Sunday, July 30, 2006

มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์


เสร็จจากบริจาคเลือด ผมจะต้องรีบเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์เพื่อไปงานรับปริญญาของตุ๊กแกและน้ำอ้อยเพื่อนสมัยเรียนมัธยม และไปน้องนก รุ่นน้องที่รู้จักกันในกลุ่มดำน้ำ

ผมนั่งรถเมล์สาย 47 ไปลงถนนราชดำเนิน แล้วต่อรถเมล์อีกสายไปลงเซ็ลทรัล ปิ่นเกล้า(นั่ง 2 ต่อ เพราะหารถต่อเดียว ไม่เป็นจ้า)

จากคำแนะนำของน้ำอ้อยและน้องนก จะมีรถตู้อยู่บริเวณปั้มน้ำมัน ให้ลองสอบถามดู(ตอนแรกกะจะไปนั่งรถทัวร์ที่สายใต้ครับแต่กลัวว่า ถ้าไม่มีก็ต้องย้อนกลับมา สู้ไปตามลำดับดีกว่านะ)

มาที่ปั้ม ไม่มีรถไป ม ศิลปากรครับ(เวรกรรมแล้ว) ยังครับยัง มีคนแนะนำต่อว่า ให้เดินไปบริเวณพระพรหม จะมีรถตู้ไป ม ศิลปากรครับ(เกิดไป ม ศิลปากร ตรงวัดพระแก้วนี่ ฮาเลยนะเนี่ย ฮ่าๆๆๆ)

การเดินก้าวยาวของผม เกิดประโยชน์มากๆ เพราะแซง 2 สาวไป(เลือกได้ก็อยากให้เธอแซงครับ ขาวหมวยซะด้วย แต่ผมรีบแถมจะหลับอยู่แล้ว ง่วงสุดๆ) ทำให้ผมมานั่งรถตู้เป็นคนสุดท้ายของคันแรก ได้ออกพอดิบพอดี(อัตรา ค่าบริการ คนละ 50 บาทครับ)
ขึ้นรถก็หลับทันที อาจเป็นเพราะการบริจาคเลือดทำให้ผม เพลียจัง เหมือนถูกดูดพลังยังไงก็ไม่รู้

มาถึง ม ศิลปากร 11 โมง ที่นี่กว้างกว่าที่คิดครับ คนเยอะด้วย(คนมางานรับปริญญาก็หน้าตาดีทั้งนั้น) แต่ผมจะช้าอยู่ไม่ได้ ได้ยินแว่วๆว่า เขาจะตั้งแถวกันแล้ว!!!!

“มาตามเสียงกลองนะ กระสาบ” น้ำอ้อยบอกผม

เดินมาตั้งไกล จนถึงกลองเรียบร้อย ปรากฎว่าไม่ใช่ครับ(เป็นกลองคนละตัว) รีบเดินก้าวยาวไปประตูสังคมศาสตร์ ในที่สุดก็เจอ น้ำอ้อยกับตุ๊กแก ไม่ได้เจอตั้งนาน พวกนี้สูงเกือบเท่าผมแล้ว แถมตัวใหญ่เสียด้วย(ตอนอยู่ รร พวกนี้ ตัวเตี้ยมากครับ)

คุยได้นิดหน่อย พวกนี้ก็ต้องไปเข้าแถว ผมรีบโทรหาน้องนก แต่ก็โทรไม่ติด เลยตัดสินใจเดินกลับไปตรงจุดที่คณะวิทยาการจัดการเข้าแถวพร้อมโทรถามพี่ฝ้าย เธอก็แนะนำให้เดินไปที่นั่นเช่นกัน

โชคดีว่า โทรติดเสียที น้องนกอยู่กับคุณพ่อ(ท่านเป็นตากล้องให้ครับ) จากนั้นผมก็ทำหน้าที่เป็นตากล้องให้น้องด้วย จะได้เอารูปมาฝากพี่ป้อมและคนอื่นๆด้วย

ขากลับ ผมเจอโซดา รุ่นน้องที่ รรเก่า โดยบังเอิญ(เด็กเวรที่ห้องผมเอง) หน้าตาไม่เปลี่ยน แต่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นทีเดียว โซดาเรียกวิศวะอยู่ที่นี่ โซดาให้ผมขึ้นมอเตอร์ไซด์ไปส่งที่ท่ารถตู้ด้วย(กำลังงงๆว่า มันอยู่ตรงไหนหว่า)

เป็นอันเสร็จ การเดินทางในวันเกิดที่ไม่ไกลนัก แต่เพลียเป็นบ้า แต่ก็ดีใจครับว่า วันเกิดของผมได้ทำอะไรๆเยอะเชียว

สมกับเป็นวันเกิดของคนเดินทางเช่นผม โดยแท้


การเดินทางไป มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขตพระราชวังสนามจันทร์

รถตู้ ขึ้นบริเวณพระพรหม เลยเซ็ลทรัลปิ่นเกล้าไปนิดเดียวครับ จะมีอยู่หลายคันครับ ลองสอบถามดูก็ได้

วันเกิดกับสเต็มเซลล์


เข้าสู่วัยเบญจเพศ หลายๆคนก็เริ่มจะมัดระวังเพราะมักมีคำกล่าวเสมอว่า ช่วงนี้เป็นช่วงเคราะห์กรรม หากใครยังไม่ได้บวชทดแทนคุณพ่อ แม่ ก็ให้บวชเสียที

สำหรับผม แม้จะยังไม่ได้บวช(รอบวชพร้อมกับพี่ชายครับ)แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ในความไม่ประมาท ของแบบนี้เชื่อไว้ก็ไม่เสียหายครับ

หลังจากตักบาตรในช่วงเช้า ผมเดินทางไปสภากาชาดไทยเพื่อไปบริจาคเลือด(ครบ 3 เดือนมาตั้งแต่เดือนเมษายนแล้วครับ แต่พึ่งจะมานี่ล่ะ) เดี๋ยวนี้ที่นี่เข้าย้ายจุดบริจาคเลือดไปที่ตึกใหม่แล้วนะครับ ใหญ่โตมากเชียวล่ะ

ก่อนอื่นก็ต้องกรอกแบบฟอร์มการบริจาคเลือดก่อนเป็นอันดับแรก(หากคนไม่เคยบริจาคเลือดมาก่อนเลย ต้องไปกรอกอีกใบนะครับ)

ไม่ต้องกลัวว่า จะทำไม่ถูกเพราะจะมีน้องๆ(สาวๆ)อาสาสมัคร มาคอยช่วยอำนวยความสะดวกโดยตลอด เธอจะมาให้คำแนะนำด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม งานแบบนี้ ใครไม่รักทำไม่ได้ ผมเชื่อแบบนั้นครับ

จุดต่อมา คือ การวัดความดันและการเจาะความเข้มของเลือด สมัยนี้เข็มที่เจาะเป็นอีกแบบนึง ไม่เจ็บเหมือนเก่าแล้วด้วย

จุดสุดท้าย ก่อนจะได้บริจาค คือ นำเอกสารไปยื่นเพื่อรับหมายเลข(สติ๊กเกอร์) เพื่อเอาไปติดที่ถุงเลือดของเรา ระหว่างที่ผทกำลังจะเดินขึ้นไปบริจาคก็ถูกเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเรียก(เธอกำลังอธิบายบางสิ่งบางอย่าง ให้อาสาสามัครสาวๆได้ฟัง)

“น้องๆ มาบริจาคเลือดใช่ไหม รู้จักเรื่องสเต็มเซลล์ไหมจ๊ะ”

“อ๋อ รู้ครับ”

สำหรับเรื่องสเต็มเซลล์หรือการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด ผมพึ่งได้ไปฟังสัมมนามาเมื่อไม่กี่เดือนมานี่เอง วันนั้นมีท่านจรัญ ภักดีธนากุล และท่านเดชอุดม ไกรฤทธิ์ มาด้วยครับ

เข้าเรื่องดีกว่า เธอเรียกให้ผมไปเขียนความจำนงค์เรื่องการบริจาคสเต็มเซลล์ ทั้งนี้จะเก็บตัวอย่างเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จากนี้ไปหากเขาต้องการเลือดของผม ก็จะโทรศัพท์เรียกไปบริจาค ได้บุญด้วยล่ะนะ(เธอบอกว่า เรื่องนี้มีมาตั้งแต่ ปี 45 แต่ไม่มีการประชาสัมพันธ์เท่าไร จากนี้ไปเธอและอาสาสามัครก็จะต้องช่วยกันประชาสัมพันธ์เพื่อให้คนมาแสดงความจำนงค์มากๆ

จุดต่อไป ก็ไปนอนในห้องเพื่อรอให้เชือด(ไม่ใช่ครับ ฮ่าๆๆ) บริจาคเลือดครับ เราสะดวกแขนไหนก็บริจาคแขนนั้น(บอกเจ้าหน้าที่ได้ครับ) หากใครกลัวเข็มแนะนำว่า ก็อย่าไปดูมันซะก็สิ้นเรื่อง แต่ผมไม่ได้กลัวพอดูจริงๆ เข็มก็ไม่ได้ใหญ่นักหรอก(หมอฟันน่ากลัวกว่าเยอะครับ)

หากอยากเสร็จเร็วๆ ก็บีบข้อมือให้ไวๆ ผมชำเลืองมองดู เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย นอนนึกในใจไปคนเดียว(อืม ดี แฮะ งานแบบนี้ ต้องอาศัยความชอบส่วนตัวจริงๆ )

บริจาคเสร็จ ก็เดินไปห้องข้างๆ เพื่อกินของว่าง(อ่อ อย่ารีบลุกล่ะ เดี๋ยวจะเป็นลม) มีน้องๆ(น่ารัก) หยิบของว่างมาให้ด้วย

การบริจาคเลือด ไม่ยากครับ แถมได้บุญด้วย ว่าแล้วก็มาบริจาคกันเยอะๆนะครับ


สภากาชาดไทย ถนน อังรีดูนังค์

การเดินทาง รถไฟฟ้าใต้ดินลงสถานีสามย่าน ออกมาประตู 3 เลี้ยวซ้ายเดินไปเรื่อยๆ จนเจอทางเข้า เดินตรงเข้าไปชำเลืองด้านซ้ายมือ จนเห็นตึกกระจกสีดำใหญ่ๆ ตึกนั้นแหละครับ

Monday, July 24, 2006

หาดชะอำ คู่แฝดหาดจอมเทียน


เป็นอีกครั้งที่ผมได้ไปสัมมนากฎหมายปกครองท้องถิ่น ของสภาทนายความ เดินสายไปทั่วประเทศ คราวนี้ไปจังหวัดเพชรบุรีครับ

นอกจากจะได้เห็นสถานที่ใหม่ๆแล้ว ผมยังได้รับความรู้ใหม่ๆ ได้พบเจอคนมากหน้าหลายตา เอาไปปรับใช้กับชีวิตประจำวันได้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม

หลังจากจบการสัมมนาวันแรก ผมใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงเพื่อลงมาถ่ายรูป เหยียบพื้นทราย สัมผัสบรรยากาศทะเลที่นี่ ก่อนที่พี่ๆจะนัดไปทานข้าวเวลา 6 โมงเย็น

เสียงกรี๊ดของสาวๆที่เล่น บานานา โบ๊ต สาวๆที่นั่งกินอาหารริมหาด และสาวๆที่เดินกินลมชมวิว(ผู้ชายก็มีครับ แต่ไม่อยากเขียนถึง ฮ่าๆๆๆ) ทำให้บรรยากาศที่นี่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ดูมีชีวิตชีวาในแบบของคนชอบความคึกคักมาก

เมื่อประกอบกับพื้นทรายสีน้ำตาล เนื้อทรายที่หยาบ ทำให้ผมนึกถึงหาดจอมเทียนที่ จ ชลบุรี เป็นอันดับแรก ช่างเหมือนกันมากจริงๆ เป็นคู่แฝดกันหรือเปล่าหนอ
แม้ผมยังไม่ได้ถอดรองเท้าเตะบอลชายหาดที่นี่ แต่บอกได้คำเดียวว่า เจ็บเท้าแน่นอน(ไม่ต่างอะไรกับหาดจอมเทียนแน่ครับ)

บรรยากาศเก่าๆสมัยวัยเด็ก เริ่มผุดมาอีกครั้ง สมัยก่อนผมมาที่นี่บ่อย แม้ครั้งล่าสุดที่มาจะไม่ประทับใจนัก(เพราะมีเด็กอุจจาระริมหาด เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก) ก็ตาม
เชื่อได้ว่าหากผมแบกเป้มาเอง คงจะไม่มาที่นี่ เพราะทะเลสีออกน้ำตาล ถ้าไม่มีแสงแดด ผมเลือกที่จะไปเที่ยว จ ประจวบคีรีขันธ์มากกว่า เพราะหาดสวยกว่า น้ำทะเลสะอาดกว่ามาก(ใครเข้าใจว่า ประจวบอยู่ภาคใต้ ขอให้เข้าใจเสียใหม่นะครับ นี่ คือ ภาคกลางตอนล่าง ชุมพรต่างหาก คือ ประตูสู่ภาคใต้)

แม้ทะเลเมืองเพชร จะเป็นเพียงทางเลือกสำหรับบางคน แต่ที่นี่ยังคงเป็นทางเลือกของคนที่ชอบความคึกคัก ไม่คิดมากเรื่องทะเล มีเวลาน้อย แถมใกล้กรุงเทพด้วย

ผมเชื่อว่า แม้เวลาจะผ่านไปอีกหลายปี แต่ที่นี่ยังคงอยู่ในความทรงจำของใครอีก
หลายๆคนครับ

Thursday, July 13, 2006

สู่หมายไกล….ทะเลพัทยา(3)


Dive 3 สวัสดี เพื่อนเก่า ชื่อ ซีมอส!!!

จะเห็นได้ว่า เรือลำอื่นๆมาหลบคลื่นลมที่นี่ทั้งนั้น(สมควรแล้วครับ เพราะที่นี่มีผาหินกำบัง น้ำนิ่งจริงๆ ชอบมากเลยวุ้ย)

ด้านล่างผมดำตามพื้นทรายอย่างช้าๆกวาดสายตาไปรอบๆ พี่ป้อมชี้ให้ดูเพื่อนเก่าของผมซึ่งไม่ได้เจอกันหลายเดือนแล้ว ดูกี่ทีก็ยังคงความน่ารักไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขา คือ ซีมอส มีชื่อแบบไทยๆว่าปลาผีเสื้อกลางคืน อยู่ในสกุล Pegasus(คนละตัวกับปลาผีเสื้อกลางคืนในอันดามันนะครับ ตัวนั้นจะชื่อ Short Dragonfish อยู่ในสกุล Pegasidae) ปากมีลักษณะคล้ายปลาจิ้มฟันจระเข้(มีลักษณะยาวเป็นท่อ) ลำตัวไม่เกิน 7 ซม มีปีก 2 ข้าง กางออกเหมือนผีเสื้อ ส่วนหางตรง ผมว่าพวกเขานี่ล่ะ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เชิดหน้าชูตาของทะเลแถบนี้จริงๆ

ต่อไปเป็นปลาลิ้นหมา(Flounder) ที่ดูกลมกลืนกับพื้นทรายมาก เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพวกเขา(ภูมิใจมาก) เสียดายว่าเคาะ pointer แต่ไม่มีใครมาดู เพราะเริ่มไปกันไกลแล้ว แถมน้ำก็ขุ่น(ประมาณ 1- 2 เมตร ก็จะไม่เห็นกันแล้ว) ผมจะมาอยู่นานไม่ได้เหมือนกัน จึงตีฟินตามกลุ่มไปต่อ

ด้านหน้ามีกอแส้ทะเล(Sea Whip)เล็กๆที่ตายแล้วอยู่ ใครจะไปรู้ว่ามีม้าน้ำ(Sea Horse)อยู่ด้วย เป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน จึงไม่แปลกใจว่าทำไมผมถึงจ้องดูเขานานๆ ก่อนจะตามกลุ่มไป เขาเกาะแส้ทะเลอยู่นิ่ง เหมือนเด็กดูดนมแม่ยังไงอย่างนั้นเลย (สุดแสนจะน่ารัก)

มีซากยางรถยนต์อยู่ด้านหน้ามีปลาหมึกยักษ์(Octopus)อยู่ด้วย เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่เห็นเขา ผมเห็นแค่หนวดเขาเท่านั้นครับ เพราะดูเขาจะตื่นกลัวเรามากทีเดียว จะใช้วิธียกยางรถยนต์ออกมาเพื่อดูเขาก็จะเป็นการรบกวนเกินไป(แต่ผมลองจับที่หนวดเขา ลื่นมากครับ)

ก่อนขึ้นพบปากกาทะเล(Sea pen)ขนาดใหญ่ มองอีกด้านหนึ่ง ผมพบเพื่อนเก่าอย่าง ปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Monacanthus chinensis น่าเสียดายตอนผมเคาะแท็งค์ คนอื่นๆกำลังจะขึ้นสู่ผิวน้ำ เลยไม่มีใครมาดูกัน

อาหารกลางวันเป็นน่องไก่ทอด แพนงหมู ไข่เจียว ต้มยำกุ้ง อร่อยทุกอย่างจริงๆ ขึ้นมาไดฟ์นี้ ผมเกทับกับคนอื่นๆได้ เพราะเห็นอะไรๆเยอะ กว่าไดฟ์ก่อนๆ


Dive 4 เลียบพื้นทรายกับท่ากบ!!!!

ไดฟ์นี้เราจะลงกันที่เกาะล้าน(บริเวณใต้สะพาน) ก่อนลงไดฟ์นี้ พี่เอแนะนำผมว่าเวลาว่ายเลียบพื้นทรายไม่ควรโบกฟินขึ้นลง แต่ควรใช้ท่ากบทรายจะได้ไม่ฟุ้ง(ผมเห็นด้วยและจะทำตามอย่างแน่นอน ไม่อยากให้ทรายฟุ้งครับเดี๋ยวคนอื่นๆจะลำบาก)

ด้านล่างบริเวณเสา ผมพบปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) ดูจะเป็นธรรมดาสำหรับที่นี่เพราะพบได้บ่อยจนคนอื่นๆไม่ค่อยจะแปลกใจกันแล้ว แต่ผมยังพยายามมองเขานานๆเพราะหวังจะสังเกตพฤติกรรมของเขาให้มากขึ้น

ต่อมาพี่ป้อมเรียกให้ผมดู ปลาจิ้มฟันจระเข้หางพัดหรือปลาจิ้มฟันจระเข้สีเพลิง(Gans ‘ s Pipefish) เพื่อนเก่าของผมที่ยังมีความสุขอยู่ดีเสมอ ตราบเท่าที่มนุษย์อย่างเรา ไม่รบกวนเขามากจนเกินไป(เคยได้ยินเรื่องที่ อ. ธรณ์เล่าให้ฟังว่า มีลูกศิษย์ของแกคนหนึ่งอยากจะถ่ายภาพของ Gans ‘ s Pipefish เลยใช้มือไล่มันเพื่อให้อยู่ในแอคชั่นที่เหมาะสม โดยมีเจตนาดี ไม่มีเจตนาร้าย แต่พอหันไปอีกทีเขาอยู่ในปากของปลาเก๋าขนาดย่อม นี่เป็นตัวอย่างสะท้อนได้ดีครับ)

ผมรู้สึกว่าพอใช้ท่ากบแล้ว ตัวอยู่ใกล้พื้นทรายมากและทรายไม่ฟุ้งด้วย ลอยตัวได้อิสระ(ต้องขอบคุณ พี่เอมากๆครับ)

รูปร่างเป็นริ้วๆ สีสัม มีขนาดเล็กมาก อยู่ด้านล่างที่ขยับไปมา คือ หนอนตัวแบน(Flat Worm) เวลาเขาขยับตัวจะรู้สึกว่าเหมือนกำลังเต้นระบำอยู่ สวยงามดีครับ

แมงกระพรุน(Jelly fish) ด้านล่าง ผมก็พอเห็นอยู่ ทราบภายหลังว่าที่เขาจ้องดูกันนั้น คือ มันกำลังถูกปลารุมกินโต๊ะต่างหาก(ผมเคยเห็นแล้ว ไม่นานมานี้ที่ จ.กระบี่ ครับ)

เจ้าปลากระรอกลายแดง(Redcoat)แอบนิ่งอยู่ริมเสา มีปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Buttelflyfish) ว่ายผ่านไปเป็นคู่ และยังมีปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Buttelflyfish) อยู่ใกล้ๆด้วย

ที่ว่ายผ่านไปช้าๆ คุ้นหน้าคุ้นตากันดี คือ ปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Porcupinefish)

ฝูงปลาบนผิวน้ำ หลายร้อยตัว ยังคงเย้ายวนใจให้ผมแหงนหน้าขึ้นไป แม้สภาพน้ำจะไม่ใสนัก แต่นี่ คือ ความมหัศจรรย์ที่ใครไม่ได้ลงมา คงไม่ทราบหรอกครับ(ฉะนั้น มาเรียนดำน้ำกันนะครับ)

เป็นครั้งแรกที่ผมขึ้นคนเดียว เนื่องจากดูปลาเพลินไปหน่อย แต่ผมก็รู้ตัวเองว่า คนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆขึ้นไปแล้ว จึงขึ้นไม่ห่างจากเขามากนัก และไม่ขึ้นเร็วจนเกินไป รอเวลาทำ safety stop(แม้จะไม่ลึก จะไม่ทำก็ได้แต่ผมก็ยังจะทำอยู่) คิดในใจว่า คราวหน้าหานาฬิกาถูกๆ เอาลงน้ำได้มาใช้ดีกว่า(ไดฟ์คอม ไม่ไหวครับ แพงมาก)


Dive 5 Wet Suit ป้องกันภัย!!!!

กลุ่มพี่โก้ น้องนก พี่ฝ้าย ยังไม่ทันขึ้นมา พี่ป้อมก็ให้พวกเราเปลี่ยนแท็งค์อีกถัง เพื่อลงไปด้านล่าง พี่เอและหลายๆคนยังไม่เห็นเจ้าปลาจิ้มฟันจระเข้หางพัดหรือปลาจิ้มฟันจระเข้สีเพลิง(Gans ‘ s Pipefish) พี่ป้อมจึงจะพาไปดู ผมจึงรีบเปลี่ยนแท็งค์แต่ก็ยังช้ากว่าคนอื่นๆอยู่ดี (รอคุณลุง ด้วยนะพี่ๆน้องๆ)

กลุ่มของปลาผีเสื้อที่ครองอาณาเขตอย่างเหนียวแน่นในทะเลแถบนี้ก็ออกมาให้ยลโฉมอีกครั้ง คือ ปลาผีเสื้อปากยาว(Beak Buttelflyfish) และปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Buttelflyfish)

มีแผนที่อยู่ด้านล่าง ผมจึงลงไปเก็บ ปรากฎว่าเป็นการโฆษณาขายบ้าน(แป่ว!!) จะเก็บขึ้นมาทิ้งด้านบนกระดาษก็ยุ่ยจนเกินไป หลุดไปหมดเลย

ปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Porcupinefish) ขนาดใหญ่(มาก) อยู่เลียบพื้นทราย ดวงตาแป๋ว ไร้เดียงสาเหมือนเด็กประถมเลย(รู้ได้ไงเจ้า คนเขียน เดี๋ยวนี้เด็กประถมบางคนไม่ไร้เดียงสาแล้วนา) ผมเคาะ pointer ให้สมาชิกทราบ นี่ คือ รูปร่างที่ปกติของเขา และผมไม่อยากเห็นในอีกรูปร่างหนึ่งเสียด้วย(รูปร่างที่พองแล้วมีหนาม) นั่นหมายความว่าพวกเขากำลังหวาดกลัวหรือมีภัยร้ายเข้ามา(ทราบหรือไม่ว่า การพองตัวของปลาปักเป้า จะทำให้เขาเสียชีวิตได้)

ผมเห็นน้องโอ๊ตเก็บขวดมา เลยแซวเอา pointer ไปตี(เคยเห็นพี่นกใช้ pointer ฟันกับพี่ป้อมท่าทางหนุกดีครับ) ตีไป ตีมา ตัวผมมาอยู่บนเม่นทะเล(Sea urchin) เลยรีบกลับตัวแต่ก็ไม่ทันครับ โดยแทงเข้าไปแต่ไม่ถึงกับฝังใน(Wet Suit ใหม่ ช่วยได้มากครับ เป็นคำตอบที่ดีว่าถึงจะถอด-ใส่ยาก แต่มีประโยชน์มากจริงๆ) ขนาดโดนนิดเดียว ขาผมยังแดง รู้สึกเจ็บบริเวณเข่าด้วยครับ

อีกข้อ คือ ผมไม่รู้สึกหนาวอีกเลย เวลาอยู่ด้านล่าง Wet Suit ยาว ช่วยผมให้อุ่นมากครับ หนาตั้ง 2.5 มิลลิเมตรแน่ะ ฮ่าๆๆๆๆ

สิ้นสุดการท่องโลกใต้สมุทรในทริปนี้ เรากลับมาอาบน้ำที่โรงแรม ก่อนที่จะมารับประทานอาหารเย็นที่ร้าน “ป ปลา อยู่เย็น” ผมไม่ลืมที่จะให้สมาชิกใหม่(สำหรับผม) ในการเดินทางเขียน Log Book ไม่ว่าจะเป็นพี่เท็น ปรมาจารย์ไพ่ยิบซี , น้องนก สาวหมวยออแกไนเซอร์ ,พี่เต้ลูกเจ้าของร้านทองใน อ บ้านโป่ง(ผมตาไม่ถึงครับพี่มองของดีเป็นสแตนเลต ฮ่าๆๆ) ,น้องจ๊อบหนุ่มผมยาว ช่างพูดมากกว่าที่คิดไว้(ใครไม่ทราบคงคิดว่าจ๊อบไม่ค่อยพูด) และพี่มิ้ง 140 กิโล(ขับปลอดภัย) ผู้ใจดีพาผมมาถึงที่หมายได้ทันเวลาบอลโลก เป็นต้น

ต่างคน ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน และจะกลับมารวมตัวอีกครั้ง(เมื่อชาติต้องการ) ผมยังย้ำเสมอว่าทะเลภาคตะวันออกนี้ มีของดีให้ดูมากกว่าที่คิดเยอะ หากคุณเป็นนักดำน้ำที่รักการแสวงหาสัตว์ทะเลทุกชนิด ไม่ควรพลาดที่จะมา แม้จะมีอุปสรรคบ้าง ไม่ว่าจะเป็นสภาพน้ำและคลื่นลม หากคุณมองว่านี่ คือ เสน่ห์ ไม่มองว่าเป็นความเบื่อหน่าย การดำน้ำของคุณจะมีความสุขมากขึ้น

ขอขอบคุณที่ติดตามงานเขียนของข้าพเจ้า เจอกันทริปหน้าครับ!




Kasab

Phop Payapvipapong

11 july 2006

17.13 pm

Wednesday, July 12, 2006

สู่หมายไกล….ทะเลพัทยา(2)


Dive 1 Wet Suit ใหม่ ทำพิษ!!!!!

เรื่อรุ่งวรวรรณ 7 พาเรามายังเกาะริ้น จุดดำน้ำแรกของวันนี้ เกาะริ้นถือเป็นหมายไกล เพราะเป็นเกาะที่ไกลจากชายฝั่งมาก หากเปรียบเทียบกับเกาะอื่นๆในแถบนี้ ข้างๆมีจุดดำน้ำ ลอมฟางและยักษ์กระโดง แดดดี อากาศแจ่มใส ผมมองดูสภาพเกาะ สวยงามมาก นึกว่าอยู่หมู่เกาะในชุมพรนะเนี่ย(จริง นา ไม่ได้ล้อเล่น) หาดทรายขาว เราทุกคนทยอยแต่งตัว ผมใส่ Wet Suit ใหม่แล้วดูเท่ไม่หยอกเลย(คนอะไรวะ ชมตัวเองก็ได้) แต่ผมว่าถ้าผมมีกล้ามเนื้อมากขึ้น จะดูดีกว่านี้

โดยปกติแล้ว ผมและน้องโอ๊ตมักจะต้องอยู่กลุ่มเดียวกับพี่ป้อมเสมอ แต่ในวันนี้ผมได้ลงพร้อมพี่พิช พี่เท็นส่วนน้องโอ๊ตแม้ลงพร้อมพี่ป้อมแต่แว่วๆมาว่า พี่ป้อมจะดูแลน้อยกว่าเดิม (เนื่องจากระยะหลังน้องโอ๊ตเริ่มดำบ่อยลอยตัวใต้น้ำได้ดีขึ้นนั่นเอง )

ผมชูมือขึ้นสูง กดปุ่มอากาศออกจาก BCD แต่ในวันนี้กลับไม่เหมือนก่อนเพราะตัวผมไม่จมทั้งๆที่ใช้ตะกั่ว 4 ก้อนเท่าเดิม ปัญหา คืออะไร? ต้องเป็น Wet Suit ใหม่แน่นอน เพราะผมไม่เคยสวม Wet Suit ยาวมาก่อนเลย เคยลงแต่ Wet Suit สั้น ไม่ก็เสื้อยืดไปเลย(อันหลังนี้ลองแล้ว รู้สึกหนาวมาก ไม่เอาดีกว่า)

ทุกคนลงไปหมดแล้ว มีเพียงผมที่ยังลงไม่ได้(เจ็บใจ โว้ย) ถึงลงได้ก็ไม่กี่เมตร(พยายามทำหัวปักแล้วนา) แต่ตัวก็ลอยขึ้นมาตลอด พี่พิชเห็นผมลงไม่ได้ จึงขึ้นมาดู แนะนำให้ผมขึ้นไปใส่ตะกั่วเพิ่ม 2 ก้อน(ถึงตอนนี้เหลือแค่ 2 คน คนอื่นๆไปหมดแล้ว พี่พิชห่วงพี่เท็น ไม่รู้ว่าจะดำหลงไปคนเดียวหรือเปล่า)

สำเร็จ คราวนี้ ตัวผมจมครับ(ไม่จมก็แย่แล้วล่ะ) เมื่อลองดูซักพัก ขึ้นมาอีกครั้ง พี่พิชแนะนำให้ผมถอดตะกั่วอีก 1 ก้อน ให้เหลือเพียง 5 ก้อน แล้วลงไปใหม่ ถ้าลงได้แสดงว่าโอเคแล้ว(โดยปกติ หลายๆคนไม่แนะนำให้ใช้ตะกั่วเยอะ แต่จะให้ใช้วิธีควบคุมร่างกายใต้น้ำมากกว่า ดูจะมีประโยชน์กับตัวเองมากกว่าเยอะ)

เป็นอันว่า 5 ก้อน เหมาะกับผมสำหรับ Wet Suit ยาว ผมตีฟินอย่างสบายใจ(ต้องแบบนี้ซิ) พบปลาการ์ตูนอินเดียนแดงกับกอดอกไม้ทะเล(Pink Anemonefish and Sea Anemone) 1 กอ

จากนั้นปลาที่ใช้หนวดซอกซอนไปตามพื้นทรายเพื่อหาอาหาร คือ ปลาแพะ(Goat Fish) จริงๆปลาแพะมีหลายชนิด ในอนาคตผมหวังว่า จะศึกษาพวกเขาให้มากขึ้นกว่านี้

ปลาลำตัวขนาดไม่ใหญ่ด้านหน้าผม คือปลาสลิดหิน(Damsel Fish) ผมมั่นใจกับลักษณะหางของพวกเขา ปลาสลิดหินมีมากมายในอ่าวไทย ผมพยายามสังเกตพวกเขาเพื่อจำแนกชนิด แต่มันไม่ง่ายเหมือนปลาผีเสื้อบางชนิดที่ดูปุ๊บก็สามารถแยกชนิดได้ทันที อาจเป็นเพราะลักษณะสี ที่ไม่เด่น ไม่ฉูดฉาดก็ได้ ทำให้เป็นอุปสรรคในการดูปลาเพราะต้องจดจำให้ละเอียดมากกว่านั้น

พูดถึงพวกเขาแล้ว เจ้าเก่าก็ออกมา พวกเขา คือ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ที่พบได้บ่อยมากในฝั่งอ่าวไทย แม้ในสภาพปะการังที่ไม่สมบูรณ์ ก็สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขเสียด้วย

นอกนั้นก็เป็นปลิงทะเล(Sea Cucumber) และเม่นทะเล (Sea Urchin) สัตว์ทะเลที่หลายๆคนมองข้ามแต่กลับมีความสำคัญกับระบบนิเวศทางทะเลมากมาย พวกเขาใช้วิธีนิ่ง สยบการเคลื่อนไหว รอเวลาที่มนุษย์กบไม่สังเกต ขยับร่างกาย(อยากรู้ จ้องนานๆซิครับ)

พอขึ้นมา อากาศแปรปรวนอย่างเห็นได้ชัด ฝนเริ่มตก ผมตีขาเข้าเรือแต่กลับถูกดึงออกไปด้านนอก ต้องหลับตาเพราะเม็ดฝนกระทบหน้า เจ็บจริงๆ

โชคดีพี่เท็นขึ้นมาอย่างปลอดภัย ส่วนผมแม้จะไม่ได้พบสัตว์ทะเลมากเหมือนคนอื่นๆ แต่ก็ถือว่าดีแล้ว สำหรับไดฟ์เคาะสนิมแบบนี้(รู้ตอนนี้ ยังดีกว่าไปรู้ที่ชุมพร อันดามันเหนือ อันดามันใต้ โลซิน นะ จะบอกให้)

หลังจากทยอยรับคนอื่น จนขึ้นมาหมดแล้ว เราเปลี่ยนแท็งค์สำหรับลงในไดฟ์ต่อไปให้เรียบร้อย อาหารกลางวัน มีน่องไก่ทอด กระเพราหมู ไข่เจียว อาหารมีมาตลอด จนเราอิ่มหนำสำราญ(เราได้อาหารส่วนหนึ่งจากเรือพี่ตุ๋นด้วยครับ พี่ตุ๋นทำเรืออยู่ที่นี่ ผมเคยกล่าวถึงเขาไว้แล้ว ในตอน “ตามรอยมนุษย์กบไป.....พัทยาครับ”)

เนื่องจากในวันนี้เราเริ่มต้นดำช้า จึงทำแค่ 2 ไดฟ์ พักนิดหน่อยเราแต่งตัวลงไปยังจุดดำน้ำต่อไป


Dive 2 ปากกาทะเลผลุบ-โผล่!!!

จุดดำน้ำนี้ เรียกว่า ลอมฟาง(ผมไม่ได้ถามซะด้วย ว่าทำไมถึงชื่อนี้ ใครทราบบอกด้วยนะครับ) ผมลงกับพี่ป้อม ที่พื้นทรายพบปลาการ์ตูนอานม้าวัยอ่อนอยู่กับกอดอกไม้ทะเล(Saddleback Anemonefish and Sea Anemone) นี่เป็นครั้งแรกที่ผมพบพวกเขาในวัยอ่อน หลังจากที่เคยพบขนาดโตเต็มวัยมาแล้ว(ตอนแรกคิดว่า เป็นปลาการ์ตูนส้มขาว ที่ถูกนำมาปล่อย แต่ดูดีๆ พวกเขา คือ ปลาการ์ตูนอานม้าครับ)

ต่อมาก็เป็นคิวของ ปลาผีเสื้อแปดขีด(Eight-banded Butterflyfish) ปลาแพะ (Goat Fish) ปลิงทะเล(Sea Cucumber) และปลาบู่ ชนิดที่พบได้ง่ายในทะเลแถบนี้

จากนั้นก็พบดอกไม้ทะเลกับการ์ตูนอานม้าวัยอ่อนอีก(เป็นครั้งแรกที่ผมเคาะ pointer) แต่ที่แปลกกว่ากอแรก คือ มีการ์ตูนอานม้าขนาดโตเต็มวัยด้วย(ไม่ใช่ พ่อ แม่ลูกกันแน่นอน จ้า เพราะปลาการ์ตูนมักจะวางไข่ และให้กระแสน้ำพัดพาไข่ออกไปตกตามที่ต่างๆ) ปลาการ์ตูนอานม้าอยู่โดดเดี่ยวได้ แม้ไม่มีดอกไม้ทะล สังเกตง่ายๆจากการที่พวกเขาว่ายออกมานอกกอดอกไม้ทะเล(นีโม ไม่ทำแบบนั้นครับ) ที่สำคัญพฤติกรรมของอานม้า ก้าวร้าวกว่านีโม เพราะเวลาผมสังเกตดู พวกเขามักจะว่ายออกมาทำท่าจะว่ายเข้าชน แต่แล้วก็เกิดอาการกลัว เลยว่ายกลับไป(เหมือนจะขู่ครับ แต่ผมไม่กลัว ก็ตัวใหญ่กว่านี่ ฮ่าๆๆ)

ผมจ้องปลาการ์ตูนอานม้า นานไปหน่อย ทำให้คลาดกับพี่ป้อม แต่ก็โล่งใจเพราะมีพี่เอ น้องโอ๊ต พี่เปรมอยู่ด้วย ซักพักพี่เอบอกให้เรา รออยู่ตรงนี้อย่าไปไหน(ทราบภายหลังว่าขึ้นไปด้านบนเพื่อไปดูว่าหัวเกาะอยู่ตรงไหนครับ) ระหว่างนี้ผมเห็นปากกาทะเล(Sea Pen) สัตว์ทะเลอีกหนึ่งชนิด ก็เลยลองใช้ Pointer เขี่ยดู ปรากฎว่า เขามุดเข้าไปใต้พื้นทรายครับ(เป็นความรู้ใหม่ของผมครับ แต่คงไม่ทำแล้วเดี๋ยวจะเป็นการแกล้งสัตว์) อ่อ พวกเขามีเข็มพิษนะครับ ห้ามใช้มือเปล่าสัมผัสโดยเด็ดขาด

รอมาหลายสิบนาที พี่เอก็ยังไม่ลงมา เราจึงตัดสินใจขึ้นด้านบน โชคดี น้องโอ๊ตเป็นคนเดียวที่มี Sausage เลยยิงขึ้นด้านบน ให้เรือมารับได้(เป็นอุปกรณ์ราคาถูก แต่ผมจะต้องซื้อเก็บไว้แล้ว เผื่อจะต้องหลุดไปอยู่คนเดียว) เราทราบว่า พี่เอลงมาจริงๆแต่ไม่เห็นเราเพราะกระแสน้ำด้านบนเปลี่ยน ทำให้พี่เอไม่ได้ลงมายังจุดเดิมนั่นเอง

ผมล้าง Wet Suit เก็บไว้บนเรือ วันรุ่งขึ้นจะต้องใช้อีกครั้ง เรากลับมาอาบน้ำ เปลี่ยนชุดที่โรงแรม ก่อนจะขนขบวนมารับประทานอาหารเย็นร้าน “เจ๊จุก” ร้านอาหารทะเลที่ช่วงหลัง ผมกินเป็นประจำเวลามาที่นี่

กินอาหารอิ่มแล้ว สมาชิกคนแรกที่กลับบ้าน(เฮ้ย ไม่ใช่ big brother) พี่ยินต้องกลับกรุงเทพในวันนี้เพราะมีธุระต้องไปเรียนวาดภาพสีน้ำมันในวันรุ่งขึ้นโดยมีพี่เอขับรถไปส่งที่สถานีขนส่ง

เราเดินไปโลตัส กินไอศครีมที่ร้าน Swensen ร้านไอศครีมที่ถ่ายรูปออกมา ยังไงก็สวย(ห้ามเปิดแฟลชนะครับ เพราะแสงพออยู่แล้ว)

ขากลับผ่านมาร้านเจ๊จุก พบพี่ต่อ พี่ดิ้น พึ่งมาถึงซึ่งเราจะดำน้ำร่วมกันอีกครั้ง ในวันรุ่งขึ้น

จากนั้นสมาชิกคนต่อไป คือ น้องเจและพี ที่มีธุระไปงานถ่ายรูปรับปริญญาเพื่อน ในวันรุ่งขึ้นที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

ดูบอล คู่ระหว่างอังกฤษ กับ โปรตุเกส บวกกับให้พี่เท็นดูไพ่ยิบซีให้ทุกๆคน(พี่เท็นใจดีมาก รับดูให้ทุกคนฟรี) ที่น่าแปลกก็คือ หลายๆอย่างนั้นตรง(ทุกคนที่ดูแล้วก็บอก) สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น พอถึงตามผม ผมเชื่อว่าแม่นจริงๆ เพราะเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่สามารถมองลึกไปถึงนิสัยใจคอของผมได้ ที่สำคัญสอดคล้องกับการดูลายมือ ที่ผมให้รุ่นพี่คนหนึ่งดูให้ด้วย(แม่นมาก แม่นมาก)

อยากดูคู่ระหว่าง บราซิล กับ ฝรั่งเศสมาก แต่ง่วงเหลือเกิน พรุ่งนี้มีดำน้ำด้วย นอนดีกว่า(ทุกคนก็เหนื่อยอ่อนเช่นกัน เลยไม่มีใครดู)


2 กรกฎาคม 2549

เช้านี้ พี่ป้อมนัดเช้ากว่าเมื่อวาน เราจะได้มีเวลาทำกัน 3 ไดฟ์ ข้าวเช้ารับประทานที่ร้าน ต้มเลือดหมูแสนอร่อย(ลืมชื่อร้านครับ รู้แต่อร่อยมาก) คนอื่นๆมารอที่ร้านกันแล้ว มีพี่ฝ้ายพึ่งมาจากกรุงเทพฯ จะมาดำกับเราในวันนี้ด้วย

เจอกลุ่มของมารีน ไดฟ์ มากินข้าวที่ร้านด้วย(ผมจำได้เพราะ มารีน ไดฟ์ เขามีโปรแกรมสอนดำน้ำแบบ discover scuba ฟรี ซึ่งหมดเขตปลายเดือนมิถุนายน 2549 นับว่าเป็นโปรแกรมที่ดีสำหรับให้ผู้ที่สนใจได้ลิ้มลอง ก่อนที่จะตัดสินใจว่าจะลงเรียนแบบ open water ดีหรือไม่)

ผมว่าเรื่องนี้สำคัญเพราะมีเพื่อนผมหลายคน เรียนดำน้ำมาก่อนผมเสียอีก แต่เขาไม่ได้ชอบอย่างจริงจัง หลังๆจึงเลิกไป ซึ่งผมคิดว่าน่าเสียดายมาก(ค่าเรียนก็ไม่ใช่ถูกๆนะ) ฉะนั้น ก่อนเริ่มเรียนดำน้ำ ควรถามตัวเองก่อนว่า ชอบมากแค่ไหน? และพร้อมที่จะจ่ายเงินจำนวนมาก ในการดำน้ำแต่ละครั้งหรือไม่?

เดียร์กับพี่นัทกลับกรุงเทพฯเช้านี้ ติดรถยนต์บ้านของพี่ฝ้ายกลับกรุงเทพฯ ไม่ต้องนั่งรถทัวร์(ผมลืมให้พี่นัทเขียน Log Book คราวหน้าแล้วกันนะ)(พี่นัทกลับแล้วใครจะมาช่วยผมเปิดประตูห้องน้ำเนี่ย)

วันนี้ไม่ต้องรอแท็งค์นานแบบเมื่อวานนี้(มาส่งตรงเวลา) แต่ก็ยังต้องช่วยพี่ๆคนแท็งค์ข้ามเรือด้วย

พี่ฝ้ายมาในวันนี้ บอกได้คำเดียวว่าอิ่มแน่นอน เธอขนขนมมาเพียบ มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่จริงๆ(ผมยินดีช่วยถือ อย่างเต็มใจ ฮ่าๆๆๆ)

วันนี้คลื่นลมแรงมาก เลยต้องเปลี่ยนแผนกระทันหัน เราไม่สามารถไปเกาะมารวิชัยได้(ถึงเราอยากไป เรือก็ไม่ไปครับ คลื่นตูมๆแบบนั้น) จึงต้องมาหลบคลื่นลมที่เกาะสาก และมาดำไดฟ์แรกที่นี่

Tuesday, July 11, 2006

สู่หมายไกล….ทะเลพัทยา(1)


หลังจากทริป “เปิดโลกทะเล......สัตหีบ” เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ผมก็ยังไม่ได้ไปดำน้ำแบบ Scuba ที่ไหนอีกเลย ได้แต่น้ำลายไหลและรู้สึกอิจฉาทุกครั้งเมื่อได้ทราบข่าวการไปดำน้ำของเพื่อนๆ ไม่ว่าจะเป็นอันดามันเหนือ อันดามันใต้ หรือแม้กระทั่งฝั่งอ่าวไทยอย่างชุมพร

“อยากไปทำไมไม่ไปกับเขาล่ะไอ้น้อง” ตอบได้ง่ายมากครับพี่ ก็เวลาไม่อำนวยแถมตังค์ก็ไม่มี จะให้ไปยืมเงินคนอื่นไปเที่ยวมันก็เกินไป ไม่ใช่สไตล์ผมซะด้วย

ในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ต่อด้วยวันอาสาฬหบูชาและวันเข้าพรรษาดูจะเป็นคำตอบที่ดีสำหรับผม เมื่อมองดูจุดดำน้ำที่เหมาะสมในช่วงนี้ คงหนีไม่พ้นชุมพร ที่ผมหวังอย่างยิ่งว่าจะได้กลับไปเยือนถิ่นเก่าอีกครั้งหนึ่ง(ก่อนหน้านั้นมีทริปพัทยาแต่ด้วยเงินในกระเป๋าและเวลาว่างในวันข้างหน้าทำให้ผมต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งครับ)

ก่อนเดินทางไม่กี่วัน ผมก็ต้องเปลี่ยนความคิดเพราะเจ้าวุ้น เพื่อนซี้ กำลังจะแต่งงานในช่วงวันหยุดยาวนี้พอดี(วุ้นเคยไป “ทริปแบกเป้......ไปเกาะช้าง” กับผมมาแล้วด้วย) หากผมจะไปเที่ยวโดยที่ไม่มางานแต่งงานของเพื่อนซี้ก็ดูจะเป็นคนที่เห็นแก่ตัวเกินไป(วุ้นไซโคมาเรียบร้อยครับ ว่า เที่ยวเมื่อไรก็ได้แต่กูแต่งงานครั้งเดียวนะเว้ย)

ส่วนเรื่องดำน้ำของผมเหรอครับ ไม่มีวันล้มเลิกซะล่ะ แผนสองจึงเริ่มทำงาน ก่อนสัปดาห์หยุดยาวนั้น พี่ป้อมมีทริปออกไปหมายไกลที่พัทยา(อันเป็นที่มาของชื่อเรื่องนี้) ผมจึงตัดสินใจไปในทริปนี้ทันที ขออธิบายง่ายๆว่า หมายไกล คือ จุดดำน้ำที่อยู่ไกลจากชายฝั่ง อย่างในทริปนี้ เช่น เกาะริ้น, ลอมฟาง ,ยักษ์กระโดง, เกาะมารวิชัย, เรือคราม เป็นต้น

การเดินทางไปสำรวจท้องทะเลของผม กำลังจะเริ่มอีกครั้งหนึ่งแล้วครับ


30 มิถุนายน 2549

ช่วงนี้ก็รู้ๆกันอยู่ว่าฝนตก แต่จะตกหลังจากผมอยู่ที่ทำงานแล้วเสมอ แต่ทำไมดันมาตกในวันที่ผมไม่ได้ใช้รถยนต์พอดี(ทำไมโชคดีจังวุ้ย) กระเป๋าใบใหญ่ที่แบก Wet Suit ที่พึ่งซื้อมาจากงาน TDEX ทำเอาการเดินทางในวันนี้ทุลักทุเลพอสมควร(แค่จัดของลงกระเป๋าก็ลำบากพอแล้วจ้า)

สาย ครับ สาย (สมน้ำหน้า) การแบกเป้มาที่ทำงานนั้นแม้จะหนักกว่าทุกวันแต่ก็ทำให้ผมรู้สึกยินดีเสมอๆ เหตุผลง่ายๆครับ ก็จะได้ไปเที่ยวแล้วแถมเป็นทะเลที่รัก(รักษ์)อีกด้วย

ตกเย็นฝนก็ยังตกอยู่ดี ผมนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่สถานีอ่อนนุช เพื่อมารอพี่ป้อมที่โลตัส(จะมีสมาชิกอีก 2 คนที่จะเดินทางไปด้วยกัน) เห็นได้ว่าในตอนนี้สถานีรถไฟฟ้าได้เชื่อมทางเดินเข้าสู่ชั้น 2 ของห้างเทสโก้ โลตัสเรียบร้อยแล้ว(ทำให้สะดวกขึ้นกว่าเดิมเยอะ)

คำว่าข้างนอกขรุขระ ข้างในต๊ะติ้งโหน่ง ดูจะใช้กับสถานการณ์นี้ได้ดี เพราะภายในเทสโก้ โลตัส สาขานี้กลับทันสมัยมาก ร้านกินข้าวเอย ร้านขายของเอย(เอาน่า ลองไปดูแล้วกัน ผมว่าดูดีกว่าหลายๆที่นะ แม้จะมีพื้นที่จำกัดก็เถอะ)

ระหว่างรอพี่ป้อม ผมหาข้าวกินแก้หิว(ถ้าไม่กินตอนนี้ กว่าจะได้กินอาจจะดึก พรุ่งนี้ต้องดำน้ำด้วย อย่าหวังน้ำบ่อหน้าเลยดีกว่า กินเถอะ)

เมื่อพี่ป้อมมาถึง ไม่นานนักผมก็ได้รู้จักพี่มิ้งนักเรียน Open Water ใหม่แกะกล่อง(พึ่งจบมาในช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมาครับ) พี่มิ้งทำงานอยู่บริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง ย่านเยาวราช พาหนะคู่ใจของพี่มิ้งจะพาผมสู่ จ. ชลบุรี

ก่อนออกเดินทางเราไปรับพี่ยิน (จบ Open Water มานานแล้ว แต่เป็นนักเรียนที่ใช้เวลาเรียนกับพี่ป้อมนานที่สุด เพราะอะไรต้องถามเจ้าตัวครับ) พี่ยินเปิดธุรกิจส่วนตัวขายเสื้อผ้าให้ชาวต่างชาติ ได้ฝึกภาษาต่างประเทศทุกวันด้วย น่าอิจฉาจริงๆเลย

เราใช้เส้นทางทางยกระดับบูรพาวิถี(เส้นทางเดียวกับที่รถทัวร์นั่นแหละครับ) ผมรู้สึกชอบทางนี้มากกว่ามอเตอร์เวย์เสียอีก เร็วกว่า ขับสบายกว่า ไม่มีรถบรรทุก (เอาเฉพาะทางยกระดับนะ) พี่มิ้งเห็นเงียบๆแบบนี้ เธอเหยียบในความเร็วระดับ 140 ทำให้มาดูบอลคู่ระหว่าง เยอรมันกับอาร์เจนตินาทันในครึ่งหลัง(ออกจากกรุงเทพฯ 3 ทุ่มครึ่งครับ) โดยเรามาพักที่โรงแรม กัลฟ์ สยาม สถานที่พักพิงของนักดำน้ำเสมอๆ (โดยมีคุณลุงพนักงานรักษาความปลอดภัย ออกมาทำความเคารพเหมือนเดิม)

ส่วนสมาชิกที่เข้าพักในวันนี้คนอื่นๆก็มี เจี๊ยบ น้องโอ๊ต พี่พิช ที่มาถึงหลังจากผมไม่นานนัก โดยมีพี่เต้ เพื่อนใหม่นักดำน้ำเป็นคนขับ ผมคุ้นๆหน้าพี่เต้อยู่บ้างเพราะเคยเห็นรูปที่โชว์ในเว็บบอรด์

ขออนุญาตตามกระแสบอลโลกเชียร์บอลและพักผ่อนก่อนครับ พรุ่งนี้ต้องตื่นไปดำน้ำแต่เช้า


1 กรกฎาคม 2549

อาหารเช้าที่กัลฟ์ สยาม ในวันนี้แตกต่างจากเดิมเล็กน้อยตรงที่ไม่ได้จัดกลางแจ้งเหมือนเคย แต่จัดในห้องแทนเพราะในช่วงนี้ฝนตกเกือบทุกวัน

ที่นี่ผมได้เพื่อนใหม่ดำน้ำอีก 2 คน คือ พี่เท็น , เจและน้องพี่(เป็นพี่น้องกัน) จากนั้นก็ได้เวลาที่เราจะออกเดินทางไปท่าเรือพัทยา(Pattaya Port) อันเป็นท่าเรือที่มนุษย์กบอย่างเราๆใช้ออกไปดำน้ำบ่อยๆ

พัทยายามเช้านี่ คึกคักน่าดู เพราะตามชายหาดในเวลานี้กลับคราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว ที่จะโดยสารไปท่องเที่ยวยังเกาะต่างๆโดยมีผู้ประกอบการทั้งหลายคอยให้ความสะดวกสบายกับนักท่องเที่ยวเหล่านั้น

จอดรถไม่นาน พี่โก้(ปาปารัซซี่)ที่กำลังจะกลายเป็น Instructor ในอีกไม่ช้าก็มาถึง(อีกหน่อยได้เป็นแล้วจะเรียกแยกกับครูโก้ว่าอย่างไรดีเนี่ย) พี่โก้พร้อมกับน้องนก บัณฑิตจากรั้ว ศิลปากรหมาดๆ ที่ผมเคยคุยด้วยทางเว็บบอรด์มานานแล้ว เพียงแต่พึ่งเจอตัวจริงก็วันนี้แหละ

ต่อด้วยพี่เอ(เจ้าของภาพถ่ายใต้น้ำสุดสวยและกล้องที่ผมไม่อยากเข้าใกล้)(ของแพงกลัวพังครับ) พี่เอมาพร้อมกับหมอเดียร์และจ๊อบ(น้องชายเจี๊ยบเขาล่ะ ดูๆไปคล้ายจั๊ก double u เหมือนกันนะ) จ๊อบห่างหายจากการดำน้ำมานานมาก ต่างจากพี่สาวที่ดำผุด ดำว่าย จนมีครีบโผล่ออกมาเรียบร้อย การมาในวันนี้ก็ถือเป็นการเคาะสนิมที่ถูกที่ ถูกเวลาจริงๆ อีกหนึ่งหนุ่ม คือ พี่นัท(อันนี้ก็เคยเห็นหน้าในเว็บบอรด์แล้ว ดูน่ากลัวเป็นบ้าเลย แต่ตัวจริงก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิดไว้) พี่นัทเป็น Trainee ที่กำลังจะรอเป็น Divemaster ในอีกไม่ช้านี้

อีก 2 คน คือ พี่ตี๋และพี่เจี๊ยบ ซึ่งเป็นเพื่อนในที่ทำงานของพี่พิช ส่วนบนเรือก็มีพี่เปรม ที่จะมา Fun Dive กับเราในวันนี้ด้วย

วันนี้เรือออกจากฝั่งช้า นั่นเป็นเพราะเรารอแทงค์อากาศที่มาส่งช้ากว่ากำหนด มองไปด้านข้างมีถังสีฟ้า พี่พิชพูดแซวว่า เราน่าจะใช้ถังนั้นแทนได้นะ(ถังแก๊สครับ ถังแก๊ส ฮ่าๆๆๆ)

พออากาศมาถึง เราช่วยกันขนขึ้นเรือ(อย่างระมัดระวัง) ผมรู้สึกว่าเรี่ยวแรงของผมหายลงไปเยอะ จากที่เคยถือสบายๆ ตอนนี้เริ่มหนัก อาจเป็นเพราะช่วงหลังๆ ผมมีเวลาออกกำลังกายน้อยลงนั่นเอง

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย เราจึงออกเดินทาง ทุกคนเลือกอุปกรณ์ใน Gear Bag ของตนเอง ไปสวมกับแท็งค์ที่เตรียมไว้ ไม่ว่าจะเป็น BCD หรือแม้กระทั่ง Regulator นำตะกั่วมาสวมกับเข็มขัดให้เรียบร้อย ผมห่างหายจากการดำน้ำมา 4 เดือน จึงต้องประกอบอุปกรณ์อย่างช้าๆ(แอบชำเลืองข้างๆบ้าง ก็ไม่มีใครว่าหรอก ฮ่าๆๆ) ผมนำ Wet Suit มาแช่น้ำไว้ แล้วพี่พิชก็มาเหยียมอย่างเมามัน(เป็นวิธีที่ทำให้อากาศออก ผมจะได้ไม่มีปัญหาเวลาอยู่ใต้น้ำครับ)

ประกอบอุปกรณ์เสร็จ ผมเข้าห้องน้ำที่มีกลอนอยู่ด้านบน พอเอากลอนออก เวลาปิดประตู กลอนก็ลงมาคั่นระหว่างประตูห้องน้ำ ทำให้ปิดประตูไม่ได้ แทนที่จะออกไปเอากลอนล็อคด้านบนให้เรียบร้อย ผมกลับเลือกที่จะใช้มือดันกลอนขึ้นไปแล้วปิดประตู ผลคือกลอนลงมาล็อคจากด้านนอก ทำให้ผมถูกขังอย่างโดดเดี่ยว(โอยทำไม โง่จังวะ เราเนี่ย)

ทำไงดี ผมเริ่มดิ้นรน เคาะประตูแล้วก็ไม่มีใครได้ยิน ตะโกนแล้วก็ไม่มีเสียงตอบรับ(ก็คนอื่นประกอบอุปกรณ์ขึ้นไปด้านบนหมดแล้ว) จะถีบประตูก็กลัวว่าประตูของเรือจะพัง ลองใช้ไม้ดูดส้วมดันออกไป ไม้ก็มีขนาดใหญ่เกินไป ร้อนก็ร้อน แถมเริ่มมึนเพราะทะเลมีคลื่นลม ผมจึงใช้วิธีของ มิสเตอร์บีน เอามือลอดออกไปที่ช่องหน้าต่าง แล้วโบกไปโบกมา(ขอความช่วยเหลือนะครับ ไม่ได้เรียกรถแท๊กซี่)

ลองอยู่หลายที ในที่สุด ฟ้าก็ประทานให้พี่นัท มาช่วยคนที่น่าสงสารอย่างผม พี่นัทเดินผ่านไป เกือบจะขึ้นบันไดอยู่แล้ว แกตกใจเล็กน้อย เพราะมีเสียงเรียกให้ช่วย พอหันกลับมา ก็มีมือโผล่ออกมาที่ช่องข้างๆห้องน้ำ(โบกอย่างหลอนด้วยนะ จะบอกให้)

“เฮ้ย ไปทำอะไรในนั้นน่ะ” พี่นัทถามอย่างติดตลก

“กลอนมันดันลงมาครับพี่ ไม่ได้พี่ผมตายแน่เลยเนี่ย” ผมพูดอย่างโล่งใจมากๆ

พอขึ้นมาบนเรือ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นทันทีว่า “ไอ้ภพ ติดห้องน้ำ ฮ่าๆๆๆ” (เออ อย่ามีใครติดมั่งแล้วกัน ฮ่าๆๆๆ) เป็นบทเรียนว่าเวลาเข้าห้องน้ำ ดูให้ดีๆ ก่อนปิดประตูนะครับ

อีกไม่ถึง 15 นาที พี พี่สาวของเจลงไปห้องน้ำ และนานจนผิดสังเกต พี่ป้อมเลยบอกให้พี่พิชลงไปดู ปรากฎว่า พีติดห้องน้ำครับ(นั่นไง มีคนตามรอยผมจนได้ ) ผมว่าเป็นแบบนี้ ในอนาคตอาจมีคนติดอีกก็ได้ แต่ผมไม่ได้ถามพี่พิชด้วยซิ ว่าพีเขาร้องขอความช่วยเหลือแบบไหน?