดที่ชื่อว่า Striped Surgeonfish ได้(หลังจากที่กลับมาดูแผ่นปลาครับ ใช่แน่นอน ฟันธง!!!)

ก่อนจบการดำน้ำในวันนี้ด้วย ปลาสลิดทะเลโฉมงาม(Fox-Face Rabbitfish) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol) ครับ

ขากลับ ลมพัดมา ผมรู้สึกหนาวมาก ได้คุยกับ Sylvia เพื่อนใหม่ชาวเยอรมัน(เธอใจดีมากครับ นำผ้าที่เธอห่มกันหนาวอยู่มาห่มให้ผมด้วยครับ แต่ผมเกรงใจเธอเลยบอกว่าไม่เป็นไร) ไม่น่าเชื่อว่า ผมสามารถสื่อสารกับเธอได้รู้เรื่องดี(ขนาดภาษาอังกฤษผมไม่ได้เรื่องนะเนี่ย ที่บ้านผมมักจะแซวว่า ผมพูดภาษาอังกฤษแบบ “เมียเช่า”น่ะครับ ฮ่าๆๆๆ)

Sylvia มาเที่ยวเกาะสุรินทร์เป็นครั้งที่ 3 แล้ว เธอมากับสามี วันนี้สามีไม่ได้ออกมาดำน้ำด้วยแต่เธอรักที่นี่มาก นี่ก็มีโครงการจะไปเที่ยวเกาะสิมิลันด้วย(ผมแนะนำเธอไปว่า สามารถไปนอนที่ไหนได้บ้าง หากไปสิมิลัน)

ก่อนถึงหาดไม้งาม ฝรั่งคนหนึ่งบนเรือ(Crazy)มาก(ใครๆก็เรียกแกว่า จักรพงษ์หรือ Mr. Jack) ยืนบนหัวเรืออย่างอาจหาญ แล้วบอกทุกคนว่า Good Bye ใส่หน้ากากคาบสน็อคเกิ้ลกระโดดลงน้ำไปเฉยเลย(ผมว่าแกบ้าดีเดือดเหมือน ชอน เคเนอรี่มากกว่าครับ ฮ่าๆๆๆ) ว่าแต่แกแข็งแรงมากครับ ถ้าจะว่ายน้ำจากตรงนี้กลับหาดไม้งาม(นับถือ นับถือ)

ระหว่างเดินลุยน้ำเข้าหาดไม้งาม ผมถ่ายรูปแมงกระพรุนที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำ(ไม่จับหนวดก็ไม่เป็นอันตรายครับแต่ทางที่ดีอย่ารบกวนเขาจะดีกว่าครับ)

เย็นนี้ผมอาบน้ำทันทีเพราะหากรอค่ำกว่านี้ก็จะยิ่งหนาวมาก(แค่นี้ก็สั่นเป็นเจ้าเข้าอยู่แล้วครับ)

ผมนั่งทานข้าวกับพี่จอย พี่น้อย พี่หลิน พี่หนุ่ม โดยมีข้าวผัดกุ้งเป็นอาหารเย็น ส่วน พี่หนุ่มเล่าให้ฟังว่าสาเหตุที่ยังไม่เรียนดำน้ำเพราะยังไม่พร้อมที่จะรับค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น ยังมีความสุขกับการเล่นกล้องและการแบกเป้เที่ยวมากกว่า พี่หนุ่มมีคำคม ตลกๆ ให้ไว้ว่า

“อยากรวยให้เล่นหุ้น อยากฉิบหายให้ดำน้ำ”

ผมฟังดูก็ขำไปครับ แต่มาคิดจริงๆ การเสียเงินของนักดำน้ำเป็นสิ่งที่ทุกคนเต็มใจจริงๆ(หากคนไม่ชอบ ไม่เต็มใจ ไม่ยอมเสียเงินจำนวนมากๆแบบนี้หรอกครับ)

พี่จอย พี่น้อย พี่หลิน 3 สาวนัดกันมาเที่ยวแบบนอนเต๊นส์โดยเฉพาะ แบบไม่ Scuba พวกเธอบอกว่ามาเปลี่ยนบรรยากาศกัน(พวกพี่ๆมากันคนละหลายครั้งแล้วครับ)

คืนนี้ ผมรีบนอนพักผ่อน พรุ่งนี้จะไปดำน้ำช่วงเช้าก่อนจะกลับฝั่งในช่วงบ่าย การเดินทางที่แสนสุขของผม มาถึงวันสุดท้ายแล้วเหรอเนี่ย เร็วจริงๆ


2 มกราคม 2550

ตื่นเช้ามา ผมนำของมาเรียงกันไว้เพื่อง่ายในการจัดลงกระเป๋า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยังเป็นที่พึ่งของผมอีกครั้งหนึ่ง

ผมเจอพี่หนุ่มกำลังนั่งทานขนมปังปิ้ง ซึ่งพี่หนุ่มจะไปดำน้ำกับผมในเช้าวันนี้ด้วย

เราทราบจากเจ้าหน้าที่หน้าเคาน์เตอร์ว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวบนเกาะเหลืออยู่เพียง 113 คน เท่านั้น ซึ่งนับว่าไม่มาก อาจเป็นเพราะพวกเขาได้ทยอยกันกลับไปบ้างแล้ว

โปรแกรมดำน้ำจะพาไปที่ร่องตอรินลาและอ่าวผักกาด ผมยังเช่าชูชีพเหมือนเคย

“ตกลงพี่ไม่ได้เป็นคนใต้เหรอคะ” น้องยู พนักงานสาวถามผม พร้อมหยิบชูชีพมาให้

“พี่เป็นคนกรุงเทพครับ พี่เหมือนคนใต้ขนาดนั้นเลยเหรอครับน้อง” ผมถามเธอ

“ค่ะ เหมือนมาก ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้หรอก” เธอยืนยัน

อาจเป็นเพราะผมไม่ได้ใช้โลชั่นกันแดดมานาน ด้วยความที่กลัวว่ามือจะเปื้อนกล้องดิจิตอล(ขึ้เกียจล้างมือด้วยครับ) นานเข้าก็เลยผิวคล้ำไป ซึ่งผมก็รู้สึกชอบครับที่เธอบอกแบบนั้น

ก่อนหน้านั้นผมซื้อเสื้อจากร้านขายของที่ระลึกก็ได้น้องยูนี่ล่ะครับ ที่ช่วยเปลี่ยนเสื้อเบอร์ XL ให้ผม(จริงๆมีลูกค้าบอกไว้ว่าจะมาดู) ขอบใจมากเลยน้อง(น่ารักมาก)

พี่หนุ่มจะหาซื้อน้ำขวดที่นี่ ผมบอกแกเลยว่าไม่ต้องซื้อ(ประหยัดเงินไว้ดีกว่า)ให้ใช้ของผมเพราะเหลืออยู่อีก 2 ขวด(บ่ายนี้ผมก็จะกลับแล้วครับ)

เราเดินไปจุด 200 เมตร ผมเจอพี่นิดจึงพยายามขอถ่ายรูป ท่าทางแกอายกล้องเอามากๆ(สงสัยกลัวผมถ่ายออกมาไม่สวยแน่ๆ)

ผมเจอนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งพูดถึงอ่าวแห่งหนึ่งในจังหวัดพังงา ซึ่งอ่าวนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างสูงจากชาวต่างชาติ(แนวเดียวกับฟูลมูน ปาร์ตี้ ที่หาดริ้น เกาะพะงัน) อ่าวแห่งนั้นชื่อว่า....(อยากรู้ล่ะซิ) มีชาวต่างชาติอาบแดดกันมากด้วย(โอ้ อันนี้สำคัญ) ชื่อว่า อ่าวเคยและอ่าวนุ้ยครับ

พูดจบชายหนุ่มในกลุ่มก็โชว์รูปอ่าวเคยและอ่าวนุ้ยกับบรรยากาศนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติในกล้องดิจิตอล ทุกคนดูอย่างใจจดใจจ่อ ดูจบต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า

“โธ่ นึกว่าจะมีรูปเด็ดๆ” เสียงเฮ ฮาดังขึ้น

“คราวหน้าจะถ่ายมาให้ดูครับ ฮ่าๆๆ” ชายหนุ่มตอบ

ไม่นานนักพี่นิพนธ์ก็มาถึงจุด 200 เมตร พร้อมนักดำน้ำ Scuba แกบอกผมว่า

“เธอค่อนข้างโชคร้ายมาก วันไหนเธอออกไปดำ น้ำแรงมาก แล้วดูวันนี้ซิ น้ำเรียบ แดดดีจริงๆ เธอต้องมาเดือนกุมภาพันธ์แล้วล่ะ ถึงจะดี” พี่นิพนธ์ แหย่ผม

“ก็ผม โชคไม่ค่อยดีอยู่แล้วครับแต่ไม่เป็นไร วันหลังผมจะขึ้นมาหาครับ” ผมตอบ

ว่าแล้วก็ได้เวลา เจ้าหน้าที่เรียกผมกับพี่หนุ่มไปขึ้นเรือหางยาว ซึ่งวันนี้อากาศดีกว่าทุกๆวัน(ต้องมาดีตอนวันสุดท้าย ตอนผมจะกลับประจำเลย ฮ่าๆๆ)

ร่องตอรินลา

ผมกับพี่หนุ่มว่ายออกมาในแนวลึกเพื่อหวังจะเห็นสัตว์ใหญ่ เพราะหากเข้าไปใกล้ฝั่ง เห็นได้ชัดว่ามีซากปะหรักหักพังของปะการังเขากวางมากมาย สิ่งมีชีวิตก็น้อยลงไปด้วย

น้ำที่ตอรินลาวันนี้นิ่งจริงๆ ไม่มีคลื่นมากวนใจ ไม่นานนัก ผมเจอปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark’s Anemonefish) ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) และปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish)

ปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) สีดำ ว่ายผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมสังเกตเห็นครีบท้องสีเหลืองของเขาเลยทำให้สามารถแยกชนิดได้

นอกนั้นก็มีปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue Surgeonfish) ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) และกลุ่มแมงกระพรุน(Jelly Fish) ที่ผมต้องว่ายหลบอยู่เรื่อยๆ

พี่หนุ่มบอกผมว่าแกเจอปลาฉลามครีบดำ(Blacktip Shark)ด้วย น่าเสียดายว่ามันว่ายเร็วมากเลยเรียกให้ผมดูไม่ทัน( อดเลย ฮ่าๆๆ)

จากนั้นเรามุ่งหน้าสู่อ่าวผักกาด อ่าวที่ขึ้นชื่อว่ามีปะการังผักกาดหรือปะการังแผ่นตั้ง(Coral Foliose)มาก



อ่าวผักกาด

ผมนึกถึงภาพเก่าๆอีกครั้ง ตอนมาอ่าวผักกาดครั้งแรก ปะการังค่อนข้างสมบูรณ์ ผิดจากตอนนี้ที่แทบจะหาปะการังผักกาดไม่ได้เลยมีแต่ซากปะหรักหักพังทั้งนั้น (ส่วนใหญ่ เป็นพวกปะการังก้อน Coral Massive จอมอึดครับ)

แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังพอเจอสัตว์ทะเลบ้างแม้จะไม่มากเหมือนก่อนก็ตาม เช่น ปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue Surgeonfish) ปลาขี้ตังเบ็ดหนามส้ม(Orangespine Unicornfish) ปลาขี้ตังเบ็ดอีกหนึ่งชนิด(สีดำๆครับ) ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) และปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer)

พี่หนุ่มโชคดีอีกแล้วเจอปลาฉลามครีบดำ(Blacktip Shark) และที่แน่นอนคือ แกเรียกผมไม่ทันอีกแล้วครับ(คนมันโชคร้ายครับ ฮ่าๆๆ)

แม้สภาพแวดล้อมที่อ่าวผักกาดจะเปลี่ยนแปลงไปมาก มากจนกระทั่งผมเองยังตกใจแต่นี่คือวัฐจักรของธรรมชาติที่ควรจะเป็นไปอยู่แล้วครับ(ดีกว่าพังทลายเพราะฝีมือมนุษย์ครับ อันนั้นจะน่าเศร้ามาก)

ขากลับ พี่หนุ่มขอลงที่อ่าวช่องขาดเพื่อเดินสำรวจก่อนที่จะเดินกลับอ่าวไม้งามโดยเส้นทางศึกษาธรรรมชาติ แกไม่รีบร้อนอะไรมากเพราะจะกลับในวันมะรืน ผมร่ำลาพี่หนุ่ม ขอให้แกโชคดี

ผมกลับมาอาบน้ำ จัดของโดยใช้เวลาไม่มากนัก ก่อนเดินออกมาริมหาดเพื่อถ่ายรูปซึ่งตอนนี้แดดค่อนข้างจ้า ทำให้น้ำทะเลสีฟ้าสดใส แม้จะร้อนแต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย

นั่งทานข้าวกลางวันกับพี่น้อย พี่จอยและพี่หลิน พวกเธอก็จะกลับพร้อมผมเช่นกันหากแต่พวกเธอกลับโดย Speed Boat ซึ่งจะต้องไปรอนักท่องเที่ยวอีกกลุ่มที่อ่าวช่องขาด ส่วนผมกลับเรือธรรมดา

กระดูกหมูจิ้มเข้าไปเต็มๆบริเวณเหงือกแถมหักคาเสียด้วย เดือดร้อนผมที่ต้องไปหาไม้จิ้มฟันเป็นการด่วน ไม่งั้นเจ็บตลอดทางแน่ครับ

ผมแบกเป้ ทักทายพี่นิพนธ์ พี่นิด น้องยูและเจ้าหน้าที่อุทยาน ก่อนเดินไปจุด 200 เมตร ด้วยความรู้สึกแบบเศร้าๆเล็กน้อย(ก็ยังไม่อยากกลับเลยครับแต่มีภาระหน้าที่ที่ต้องกลับไปทำ)

ที่นี่ผมคุยกับลุงสมาน(แฟนป้าเดียร์)(คนที่หาเต๊นส์ด้านหน้าหาดให้ผมนั่นแหละครับ) ลุงสมานบอกผมให้มาเที่ยวใหม่ในวันหลัง มาเดือนกุมภาพันธุ์ก็ท่าจะดี หากมาล่องเรือที่อ่าวพังงา ติดต่อลุงได้ ลุงมีคนรู้จักอยู่หลายคน

ผมขอบคุณลุงสมานก่อนจะขอตัวไปขึ้นเรือหางยาว วิวของจุด 200 เมตร ค่อยๆเล็กลงๆ แลขวามองดูอ่าวกระทิง ต่อด้วยซากกิ่งไม้ใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำ และอ่าวช่องขาด จบด้วยแหลมแม่ยาย

หลังจากเปลี่ยนจากเรือหางยาว ขึ้นเรือใหญ่ของซาบีน่าแล้ว ผมได้รู้จักกับพี่ผึ้ง อาจารย์สาวในจังหวัดสุราษฐธานี(เธอก็ไปดำน้ำบนเรือลำเดียวกับผมเมื่อวานนี้) เธอดูสนใจสัตว์ทะเลมากทีเดียวซึ่งผมก็ยินดีที่จะแนะนำสัตว์ทะเลต่างๆตามหนังสือให้เธอ(เธอก็ทำHomepage ใน
http://www.multiply.com/ เหมือนกันด้วยครับ)

จากนั้นผมเจอเจ้าหนุ่มนิรนามร่างอ้วนมากับกลุ่มเพื่อนๆ คุยไปคุยมากลายเป็นนักดำน้ำแบบ Scuba ทั้งกลุ่ม พึ่งจบ Open Water กันมาแต่ยังไม่ได้ไปดำที่ไหนอีกเลยซึ่งผมก็แนะนำว่า ถ้าเรียนแล้วน่าจะลองหาเวลาไป แม้จะติดตรงค่าใช้จ่ายที่แพงแต่ของแบบนี้เราสามารถเก็บหอมรอมริบได้(พอพวกเขาทราบว่าเงินเดือนของผมเท่าไร ก็ตกใจไปตามๆกัน)(น้อยมากครับ)

เมื่อถึงฝั่งคุระบุรี พี่นฤมลเตรียมน้ำแดงให้ลูกค้า ดับกระหาย คลายร้อนด้วย ระหว่างนั่งรถสองแถวไปรอรถที่ซาบีน่า ผมได้รู้จักกับพี่นิรนามคนหนึ่ง เป็นนักดำน้ำแบบ Scuba เหมือนกันด้วย (ทราบภายหลังว่าชื่อพี่ป้อมมาเจอใน
http://www.multiply.com/ เมื่อกลับมาที่บ้าน ทั้งๆที่ไม่เคยให้ user id เลยครับ ไม่มีแม้กระทั่งเบอร์ติดต่อ โลกกลมจริงๆเลยครับ)

ที่ซาบีน่า ผมเจอ Mr. จักรพงษ์ ฝรั่งบ้าเลือดคนนั้นด้วย ผมเห็นมือของเขามีผ้าพันแผลจึงถามว่าไปโดนอะไรมา แกบอกวาถูกร่องหินบาดเมื่อวานนี้ พบปะการังอ่อนและฉลามครีบดำหลายตัวด้วย(ผมเชื่อครับ)

ดูแกจะประทับใจการบริการของซาบีน่ามาก ก่อนไปขึ้นรถก็ทิ้งทาย แปลเป็นไทยได้ว่า “ผมรักซาบีน่า ผมจะกลับมาอีกครั้งแน่นอนครับ”

ผมเจอพี่หลินที่นี่เช่นกัน เธอได้รอบรถช่วง 5 โมงครึ่ง เมื่อผมมาติดต่อบ้างกลับได้รับข่าวที่ไม่ดีนัก

“ตั๋วคุณ ไม่มีนี่คะ จองไว้เหรอคะ” พนักงานสาวตอบ

“จ่ายเงินไปแล้วด้วยครับ ไม่มีได้ยังไงครับ” ผมถามด้วยสีหน้างุนงง ก่อนที่หัวใจจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่มเรียบร้อยแล้ว

พรุ่งนี้ผมต้องทำงานตอนเช้า หากผมไม่มีรถกลับก็ต้องขาดงาน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำนัก

เมื่อพี่นฤมลทราบข่าว เจ้าหน้าที่ที่เหลือ วิ่งวุ่น ช่วยผมกันอย่างจ้าล่ะหวั่น ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ผมกลับบ้านและถึงกรุงเทพฯทันเวลา(หากผมไม่มีรถกลับ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนในซาบีน่าต้องการแน่ครับ)

สาเหตุอยู่ที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่ง สื่อสารกับบริษัทรถไม่ดี ไปๆมาๆ ตั๋วหายไปเฉยเลย

พี่หลินไปขึ้นรถแล้ว เหลือแต่ผมที่ยังคงเดินไปเดินมา ดุจดังหนูติดจั่น(จะได้กลับไหมเนี่ยเรา)

“ได้รถแล้วครับ” เสียงสวรรค์มาบอกผม

“ต้องขอโทษด้วยนะคะ ทำให้ต้องลำบากเลย” พี่นฤมลทำหน้าเศร้า

“ไม่เป็นไรครับ ยังไงคราวหน้าผมก็จะกลับมาใช้บริการพี่อีกอยู่ดี” ผมตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

สาวคนหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนกับเจ้าอ้วนหนุ่มนิรนาม เธอสละที่นั่งให้ผม โดยเธอมานั่งเบียดกับเพื่อนด้านล่างเพื่อที่จะให้ผมได้กลับบ้าน

ผมเดินไปขอบคุณเธอและกลุ่มเพื่อนๆของเธอด้วยความยินดี ก่อนจะขึ้นไปด้านบน รถคันนี้มีคนที่ผมรู้จักตรึมเลยแฮะ(รวมทั้งพี่ป้อมด้วย)

“เจอตั๋วแล้วค่ะ มาขึ้นคันหลังนะ” เจ้าหน้าที่บอกผม

เจ้าหน้าที่หาตั๋วของผมเจอแล้ว ผมต้องย้ายรถมานั่งอีกคัน แต่ก็ไม่ลืมที่จะขอบคุณสาวใจบุญและกลุ่มเพื่อนๆที่สละที่นั่งให้

รถคันนี้ไม่มีใครรู้จักเลย แถมเข่าก็ติดเต็มที่เพราะเป็นรถเสริม อย่างไรก็ตาม เมื่อรถเคลื่อนตัว ผมมองเห็นพี่นฤมลที่อยู่อีกฝั่งของถนน โบกมือให้ผมด้วยสีหน้าที่ยินดีและโล่งใจ ผมโบกมือให้เธอเช่นกัน ขอบคุณมากครับที่ช่วยเหลือผม

รถค่อยๆแล่นออกไปเรื่อยๆ ผมมองออกไปริมหน้าต่าง พร้อมคิดถึงเหตุการณ์อันแสนสุขกับเกาะที่รักซึ่งผมได้ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าในช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

คิดไปก็นั่งยิ้มไปคนเดียว

บทส่งท้าย

“เราจะไม่เก็บสิ่งใดกลับมา นอกจากภาพถ่ายและความทรงจำ”

หากเป็นนักท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ คำกล่าวนี้คงอยู่ในจิตใจของทุกๆคน แม้เราจะประทับใจสถานที่นั้นมากแค่ไหน สุดท้ายเราก็เก็บมาได้ดพียงภาพถ่ายและความทรงจำที่ดี

สำหรับภาพถ่ายผมเก็บมาฝากทุกคน

สำหรับความทรงจำ ผมถ่ายทอดรายละเอียดมาฝากทุกคนอย่างยาวเหยียด ตามแบบฉบับที่ยังยึดมั่นในตัวเอง เพราะต้องการให้ทุกคนเห็นภาพประหนึ่งว่าได้ไปด้วยกัน

หากคุณเคยดูหนังเรื่อง Being John Makovic ที่เราสามารถเห็นภาพของคนๆหนึ่งว่าได้ไปทำอะไรมาบ้าง นั่นคือสิ่งที่ผมอยากจะสื่อให้ทุกคนได้เห็นครับ

ผมกล้าพูดเต็มปากว่า แม้ที่นี่จะได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิทำให้มีสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลต้องสูญสลายไปบ้าง

แต่ที่นี่ก็ยังเป็นหนึ่งในจุดดำน้ำตื้นที่ดีที่สุด ในประเทศไทย หากเทียบกันจุดต่อจุด(หลังจากพิสูจน์แล้วผมดำน้ำตื้น เห็นปลามากกว่าดำน้ำลึกครับ)

หากเปรียบเกาะสุรินทร์เป็นสาวน้อย ก็คงเป็นสาววัยใส ที่ผมหลงรักทันทีตั้งแต่แรกเห็นพร้อมจะกลับมาเยี่ยมเยียนเธอทุกเมื่อ มาทักทายเมื่อมีโอกาส

ไม่ว่าเธอจะได้ยินผมหรือไม่ ขอฝากบอกสาวคนนี้ว่า

“จะรักเธอต่อไป ไม่มีเปลี่ยนแปลง”

ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นนั้นครับ


Phop Payapvipapong

12 February 2007

18.18 PM

Sunday, February 18, 2007

เกาะสุรินทร์….สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล(3)





กลับมาทานข้าวกลางวันที่โรงอาหาร ผมถอด Wet suit ออกแค่ครึ่งท่อนเพราะ Wet suit ยาว ถอด-ใส่ยากเหลือเกิน(ตอนบ่ายก็ต้องลงอีก 1 ไดฟ์) ในเวลานี้โรงอาหารคนเยอะจริงๆครับ

เดินไป-มาซักพักนอกจากจะหาจูนและส้มแล้ว ผมก็ยังหาพี่หมูด้วยเพราะยังไม่ได้เบอร์ติดต่อแกเลย

ข่าวเที่ยงวันนี้เป็นแกงจืดไก่ แพนงหมูและผัดผัก ซักพักมีผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมยื่นกระดาษเล็กๆให้ 1 แผ่น ภายในมีชื่อของสาวและข้อความเล็กน้อย ผมค่อนข้างแปลกใจเพราะเกิดมายังไม่เคยมีใครมาขอเบอร์แบบนี้(โดยที่ไม่รู้จัก) ชายคนนั้นบอกว่า

“ขอให้น้องเขาน่ะครับ น้องเขาอายมาก เราจะกลับกันแล้ว” ชายหนุ่มยิ้ม

“น้องคนไหน ล่ะครับ ผมจะทราบได้อย่างไร” ผมยิ้มๆ

“ก็ให้มาเถอะครับ” ชายหนุ่มเริ่มเร่ง(แต่ยังยิ้มอยู่)

กล้าขอแบบนี้ ผมก็กล้าให้ครับ อย่างน้อยก็มีเพื่อนเพิ่มอีก 1 คนครับ ผมเขียนชื่อตัวเองและเบอร์โทรไป

“นี่ฉันมีเพชร อยู่ข้างกายนะเนี่ย ไม่เคยรู้เลย นึกว่าโคลนตม” ส้มกับจูนแหย่ผม

“ไม่รู้ซิครับ งงเหมือนกันนะเนี่ย แต่ไม่เป็นไรหรอก” ผมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แต่ถ้าจะให้เดาคงเป็นกลุ่มสาวที่เจอบ่อยๆในโรงอาหารและสวนกันที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติแน่นอน(สงสัยน่าจะเป็นคนที่เอ่ยปากถามผมด้วยน่ะ)

ส้มกับจูนอยากให้ขนมกับเด็กมอแกน ผมเห็นด้วยและอาสาจะเป็นคนถ่ายรูปให้พวกเธอ เราถามชื่อของพวกเขา บางชื่อค่อนข้างน่ารักมาก ผมยังจำได้ว่าตอนมาครั้งล่าสุดสวนกับเด็กมอแกนที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ บางคนค่อนข้างคล้ายกับเด็กที่อยู่ในตอนนี้

บ่ายนี้ผมจะไปดำน้ำแบบ Scuba ที่ร่องตอรินลา ตรงกับโปรแกรมดำน้ำตื้นของจูนและส้มที่จะไปตอรินลา อ่าวผักกาด และเราก็จะไปขึ้นเรือที่จุด 200 เมตร เหมือนกัน

จูนสวมชุดแขนยาวสีฟ้าของซาบีน่า(ชุด Staff) เห็นว่าได้มาจากเจ้าวอร์มเด็กฝึกงาน ร่างเล็กจากกรุงเทพ มาฝึกงานภาคสนามวิชาเกี่ยวกับท่องเที่ยวที่นี่โดยเป็น Staff ของซาบีน่า (ทำไมกฎหมาย ไม่มีฝึกแบบนี้บ้างหนอ ผมจะเป็นคนแรกเลยที่มา)

ส้มก็ได้ชุดสีฟ้าของซาบีน่าเหมือนกัน ถ้าไม่ได้จากเจ้าวอร์มก็ได้มาจากเจ้าแบค เด็กตัวโย่ง Staff ของซาบีน่าเช่นกัน ที่อายุไม่ถึง 20 แต่ความสูงบังอาจไล่เลี่ยผม(ถ้าเจ้าแบคอายุเท่าผม จะสูงเท่าไรเนี่ย เปรตแท้ๆ)

พูดจบ 2 สาว อยากจะเปลี่ยนเต๊นส์นอน โดยจะไปนอนหน้าหาดบ้าง ซึ่งก็พอมีที่ว่างอยู่ จึงช่วยกันย้ายเต๊นส์ไปด้านหน้าหาด ใกล้ๆมีเต๊นส์หนุ่มสาวที่จีบกัน เราเรียกเต๊นส์นี้ว่า “เต๊นส์คู่รัก”(อิจฉาโว้ย)

ทราบว่าพี่หมูกลับไปแล้ว แต่ยังไงผมก็ได้เบอร์แกจากพี่นิดเรียบร้อยแล้วครับ

เรามาขึ้นเรือที่จุด 200 เมตร แดดค่อนข้างร้อน นับว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับการดำน้ำ บ่ายนี้นักดำน้ำแบบ Scuba เหลือผมเพียงคนเดียวเท่านั้น

เรือหางยาว3-4 ลำ น้ำมันใกล้หมดกันเป็นแถว(ไม่รู้นัดกันหรือเปล่า) มีเรือใหญ่อยู่ด้านหน้า โชคดีว่าเรือลำนั้นเป็นพันธมิตรกับพี่นิพนธ์เลยสามารถขอน้ำมันได้แบบง่ายๆ(เรือหางยาวใช้น้ำมันโซลาร์ครับ)

เด็กสาวมอแกนเรือลำข้างๆตกเป็นเหยื่อรอยยิ้มของผมอีกแล้ว เพราะทำท่าเหนียมอายบิดไป-บิดมา(เลยต้องกดชัตเตอร์ซะ)

เมื่อเรือเติมน้ำมันเสร็จแล้ว ไม่นานนัก ผมก็มาถึงร่องตอรินลา จุดดำน้ำต่อไป



Dive 2 สำรวจร่องตอรินลาหลังคลื่นสึนามิ

พี่นิพนธ์ให้ผมลงกับพี่แฟน 2 คนเพราะว่าแกเจ็บฟันมาก คาบเรคกูเลเตอร์แล้วยิ่งเจ็บ เลยขอไม่ลงดีกว่า นี่เป็นโอกาสของผมที่อาจจะได้เห็นเจ้าปลาโรนัน(White-Spotted Guitarfish) ปลาหายาก

เจ้าปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish) ออกมาทักทายผมเป็นตัวแรกๆ ต่อด้วยปลาสินสมุทรจักรพรรดิ์(Emperor Angelfish) และปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ringed Angelfish) โดยเฉพาะวงฟ้า ผมยังจำภาพที่พี่เอถ่ายรูปพวกเขาได้ที่โลซิน ติดตามาตลอด สีฟ้าสดใส สวยงามมากครับ

ต่อมาเป็นปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish)และปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark ‘ s Anemonefish) ผมดีใจที่เห็นลีลาน่ารักของเขาอีกครั้งหนึ่ง นักเลงเจ้าถิ่นที่แสนน่ารักดูจะไม่มีทีท่าที่จะกลัวผมเลยแม้แต่น้อย

ฝูงปลาผีเสื้อพันธุ์แปลกๆ บางชนิดหายากมากเริ่มมาให้ผมยลโฉม(ผมเจอที่นี่ 6 ชนิด ครับ) เริ่มจากปลาผีเสื้อที่พบได้บ่อยๆอย่างปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Butterflyfish) ตามมาด้วยปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ปลาผีเสื้อหลังบั้ง(Saddleback Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายทแยง(Vagabond Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายกระ(Spotted Butterflyfish)และปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish)

จากนั้นผมเห็นปลาวัว 2 ชนิด ที่จำได้ คือ ปลาวัวดำ (Redtooth Triggerfish) ส่วนหางค่อนข้างแปลกกว่าปลาวัวทั่วๆไปครับ

และแล้วผมก็เจอปลาค้างคาว(Pinnate Batfish) จนได้ แถมในระยะประชิดซะด้วย พวกเขาขี้ตกใจครับไม่เชื่องแบบปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ที่ชอบเล่นกับนักดำน้ำ พอเจอผม เขาสะบัดหางนิดเดียวหายวับไปเลยครับ

นอกนั้นก็เป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol) กัลปังหา(Sea Fan)มีสีขาว ดาวขนนก(Sea Star) ปะการังเขากวาง(Coral Branching) ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามีร่องรอยหัก พังทลายมากทีเดียว อาณุภาพของคลื่นยักษ์ช่างรุนแรงซะเหลือเกิน

ขึ้นมาด้านบนพี่แฟนเห็นเจ้าปลาฉลามครีบดำ(Blacktip Shark)และกุ้งมังกร(Lopster)แต่เรียกผมไม่ได้ทัน(เวลาเรียกผม ต้องชี้ให้ผมดูแบบพี่ป้อมครับ ชี้ปลาไหลสวนที่ 35 เมตรครับ ต้องชี้แบบซึ่งๆหน้า ช้าๆ ถึงจะเห็นครับ ผมตาถั่วน่ะครับ ฮ่าๆๆๆ) อีกอย่างผมโชคร้ายอีกครั้ง น้ำข้างบนแม้จะนิ่งแต่ด้านล่างขุ่นมากครับ มองเห็นแค่ 3-4 เมตรเท่านั้นเอง

เรือค่อยๆแล่นกลับมาที่จุด 200 เมตร ดูพี่นิพนธ์ค่อนข้างกลัวว่าผมจะผิดหวัง จึงจะเพลาๆไม่พาลูกค้ามาอีกเพราะกลัวจะไม่เห็นอะไร ตรงกันข้ามครับ ผมกลับไม่รู้สึกผิดหวังแต่อย่างใดเพราะยังเห็นอะไรๆตั้งมาก การไม่เห็นเป็นเพราะน้ำขุ่น(ความไม่แน่นอน)และความโชคร้ายส่วนตัวของผมต่างหาก(ทุกไดฟ์ของผมไม่มีคำว่าผิดหวังครับ)

ผมบอกพี่นิพนธ์ ขออนุญาตแนะนำแกว่า หากอยากให้แขกประทับใจ Leader ต้องรู้จัก Dive Site นั้นๆเป็นอย่างดี รู้ว่าจุดไหนมีตัวอะไร แล้วพาไปดู ชี้ให้ดูอย่างช้าๆ(ผมยกตัวอย่างพี่แจ้ Leader แห่งชุมพรคาบาน่า แกเก่งมากจริงๆครับ)

เป็นอันจบการดำน้ำแบบ Scuba ของผม เวลาที่เหลือ ผมจะดำน้ำแบบ Snorkeling ให้เต็มอิ่มเลยครับ

กลับมาที่พัก ผมล้าง Wet Suit ตากลมไว้ เปลี่ยนชุดเตรียมไปดูพระอาทิตย์ตกที่อ่าวกระทิง เมื่อเดินไปจุด 200 เมตร นักดำน้ำแบบ Snorkeling เริ่มทยอยกลับมากันแล้ว

ที่อ่าวกระทิงผมเจอชาวต่างชาติกลุ่มหนึ่งมาถ่ายรูปพระอาทิตย์ตกด้วย จูนกับส้มก็มาที่นี่เช่นกันแต่มาโดยเรือคายัคของเจ้าวอร์ม(เจ้าวอร์มพามาครับ)

ที่นี่ผมได้รู้จักกับพี่นูน พี่น้อย พี่หลิน และพี่หนุ่ม คุยไปคุยมา โลกกลมจริงๆ พวกเขาและพวกเธอส่วนใหญ่เป็นนักดำน้ำแบบ Scuba ด้วย โดยพี่นูน พี่น้อยและพี่หลิน ไปดำน้ำแบบ Snorkeling ที่เกาะสต๊อค แล้วเจอฉลามวาฬด้วย(เธอยืนยันว่า ถ่ายรูปไว้ด้วย)(โชคดีมากครับพี่) พวกพี่ๆช่ำชองการดำน้ำกว่าผมมาก ไปดำน้ำมาก็หลายที่ที่สำคัญเคยไปกับเรือ Scubanet ของบริษัทมนุษย์กบไทย เรือที่ผมกำลังจะเดินทางไปในอีกไม่ช้า ส่วนพี่หนุ่มแม้ไม่เคยดำน้ำแบบ Scuba เลยแต่ก็รักการถ่ายรูปเป็นชีวิตจิตใจ คราวนี้มาเที่ยวคนเดียวเหมือนผมซะด้วย(ผมไม่บ้าคนเดียวแล้วครับ ฮ่าๆๆ) พระอาทิตย์ตกในวันนี้ แม้จะมีความสวยแพ้ที่เกาะหมากแต่ก็มีเสน่ห์ไปอีกแบบ ไม่เหมือนใครครับ

ขากลับเราค่อยๆเดินอย่างช้าๆเพราะเริ่มจะมืดแล้ว ในขณะที่มิตรภาพของผมกลับค่อยๆเติบโต ขยายวงกว้างไปอย่างช้าๆ เช่นกัน

ผมเดินมาที่เต๊นส์เจอพี่น้อยและพี่หลินอีกครั้ง เธอแนะนำให้ผมรู้จักกับพี่จอย สาวผิวเข้มฉบับชาวใต้ พี่จอยโชว์รูปฉลามวาฬที่ถ่ายไว้เมื่อวานนี้ (สุดยอดเลยครับ)

ผมอาบน้ำ ชะล้างสิ่งสกปรกตามร่างกายเสร็จแล้ว ก็แบกหนังสือใส่เป้มุ่งหน้าไปโรงอาหารเช่นเดิม เย็นวันนี้มีไก่ผัดเม็ดมะม่วง ยำลูกชิ้น ต้มยำเห็ด ไข่เจียว(อันนี้ผมสั่งเพิ่มมาครับ) ของหวานเป็นแตงโมกับสัปปะรดครับ

กิจกรรมเดิมครับ ดูเหล่า ป. ปลาและสัตว์ทะเลว่าเจออะไรกันมาบ้าง ระหว่างนั้นเอง เสียงจากโทรทัศน์ในโรงอาหารทำเอาทุกๆคนหยุดทำกิจกรรมทุกๆอย่าง โลกหยุดหมุนกระทันหัน!!!!

“ผู้ก่อการร้ายวางระเบิดในกรุงเทพ!!!!!มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย!!!!” หลายๆที่เราคุ้นเคยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นอนุเสาวรียชัยสมรภูมิ สะพานควาย เป็นต้น

ไม่นานนักด้านหน้าทีวี มีแต่นักท่องเที่ยวยืนดูติดตามข่าวสารเต็มไปหมด(รวมทั้งผมด้วย) ในฐานะเราเป็นคนไทย ใครๆก็ไม่สบายใจครับ ถ้าผมเป็นเปา บุ้น จิ้น ผมจะสั่งประหารให้หมดเลย พวกนี้ไม่มีความเป็นคนหลงเหลืออยู่แล้ว

ที่นี่โทรศัพท์ใช้ได้ในระบบ GSM จูนโทรศัพท์กลับบ้านเพราะเป็นห่วงพ่อของเธอพร้อมกำชับไม่ให้ออกไปไหน

หลังจาก 2 สาว ไปนอนแล้ว ผมยังนั่งจดข้อมูลลงในสมุดเล็กๆ กลับไปจะได้ไปเขียนเรื่องราวให้มีความละเอียดมากที่สุด(ส้มฝากชาตจ์โทรศัพท์ก็ดูให้เธอด้วยครับ ว่าแล้วผมก็ชาตจ์บ้างดีกว่า)

เริ่มมีการเปิดคาราโอเกะที่โรงอาหาร(ส่วนใหญ่เป็นเพลงของศิลปินชาวใต้) ไม่นานนักเด็กมอแกนทั้งหนุ่มและสาวค่อยๆมานั่งที่โต๊ะไม้หน้าทีวี เรียงกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย(ต้องลองนึกภาพดูครับ เป็นระเบียบ น่ารักจริงๆ) ต่างคนก็หัวเราะ ชอบใจ นี่คือวัฒนธรรมใหม่ๆที่เขาและเธอค่อยๆซึมซับลงไป ผมหวังว่าอย่างน้อยก็คงไม่เลวร้ายมากนัก ขอให้ชาวมอแกนคงความเป็นชาวมอแกนไว้ เพราะนี่คือชาวเลกลุ่มสุดท้ายในประเทศไทยที่ยังมีวิถีชีวิตแบบเดิมๆ ผมถือว่าพวกเขาว่าเป็นกลุ่มบุคคลสำคัญของประเทศไทยเลยนะครับ

จากนั้นก็เริ่มเทศกาล Countdown ของที่นี่ นักท่องเที่ยวเริ่มออกมาเต้นตามจังหวะเพลง ชาวต่างชาติสูงโย่งก็มาเต้นกับเขาด้วย(ลองนึกภาพเวลาชาวต่างชาติเต้นแล้วกันครับ ผมว่าตลกนะครับ ไว้เจอกันผมจะทำให้ดู ฮ่าๆๆ)

ผมกลับมาที่เต๊นส์ รอคอยจนกระทั่งถึงเที่ยงคืน แม้อาจจะเหงาบ้าง(ก็คนรู้จักหลับกันหมดแล้วครับ) มีกลุ่มคนนั่งคุยกันหน้าเต๊นส์เป็นกลุ่มๆเต็มไปหมด ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนรวมตัวอยู่กลางหาด จุดดอกไม้ไฟและปะทัด ค่อนข้างมีเสียงรบกวนคนอื่นๆบ้าง(แต่เอาเถอะครับ ให้เขาหน่อยครับ วันเดียวเอง รวมทั้งคนเมาที่ร้องเพลงไม่ได้เรื่องด้วย ฮ่าๆๆๆ)

ปีเก่าผ่านไปแล้ว-ปีใหม่และเรื่องดีๆกำลังจะเข้ามาแล้วครับ



1 มกราคม 2550

เช้านี้อากาศยังคงเย็นสบาย ข้าวเช้าของผมในวันนี้ คือ ข้าวไข่เจียวเพราะไม่มีอาหารตามสั่งในเช้านี้ เลยต้องสั่งกับข้าวที่เขามีไว้ให้อยู่แล้ว จากนั้นผมซื้อตั๋วเรือเพื่อไปดำน้ำในวันนี้ พร้อมกับเช่าชูชีพด้วย โปรแกรมจะไปที่อ่าวแม่ยาย หินแพ(หินกอง)และอ่าวเต่า

ด้านหน้าเต๊นส์ของผมมีสิ่งปฎิกูลจากเมื่อวานนี้ กลุ่มชาวต่างชาติ(เลว)กลุ่มหนึ่ง นั่งคุย Countdown กันแต่ดันทิ้งขวดเบียร์ แก้ว ขยะเต็มไปหมด(ไม่ยอมไปทิ้งอีก พวกนี้) เห็นแล้วก็ทนดูไม่ได้ครับ ผมต้องหยิบไปทิ้งขยะ ยอมเดินหลายรอบหน่อยเพราะขยะค่อนข้างเยอะ

เจอพี่นิพนธ์และพี่แฟน ผมเล่าเรื่องชาวต่างชาติให้ฟัง ซึ่งพวกเขาก็เห็นด้วยว่า พวกนี้ใช้ไม่ได้ ทำอะไรแล้วไม่รับผิดชอบ พี่นิพนธ์ถามผมว่า เช้านี้จะไปดำหน้ากับอุทยานใช่หรือไม่ ผมบอกว่าใช่ พี่นิพนธ์เสนอว่า

“อยากไปดำน้ำกับเพื่อนไหมล่ะ เดี๋ยวพี่จัดการให้” พี่นิพนธ์พูด

“ก็อยากครับ แต่ผมซื้อตั๋วเรือไปกับอุทยานแล้วน่ะครับ” ผมตอบ

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพี่จัดการให้ จะพาไปจุดดำน้ำใหม่ ชื่อว่า สิ้นคิด ” ว่าแล้ว พี่นิพนธ์ใช้วิทยุสื่อสารบอกลูกน้องว่า เช้านี้ผมจะไปดำน้ำกับซาบีน่าด้วย พอถึงเวลาก็ให้ผมมอบตั๋วเรือกับเจ้าหน้าที่อุทยานไปแต่ให้ไปขึ้นเรือของซาบีน่า

เราเดินมาที่จุด 200 เมตร ผมเจอคุณอานิรนามคนหนึ่ง(ลืมถามชื่อด้วยครับ)มาเที่ยวกันเป็นครอบครัว คุยกันจึงทราบว่า จะกลับกรุงเทพในวันนี้ช่วงบ่ายๆโดยเรือสปีดโบ๊ตแล้วจะไปเที่ยวเขื่อนรัชชประภาต่อ ที่สำคัญลูกสาวของแก น่ารักมากๆเลยครับ(มองมากเดี๋ยวคุณพ่อจะโกรธจนตาเขียวและจะแจกหมัดผมด้วย ฮ่าๆๆๆ)

เอาเป็นว่าผมได้ขึ้นเรือเพื่อไปดำน้ำกับลูกค้าของซาบีน่า(ในขณะที่ผมอาจเป็นเพียงคนเดียวบนเรือที่ไม่ได้มาแบบแพคเกจทัวร์ อาศัยว่าพอมีเส้นครับ ฮ่าๆๆ) เรือลำนี้มีเจ้าวอร์มและเจ้าแบคเป็น Staff เช้านี้เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ออกไปดำน้ำพร้อมกับจูนและส้มซึ่งเช้านี้ ก็เป็นการดำน้ำวันสุดท้ายของ 2 สาว เช่นกัน เพราะพวกเธอจะกลับกรุงเทพในตอนบ่าย นอกจากนี้บนเรือก็ยังมีกลุ่มของป้าอารมณ์(ครอบครัวมีชัย)ด้วยโดยมีหลานของป้าที่ชื่อว่า “น้องไทเกอร์”ซึ่งยังเด็ก ดูทุกคนจะเป็นห่วงมาก

“วอร์มๆ สิ้นคิดนี่อยู่ตรงไหนเหรอ” ผมถาม

“อยู่อ่าวแม่ยายน้อยครับ ที่เรียกว่าสิ้นคิดเพราะว่า เวลามีคลื่นลมแรงๆ มักจะมาดำน้ำกันที่จุดนี้ เหมือนกับการสั่งข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวไงครับ ที่สำคัญจุดนี้มีอะไรดูเยอะนะครับ บางจุดของที่นี่พังไป จนไม่มีอะไรดูแล้วครับ” เจ้าวอร์มกล่าวติดตลก



อ่าวแม่ยายน้อย

ในที่สุดผมก็มาถึงจุดดำน้ำใหม่ที่ชื่อว่า “สิ้นคิด” ระหว่างที่นักท่องเที่ยวแบบแพคเกจลงดำน้ำแบบสน๊อคเกิ้ล ผมเห็นข้อดีสำหรับการท่องเที่ยวแบบแพคเกจซึ่งผมมักจะมองข้ามไปแต่ผมคิดว่าสำคัญสำหรับคนอื่นๆครับ เพราะหากมาเอง เจ้าหน้าที่อุทยานจะไม่ได้ดูแลเรามากนักเวลาลงดำน้ำแต่หากมาแบบแพคเกจเจ้าหน้าที่ของทัวร์จะดูแลตั้งแต่ลงจากเรือตลอดจนพาไปดูว่าจุดไหนมีอะไรดูบ้าง(เรื่องความปลอดภัยไม่ต้องห่วงครับ เขามีเชือกให้เกาะไปด้วย)

จึงไม่ต้องแปลกใจครับว่าเหตุใดบางคนชอบการท่องเที่ยวแบบแพคเกจ บางคน(เช่นผม)ชอบท่องเที่ยวเองไม่พึ่งแพคเกจ ผมเห็นเจ้าแบคประกบป้าอารมณ์และน้องไทเกอร์ ส่วนส้มกับจูนก็ตามติดเจ้าวอร์มเลยครับ

วันนี้มีแดดและน้ำใสมากครับ ผมแหวกว่ายท่ามกลางฝูงปลา หายใจผ่านสน๊อคเกิ้ลอย่างมีความสุข ไม่นานนักปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ก็นำร่างกายที่ตุ๊ยนุ้ยออกมาทักทายผม ต่อด้วยปลาปักเป้ายักษ์หรือปลาปักเป้าจุดดำ(Star Puffer)มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Arothron Stellatus ตัวใหญ่แบบนี้(ใหญ่จริงครับ) แต่ว่ายเร็วเป็นบ้า พอเจอผมก็รีบว่ายหนีไปอย่างรวดเร็ว

เจ้าปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray Eel) กำลังชูคออยู่ด้านล่าง ผมอยากเรียกใครซักคนให้มาดูบ้าง พอดีเจอหนุ่มสาวคู่หนึ่ง(ท่าทางพึ่งจีบกัน) ดูท่าทางพวกเขาก็พึงพอใจไม่น้อยเลย

“ไหนเขาบอกว่าตรงนี้มีปลาการ์ตูน อยากเจอจัง” หนุ่มสาวคู่นั้นบอก

“ไว้เจอแล้วผมจะเรียกครับ” ผมตอบอย่างยินดี(แยกเขี้ยวในใจ แฟนสวยนักนะ ฮึ่ม)

วาจาสิทธิ์จริงๆครับ ไม่นานนักผมก็เจอปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish)และดอกไม้ทะเล(Sea Anemone) จึงเรียกให้พวกเขามาดูอีกครั้งพร้อมอธิบายด้วยว่า

“ตัวใหญ่เป็นตัวเมียนะครับส่วนตัวเล็กๆที่เห็นเป็นตัวผู้ทั้งหมดครับ” ผมอธิบายเล็กน้อย

“จริงเหรอคะ” สาวน้อยทำท่าสนใจ

ผมว่ายสำรวจต่อปล่อยให้หนุ่มสาวจู๋จี๋กันแหละดี เข้าไปยุ่งบ่อยๆ ฝ่ายชายอาจเกิดความหึงหวงก็ได้(ไม่ดีนะครับ ผู้หญิงมีล้นโลก กรุณาอย่าแย่งกัน)

ปะการังที่อ่าวแม่ยายน้อย ค่อนข้างมีลักษณะเป็นหย่อมๆสลับกับพื้นทรายโล่งๆ มีปะการังโต๊ะหรือปะการังแผ่นนอน(Coral Tabulate)และปะการังพุ่ม(Coral Submassive) ส่วนใหญ่ตามก้อนปะการัง ผมเจอเหล่าปลาสลิดหินหลายชนิด เช่น ปลาสลิดหินสามจุด(Three-Spot Dascyllus) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลาสลิดหินม้าลาย(Humbug Dascyllus) เมื่อใดมีแนวปะการัง มีดอกไม้ทะเล สลิดหินมักจะเริงร่าเสมอครับ

เทวดาพึ่งว่ายผ่านผมไป เทวดาองค์นี้มีสีสันสวยงาม มีชื่อว่า ปลาสินสมุทรแว่นเหลือง(Blue-Face Angelfish)พบเฉพาะหมู่เกาะไกลฝั่งเท่านั้น หากเทียบกับเทวดาชนิดอื่น ถือว่าแว่นเหลืองพบได้น้อยครับเพราะถูกจับไปเป็นปลาสวยงามก็ตั้งเยอะ จึงไม่น่าแปลกใจว่าเหตุใดผมถึงตื้นเต้นเพราะครั้งแรกที่เจอกันก็ที่เกาะสุรินทร์นี่แหละครับ

ผละสายตาจากเทวดาก็เป็นผีเสื้อแห่งท้องทะเล เริ่มจากปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish) ปลาผีเสื้อหลังบั้ง(Saddleback Butterflyfish) ปลาผีเสื้อคิ้วดำ(Spotnape Butterflyfish) ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ปลาผีเสื้อลายทแยงครีบดำ(Indian Vagabond Butterflyfish)

จากนั้นเป็นปลาวัวลายส้ม(Orange Triggerfish) ที่แสนจะดูอุ้ยอ้ายแต่จริงๆไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นครับเพราะว่ายน้ำเร็วมาก อีกตัว คือ ปลาขี้ตังเบ็ดหนามส้ม(Orangespine Unicornfish)

นอกนั้นเป็นปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Moon Wrase) ปลานกแก้ว(Parrot Fish) ปลานกขุนทองอกแดง(Redbreast Wrasse) ปลาพยาบาล(Cleaner Wrasse) ปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol)(อย่าลืมนะครับว่า ชื่อคือปลาผีเสื้อแต่จริงๆไม่ได้เป็นปลาผีเสื้อนะครับ) ดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns)

ขึ้นมาบนเรือ ผมอุตส่าห์อวดจูนกับส้มว่าเจอปลามอเรย์และปลาการ์ตูนมาด้วย(สำหรับดำน้ำตื้นก็ไม่ได้เห็นได้ง่ายๆนะครับ) พวกเธอบ่นเสียดายว่าไม่ได้เห็นแต่พวกเธอบอกว่าน้องวอร์มพาไปดูปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ(Harlequin Ghost Pipefish)(ตอนแรกเธอบอกปลาไม้จิ้มฟันครับ ผมอ๋อทันทีว่าคือตัวใดจากการถามรูปร่างของปลา) และปลาปักเป้ากล่องเหลือง(Yellow Box Fish) ผมอึ้งและบอกพวกเธอว่าไม่ต้องเสียดายไปเพราะที่พวกเธอเห็นนั้น ยากแสนยากแม้แต่การดำน้ำแบบ Scuba ก็ยังไม่ได้เห็นได้ง่ายๆ การเห็นจากการดำน้ำตื้นจึงถือว่าสุดยอดและโชคดีมาก

เรือของซาบีน่าแล่นกลับจุด 200 เมตร มีการแจกแตงโมให้ทานด้วย ที่ดำแค่จุดเดียวเป็นเพราะว่าซาบีน่าอยากให้ลูกทัวร์มีเวลาจัดของ ทานข้าว ก่อนที่จะเดินทางกลับฝั่งคุระบุรี สำหรับผมแม้จะดำแค่จุดเดียวก็ไม่รู้สึกเสียดายเลยครับเพราะหากผมมาดำน้ำกับอุทยานคงไม่มีโอกาสได้มาจุดดำน้ำใหม่ที่ค่อนข้างจะสมบูรณ์ น้อยคนนักที่จะได้มา

Wednesday, February 14, 2007

เกาะสุรินทร์….สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล(2)





ช่วงบ่าย จูนกับส้มจะไปดำน้ำตามโปรแกรมของซาบีน่า ส่วนผมเลือกที่จะเดินตามเส้นทางเดิมที่เคยมาทุกๆครั้งในวันแรก คือ การเดินป่ากับเส้นทางศึกษาธรรมชาติไปอ่าวช่องขาด

หลังจากเปลี่ยนกระเป๋าที่เต๊นส์แล้ว ผมเดินมาย่อยอาหาร ถ่ายรูปอ่าวไม้งามที่ในเวลานี้ น้ำลดมาก เห็นเศษหินและปะการังก้อนขนาดใหญ่ โผล่มาเต็มไปหมด ปะการังจำนวนมากหายไป ผมคิดในใจว่า หากในเวลานั้นไม่มีปะการังที่เป็นกันชนหน้าหาด นักท่องเที่ยวจะเป็นอย่างไรบ้างหนอ

ด้านข้างโรงอาหาร มีบ้านที่สร้างใหม่ สอบถามดูจึงทราบว่า นี่คือ สถานที่จัดนิทรรศการนั่นเอง(เหมือนที่อ่าวช่องขาดครับ)

ไม่ไกลนักมีป้ายเตือน “เส้นทางหนีคลื่นยักษ์” เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ทราบว่าหากเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์อีกครั้ง จะได้ทราบเส้นทางหนีภัย

ผมเดินออกไปบริเวณ จุด200 เมตรอันเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางศึกษาธรรมชาติ พบหนุ่มสาวคู่หนึ่ง(ชื่อพี่หมึกกับพี่ออมครับ) เมื่อสอบถามทราบว่าจะไปเดินเส้นทางศึกษาธรรมชาติเช่นกัน ผมจึงอาสาที่จะพาไป ในฐานะที่มาหลายครั้งแล้ว

เส้นทางเดิน ถูกใบไม้กลบจนผมเกือบจำไม่ได้ ต้องเดินกลับไป-มาหลายครั้งกว่าจะหาทางเข้าเจอ(เกือบเสียฟอร์มแล้ว) โดยเส้นทางนี้ มีระยะทาง 2 กิโลเมตร

จากสายตาที่แหลมคมของผม คู่นี้ คงอยู่ในช่วงกำลังจีบกัน ผมคิดในใจว่า คิดถูกแล้วพี่ที่มาสาวมาสวีทที่นี่ โรแมนติคมาก หาดทราย สายลม สองเรา ดำน้ำ ดูดาว(อันหลังนี่เพิ่มให้ครับ)

เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ยังคงมีเสน่ห์อยู่เสมอ บรรยากาศในการเดินผ่านเส้นทางเล็กๆ ติดกับหุบเขา ด้านขวามีวิวที่สวยงาม น้ำทะเลที่นิ่ง สงบ ทำให้ผมต้องหยุดถ่ายภาพบ่อยครั้ง

เรามาถึงอ่าวกระทิง ผมเปลี่ยนจากการเดินบนเส้นทาง ลงมาเดินที่ชายหาด ทรายที่ละเอียด ขาวสะอาดของอ่าวกระทิงบวกกับน้ำทะเลที่ใสสะอาด ทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะต้องลงมาทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นขาไปหรือขากลับ

ที่นี่นอกจากจะมีเหล่าปูเสฉวนและเหล่าปูลมที่พร้อมจะเดินขบวนพาเหรดออกมาให้ถ่ายรูปกันแล้ว(ใช้ฝีมือในการถ่ายให้ได้ก็แล้วกันครับ) ก็ยังมีต้นกระทิงขนาดใหญ่(เขาว่าใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย) ผมรู้สึกว่าต้นกระทิงคราวนี้เตี้ยลงนะ(หรือผมอาจจะสูงขึ้นกว่าคราวก่อนก็เป็นไปได้ครับ)

เมื่อมองเห็นอ่าวช่องขาดอยู่ไม่ไกล ผมออกมาถ่ายรูปในมุมที่คุ้นเคย เห็นความเปลี่ยนไปของอ่าว ตรงกลางมีป้ายปักไว้ เหมือนจะเตือนอะไรซักอย่างด้วยครับ

ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงก็มาถึงอ่าวช่องขาด มีเต๊นส์ตั้งเรียงรายเหมือนเคย ผมเดินออกมาดูป้ายที่ปักไว้ เขียนว่า “ประกาศ อันตราย เนื่องจากบริเวณร่องน้ำ ขณะน้ำขึ้นลง จะมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวและน้ำหมุน ดังนั้นจึงห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าว” จึงตอบคำถามได้ดีว่า บริเวณร่องน้ำที่สมัยก่อน พวกเรามาดำดูปะการังกัน บัดนี้ห้ามลงไปว่ายน้ำแล้วครับ

ผมเดินเข้ามาบริเวณภายในที่ทำการของอุทยานและหาที่นั่งพักหลังจากเมื่อยล้ากับการเดินทาง พี่หมึกเลี้ยงน้ำอัดลมผมด้วย(จะไม่เอาก็ไม่ได้ครับ แกซื้อมาให้แล้ว) ที่นี่มีบริการอินเตอร์เน็ตแล้วในอัตรา ครึ่งชั่วโมง 60 บาท

ผมสนใจเสื้อสวยๆในร้านขายของที่ระลึก เลยดูเล็กน้อย(ลายที่อยากได้ แต่ไม่มีเบอร์ใหญ่ครับ) ผมเดินออกไปถ่ายรูปบริเวณหาด ซึ่งในตอนนี้จะมีสะพานที่สร้างใหม่ไว้เป็นที่จอดเรือ(สมัยก่อนหน้าหาดจะมีเรือจอดเรียงรายไปหมด จะมีคราบน้ำมันด้วย) ผมว่าดีตรงที่ว่าหน้าหาดสะอาดขึ้นมาก สามารถลงเล่นน้ำได้

อาคารนิทรรศการที่พังทลายเพราะคลื่นสึนามิ ตอนนี้ได้ถูกซ่อมแซมใหม่แล้ว มีโปสเตอร์บันทึกความทรงจำของอ่าวช่องขาดก่อนคลื่นยักษ์มาเยือน มีภาพแสดงถึงสัตว์ทะเลที่นักท่องเที่ยวจะพบที่นี่ ไม่ว่าจะเป็น ปะการังอ่อน ฟองน้ำ ปลาสลิดหิน ปลาสิงโต ปลากะรัง(ปลาเก๋า) ปลากะพง ปลาไหลมอเรย์ ปลานกแก้ว ปลาแพะ เม่นทะเล ปลาจิ้มฟันจระเข้ ปลาผีเสื้อ ปลานกขุนทอง หอยมือเสือ ปลากระเบน ปลิงทะเล ปลาการ์ตูน เป็นต้น

ขากลับผมสวนกับกลุ่มสาวๆ คุ้นๆหน้าว่าเจอที่โรงอาหารเมื่อตอนกลางวัน หนึ่งในสมาชิกถามผมว่า

“อีกไกลไหมคะ”

“ไม่ไกลครับ.......แต่จริงๆก็ไกลนะครับ” ผมตอบ เพราะจะว่าไป สำหรับสาวๆ บางคนมันก็ค่อนข้างไกลนะ

ผมกลับมาที่เต๊นส์ (ก่อนหน้านั้นผมได้มาม่าแล้วครับ ติดอยู่ที่คุณป้านั่นเอง) จากนั้นผม เปลี่ยนชุด คว้าหน้ากากและท่อหายใจ ลงไปที่หน้าหาดเพื่อสำรวจปะการังและสัตว์ทะเล น้ำเย็นจริงๆครับ

จากการสำรวจ ผมพบสิ่งที่คล้ายแมงกระพรุนบริเวณพื้นทราย(น่าจะใช่นะครับ) ปลาแพะ เป็นต้น ส่วนปะการังไม่มีเลยครับ คงต้องว่ายออกไปให้ไกลกว่านี้แต่ผมไม่มีชูชีพ ค่อนข้างเสี่ยง พอแค่นี้ดีกว่าครับ

ขึ้นมาอาบน้ำ สั่นสะท้านไปทั้งตัว(จะหาน้ำอุ่นอาบคงยากครับ) ผมมากินข้าวกับจูนและส้มพร้อมกับหนังสือปลาทะเลหลายเล่มและแผ่นปลา

2 สาว ดูตื่นเต้นมาก ต่างก็บอกผมว่าได้เห็นอะไรๆมาบ้างในวันนี้ บางตัวที่มีผมก็อ๋อ ถูกครับ บางตัวไม่มีแน่ๆ ผมก็ว่า ไม่น่าจะใช่นะครับ(เธอบอกอีกว่า วันนี้ไปดำน้ำมาที่อ่าวสุเทพ เกาะมังกรและอ่าวไม้งาม บางจุดน้ำค่อนข้างขุ่น บางจุดมีแมงกระพรุน และเจอปลาอะไรอีกมากที่เธอไม่รู้จัก)

ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องยอมรับว่า พวกเธอดูจะมีความสุขมาก เช่นกันครับ พวกเธอก็ทำให้การเดินทางตามลำพังของผม คลายความเหงาลงไปเยอะเลยครับ

ผมพยายามติดต่อพี่นิพนธ์ให้ได้ เพราอยากจะคุยเกี่ยวกับการดำแบบ Scuba ในวันรุ่งขึ้น จึงขอร้องเจ้าหน้าที่ว่า ถ้าเจอพี่นิพนธ์กรุณาเรียกผมด้วยนะครับ

ไม่นานนัก สาววัยกลางคน นามว่า พี่นิด ได้เข้ามาคุยกับผม ผมบอกถึงความประสงค์ว่า ถ้าเป็นไปได้ อยากดำ 2 ไดฟ์ในช่วงเช้าเพื่อที่ในช่วงบ่าย จะได้ดำ Snorkel ต่อ วันต่อมาก็ดำแบบ Snorkel ทั้งวัน วันสุดท้ายก็ได้ดำในช่วงเช้า ทำให้ผมสามารถดำน้ำแบบ Snorkel ครบทั้งโปรแกรม(ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็ไม่เป็นไรครับ) (อยากดำน้ำให้คุ้มที่สุดครับ)

จากนั้น พี่นิพนธ์ก็มาคุยด้วยตนเอง บอกผมว่าพรุ่งนี้เช้าให้เจอกันประมาณ 8 โมงเช้า(ทานอาหาร 7 โมงเช้า) จุดดำน้ำ อาจจะเป็นแหลมแม่ยายและร่องตอรินลา(จุดไหนก็น่าตื่นเต้นทั้งนั้นครับ)

จูนและส้มแยกย้ายกันไปพักผ่อน ผมเห็นว่ายังไม่ดึกมาก จึงใช้เวลาในการเขียนเรื่องราว ทำ Short Note ไว้ ได้ยินโต๊ะข้างๆคุยกันแต่เรื่องสัตว์ทะเล ก็รู้สึกยินดีครับ บางคนก็เข้ามาขอยืมหนังสือของผมไปอ่าน เป็นการสร้างมิตรภาพใหม่ๆไปโดยไม่รู้ตัว

ก่อนนอน ผมนำมาม่าแบ่งไปให้จูนและส้มเพราะได้ยินเธอบ่นว่าถ้าดึกๆหิวจะทานอะไร?(สายตาก็สั้น มืดก็มืด ยังริอาจจะเอาของไปให้สาว เกือบทักผิดเต๊นส์แล้วไหมล่ะ ฮ่าๆๆๆๆ)

คืนแรกบนเกาะที่รัก ผมนอนกางแขน กางขาในเต๊นส์อุทยานที่ค่อนข้างใหญ่ นอนหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน มีความสุขมากครับ ไม่รู้สึกเหงาเลยแม้แต่น้อย



31 ธันวาคม 2549

นอนหลับสบายมากๆ ผมตื่นมาถ่ายรูปบรรยากาศหน้าอ่าวไม้งาม เช้าวันนี้น้ำค่อนข้างนิ่ง เงียบสงบดีจริงๆ ผมจัดอุปกรณ์ลงกระเป๋า สำหรับร่างกายแล้วเป็นธรรมเนียมว่า หากวันไหนออกไปดำน้ำผมไม่เคยอาบน้ำตอนเช้าเลย(เดี๋ยวก็ลงทะเลแล้วครับ จะรักษาความสะอาดอะไรนักหนา ฮ่าๆๆ )

ผมเดินไปโรงอาหารเจอคุณป้าอีกครั้ง(ที่ติดรถมาลงท่าเรือ) เธอชื่อ ป้าอารมณ์ พาพี่น้อง ลูกๆหลานๆมาจากจังหวัดนครศรีธรรมราช มาเที่ยวเกาะสุรินทร์เป็นครั้งแรก(ครอบครัว มีชัย) คุณป้าบอกว่าเห็นหลานๆลงเล่นน้ำก็มีความสุข แกบอกว่าส่วนตัวไม่กล้าลงน้ำเพราะกลัว คุณป้ายังบอกอีกว่าเธออาจแก่เกินไปแล้ว ผมเลยบอกไปว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเพราะสวมชูชีพยังไงก็ปลอดภัยครับ

เช้านี้อาหารของผม คือ มาม่า(ไม่กล้ากินอะไรเยอะ กลัวให้อาหารปลาครับ) จากนั้นผมเดินไปหาพี่นิดและพี่นิพนธ์ซึ่งทั้ง 2 คนนัดหมายเวลาผมอีกครั้งหนึ่ง(ดูท่าทาง ผมคงไม่ได้ดำสน๊อคเกิ้ลในวันนี้แล้ว แต่ก็ไม่เป็นไรถือเป็นประสบการณ์ใหม่ๆครับ)

เดินไปหา 2 สาวดีกว่า จูนและส้มกำลังจัดข้าวของอยู่ในเต๊นส์ ก่อนที่จะออกมารับประทานอาหารเช้า ใกล้โรงอาหารในตอนนี้มีชาวบ้านมอแกนนำสินค้าออกมาขาย ผมค่อนข้างจะสนใจเรือไม้เป็นพิเศษ(เพื่อนฝากซื้อด้วยครับ) เด็กๆมอแกนน่ารัก ค่อนข้างจะยิ้มง่ายมาก เจอรอยยิ้มของผมเป็นอันเสร็จ อายม้วนทุกราย ฮ่าๆๆๆ(วันนี้ หัวงูลาป่วยไม่ได้ทำงานครับ)

ตอนแรกว่าจะนั่งเป็นเพื่อนจูนและส้มเฉยๆแต่ข้าวต้มหมูก็ช่างเย้ายวนอีกทั้ง 2 สาวก็คะยั้นคะยอให้ผมทานเพราะมีอีกมาก ก็เลยไม่เกรงใจล่ะครับ อร่อยมากทีเดียว

ผมซื้อเรือจากคุณป้าชาวมอแกน ดูแกพยายามพูดให้ผมเข้าใจ แม้บางคำผมจะฟังไม่รู้เรื่องก็ตามแต่ก็รู้สึกได้ว่าแกจะพยายามไม่พูดคำยากๆออกมา

ตอนนี้เริ่มมีคนมารุมล้อม มาเลือกซื้อสินค้าเต็มไปหมด ผมเห็นฝรั่งคู่รักมาดเซอร์ 2 คน สวมหมวกแบบแฟนตาซีกำลังดูเรือที่พึ่งซื้อมา(ค่อนข้างมีแนวมาก) อดไม่ได้ที่จะต้องแอบถ่ายภาพพวกเขามาครับ

กลับไปเก็บเรือที่เต๊นส์ ก่อนเปลี่ยน Wet suit ยาว ที่แบกมาจากกรุงเทพ(ซื้อมาทั้งทีต้องใช้ประโยชน์ครับ) เมื่อพร้อมแล้วก็เดินไปหาพี่นิพนธ์ แกให้ผมลอง BCD และ Fin ลองจนเข้าที่ก็ขนของไปขึ้นเรือที่หน้าหาดไม้งาม

ที่นี่เรือไม้ของซาบีน่าได้มารอผมอยู่แล้ว วันนี้จะมีแขกออกไปดำน้ำแบบ Scuba 2 คน(รวมผมด้วย) นอกจากพี่แฟน หนุ่มผิวเข้มซึ่งเป็น Staff แล้ว ก็ยังมีพี่คนขับเรืออีก 1 คนและพี่นิพนธ์

เรือหางยาวค่อยๆแล่นออกไปอย่างช้าๆ มุ่งหน้าสู่เกาะสตอร์ค เกาะที่อยู่ไกลที่สุดในเขตอุทยานแห่งชาติ(ถึงแม้ว่ากองหินริเชลิวจะถูกรวมให้อยู่ในความดูแลของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์แล้วแต่นั่นเป็นกองหินครับไม่ใช่เกาะ) สตอร์คเป็นจุดดำน้ำที่คนมักจะเจอฉลามวาฬ (Whale Shark)กระเบนราหู(Manta Ray) ปลาสาก(Baracuda)และปลากลางน้ำแปลกๆ บ่อยครั้ง คราวก่อนผมแค่มาดำสน็อคเกิ้ลยังเจอฝูงปลาสาก(เห็นฟันคมมาก)ในระยะค่อนข้างประชิดและยังมีเต่ากระและปลาไหลมอเรย์อีก วันนี้น้ำค่อนข้างนิ่ง ท่าทางผมจะโชคดีซะแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ

ชายหนุ่มวัยกลางคนที่มาหลังสุดท่าทางอารมณ์ดีนั้น ชื่อว่า พี่หมู มาจากกรุงเทพ จะกลับบ่ายวันนี้แล้ว ซึ่งสาเหตุที่ต้องมาดำต่อในวันนี้(เมื่อวานพี่หมูออกมาดำ Scuba แล้ว)เพราะว่า ช่วงบ่ายเราจะไปดำน้ำที่ร่องตอรินลากัน(ตอรินลาเป็นร่องน้ำ ขึ้นชื่อว่าเป็นร่องน้ำมักจะมีปลาแปลกๆมาให้ยลโฉมอยู่เสมอ เคยมีคนเจอกระเบนราหู แค่ดำน้ำสน็อคเกิ้ลก็เห็นแล้ว) เมื่อวานนี้พี่หมูเจอปลาโรนัน(White-Spotted Guitarfish)นอนอยู่บนพื้นทรายที่นี่ด้วย(พูดจบก็บอกให้พี่นิพนธ์โชว์รูปในกล้องดิจิตอลที่ถ่ายไว้ได้) ผมตื่นเต้นมากเพราะโรนันเป็นปลาหายาก มักกินสัตว์หน้าดิน จนถูกอวนลากไปบ่อยๆ เราจึงเห็นโรนันได้น้อยลง ผมกล้าพูดว่านักดำน้ำสามารถเห็นฉลามวาฬและกระเบนราหูง่ายกว่าโรนันเสียอีก(ถ้าเป็นโรนินยิ่งแล้วใหญ่ อันนั้นยากมหายากครับ)

“ด้านโน้น คือ เบอร์ม่าแบงค์ จุดดำน้ำที่มีชื่อเสียง ในทะเลพม่า ที่มีคนพบฉลามบ่อยๆนั่นแหละ” พี่นิพนธ์ชี้ให้ผมเห็นถึงเกาะๆหนึ่ง ชื่อนี้ผมได้ยินมานานแล้ว จากหนังสือท่องเที่ยว

ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกครับเพราะจากจุดที่ผมอยู่ นั่งเรือออกไปไม่ไกลก็เป็นทะเลพม่าแล้ว มักจะมีเรือต่างสัญชาติแอบลักลอบเข้ามาจับปลาบ่อยๆ แม้ทางอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์จะมีการระมัดระวังในเรื่องนี้แล้วแต่ก็ยังมีลักลอบเข้ามาอยู่ดี(มักจะมาตอนเราไม่ได้สอดส่องนั่นแหละครับ) ปลาการ์ตูนส้มขาว ขายตัวละ 20 บาท โชคดีว่าปลาการ์ตูนชนิดอื่นๆยังไม่ได้รับความนิยมเท่า เลยยังเห็นได้มากที่เกาะสุรินทร์ ปลาสินสมุทรขายตัวละ 5,000 บาท(ฟังดูแล้วเศร้าใจไหมเอ่ย ผมยังรู้สึกเศร้าเลยครับ คราวหน้าจะเหลือปลาอะไรให้ผมดูบ้างเนี่ย )

สำหรับโครงการอัปยศบ้านทาร์ซาน(เป็นโครงการจากรัฐบาลที่แล้วครับ) ที่ผมเรียกว่าอัปยศเพราะว่า เขาจะสร้างบ้านพักบริเวณอ่าวกระทิง อ่าวที่ผมชอบมากมีปูลม ปูเสฉวน มากมาย เหยียบบนผืนทรายทีไรแสนจะมีความสุข(แว่วๆมาว่าโครงการนี้ยังไม่เลิกด้วยครับ มีแนวโน้มจะสร้างต่อ) ผมภาวนาขอให้โครงการนี้ล้มเลิก อย่าสร้างบ้านพักที่นั่นเลยครับ อ่าวกระทิงตอนนี้ก็สวยงามดีอยู่แล้ว อย่าสร้างอะไรให้มันแปดเปื้อนเลยครับ

ส่วนสะพานท่าเทียบเรือที่สร้างขึ้นบริเวณอ่าวช่องขาด(ที่ผมเดินไปเมื่อวานนั่นแหละครับ) เห็นว่าใช้งบในการสร้างตั้ง 150 ล้าน แน่ะ(จริงๆน่าจะน้อยกว่านั้น) ถ้าผมเป็น ค.ต.ส. ผมจะปราบคนโกงให้เรียบเลย!!!

อีกเรื่อง คือ เสื้อสวยๆจากร้านขายของที่ระลึก มีคนเล่าว่าหัวหน้าอุทยานแห่งชาติคนปัจจุบันทำเสื้อมาขายเอง รายได้แทนที่จะได้เข้าอุทยานก็เลยไม่ได้เข้า(ผมไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริงก็น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่งครับ)

พี่หมูบอกว่า เคยไปดำน้ำที่สิปาดัน ที่นั่นเขามีการจัดการที่ดีมากๆ รักษาทรัพยากรธรรมชาติ อยากให้บ้านเราทำแบบนั้นบ้าง(คงเคยได้ยินว่า มีรีสอรท์เอกชน ที่ต้องย้ายออกไปตั้งอีกที่โดยคำสั่งจากรัฐบาลเพื่อรักษาทรัพยากรธรรมชาติ แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลของเขามีความจริงจังในการแก้ปัญหามากครับ)

พี่นิพนธ์ชักชวนผมให้มาเรียน Skill กับแก(พี่นิพนธ์มีลูกศิษย์หลายคนมาจากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ หลายคนลงมาช่วยเก็บขยะ ตัดอวนโดยเฉพาะ ที่สำคัญพวกเขาเหล่านั้นออกค่าใช้จ่ายส่วนตัวเองทั้งหมด) หากมีเวลาว่างผมอยากลงมาช่วยตัดอวน เก็บขยะบ้างซึ่งผมก็ยินดีครับ เป็นสิ่งที่ผมอยากจะทำอยู่แล้ว(ปะการังที่เกาะสุรินทร์ บางจุดค่อนข้างตื้นครับ หากควบคุมร่างกายไม่ดี อาจทำให้ปะการังเสียหายได้)

เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้งคนอย่างผม เมื่อเรือมาถึงเกาะสตอร์ค น้ำกลับปั่นป่วน มีคลื่นรุนแรง (ผมต้องประกอบแท๊งค์บนเรือหางยาวที่โคลงเคลงไปมา ค่อนข้างยากลำบากมากครับ ต้องให้พี่แฟนช่วยประกอบ) พี่นิพนธ์ขอเวลาซักครู่เพื่อลงไปดูน้ำบริเวณนี้ว่าพอจะลงได้ไหม พูดจบแกก็โดดตูมลงไป

“ลงไม่ได้แน่ อย่าลงเลยครับ ลงไปก็ไม่เห็นอะไร ผมเห็นน้ำด้านล่างเป็นวุ้นเลยครับ” พี่นิพนธ์บอก

ด้านล่างของเกาะสตอร์คในเวลานี้ น้ำที่เป็นวุ้นหมายถึง กระแสน้ำเย็นจนเห็นได้ชัดว่าในแต่ละชั้นของน้ำมีระดับอุณหภูมิที่แตกต่างกัน ระดับความใสของน้ำอาจแค่ 1- 2 เมตร(แบบพัทยาตอนขุ่นมากๆเลยล่ะครับ)

เรือเปลี่ยนเป้าหมายไปที่อ่าวแม่ยายแทน แม้ผมจะผิดหวังอยู่บ้างแต่ก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้จริงๆครับ ของแบบนี้มันเป็นเรื่องของโชคชะตา(ซึ่งผมก็ไม่ค่อยมีอยู่แล้วด้วย) คิดในแง่ดี ก็ดีกว่าไม่ได้ดำน้ำแล้วกันครับ



Dive 1 ทักทายปลาผีเสื้อรูปไข่

เรือมาถึงบริเวณอ่าวแม่ยาย น้ำนิ่งมาก(นิ่งแบบตอนออกมาเลยครับ) ผมเล่าให้พี่นิพนธ์ฟังว่า ผมมีปัญหามาแล้วครั้งหนึ่งตอนไปดำน้ำครั้งล่าสุดที่ชุมพรคาบาน่า Wet Suit ยาวทำให้ตะกั่วที่เคยใช้ในระดับ 5 ก้อน แต่ไม่สามารถทำให้ร่างหายของผมจมลงไปด้านล่างได้ ทำให้หลงฝูง(หลงกลุ่มครับ คนนะไม่ใช่วัว) (สมัยก่อนที่ใช้ Wet Suit สั้น ผมใช้แค่ 4 ก้อนเท่านั้นเอง)

“ใช้ 6 ก้อนแล้วกัน แฟน ใส่ตะกั่วใน BCD ให้น้องอีก 2 ก้อนหน่อยครับ” พี่นิพนธ์พูด

เป็นอันว่า 6 ก้อนสำหรับผมเพียงพอที่จะทำให้ ดำน้ำอย่างมีความสุข พี่นิพนธ์บอกผมให้ดูพี่แฟนไว้ ส่วนพี่หมูจะอยู่กับพี่นิพนธ์(แกว่าพี่แฟนดำน้ำเร็วครับ) และนี่จะเป็นการทดสอบว่านาฬิกาที่พี่ส้วมให้ยืมมาจะสามารถกันน้ำได้หรือไม่ ผมทำท่า Back Row เสียงน้ำดัง “ตูม”

ด้านล่างผมเจอเหล่าปลาสลิดหินที่บ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์ของแนวปะการัง เช่น ปลาสลิดหินกลมสีทอง(Golden Damsel) ปลาสลิดหินดำหางส้ม(Philippine Damsel) ปลาสลิดหินเอวดำ(Dick ‘ s Damsel)

จากนั้นเป็นดงปะการังผักกาดหรือปะการังแผ่นตั้ง(Coral Foliose)ซึ่งมีสีทอง สูงเป็นชั้นๆ ผมไม่เคยเห็นที่ไหนเลย นอกจากที่นี่ ดูไปก็ตะลึงกับความงดงามไปครับ

น้ำค่อนข้างจะเย็นมาก ขนาดผมใส่ Wet Suit ยาว ยังรู้สึกถึงความเย็นที่เข้ามาปะทะใบหน้า เป็นอย่างที่ใครๆว่าไว้จริงๆครับว่าปีนี้น้ำเย็นมาก(เป็นผลมาจากปรากฎการณ์ลานิลญ่า)

ดูเพลินมากก็ไม่ได้ครับเพราะน้ำก็ไม่ได้ใสกิ๊กแบบสิมิลันหันไปยังเห็นพี่หมู หันไปอีกทีไม่เจอแล้ว ผมจึงต้องตามพี่แฟนต่อไปครับ(พี่หมูแกมีชั่วโมงบินสูงกว่าผม เพราะฉะนั้นห่วงตัวเองก่อนเถอะครับ ไม่งั้นอาจต้องอยู่คนเดียว ฮ่าๆๆ)

สินสมุทรสุดเท่ออกมาโชว์ตัวครับ พวกเขาคือ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ์(Emperor Angelfish) พบได้ในอันดามันบ่อยกว่าอ่าวไทย(บริเวณที่มีแนวปะการังที่สมบูรณ์ด้วยครับ) จากนั้นเป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Blackspotted Puffer) ว่ายแบบตุ๊ยนุ้ย ช้าๆ บางตัวแอบอยู่ตามซอกแต่ก็ไม่สามารถรอดพ้นจากสายตาของผมไปได้ครับ

ด้านหน้ามีปะการังเขากวาง(Coral Branching) ใกล้ๆมีดาวมงกุฎหนาม(Crown-of-Thorns) มีสีน้ำเงินซึ่งกำลังกัดกินปะการังอยู่ ดาวมงกุฎหนามมักจะตกเป็นจำเลยสังคมอยู่เสมอๆ ซึ่งจริงๆพวกเขามีข้อดีเหมือนกัน มนุษย์ซิครับ ร้ายกว่าพวกเขาตั้งเยอะ

ต่อมาเป็นคิวของปลาผีเสื้อ เช่น ปลาผีเสื้อรูปไข่(Pinstriped Butterflyfish) ตัวป้อมๆรูปร่างเหมือนไข่เลยทำให้จดจำได้ง่ายมาก เป็นปลาผีเสื้อชนิดที่หาดูไม่ง่าย แต่พบได้บ่อยที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์(เยอะจริงครับ) อีกชนิด คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-Banded Butterflyfish) ซึ่งพบได้ในทุกๆสภาพของน้ำ

ฝูงปลาข้างเหลืองว่ายผ่านไป ผมเห็นปลาผีเสื้อเทวรูป(Moonrish Idol)(ชื่อไทยใช่แต่จริงๆเขาไม่ใช่ปลาผีเสื้อนะครับ) เป็นปลาในครอบครัว Zanclidae ทั่วโลกมีอยู่ชนิดเดียวเป็นญาติสนิทกับปลาขี้ตังเบ็ดและปลาสลิดทะเล จากนั้นเป็นปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish) ปลาที่อยู่ในครอบครัวเดียวกับปลาผีเสื้อ คือ Chaetodontidae

ผมเจออุปกรณ์ที่อยู่ผิดที่ผิดเวลาอย่างคีม ตกอยู่บนปะการัง ใกล้ๆมีฟองน้ำครก(Barrel Sponge)อยู่ด้วย พยายามที่จะหยิบมันขึ้นมาแต่มันติดแน่นมาก แถมมีเพรียงเกาะเต็มไปหมด ขืนดื้อดึงเดี๋ยวมือผมเองนั่นแหละที่จะโชกเลือด เลยต้องปล่อยไว้ รอผู้ใจบุญมาช่วยเก็บ

ด้านหน้ามีท่อหายใจ(Snorkel)ตกอยู่(ไม่ใช่ของผมแน่นอนครับ ตกครั้งเดียวพอแล้วครับ) พี่แฟนจึงเก็บมันขึ้นมา จากนั้นแกยื่นสเล้ดบอรด์มาให้ผมดู เขียนว่าทำ Safty Stop ที่ 5 เมตร 2 นาที(แบบนี้ก็เจ๋งอีกแบบครับ ไม่ต้องทำสัญญาณใต้น้ำ) ว่าแต่พี่แฟนแกดำเร็วจริงๆครับ ผมละสายตาจากแกไม่ได้เลยแม้แต่นาทีเดียว ไม่งั้นซวยแน่ครับ ฮ่าๆๆๆๆ

เยี่ยมครับ นาฬิกาของพี่ส้วมใช้ได้ดี น้ำไม่เข้า แถมผมสามารถดูเวลาในการทำ Safty Stop ได้เอง ไม่ต้องคอยดูคนข้างๆ อีกต่อไป(การันตีได้ว่า ผมทำครบ 5 นาทีครับ) มีนาฬิกาใต้น้ำมันดีแบบนี้นี่เอง ต้องหาซื้อให้ได้(อาจเป็น Dive Computer ไปเลยก็เป็นได้ครับ)

ขึ้นมาด้านบนจึงทราบว่าตะกั่วของผมหลุดไป 1 ก้อน(ดูจากรอยยิ้มที่เป็นมิตรของพี่ๆ ท่าทางผมคงไม่ต้องเสียเงินค่าตะกั่วแล้วครับ ฮ่าๆๆๆ)

พี่หมูกับพี่นิพนธ์เล่าให้ผมฟังว่าเจอปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish)และปลาค้างคาว(Pinnate Batfish) พี่นิพนธ์บอกอีกว่าเจอปลาค้างคาวในวัยเด็ก ซึ่งเห็นได้ยากมากอีกด้วย(โชคดีมาก) นอกจากนี้ก้ยังมีปะการังอ่อน(Soft Coral)ในกระป๋องเบียร์ด้วยครับ(จะเหมือนปูเสฉวนแก้วที่สิมิลันหรือเปล่าหนอ) พี่นิพนธ์บอกอีกว่าปะการังอ่อนที่นี่สวยคนละแบบกับสิมิลันผมชักอยากเห็นเสียแล้วซิ แต่ยังไงฟังไปก็อิจฉาไปครับ

ที่จุด 200 เมตร เมื่อน้ำลดลงต่ำ เราต้องเดินลุยน้ำเพื่อเข้าไปที่หาด ต้องหลบเลี่ยงปะการังและดอกไม้ทะเล บางที่ยังเป็นต้นๆเล็กๆอยู่เลยครับ(จำได้ว่าสีเหลือง) ซึ่งถ้าในอนาคตมีการสร้างสะพานขึ้น คงจะช่วยรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้มากกว่านี้ครับ

Monday, February 12, 2007

เกาะสุรินทร์….สุดยอดระบบนิเวศทางทะเล(1)





หากมีคำถามว่าแหล่งดำน้ำที่ใดในประเทศไทยดีที่สุด สำหรับคนที่ไม่ได้ท่องเที่ยวเป็นประจำ คงจะตอบได้ยาก เพราะเมืองไทย มีแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงามอยู่หลายที่

แต่หากถามกลุ่มบุคคลที่รักในการท่องเที่ยวทางทะเลเป็นประจำแล้ว เชื่อได้ว่าคงตอบได้ไม่ยาก สุดยอดการดำน้ำแบบ Scuba คือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ. พังงา สุดยอดการดำน้ำแบบ Snorkeling คือ อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ จ. พังงา

ผมเห็นด้วยกับพวกเขาเหล่านั้น คำว่า “ดีที่สุด” ในที่นี้ไม่ได้เอาตัวผมเป็นที่ตั้งอย่างเดียวนะครับ เราดูจากความหลากหลายทางชีวภาพ ความยาก-ง่ายในการพบเจอสัตว์ทะเล เมื่อเปรียบเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอื่นๆในเมืองไทยตลอดจนเสียงลือเสียงเล่าอ้างจากบุคคลที่ได้ไปสัมผัสกับสถานที่จริงๆ

ผมมีความทรงจำที่ดีกับหมู่เกาะสุรินทร์เสมอ โดยไปมาครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคม 2546 และครั้งที่สอง เดือนเมษายน 2547 แน่นอนว่าแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมุ่งมั่นที่จะไปที่นี่ให้ได้เกิดจากข้อมูลการท่องเที่ยวเกาะสุรินทร์ใน
http://www.talaythai.com/ และมหากาพย์เกาะสุรินทร์ ในนิตยสาร ATG ฉบับที่ 59 ปี 2545

ปลายปี 2547 หลังเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ ผมก็ไม่ได้กลับไปยังเกาะที่ผมทั้งรัก ทั้งหลงอีกเลย(การไป-มาหลายครั้ง คงตอบคำถามได้เป็นอย่างดีว่าที่นี่มีความ “พิเศษ” อย่างไร)

ผมเกือบจะได้กลับไปที่นี่ในเดือน เมษายน 2548 ด้วยความที่ยังไม่มีงานทำ การเก็บเงินจึงค่อยๆเป็น ค่อยๆไป ผมเลือกที่จะเรียนดำน้ำแบบ Scuba ทำให้หมดเงินที่จะไปท่องเที่ยวที่อื่นๆ ส่วนอีกครั้งหนึ่งในต้นเดือนพฤษภาคม 2549 ก็พลาดไปอีกเพราะในปีนั้นเกาะสุรินทร์ปิดเร็วกว่าทุกๆปี(เขาบอกว่า เป็นผลมาจากคลื่นยักษ์สึนามิครับ) ผมจึงเลือกไปท่องเที่ยวทะเลกระบี่แทน

จากนี้ไป ผมจะไม่ยอมพลาดอีกแล้ว ผมอยากไปสำรวจเกาะที่ผมรัก หลังคลื่นสึนามิพัดผ่านอีกครั้งว่า จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด ผมอยากไปดำน้ำแบบ Snorkeling สังเกตปลาผีเสื้อให้มากที่สุด(ที่นี่มีปลาผีเสื้อหลากหลายที่สุดในทะเลไทยครับ) ตามจุดดำน้ำต่างๆที่ผมคุ้นเคยดีอยู่แล้ว

แต่คราวนี้ ผมมีโปรแกรมที่จะไปดำน้ำแบบ Scuba ด้วย(พี่หนึ่ง สาวนักดำน้ำ เล่าให้ผมฟังว่าเคยไปดำแบบ Scuba ที่นั่น) ฟังดูอาจเป็นเรื่องตลกสำหรับมนุษย์กบคนหนึ่ง เพราะที่นี่เด่นที่สุดในเรื่องการดำน้ำตื้น หากจะดำแบบ Scuba ทำไมถึงไม่ไปสิมิลัน กองหินริเชลิว เกาะบอน เกาะตาชัย อยู่กับเรือแบบ Liveaboard ไม่ดีกว่าหรือ? ประหยัดกว่าด้วยหากคิดจำนวนเป็น ไดฟ์ ต่อ ไดฟ์

พูดไปก็ถูกครับ แต่ไม่ทั้งหมดเพราะจากที่ผมค้นคว้าหาข้อมูลการสำรวจของกลุ่ม ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์กับเหล่าลูกศิษย์ ที่นี่มีอะไรดีๆ เยอะจนหลายๆคนคาดไม่ถึง(เพราะเข็มขัดสั้น) (ล้อเล่นครับ ลูกปลาค้างคาวที่อ่าวผักกาด ปลากระเบนราหู(แมนต้า) ปลานกแก้วหัวโหนก ปลานกขุนทองหัวโหนก(ปลานโปเลียน) ที่ตอรินลา ปลาสินสมุทรพันธุ์หายาก(มาก) และปลาหายากอื่นๆ ที่รอการค้นพบอีกหลายชนิดครับ(แค่เกริ่น ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าสิมิลันเลยครับ)

ผมเลือกไปในช่วงวันปีใหม่แม้ผมจะรู้ดีกว่า หากคนมาก(ล้นเกาะ)ความสนุกจะลดน้อยลงแต่เป็นสิ่งที่ผมหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับเพราะด้วยจำนวนวันหยุดที่ยาว เหมาะสมกับการนอนค้างบนเกาะ 3 คืน นอกจากช่วงนี้ผมก็ยังมองไม่เห็นว่าจะไปช่วงไหนได้อีกโดยไม่ต้องลางาน(ลางานลำบากมากครับ ลาหยุดพักผ่อนก็ยังไม่ได้เลย)

ผมต้องเตรียมตัวล่วงหน้า ไม่ว่าจะเป็นการซื้อตั๋วรถทัวร์(ขนาดผมไปซื้อตั๋วล่วงหน้า 30 วัน ยังเหลือแค่บริษัท ขนส่ง เท่านั้นครับ (โล่งอกจริงๆ ได้ไปแล้ว) แถมได้ตั๋วราคาถูกกว่าธรรมดาด้วย เพราะเป็นช่วงที่เขาลดราคาตั๋วให้ประชาชนกลับไปเยี่ยมพ่อเนื่องในวันพ่อแห่งชาติครับ) ที่เหลือก็เป็นการจองตั๋วเรือและการจองเต๊นส์ซึ่งก็ไม่มีอะไรยากครับ(อดไปลิกไนท์ ทัวร์ แต่ดีกว่าไม่ได้ไปแล้วกันน่ะ)

ที่ช้าก็เพราะผมต้องรอเพื่อนตัดสินใจ เมื่อตัดสินใจช้า มีความยึกยักสูง(ทำเอาข้าพเจ้าเกือบไม่มีรถไป ความฝันพังทลายทันที) ผมจึงไม่ลังเลที่จะไปท่องเที่ยวเพียงคนเดียวอีกครั้งหนึ่ง

ก่อนออกเดินทาง มีข่าวคลื่นลมที่รุนแรงมากในฝั่งอ่าวไทย มีเล็กน้อยที่ฝั่งอันดามัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ผมกังวลใจ ถึงขนาดที่ต้องยกเลิกการเดินทางไป

แม้คลื่นสึนามิจะสร้างความเสียหายให้กับหมู่เกาะสุรินทร์ บางจุดเราไม่มีทางได้เห็นอีกเลยตลอดชั่วชีวิต บางจุดไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แต่ผมยังมั่นใจว่าที่นี่ยังมีดีเสมอ

หากไม่เชื่อผมจะพาทุกท่านไปพิสูจน์กันครับ

29 ธันวาคม 2549

เช้านี้ผมตื่นสาย เมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็ตี 3 กว่า เพราะต้องรอกล้องดิจิตอลจากคุณแม่ที่พึ่งกลับจากท่องเที่ยวเมืองจีน(ขืนไปโดยไม่มีกล้อง ก็ไม่มีภาพถ่ายมาฝากทุกท่านซิครับ)

เป้ใบใหญ่สีเขียว ยังเป็นเพื่อนซี้ของผมในยามนี้เสมอๆ เพราะบรรจุของได้เยอะ(จนอ้วน) ผมสามารถยัดกระเป๋าเป้อีกใบที่เต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทะเลได้และยังมีหน้ากาก(Mask) ท่อหายใจ(Snorkel) เว็ทสูท(Wet Suit) แบบยาว(ลองนึกดูครับว่ายัดเข้าไปได้อย่างไร)

อุปกรณ์ที่เพิ่มเข้ามาในครั้งนี้ คือ นาฬิกาสำหรับดำน้ำ(ยี่ห้อดัง ราคาแพงซะด้วย) ที่พี่ส้วม(พี่อลงกต) เพื่อนของพี่ชายคนโตให้ยืม โดยต้องการให้ผมนำไปเพื่อดำน้ำโดยเฉพาะ(ถึงแกจะบอกว่า น้ำเข้าไม่เป็นไร ส่งซ่อมฟรี แต่ผมก็ไม่อยากให้น้ำเข้าอยู่ดีครับ)

ไม่ต้องคิดมากครับ หา Taxi ได้ก็รีบขึ้นไปเถอะ ประหยัดแรงไปได้เยอะ เมื่อแบกเป้มาแบบนี้ แน่นอนว่าต้องตกเป็นจุดสนใจอย่างไม่ต้องสงสัย ยิ่งพอทราบว่าไปคนเดียว หลายๆคนก็ต้องคิดว่า “มันบ้าหรือเปล่าวะ” แต่นี่แหละครับ คือ ตัวผม หากรอแต่เพื่อนว่างพร้อมกัน แล้วค่อยไปเที่ยว คงพลาดโอกาสดีๆไปอีกมากครับ

คราวนี้รถออก 2 ทุ่ม แต่ก็ต้องรีบครับเพราะช่วงปีใหม่คนกลับบ้านเยอะมาก ไปเที่ยวก็ไม่น้อย ขนาดรีบออกยังใช้เวลาเดินทางจากที่ทำงานย่านราชดำเนินไปสายใต้ 1 ชั่วโมง 30 นาที แน่ะ

คนครับ คนทะลักสายใต้ ไม่แพ้ที่หมอชิตใหม่แน่นอน ผมเดินเข้าไปสอบถามว่า รถจะมาที่ชานชะลาไหน เพื่อป้องกันความยุ่งยากก่อนออกเดินทาง

เดินออกไปหาร้านอาหาร(หาที่นั่งพักด้วยครับ หนักหลังมาก) เจอร้านอาหารแบบปักษ์ใต้ เลยสั่งมาทาน เจ้าของร้านหูไม่ดี หรือผมลิ้นคับปากสั่งไม่รู้เรื่องก็ไม่ทราบ เพราะสั่งผัดผักกับกุ้งหวาน แกเอาผัดผักกับคั่วกลิ้งแสนเผ็ดมาให้

โทรกลับบ้านจึงทราบว่าคุณแม่ติดหวัดจากเพื่อนๆในทริปเมืองจีน โชคดีที่มีคุณพ่อคอยดูแลอยู่ ผมช่างเป็นลูกที่เลวจริงๆเลยครับ(กำลังจะหนีไปเที่ยว)

ผมเดินเข้าไปนั่งรอรถในอาคาร 2 จำได้ว่าเคยมาส่งพี่ชายไปภูเก็ตบ่อยๆ ผมคิดในใจว่าถ้ามีรอบเร็วกว่านี้ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะตอนนี้เริ่มเจื่อนซะแล้ว จะหยิบหนังสือมาอ่านก็ยากเสียเหลือเกินเพราะต้องลาก Wetsuit ออกมาด้านนอก ลำบากน่าดู

ถึงเวลาออกเดินทางเสียที รถของบริษัทขนส่ง นั้นแจกของกินมากกว่าของลิกไนท์ทัวร์ เพราะมีขนม นม น้ำผลไม้ น้ำเปล่า ขนมถุง แต่ที่แย่กว่า คือ จะไปจอดกินข้าวดึกกว่าของลิกไนท์ทัวร์

“พี่ๆไปลงระนองเหรอครับ” ไอ้หนุ่มข้างๆถามผมด้วยสำเนียงใต้(หน้าตาแก่กว่า บังอาจมาเรียกผมว่าพี่อีก ฮ่าๆๆๆ)

“ผมไปลงคุระบุรีครับ” ผมตอบ(ดูๆไปผมว่าอายุก็น่าจะพอๆกันนั่นแหละ) ขอเรียกไอ้หนุ่มนี่ว่า ไอ้หนุ่มกระเปอร์แล้วกันครับ เพราะลงถัดจากโรงพยาบาลกระเปอร์เล็กน้อย(ลืมถามชื่อน่ะครับ) (กระเปอร์ เป็นอำเภอหนึ่งในจังหวัดระนองครับ)

ไอ้หนุ่มกระเปอร์เล่าให้ผมฟังว่า พึ่งมาทำงานที่กรุงเทพได้ไม่นาน พอเห็นแสง สี ที่กรุงเทพ ก็หลงอยู่ไปพักหนึ่ง ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นก็ต้องตามเพื่อนไป แต่ก็ไม่ลืมที่จะกลับมาพัฒนาบ้านเกิดในอนาคต วันนี้โชคดีที่มีคนสละตั๋ว จึงได้กลับบ้าน

ไอ้หนุ่มเล่าให้ฟังอีกว่า บ้านของเขาได้รับผลกระทบจากคลื่นยักษ์สึนามิเช่นกัน โชคดีว่า เช้าวันนั้นพ่อของเขาไม่ได้ออกไปหาปลา จึงรอดชีวิต ส่วนเพื่อนของเขาอีกคนเสียชีวิตจากเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้

“พี่มาเมื่อไร บอกผมแล้วกัน ผมมั่นใจว่าเคยไปมาแล้วทุกเกาะ พาพี่ไปเที่ยวได้ทุกเกาะแล้วกัน” นั่นเป็นคำสุดท้ายจากปากไอ้หนุ่มกระเปอร์ เท่าที่ผมจำได้ครับ


30 ธันวาคม 2549

ตี 1 ครึ่ง แวะกินข้าวที่ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ด้วยความงัวเงีย ผมไม่อยากจะทานอะไรตอนนี้เลยครับ หนาวก็หนาว ง่วงก็ง่วง เลยใช้คูปองแลกเครื่องดื่มก่อนจะขึ้นไปบนรถเพื่อนอนต่อ

ผมหลับไปก่อนที่จะตื่นอีกครั้งที่ อ.กระเปอร์ จ. ระนอง(ประมาณ 6 โมงครึ่ง) ไอ้หนุ่มกระเปอร์ลงไปแล้ว ผมมองดูข้างทางเพราะเริ่มจะนอนไม่หลับ เห็นทัศนียภาพของจังหวัดระนองแบบเต็มๆครั้งแรก(หากนั่งรถทัวร์มาในเวลาอื่น จะถึง อำเภอคุระบุรี ตอนเช้ามืด ไม่มีโอกาสได้เห็นจังหวัดระนองแน่ๆครับ) ระนองเป็นจังหวัดที่ชาวบ้านค่อนข้างมีชีวิตความเป็นอยู่แบบเรียบง่าย สังเกตได้จากข้างทางที่สลับไปด้วยทุ่งหญ้ากับภูเขา บ้านแต่ละหลังปลูกห่างๆกัน ชาวบ้านยืนรอรับลูกๆ ซึ่งลงรถทัวร์ได้ไม่นาน ก่อนจะพาเข้าบ้าน

ดูป้ายข้างทาง ผ่านกิ่งอำเภอสุขสำราญ ผ่านคลองนาคา ผ่านหาดประพาส ชื่อเหล่านี้ผมคุ้นเคยดีเพราะจำได้ขึ้นใจตอนเกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ

ผมเริ่มร้อนใจว่า หากไปไม่ถึงเวลาเรือออกจะทำอย่างไร คงเป็นเรื่องตลกน่าดู(ขำไม่ออก) พอเห็นป้าย คุระบุรี 26 กิโลเมตร จึงเริ่มสบายใจขึ้น มั่นใจว่าไปถึงที่หมายทันแน่นอน

และแล้วผมก็มาถึงท่ารถ เวลา 7 โมงครึ่ง ผมมองหาพี่มล(นฤมล)กับร้านซาบีน่าและพี่...(นิรนาม)ที่เคยอำนวยความสะดวกให้ผมทั้ง 2 ครั้ง เมื่อสอบถามคนแถวนั้นจึงทราบว่าบริษัทได้ย้ายไปฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว

ภายในบริษัทดูโอ่อ่า ใหญ่โตขึ้น ผมเห็นนักท่องเที่ยวมาติดต่อเรื่องเรือกับเจ้าหน้าที่ รอบๆผนังมีโปสเตอร์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวหมู่เกาะสุรินทร์ รวมทั้งกระดาษแผ่นใหญ่สีขาวที่เต็มไปด้วยลายมือของนักท่องเที่ยวที่เล่าถึงความประทับใจที่เกาะสุรินทร์ ผมลองหาลายมือตัวเอง เจอด้วยครับ(ตอนงาน TDEX ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ซาบีน่าไปออกบูธ ผมเข้าไปในร้านและได้ไปเขียนข้อความด้วยครับ)

“พี่คะ หนูฝากชาตจ์ โทรศัพท์ตรงนี้ ไม่หายใช่ไหมคะ” สาวน้อยคนหนึ่งในสุดสีชมพูพูดกับเจ้าหน้าที่ขณะนำโทรศัพท์ชาตจ์(ผมคิดในใจ เจ๊ครับ ไม่หายหรอกน่า เจ้าหน้าที่ดูให้แน่นอน)

“ได้คะ ไม่หายหรอกจะดูแลให้อย่างดีเลย” เจ้าหน้าที่ตอบ ก่อนที่จะบอกให้เธอกับเพื่อนไปทานข้าวที่ร้านข้าวแกงใกล้ๆตลาดก่อนที่รถจะออก

ผมเข้ามาติดต่อตั๋วรถกลับในตอนเย็นวันอังคารเพราะจะต้องกลับไปทำงานเช้าวันพุธให้ทันเวลา จากนั้นผมถามเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับบริการแพคเกจทัวร์ของซาบีน่าด้วยความสงสัยเพราะสมัยก่อนที่ผมมา ยังมีให้บริการเฉพาะเรืออย่างเดียว(เจ้าหน้าที่บอกว่า 2 สาวนั้นก็มาแบบแพคเกจทัวร์)

ยังมีเวลาอีกนิดก่อนที่รถจะออก ผมขอเจ้าหน้าที่ไปเดินซื้อของที่ตลาดคุระบุรี ซึ่งในวันนี้คราคร่ำไปด้วยผู้คน อาจเป็นเพราะเริ่มสาย สำหรับคนที่นี่แล้ว จึงมีคนออกมามากเป็นพิเศษ(ทุกครั้งที่ผมมา ไม่เคยเห็นภาพแบบนี้เลยครับเพราะมาเช้า-มืด ตลอด)

ผมซื้อกล้วยเป็นอันดับแรก ด้านหลังติดแม่น้ำมีชาวบ้านนำปลาสดๆออกมาขาย(ถ้าผมเป็นแมว คงกระโดดงับไปแล้วครับเพราะจมูกคุ้นเคยกับกลิ่นปลามาก)

เดินออกมาซื้อน้ำเปล่ากับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป(มาม่า) ด้านหน้าร้าน มีสาวน้อยมาขายรองเท้า ที่สำคัญน่ารักมากด้วยครับ(จริงๆสารภาพว่า มีอยู่หลายร้านแต่พอผมเห็นสาวคนนี้ขายของอยู่หน้าร้าน ก็เลยเดินเข้ามาร้านนี้ครับ ฮ่าๆๆ)

เธอบริการช่วยนำน้ำดื่มและมาม่าใส่ถุงและยื่นให้ผม ผมรับไว้อย่างเต็มใจ(ลุงครับ งูอยู่บนหัวลุงครับ) พอเดินออกจากตลาดจึงนึกได้ว่า น่าจะขอถ่ายรูปเธอเอาไว้(ถ้าหน้าด้าน ได้แน่นอน แต่นี่อายก็เลยอดครับ ครั้นจะย้อนกลับไปมันก็ไม่เป็นธรรมชาติเสียแล้วครับ ฮ่าๆๆ)

เนื่องจากผมมาคนเดียว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งจึงให้ผมมากับกลุ่มของป้า(นักท่องเที่ยว)ซึ่งขับรถไปท่าเรือคุระบุรีไม่ถูก โดยมีเจ้าหน้าที่สาวนั่งช่วยดูทางไปอีกคนหนึ่งด้วย

จากการใช้หู(สาระแน)ให้เป็นประโยชน์ กลุ่มของป้าพึ่งขับรถมาถึงเมื่อเช้านี้ ผ่านเส้นทางระนองมา เธอบ่นๆเส้นทางว่าค่อนข้างคดเคี้ยวและอันตราย มาที่นี่เพราะได้ยินกิตติศัพท์มานาน อยากมาเห็นว่าจะสวยงามอย่างที่ใครๆเล่าไว้หรือไม่

เมื่อถึงท่าเรือคุระบุรี ผมฝากของไว้ที่รถคุณป้าก่อนที่จะเดินออกมาซื้อตั๋วเรือซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับที่ทำการของอุทยาน วันนี้คนเยอะเป็นพิเศษ ผมจึงต้องรอซื้อตั๋วเป็นเวลานานเหมือนกัน พี่มล(นฤมล)ก็ดูท่าทางจะยุ่งๆมากเพราะต้องคอยต้อนรับแขกอยู่ตลอดเวลา บ้างก็มาแบบคู่หนุ่มสาว บ้างก็มาแบบครอบครัวใหญ่ ผมยังเจอ 2 สาวอีกครั้งที่นี่ด้วย(ที่นี่มีบริการปาท่องโก๋ฟรี ตอนแรกว่าจะไม่หยิบครับ แต่ถึงตอนนี้ ต้องหยิบเพราะไม่มีเวลากินข้าวเช้าแล้ว)

จากนั้น ผมรีบไปยืนยันเรื่องเต๊นส์ที่อุทยาน เมื่อสังเกตเห็นกะบะหลังรถของคุณป้า กระเป๋าของผมได้หายไปเรียบร้อยแล้ว(สงสัยคุณป้าช่วยยกลงไปให้)

หลังจากติดต่อเรื่องเต๊นส์เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมเดินหากระเป๋า ในที่สุดก็อยู่ที่กลุ่มคุณป้าครับ ผมนำสติ๊กเกอร์(ที่แยกสิ่งของระหว่างอ่าวช่องขาดและอ่าวไม้งาม)มาติดไว้ เพื่อง่ายต่อการขนย้ายของเจ้าหน้าที่ด้วย)

วันนี้มีเรือธรรมดาออก 2 ลำ โดยลำแรก(ที่ผมต้องขึ้น)ออกไปเรียบร้อยแล้ว(จ๊าก!!) ผมทราบเพราะว่าเจ้าหน้าที่เดินมาบอกผม

ผมมัวแต่เถลไถลทำให้พลาดเรือไป จึงต้องมาขึ้นเรืออีกลำที่ออกช้ากว่าเกือบ 1 ชั่วโมง แต่ก็นับว่าไม่เลวครับเพราะเรือใหญ่กว่า นั่งสบายกว่าด้วย (ที่ช้าเพราะว่า ต้องรอนักท่องเที่ยวที่ยังมาไม่ถึงครับ)

อาจเป็นโชคดีสำหรับผมก็ได้เพราะ 2 สาว ก็อยู่บนเรือลำเดียวกับผม(นั่งใกล้ๆกันด้วย)ระหว่างเรือออก ผมถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆ เช่น ป่าชายเลน ประภาคารสีขาว เป็นต้น

ผมเห็น 2 สาว ถ่ายรูป พวกเธอขอร้องให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปให้ด้วย(ผมคิดในใจว่า อยากจะถ่ายรูปให้พวกเธอจังเลยครับ ฮ่าๆๆ) เมื่อเธอเดินไปถ่ายรูปด้านหน้าเรือ ผมจึงฟอร์ม(เดิน)ออกไปด้านหน้าบ้าง

คำกล่าวที่ว่า “ไม่มีคำว่าบังเอิญ มีแต่คำว่าตั้งใจ” ดูท่าจะจริงครับ เพราะเมื่อผมมานั่งตากลม ตากแดด ผมก็จ๊ะเอ๋กับ 2 สาว

“มาเที่ยวคนเดียวเหรอคะ” จูน สาวผิวขาว ร่างเล็ก ดูบอบบาง ทักทายผม

“ครับ มาเที่ยวคนเดียว ผมถ่ายรูปให้ไหมครับ” ผมตอบอย่างยินดี

ส่วนอีกคนหนึ่ง คือสาวผิวขาว ร่างเล็ก ในชุดสีชมพู ที่คุยกับเจ้าหน้าที่ซาบีน่าเรื่องการชาตจ์โทรศัพท์(เจ๊คนนั้นแหละครับ) เธอชื่อส้มครับ

ผมค่อนข้างจะชื่นชม จูนและส้มเพราะเธอเป็น 2 สาว ที่เด็ดเดี่ยว แน่วแน่ มาเที่ยวกันเพียง 2 คน(หากมาคนเดียว ผมว่าค่อนข้างอันตราย ถ้าเป็นสาวชาวต่างชาติก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกครับ) จากการที่ผมได้คุยกับพวกเธอ สาวที่กลัวความลำบาก ดังเช่น สาวไฮโซทั้งหลาย(บางคน) ไม่กล้ามาแบบนี้แน่ครับ คงต้องไปแบบเรือสำราญหรูๆ ที่มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมาย แนวๆนั้น

เรือใช้เวลาเดินทางแบบสบายๆ 2 ชั่วโมงกว่า ผมมองเห็นแหลมแม่ยายและอ่าวช่องขาดอยู่ไม่ไกล ผมจึงชวนจูนและส้มออกมาถ่ายรูปที่ด้านหน้าเรือ

ผมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของแนวปะการังน้ำตื้นบริเวณแหลมแม่ยาย(บริเวณสีเขียวที่เป็นแนวปะการังน้ำตื้น ลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด) และสันทรายบริเวณอ่าวช่องขาด(ที่หายไปเพราะคลื่นสึนามิ)

ระหว่างรอเรือหางยาวไปจุด 200 เมตร(เพื่อไปอ่าวไม้งาม) เจ้าหน้าที่บอกจูนกับส้มว่า บริเวณจุด 200 เมตร น้ำจะลดอาจจะต้องลุยน้ำไป เปลี่ยนกางเกงขาสั้นน่าจะดีกว่า(จะได้ไม่เปียก) ผมเห็นด้วยกับเจ้าหน้าที่เช่นกัน จึงแนะนำพวกเธอ

เรือหางยาวค่อยๆแล่นผ่านอ่าวช่องขาดไปอย่างช้าๆ น้ำทะเลที่ใสแจ๋ว ทำให้ผมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงของอ่าวช่องขาดอย่างชัดเจน แนวปะการังหายไปหมด แม้แต่ปะการังก้อนที่ได้ชื่อว่าแข็งแรงที่สุดในบรรดาปะการังทั้งหมด........

อ่าวที่มีเสน่ห์ที่สุดอ่าวหนึ่งของเกาะสุรินทร์

อ่าวที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเช่าเรือออกมาดำน้ำเพราะมีเพียงหน้ากากและท่อหายใจก็สามารถออกมาดำน้ำได้แล้ว

อ่าวที่เห็นเหล่ามัจฉาได้ง่ายเหลือเกิน เช่น ปลาการ์ตูนส้มขาว ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ ปลาปักเป้ากล่อง ปลาไหลมอเรย์ เป็นต้น

“เราไม่มีสิทธิเห็นอีกแล้ว อย่างน้อยก็ชั่วชีวิตของเรา”(ดร. ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์)

ถึงปะการังจะหายไป แต่น้ำทะเลสีเขียวอ่อน ใสมากกว่าที่ใดๆ ยังคงดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งหน้าใหม่และหน้าเก่า(แบบผม) ให้ตื่นตา ตื่นใจอยู่เสมอ

เมื่อถึงจุด 200 เมตร น้ำลดมากอย่างที่เจ้าหน้าที่บอกไว้จริงๆ ต้องเดินเท้าเข้าไปเล็กน้อย แม้จะพยายามหลบก้อนหินและปะการังแล้วแต่ก็ห้ามทรายที่ฟุ้งกระจายไปตกอยู่บนปะการังไม่ได้อยู่ดี

ผมช่วย จูนและส้มถือของมาที่อ่าวไม้งาม เนื่องจาก 2 สาว มาแบบแพคเกจทัวร์กับซาบีน่า เต๊นส์(ของซาบีน่า)จึงถูกจัดไว้ให้แล้ว(จะมี zone ของซาบีน่าโดยเฉพาะครับ)

ส่วนผมมาติดต่อที่เคาน์เตอร์เรื่องเต๊นส์ โดยมีป้าเดียร์เป็นคนพาผมมาเลือก

“มีเต๊นส์ด้านหน้าติดหาดหรือเปล่าครับป้า” ผมถามป้าเดียร์

“เต็มหมดแล้วจ้า แต่เดี๋ยวป้าดูให้นะ” ป้าเดียร์ตอบ

โชคดี(ในเรื่องท่องเที่ยว)ยังคงบังเกิดกับผมอยู่เสมอ มีเต๊นส์เล็กว่างอยู่ 1 ที่ พอดี(เจ้าของพึ่งออกไปสดๆร้อนๆเลยครับ(ผมจับเต๊นส์ดู ยังอุ่นๆอยู่เลย เฮ้ย ไม่เกี่ยวแล้ว แดดมันร้อน)

ป้าเดียร์ทำความสะอาดเต๊นส์ กวาดเศษทรายออกไป ป้าเดียร์เล่าให้ผมฟังว่า มาทำงานที่นี่ได้ไม่นาน เรื่องเงินอาจได้ไม่ดีนักแต่ได้ความสุขเพราะอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดี ที่สำคัญป้าเดียร์พบรักที่นี่เสียด้วยครับ(อันนี้ประเด็นสำคัญ)

ผมเดินเข้ามาที่โรงอาหารเพื่อสั่งอาหารกลางวัน(หิวมาก) กระเพราหมูราดข้าว กับข้าวหมูทอดราดข้าว เป็นอาหารสำหรับ(กระบือ ผู้ใช้แรงงาน เช่นผม) ไม่นานนัก จูนกับส้มก็มานั่งด้วยกันโดยมีอาหารแบบแพคเกจ ไม่ว่าจะเป็นต้มยำไก่ ปลาทอด ไก่ผัดพริกและผัดผัก

“ไม่น่าสั่งมาเยอะเลย เรากินกันไม่หมดหรอก มื้อหน้าไม่ต้องสั่งนะคะ มาทานด้วยกัน” เป็นน้ำใจที่ดีงามที่พวกเธอมอบให้ คงเป็นจริงกับคำกล่าวที่ว่า “หากอยากได้มิตรภาพจากใคร เราต้องมอบมิตรภาพที่ดีให้กับอีกฝ่ายก่อน”

ผมรอกระเป๋าที่มากับเรือ(ปกติจะใช้เวลาพอสมควรกว่ากระเป๋าจะมา เราถึงจะเดินออกไปรับกระเป๋าที่จุด 200 เมตร) แต่คราวนี้มาเร็วมาก คุณป้า(ที่ผมติดรถมาที่ท่าเรือ)มาบอกผมว่าให้ไปหยิบที่หน้าเต๊นส์ของเธอเพราะยกมาให้ผมแล้ว ผมยกมือขอบคุณกับความมีน้ำใจของเธอ(แต่น้ำดื่มกับมาม่าหายไปครับ คราวหน้าของกินถือติดตัวไว้ดีกว่านะครับ)