Sunday, January 29, 2006

ชิมองุ่นที่ไร่ Silver Lake


วันนี้ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวในไร่องุ่น Silver Lake แหล่งท่องเที่ยวใหม่ในพัทยา ที่หลายๆคนคงยังไม่รู้จัก

ขับรถจากถนนสุขุมวิทเลยพัทยาใต้มาซักพัก สังเกตป้าย เลี้ยงเข้าวัดญาณสังวราราม ตรงเข้ามาในซอยเรื่อยๆ หากเห็นเขาชีจรรย์แสดงว่ามาถูกทางแล้ว(เขาชีจรรย์ แหล่งท่องเที่ยวที่สลักรูปพระประธานบนภูเขานั่นแหละครับ)

เลยเขาชีจรรย์มา ด้านหน้าก็คือ ไร่องุ่น Silver Lake แล้วครับ มีป้ายทางเข้าแสดงไว้อย่างชัดเจน

เข้ามาด้านในจะมี ที่จอดรถอย่างเป็นระเบียบ บริเวณจุดนี้จะเป็นจุดขายองุ่นหากใครสนใจจะซื้อติดมือกลับไปบ้าน มีทั้งองุ่นมีเม็ดและองุ่นไร้เม็ด มีน้ำองุ่นและ ผลิตภัณฑ์แปรรูปต่างๆ เป็นต้น

ตรงจุดนี้จะมีกิจกรรมขี่รถ ATV ด้วย บริการให้เช่าสำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจชมไร่องุ่นแต่ไม่อยากเดิน โดยมีทัศนีย์ภาพ คือไร่องุ่นมากมาย สลับกับภูเขาและแม่น้ำ

หากไม่อยากเช่าก็เดินดูใกล้ๆ แบบผมก็ได้ครับ สามารถถ่ายรูปได้แต่อย่าหยิบติดไม้ติดมือออกมาล่ะ ไม่งั้นซวยไม่รู้ด้วยนา(เขามีป้ายอยู่แล้วว่าห้ามเด็ดองุ่นครับ)

วันหยุดสุดสัปดาห์ หากผ่านมาเที่ยวพัทยาแล้ว มาไหว์พระที่วัดญานสังวราราม มาชมทัศนีย์ภาพที่เขาชีจรรย์ ก็ไม่ควรพลาดที่จะมาชิมองุ่นอร่อยๆที่ที่ไร่ Silver Lake ด้วย

ผมชิมมาแล้ว บอกได้คำเดียวว่าอร่อยจริงๆ

ไหว้บรรพบุรุษ วันตรุษจีน


วันตรุษจีนที่ผ่านมา ผมเดินทางไปบ้านของลุงตุ๊ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ๆของพ่อ ที่ อ สองพี่น้อง จ สุพรรณบุรี เพื่อไปไหว้คุณปู่ คุณย่า คุณลุง ผู้ล่วงลับ โดยผมมาที่นี่เป็นประจำทุกๆปี

เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ผมมาถึงบ้านลุงตุ๊ พบป้ามน ศรีภรรยาของลุง พี่เอกลูกชายของลุงตุ๊และเจ้าภูมิลูกชายพี่เอก(หลานของลุงตุ๊)

“เอ้า ภูมิ สวัสดีคุณอาเขาซิ” เสียงลุงตุ๊บอกภูมิ เด็กน้อยวัยยังไม่ถึง 10 ขวบ

“สวัสดีครับ” ภูมิสวัสดีคุณอาอย่างผม ซึ่งผมคิดในใจว่าผมไม่ได้แก่หรอก แต่ตามศักดิ์ ผมคืออาของภูมินั่นเอง

นอกจากนี้เจ้าพลอย สุนัขพันธุ์บางแก้วตัวอ้วน ขนฟู ก็มาต้อนรับเหมือนเดิม

หลังจากผมจุดธูปไหว์คุณปู่ คุณย่า พี่แก้ว(พี่ชายของพ่อ)และคุณน้าอีกคนหนึ่ง อธิษฐานขอให้ท่านช่วยคุ้มครองผมและครอบครัว จงมีแต่ความสุขและประสบผลสำเร็จ

ระหว่างรอรับประทานอาหาร ผม ลุงตุ๊ คุณพ่อ และพี่ชายคนกลางเดินเข้าไปบริเวณเล้าไก่

บ้านลุงตุ๊มีอาชีพหลักเป็นเกษตรกร เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา และยังปลูกผลไม้รอบบ้าน มีชีวิตความเป็นอยู่แบบเศรษฐกิจพอเพียง แม้ลุงจะไม่ได้จบการศึกษาสูงๆ มีเงินไม่มากนักแต่ก็เป็นชีวิตที่เรียบง่ายและมีความสุข

ผมเข้ามาดูที่นี่ทุกครั้ง แต่ตอนนี้ลุงเปลี่ยนจากเลี้ยงไก่มาเลี้ยงเป็ดแทน ลุงชี้ให้ดูไข่เป็ดบริเวณด้านนอกที่เตรียมตัวนำไปขาย ฟองละ 2.50 บาท(จาก 3 .50 บาท) “ช่วงนี้ไข่เป็ดราคาตก” ลุงตุ๊พูด

ภายในเต็มไปด้วยเป็ดร้องก๊าบๆ เต็มไปหมด เป็นสังคมที่ใหญ่โตมาก ผมเห็นว่า พวกมันมีความสุขกว่าไก่แน่นอนตรงที่ เวลาอากาศร้อน เป็ดสามารถเดินข้ามสะพานเล็กๆ (ที่ลุงตุ๊กับพี่เอกทำไว้)เพื่อให้พวกมันลงไปเล่นน้ำ ในขณะที่ไก่ เวลาร้อนหากสปริงเกอร์(ที่ฉีดน้ำ)เอาไม่อยู่ ก็ซี้ลูกเดียว

ด้านล่างเล้าเป็ดลุงตุ๊เลี้ยงปลานิล ปลาดุกไว้ โดยอาหารก็ไม่ต้องซื้ออะไร มูลเป็ดนั่นเอง นับเป็นการเลี้ยงที่มีประสิทธิภาพแถมประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากด้วย

หลังจากรับประทานอาหารกลางวันแสนอร่อยแล้ว ก็ต่อด้วย ชมพู่ ฝรั่ง องุ่น จากต้นข้างๆบ้าน รสชาดอร่อยมากครับ

ตรุษจีนนี้ แม้ผมจะไม่ได้แตะเอียเหมือนคนอื่นๆ แต่การที่ได้มาไหว้บรรพบุรุษ ได้มาพบปะญาติพี่น้อง นั่นเป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่า (ปีละ 1 ครั้งเองครับ)

เป็นการวัดใจอีกว่า หากไม่มีธุระสำคัญจริงๆ ลูกหลานมีจิตสำนึกกับวันนี้มากน้อยแค่ไหน

Monday, January 23, 2006

คลื่นวิทยุกลมๆ กับ มายากลเจ๋งๆ


คืนวานนี้ ผมไปรับประทานอาหารเย็นกับเพื่อนๆกลุ่มดำน้ำที่ ร้านน้อมจิตต์ ไก่ย่าง ย่านเอกมัย (ไม่เกี่ยวอะไรกับชุดนักเรียนน้อมจิตต์นา) โดยจอดรถไว้ในซอยแคบๆ ซอยหนึ่ง (วันรุ่งขึ้นจึงทราบว่ารถโดนเฉี่ยวแต่เป็นความผิดของผมเองที่จอดไว้ใกล้ทางเข้าซอย)

ที่นี่นอกจากพี่ป้อม พี่ต่อ เจี๊ยบ เดียร์ น้องโอ๊ตแล้ว พี่ดิ้นก็ตัดสินใจที่จะเรียนดำน้ำอย่างเต็มตัวโดยพึ่งมาจากการลงสระที่เอกมัย(น้องโอ๊ตก็มาฝึกการใช้ตะกั่วให้น้อยลงเช่นเดิม)

ผมได้เจอพี่จิน(หรือจินนี่ ในเว็บ) ผู้ซึ่งติดตามงานเขียนของผมตั้งแต่ตอนไปเรียนดำน้ำที่ชุมพรคาบาน่า ที่สำคัญในวันนี้ พี่จินได้ไปลงสระด้วยนั่นหมายความว่า ในอีกไม่ช้า เราจะมีนักดำน้ำเพิ่มอีก 1 คน

ไม่นานนักพี่โก้(ที่ถูกผมวางยาที่สิมิลัน)ก็เข้ามา ต่อด้วยคุณลูกสาว(ไม่ได้มาหรอก)แต่โทรศัพท์มาจากเกาะลันตามาหาพี่ป้อม เลยทำให้ได้คุยกับเพื่อนๆในเว็บทั่วโต๊ะ

ในโต๊ะอาหาร เราคุยกันหลายๆเรื่อง สนุกสนานเช่นเคย อยู่ๆพี่จินก็พูดถึงคลื่นวิทยุคลื่นหนึ่ง มีคุณหมอมาคุยเกี่ยวกับเรื่องเพศ ผมเริ่มคุ้นๆเพราะจำได้ว่า ประมาณเดือนที่แล้วขณะผมขับรถกลับบ้าน ชูฮวยได้เปิดคลื่นนี้พอดี เลยฮากันทั้งรถ(สรุป คือ เพื่อนพี่จินเป็นคนทำคลื่นนี้ครับ ไม่รู้จะเป็นโลกกลมๆ ภาค 3 ได้ไหม)

จากนั้น เราไปหาพี่พิช ที่ร้าน Yes Indeed แกพึ่งกลับมาจากการทำงานและท่องเที่ยวที่อุทยานแห่งชาติ น้ำหนาว จ เพชรบูรณ์

ร้านนี้แม้จะใกล้บ้าน แต่ผมก็ไม่ได้มานานมาก มีนักมายากลของทางร้านมาเล่นมายากลให้ชมด้วย

ไม่ว่าจะเป็นชุดเหรียญที่หายไป(อันนี้เห็นบ่อย) หรือชุดลูกบอลกลมๆที่เพิ่มเป็น 2 ลูกคณะอยู่ในมือนั้น ผมก็แปลกใจอยู่แล้ว พยายามมองแต่ก็มองไม่ทัน

แต่ที่งงเป็นไก่ตาแตก เพราะเจอกับตัวเอง คือชุดไพ่บนมือ ผมเลือกไพ่ 1 ใบ คลิปเรียบร้อยด้วยตัวหนีบ ผมมองอย่างแน่นอนก่อนจะวางไพ่ไว้บนมือตัวเองว่า ไพ่ใบนั้นคว่ำในมือผมแน่นอน พอกำเรียบร้อย เปิดมาอีกที ไพ่ใบนั้นเปลี่ยนไปเป็นใบอื่นเฉยเลย ทั้งๆที่อยู่ในมือของผม (ผีหลอกเห็นๆ)

พี่ป้อมเดาว่า เขาเปลี่ยนตั้งแต่ก่อนเอาวางในมือผมแล้ว แต่แกก็มองไม่ทันเหมือนกันและไม่มีใครมองทันด้วย ถ้าเปลี่ยนก็เร็วมากครับ จะเป็นไพ่แบบพิเศษก็ไม่น่าจะใช่ (ผมถามมายากล คนนี้ เขาบอกว่า การแสดงชุดนี้ยังไม่มีแขกคนไหนจับได้เลย) โดยพี่คนนี้มีกลุ่มเฉพาะเพื่อนมายากลด้วยกัน(ไม่ได้เรียนมาจาก ฟิลิปครับ)

ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอนักจัดรายการวิทยุที่มาทำงานพิเศษหรือคุณพี่นักมายากล(อาจเป็นงานประจำ) ก็เป็น อาชีพที่สุจริต น่าภาคภูมิใจ แม้จะได้ค่าตอบแทนไม่มากนัก หากเทียบกับอาชีพอื่น

มีความสุขกว่า การนั่งบนโต๊ะทำงานทั้งวัน หน้าตาเคร่งเครียด เสี่ยงต่อการเป็นโรคเป็นไหนๆ

Sunday, January 22, 2006

งานวชิราวุธ Home Coming Day 2006


หรือ คืองานคืนสู่เหย้าที่เด็กวชิราวุธรู้จักกันครับ เพราะในงานนี้นอกจากงานเลี้ยง ออกร้านขายของ ตอนค่ำแล้ว ช่วงบ่ายยังมีการแข่งขันกีฬาระหว่างศิษย์เก่ากับศิษย์ปัจจุบันด้วย

ผมมาถึงที่โรงเรียน ก่อนเวลาแข่งไม่นานนัก จึงไม่ได้ทานข้าวกลางวัน อย่างไรก็ตาม ผมต้องเปลี่ยนชุดแล้ว

ปีนี้แข่งบาสเกตบอลที่สนามบาสคณะผู้บังคับการ(คณะผมเอง)เพราะที่อินดอร์ ปิดซ่อมแซมอยู่

แม้จะมีพี่ๆโอวีเยอะแต่ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ลงครับ เพราะลงไปแปบเดียวพี่ๆก็เหนื่อยกันแล้ว(ส่วนใหญ่ก็ทำงานกัน ไม่ค่อยมีเวลาเล่นกีฬาเหมือนตอนสมัยเรียนแล้ว)

อย่าว่าแต่พี่ๆเลย แม้แต่ผมลงไปแปบเดียวก็เริ่มเหนื่อยแล้ว แต่ก็ยังมีแรงเหลือมากกว่าพี่ๆหลายคนที่อายุมากกว่าผมเยอะ

เกมจบลงที่ศิษย์ปัจจุบันชนะ (เล่น fast break รังแกคนแก่ที่วิ่งตามไม่ทัน และชูต 3 แต้มแม่นมาก)

แต่เป็นเรื่องที่ถูกต้องครับเพราะหากอยากพัฒนาฝีมือ ต้องเล่นให้เต็มที่ ซึ่งประโยชน์ก็อยู่ที่น้องๆนั่นแหละ

เมื่อเล่นเสร็จ ผมกับกระจิ๋มยังเล่นกับน้องๆ ต่อ โดยแบ่งทีมเล่นกันครึ่งสนาม(เต็มสนามก็เหนื่อยตายซิ) ซึ่งมีตังเก เฉียด พี่ห้อย มาเล่นด้วย ซึ่งเกมเป็นไปอย่างสนุกสนานมาก นึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ที่เคยร่วมเล่นด้วยกัน

เด็กสมัยนี้สูงมาก มีคนหนึ่งเล่น เซ็นเตอร์ อยู่ชั้นม 5 ความสูงปาเข้าไป190(ไม่สามารถวัดชั่งตัวที่ รร ได้)

เมื่อเกมจบ พี่ๆน้องๆต่างขอบคุณซึ่งกันและกัน

ผมกับกระจิ๋ม หยิบกล้องไปถ่ายรูปตึกใน รร แม้แดดในเวลานี้จะเริ่มหายไปหมดแล้ว แต่ผมก็ไม่เสียดายเวลาที่ได้เล่นบาสเลย(ได้อย่างก็เสียอย่างครับ)

ผมได้มีโอกาสมาอาบน้ำในคณะ ที่ที่ผมเคยกิน นอนมา ทำให้ยิ่งเหมือนกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง เช่นเดียวกับพี่ทิดอ่ำ คงมีความรู้สึกดีๆไม่แพ้ผมแน่นอน

ในตอนค่ำ มีการออกร้าน ขายอาหาร มีกิจกรรมบนเวทีโดยพิธีกร คือ พี่ธราวุธ นพจินดา หรืออาหนู น้องชายของพี่ ย โย่ง (ใครดูบอลกัลโช่ ซีเรีย อา คงคุ้นเคยกับเสียงอาหนูดี)

เมื่อพี่น้องก็ได้พบกัน ก็มีแต่ความยินดี รุ่นพี่บางคนไม่ได้เห็นหน้ามานาน เช่น พี่สีไผ่ ก็พาลูกมาในงานนี้ด้วย และยังมีพี่ๆน้องๆ อีกหลายคน

ที่สำคัญการได้กลับมาถวายบังคม รัชกาลที่ 6 อีกครั้ง การได้เข้ามาภายใน รร เป็นสิ่งที่เด็กวชิราวุธทุกคนปลาบปลื้ม แม้ปัจจุบัน ผู้บริหาร รร จะมีความคิดแผลงๆ ไม่อนุญาติให้ศิษย์เก่าเข้ามาใน รร อีกต่อไป(ปีหนึ่งจะเข้ามาได้เฉพาะวันนี้ กับวันที่ 25 พฤศจิกายนเท่านั้น)

แต่ทุกคนก็ต้องยอมรับ แม้จะมีความรู้สึกไม่พอใจอยู่บ้างก็ตาม

การปวดเมื่อยตามตัว บาดแผลที่นิ้วโป้งจนบวมของผม จากการเล่นกีฬา การได้เข้ามาถวายบังคมรัชกาลที่ 6 การที่ได้เดินเข้าไปภายในสถานๆที่ต่างๆ ภายใน รร ที่ผมคุ้นเคย

มันทำให้ผมยิ่งนึกถึงความหลังเข้าไปทุกขณะ ซึ่งเป็นความหลังที่น่าจดจำทั้งสิ้น

10 ปีภายใน รร ยังคงอยู่ในใจของผมและเพื่อนๆตลอดเวลา

เหมือนกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งหนึ่งครับ

รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT


หลังจากมีการก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน การเดินทางในกรุงเทพสะดวกขึ้นมาก แม้ว่าบางเส้นทางรถไฟฟ้าใต้ดินอาจจะยังเข้าไม่ถึงก็ตาม

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ใช้บริการรถไฟฟ้าใต้ดินบ่อยมาก ไม่ว่าจะไปที่ไหน ผมมักจะนำรถไปจอดที่นี่แทบทุกครั้งแล้วหาทางไปต่อ ไม่ว่าจะเปลี่ยนจากรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นรถไฟฟ้า BTS ก็ตาม

บางเส้นทางที่ว่า ไม่มีทั้งรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่มีทั้งรถไฟฟ้าBTS ผ่าน เป็นคนอื่นคงเลือกนั่งรถเมล์ นั่ง Taxi หรือขับรถไปเอง แต่ผมใช้บริการรถใต้ดินอยู่ เช่น ผมไปธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ , ไปสอบที่โรงเรียนชิโนรส ก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินไปลง สถานีหัวลำโพง แล้วนั่งรถตุ๊กตุ๊ก รถเมล์ หรือ Taxi ต่อ(ที่สำคัญประหยัดเวลาได้กว่ามากครับ ในสภาวะรถติดแบบนี้)

จึงไม่มีคำว่า รถไฟฟ้า รถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่ผ่าน สำหรับผม มีแต่ว่าใกล้ที่สุดจะลงสถานีไหนได้บ้าง

เมื่อวานนี้ ผมไปงานรับปริญญาลูกเหม็น เพื่อนโอวีที่ศูนย์สิริกิติ์ โดยสารรถใต้ดินเช่นเคย

วันนี้คนเยอะมากในรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่สำคัญมีสาวๆเยอะ(มาก)

“ สงสัยแถวนี้ มีคนขุดท่อไว้เยอะ” ผมเลยเดินตกหลุมบ่อยเหลือเกิน

พอมาถึงที่งาน สถานการณ์ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะมีท่อเยอะแยะไปหมด เดินไปก็ตกหลุมไป งานรับปริญญานี่เป็นแหล่งรวมสาวๆจริงๆ

ไม่นานนักผมก็เจอลูกเหม็น พร้อมกับช่างกล้องชื่อแป้น สาวร่างเล็กที่มาถ่ายรูปให้แบบฟรีๆ(ผมว่าประหยัดเงินได้มากเลย) ถึงแดดร้อนมาก เมื่อถ่ายรูปแล้วจึงไปหาที่หลบแดด

ต่อด้วยฝน เพื่อนลูกเหม็นอีกคน ที่มาแสดงความยินดีด้วย บัณฑิตยังไม่สามารถเข้าไปด้านในอาคารได้ในตอนนี้ เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่า พระองค์เจ้าโสมฯ จะเสด็จผ่านมา

แต่ผมก็สนใจแต่สาวคนหนึ่งซึ่งหน้าตาน่ารักมาก ยากที่คนกิเลสหนาอย่างผมจะละสายตาไปจากเธอได้

เมื่อถึงเวลา ผมลาลูกเหม็นก่อนที่จะเจอกันอีกครั้งในตอนค่ำ ที่งานวชิราวุธ Home Coming Day

เพราะผมมีเล่นบาสเกตบอล ตอนบ่ายสามโมงกันศิษย์ปัจจุบัน ซึ่งผมนัดกระจิ๋ม เพื่อนโอวีอีกคนไปเล่นบาสด้วย(ปีหนึ่งมีครั้งเดียวเท่านั้น)

ก่อนออกคุ้นๆว่าจะเดินสวนกับดาราที่ชื่อ ใหม่ สุคนธวา(ชอบแสดงบทร้ายน่ะครับ แต่ก็สวยดี)

วันเสาร์ที่รถติดมาก ผมกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย เพราะไม่ถึง20 นาที ผมก็มาถึงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีลาดพร้าว

แถมสามารถบริหารเวลาได้อย่างเที่ยงตรงด้วย

ยอมจ่ายมากกว่ารถเมล์หน่อยแต่ผลที่ได้คุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มครับ

Friday, January 20, 2006

ความรัก กับ เงินตรา




“ ถ้าจะจีบชั้นนะ ไปถอยซีรีย์ 5 มาก่อน แล้วค่อยคุยกัน” เป็นเสียงนางสาวแอ้ม(นามสมมุติ)กับหนุ่มคนหนึ่ง ในผับแห่งหนึ่ง

ผมนั่งฟังบัวลอย เพื่อนโอวี เล่าเหตุการณ์นี้ให้ฟัง ตอนเขาไปผับแล้วได้ยินสาวคนนี้พูด

เมื่อบัวลอยพูดจบ(ผมร้องว่า โอ้โห) ผมสามารถเดาลักษณะของสาวคนนี้ได้ว่า เป็นคนที่ชอบเที่ยวกลางคืนเป็นชีวิต จิตใจ และมีแฟนมาแล้วหลายคน คิดว่าตัวเองสวยและดูดีมาก ซึ่งแน่นอนว่า เธอเลือกผู้ชายที่จะจีบเธอที่ เงินตรา มากกว่า หน้าตาและนิสัย (คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง ไม่แน่ใจว่าสมัยนี้ยังใช้ได้ไหม แต่ กระเป๋าแบน แฟนทิ้งนี่เรื่องจริง)

เพียงแค่ฟังแค่นี้ แม้หน้าตาเธอจะสวยระดับนางเอกละคร แต่ผมไม่มีความคิดที่จะอยากรู้จักกับสาวคนนี้เลย (ถึงอยากจะรู้จักก็ไม่สนผมหรอก เพราะผมจน)

เอาเป็นว่า ต่อให้ผมรวย ก็ไม่อยากรู้จักกับเธอคนนี้ แน่นอน

เธออาจจะเป็นเพื่อนสนุกชั่วข้ามคืนได้(ก็อย่างที่รู้ๆกัน) แต่จะมีซักกี่คนเชียว ที่อยากได้เธอเป็นแม่ของลูก(จะมีแต่ความใคร่ หูดำๆ ที่มาเป็นอันดับแรก)

ถึงมี แล้วจะซักกี่คน ที่จะมีความปรารถนาดีกับเธอจริงๆ

ความรัก กับเงินตรา จริงๆ ต้องควบคู่ไปด้วยกัน ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป

ถ้าเราไม่ใช่คนรวย(คนรวย ช่างมันเถอะครับ)

หากจีบสาว เลี้ยงสาวตลอด เลี้ยงทุกอย่าง เธออยากได้กระเป๋าหลุยส์ ซื้อให้ อยากได้น้ำหอม เวอร์ซาเช่ ซื้อให้ ผมว่าก็ไม่ดี(ไอ้เปลืองน่ะ ใช่ แต่จะเคยตัวหรือเปล่า แล้วแน่ใจเหรอว่าเธอหวังเงินหรือหวังในตัวเรา)

ให้สาวเลี้ยงตลอด ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่(เกาะผู้หญิงกิน ชัดๆ ไม่ดีนะ)

จึงต้องอยู่ในความเป็นกลางที่ว่า ต้องเลี้ยงสาวบ้าง แต่ไม่ต้องเลี้ยงตลอดหรอก(โกดาก เพื่อนผมก็เคยพูดไว้)
…………..

“ ถึงพี่คล้าวจะจน ทองกวาวก็รักพี่คล้าว” คงเกือบจะใช้ไม่ได้แล้ว ในยุคสมัยนี้ (ผมว่า คงมีแหละ แต่คงน้อย)

ไม่มีพ่อแม่คนไหน อยากให้ลูกสาวลำบาก กัดก้อนเกลือกิน ซึ่งผมก็ว่าจริงนะ แต่ต้องอยู่ในพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่ว่า เห็นใครรวย ใครหล่อ จับให้ลูกสาว(ทั้งๆที่เธอก็ไม่ชอบ) เพราะตัวเองก็หวังรวย (นี่สงสัย ผมดูละครมากไป)

ไม่ดีครับ ถ้าจะบังคับคนให้รักกัน เหมือนภาษิตว่า “ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้า” วัวไม่กินหญ้า จะให้กินทำไม

จริงอยู่ที่เงินตราก็เป็นอีก 1 ปัจจัย ที่ทำให้ความรักประสบผลสำเร็จ แต่ปัจจัยอื่นๆ อย่างความไว้เนื้อเชื่อใจ ความอดทน การร่วมทุกข์ร่วมสุข นั่นซิเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

แล้วคุณผู้อ่านล่ะครับ คิดอย่างไรกับนางสาวแอ้มบ้าง

เกมพลิก ที่ Arco Arena


เมื่อเช้ามีการถ่ายทอดสดบาสเกตบอล NBA ระหว่าง LA Laker กับ Sacramento King โดยเกมนี้ แม้เป็นนัด Pre-Season แต่ทั้ง 2 ทีม ก็ไม่มีใครยอมใครง่ายๆ โดยเฉพาะแข่งที่ Arco Arena บ้านของ Sacramento King เสียด้วย

ฝั่ง Laker ชูโรงโดย Phil Jackson ผู้จัดการทีมชื่อดัง ที่กลับมาคุมทีมอีกครั้งหนึ่ง และ Kobe Byant ซุปเปอร์สตาร์ ของ laker ทำเกิน 40 แต้มมาแล้ว 11 เกม ถือว่าฟอรม์ดีมาก ในขณะที่ King ฟอร์มย่ำแย่เหลือเกิน

รูปเกมพลัดกันนำตลอด แต่ทิ้งช่องว่าง ห่างกันไม่เกิน 8 แต้ม ซึ่ง Kobe แม่นจริงๆ ในขณะทางด้าน King ก็มี Mike Bibby ที่ฟอร์มกลับมาดีขึ้นเช่นกัน ส่วน Peya Stoiyacovic ฟอร์มยังไม่ดีขึ้น

เกมเหลืออีก 3 นาที จะหมดเวลา Laker นำอยู่ 8 แต้ม(ซึ่งเกมไม่น่าจะพลิกได้) แต่ Lamar Odom กลับไม่ยอมฆ่าเวลา Shot Clock ทำให้ King มีโอกาสกลับมาได้จาก 3 แต้ม ของ Mike Bibby และ Brad Miller

ทำให้เสมอในเวลาปกติ ต้องต่อเวลาพิเศษอีก 5 นาที

จะโทษ Odom อย่างเดียวคงไม่ถูกนัก เพราะคนเราผิดพลาดกันได้ ที่ผมไม่ค่อยชอบ คือ ซุปเปอร์สตาร์อย่าง Kobe Bryant ต่างหาก ที่เห็นแก่ตัวและไม่มีน้ำใจนักกีฬา แม้เกมนี้เขาจะเก่งทำเกิน 40 แต้ม แต่กิริยา ท่าทาง ที่ฉุนเฉียวเวลาเพื่อนไม่ส่งให้ ต่อว่าเพื่อน และฉายเดี่ยว(ทรนงในฝีมือมากเกินไป)(บางเกมชนผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ให้ผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามกินศอกโดยไม่ขอโทษ)

นั่นไม่ใช่ ซุปเปอร์สตาร์ ในอุดมคติของผม

เมื่อตัวจริงอย่าง Chris Mihm และ Lamar Odom ฟาลว์ เอาท์ แล้ว King ก็ยิ่งเล่นง่ายขึ้นเพราะวงใน Luke Walton(ทายาท Bill Walton) ก็ยังอ่อนประสบการณ์ หากเทียบกับ Kenny Thomas ที่เกมนี้ทำ Tripple-Double ได้เป็นครั้งแรกในชีวิตด้วย (การได้แต้ม 10 แต้ม รีบาวน์ 10 ครั้ง และ แอดซิต 10 ครั้ง ใน 1 เกม)

ส่วนพระเอกอย่าง Kobe เล่นเกมรุกอย่างเดียว โดยที่เกมรับช่วยไม่ได้มากนัก Laker จึงแพ้ในที่สุด

เป็นคำตอบได้อย่างดีว่า บาสเกตบอลเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความสามัคคี ของผู้เล่น ไม่ใช่พึ่งใครคนหนึ่งเพียงคนเดียว

จริงอยู่ที่บางครั้ง Kobe ก็แบกทีมทำให้ชนะได้อย่างเหลือเชื่อหลายเกม

แต่ไม่ใช่เกมนี้ครับ

Sunday, January 15, 2006

นัดเอารูป ทริปสิมิลัน 15 มกราคม 2549


“ พรุ่งนี้ไปเอกมัยหรือเปล่า” หมอเดียร์ เพื่อนในกลุ่มดำน้ำ ถามผม

“ไปซิ ๆ กี่โมงล่ะ” ผมถาม ซึ่งหากเธอไม่ได้บอก ผมอาจไม่ได้ไป เพราะในกระทู้เว็บพี่ป้อม ยังคุยกันไม่แน่นอนเท่าไร(หรือแน่นอนแต่ผมมัวแต่เขียนเรื่องอยู่ก็ได้)

ในวันนี้จุดประสงค์หลัก คือการนำรูปจากกล้องของแต่ละคน ไรท์ใส่แผ่นแล้วมาแลกเปลี่ยนกัน ส่วนใครมีเวลาว่าง สามารถมาลงสระ ทบทวนทักษะกับพี่ป้อมได้ แล้วเย็นๆเราจะไปทานข้าวกัน

ผมไรท์รูปใส่แผ่น นอกจากนี้ผมยังเอารูปทริปพัทยา 2 ครั้งล่าสุดและรูปนัดพบกันเมื่อวันที่ 18 ธันวาคมใส่ลงไปด้วย(เนื้อที่มันเหลือน่ะครับ)

ช่วงเช้าผมติดทำความสะอาดบ้านกว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบบ่ายสองโมงแล้ว จึงตามมาทีหลังที่สระว่ายน้ำบ้านกล้วย แถวเอกมัย ใกล้ท้องฟ้าจำลองและสถานีขนส่งเอกมัย

ผมตั้งใจแวะปั้มบางจากซึ่งต้องเติมด้วยตนเอง(ถูกกว่า 20 สตางค์) แม้จะเพียงน้อยนิด แต่ผมอยากลองดูด้วยว่าเติมน้ำมันเองจะเป็นอย่างไรบ้าง ซึ่งไม่ได้ยากเท่าไรเลยครับ(ดมกลิ่นน้ำมันเล็กน้อย)

เมื่อถึงที่หมาย ผมเจอพี่พิชและพี่ต่อ 2 คู่หูดูโอ้ ต่อจากนั้นผมเดินเลียบเข้าไปที่สระ เจอพี่ป้อม น้องโอ๊ต(เห็นพุงในน้ำก็จำได้แล้ว)และพี่ดิ้น เพื่อนพี่ต่อและพี่พิชซึ่งมาในวันนี้เพื่อมาชิมลางลงสระ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะเรียนดำน้ำดีหรือไม่

เมื่อผมได้คุยกับพี่ดิ้น ผมชักชวนแกเต็มที่ ให้มาดำน้ำด้วยกัน เพราะนอกจากจะได้สังคมใหม่ๆนอกจากการเรียนและการทำงานแล้ว การดำน้ำยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยพัฒนาตนเองในด้านต่างๆโดยไม่รู้ตัว เช่น การตัดสินใจ ความกล้าหาญ เป็นต้น(นอกจากจะได้ลงไปสัมผัสความงามใต้ท้องทะเลแล้ว เรียนดำน้ำก็มีสาวๆเยอะนะพี่)

ที่ห้องเรียน สมาชิกแต่ละคนก็เริ่มตามมา พี่ป้อม น้องโอ๊ต เจี๊ยบและเดียร์ ส่วนพี่โก้ ยังคงความเสมอต้นเสมอปลายมาคนสุดท้ายตามเคย ( วันนี้พี่มาสุดท้ายอีกแล้วหรือเนี่ย แกถามผม)

หลังจากไรท์รูปเรียบร้อย เราไปทานอาหารเย็นกันที่ ร้านอร่อยแน่นอน แถวพระราม 9 (ไม่ใช่พระราม9 คาเฟ่นะ) เป็นร้านอาหารอีสาน ส้มตำ ไก่ย่าง(แจ่ว ข้าวเหนียว มันของแน่นอนอยู่แล้ว)

ที่นี่เราได้เจอพี่แห้วและพี่ต่าย คู่สามี ภริยา มากับพี่นัท(หรือน้องแห้งในเว็บ)ลูกสาวแท้ๆ ซึ่งพี่แห้วและพี่ต่ายเป็นพ่อแม่ ที่ยังดูหนุ่ม สาว อยู่เลย(แต่งงานเร็วแน่นอน) โดยคุณพ่อมักจะควงลูกสาวไปดำน้ำเกือบทุกครั้ง

อาหารถือว่าอร่อยสมชื่อ ผมได้ยินว่า ร้านนี้สมัยก่อนเป็นแค่เพิงเล็กๆ ก่อนจะย้ายมาอยู่ฝั่งตรงข้าม ขยายร้านจนใหญ่โต คนมากมายเต็มร้านดังเช่นปัจจุบัน

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมของผม นอกจากการพบเพื่อนสมัย รร เก่า ที่นัดพบกันบ่อยๆ

เป็นกิจกรรมดีๆ ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว

Saturday, January 14, 2006

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(6)


ปลาขี้ตังเบ็ดส้มและกุ้งจักรพรรดิ

กุ้งมังกร

Dive 23 ชื่อของผม คือ กุ้งจักรพรรดิ

ไดฟ์นี้เราจะลงดำบริเวณทิศเหนือของเกาะเก้า ด่านล่างพี่ป้อมชี้ให้ผมดูกัลปังหา(Sea Fan) 2 ต้น ต้นแรกมีป้ายชื่อเล็กๆแขวนไว้ นั่นคือต้นที่ได้รับการช่วยเหลือโดยการตั้งใหม่ หลังจากเสียหายจากเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ

ส่วนอีกต้น ล้มลงอีกครั้ง ต้นนี้ช้าเกินไปที่จะเยียวยาเสียแล้ว

ด้านหน้าผม มุงดูสิ่งๆหนึ่งในโพรง นั่นคือ กุ้งมังกร(Lobster) 4 ตัว หนวดของพวกเขายาวมากจนตอนแรกผมคิดว่า มีตัวเดียวเสียอีก เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังตื่น ตกใจกลัวพวกเรา

ก่อนผ่านไปเจ้าปลาข้าวเม่าน้ำลึกครีบดำ(Bronze Soldierfish)และปลากระรอกลายแดง(Redcoat) อยู่ข้างๆโพรงกุ้งมังกร เข้าแถวเรียงหน้ากระดานดูเป็นระเบียบเสียจริงๆ

จากนั้นระหว่างทาง ผมเห็น ปลาเหยี่ยวลายจุด(Pixy Hawkfish) ตัวนี้พบได้ง่ายกว่าปลาเหยี่ยวจมูกยาว(Longnose Hawkfish)มาก ซึ่งผมก็ยังคงต้องร้องเพลงรอต่อไป

โกบี้สีแดง(Red Fire Goby)หรือปลาลูกดอกไฟ(Fire Dartfish) ออกมาทักทาย ก่อนจะหลบเข้าไปในรูเหมือนเดิม

ผมเห็นปลากระเบนจุดฟ้า(Blue-spotted stingray) กำลังกระพือปีกออกไป เมื่อผมเห็นอีกครั้งจึงแน่ใจได้ว่า พวกเขากระพือปีกคล้ายกระเบนนกได้ด้วย

พี่ป้อมกำลังพลิกดูสิ่งๆหนึ่ง ในดาวหมอน แล้วเรียกผมเข้ามาดู เขาคือ กุ้งจักรพรรดิ(Emperor Partner Shrimp) ตัวเล็กมากประมาณ 2 ซม มีสีดำ(ในรูปภาพจะเป็นสีแดงซึ่งถ่ายโดยการใช้แฟลช เพราะในระดับความลึกสีแดงจะหายไป)

ปี้นๆๆๆ เสียงแตรดังขึ้น ทุกคนว่ายเข้าไปหาเจ้าของเสียง(พี่หิ้ว)ทันที เพราะคิดว่าต้องมีตัวอะไรเด็ดๆแน่นอน ซึ่งจริงๆแกต้องการเรียกแค่บางคน แต่เสียงดังจนทุกกลุ่มพุ่งเข้าใส่

เจ้าหญิงน้อยได้เตรียมอาหารกลางวันไว้พร้อมอยู่แล้ว มีส้มตำ ไก่ย่าง ข้าวเหนียว ลาบ ต้มแซบ(พี่หิ้วบอก แซบ แซบ) หลังจากนั้นผมก็หาที่นอน เหมือนเคย

ฝนตก เก็บผ้าด้วย!!! ผมขึ้นมาเก็บผ้าบนดาดฟ้า ก่อนช่วยพี่ฝนและน้องโอ๊ตเก็บฝูก โดยใช้เท้ายันเข้าไป จึงจะสามารถเข้าไปได้ โชคดีที่กว่าฝนจะตกก็ใกล้ไดฟ์สุดท้ายของผมแล้ว

ที่ผิวน้ำ ฝูงปลายูนิคอนส์(Longnose Unicornfish)สีเขียวและ สีขาว ขึ้นมาบนผิวน้ำ เหมือนว่าอยากจะเล่นกับพวกเรา ซักพักใหญ่พวกเขาก็หายไป

และต่อไปนี้ คือไดฟ์สุดท้ายของทริปอันดามันเหนือครับ


Dive 24 วางยาพี่โก้(แบบไม่ตั้งใจ)

ไดฟ์นี้เราจะลงดำที่หินแพ พี่วิลลี่บอกว่า เนื่องจากเป็นไดฟ์สุดท้าย ความลึกจึงตามสบาย(แต่ต้องอยู่ในขอบเขตที่ว่า อยู่ได้กี่นาทีด้วยนะครับ)

ผมตีฟินไปเรื่อยๆ คิดไว้เสมอว่า จะไม่ดำต่ำกว่าพี่ป้อม ผมตกใจเล็กน้อยเพราะที่เกจความลึกของผม อยู่ในระดับ 40 เมตร(เข็มสีแดงอยู่ในระดับเดียวกับเข็มสีดำ)(แต่หากลงไปอีก น่าจะซัก 50 เมตรได้ ) อย่างไรก็ตามไม่ใช่ในระดับความลึกที่ควรลงไป

ผมเห็นพี่ป้อมกำลังสังเกตอะไรบางอย่างที่แส้ทะเล ผมจึงลงไปดู รูปร่างเหมือนกุ้งตัวยาว(หลังจากที่ดูจากรูปถ่ายจากกล้องของพี่โก้ มันคือหอยเบี้ยชนิดหนึ่งครับ อยู่ลึกจริงๆ) และแล้วพี่ป้อมยกฝ่ามือขึ้น เป็นสัญญาณบอกผมว่า อยู่ในระดับความลึกนี้ได้แค่ 5 นาทีนะน้อง ว่าแล้วแกก็เปลี่ยนระดับไปที่ตื้นกว่า ผมดูเจ้าหอยเบี้ยอีกนิด จึงรีบว่ายตามขึ้นไป

ปลาขี้ตังเบ็ดส้ม(Orange Surgeonfish) ว่ายผ่านไป ในตอนนี้เริ่มจะไม่มีอะไรให้ดูแล้ว ผมเห็นปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled scorpionfish)1 ตัว พยายามมองหานักดำน้ำแล้วชี้ให้ดู ผมเจอพี่โก้จึงเรียกให้แก มาถ่ายภาพ(พี่โก้บอกว่าหลังจากนั้น พี่วิลลี่และคนอื่นๆมาดูกันเพียบเลย)

มองไปไกลๆ พี่ป้อมและกลุ่มของผม ว่ายไปเกือบมองไม่เห็นแล้ว ผมกลัวจะถูกตำหนิ ว่าออกนอกกลุ่มทั้งๆที่ยังไม่ค่อยเก่ง จึงรีบว่ายตามไป โดยไม่ได้เรียกพี่โก้ซึ่งกำลังถ่ายภาพอย่างเมามัน เพราะเห็นมีพี่วิลลี่และนักดำน้ำคนอื่นๆอยู่เพียบ(คงไม่เป็นไรมั้ง)

หลังจากทำ Safety stop แล้วขึ้นมา พี่โก้บอกผมว่า เรียกมาให้ถ่ายรูป พอเงยหน้ามาหายไปไหนกันหมด จึงเป็นเรื่องขำขันว่า ผมวางยาพี่โก้ในระดับความลึกซึ่งเป็นไดฟ์สุดท้าย แถมไม่ให้โอกาส แก้แค้นเสียด้วยซิ(คราวหน้าครับพี่ ผมเรียกแน่ๆ ผมไม่ได้ตั้งใจนา ฮ่าๆๆ)

เจ้าหญิงน้อยกำลังมุ่งหน้าสู่ท่าเรือรัษฎา จ ภูเก็ต ก่อนที่จะพัก 1 คืนที่นั่น และนักดำน้ำจะเดินทางกลับในวันรุ่งขึ้น

พี่ๆบนเรือ เรียกนักดำน้ำทุกคนให้ขึ้นไปถ่ายรูปบนดาดฟ้า ถึงตอนนี้ช่างกล้องจำเป็น ก็กดชัตเตอร์อย่างรวดเร็ว เพราะนางแบบ นายแบบเยอะมาก

ทีเด็ดคงเป็นพี่หิ้วถ่ายรูปกับสาวๆ แกตื่นเต้นมากถึงขนาดจับหัวใจไว้เลยนะ สร้างเสียงหัวเราะให้กับทุกๆคนบนเรือ ต่อด้วยพี่ป้อมที่ถูกสาวๆแกล้งจับศีรษะ และน้าแกรมกับสาวๆ(ดีใจแบบเงียบๆ)

ส่วนน้องโอ๊ต เด็กที่สุดและอ้วนที่สุดบนเรือ ก็ต้องถูกคุณนิคและพี่วิลลี่แกล้ง ตามระเบียบ

หลังรับประทานอาหารเย็น ผมหยิบสมุด Log Book ด้านหลังจะมีรายชื่อนักดำน้ำที่ผมเคยไปดำด้วย เป็นธรรมเนียมของผมที่มักจะขอชื่อ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ เพื่อส่งรูปถ่ายให้และสำหรับโอกาสที่จะได้ติดต่อ พูดคุยกัน(แม้อาจใช้เวลาอีกนาน กว่าจะได้มีโอกาสมาดำน้ำด้วยกันอีกก็ตาม) ผมจึงไล่ขอแต่เฉพาะคนที่ยังไม่ได้เขียนให้ผม

เสียงเพลงคาราโอเกะของพี่หิ้วเริ่มขึ้น ผมเริ่มทำงานตัวเป็นเกลียวเริ่มจากพี่หมอตุ๋งกับพี่ตาล คู่รักหมอฟัน จากมหิดล หมอเดียร์ หมอสาวแห่งโรงพยาบาลภูมิพล พี่หลี สาวเอกโฆษณาจากรั๊วพ่อขุน กับพี่มนเพื่อนซี้ที่มีประสบการณ์ดำน้ำมากกว่า 300 ไดฟ์ ต่อไปเป็นพี่น้องและพี่อุ(พึ่งรู้ภายหลังว่า ยังไม่ได้ขอเบอร์หมอจินไว้เลย เพราะเธอลุกไปตอนนั้นพอดี)

น้าแกรม ชาวต่างชาติที่เข้าใจภาษาไทยมากกว่าที่คุณคิด พี่แจ้ Divemaster มือเอกของชุมพรคาบาน่า พี่หนึ่ง นักดนตรี ที่มีกิจการขายเครื่องดนตรีด้วย

พี่อ้อย ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองแห่ง อุบลราชธานี พี่รินทร์และพี่วรรณคู่รักดำน้ำอีก 1 คู่ ที่มีกล้องวีดีโอมาโชว์รูปสวยๆใต้น้ำเสมอๆ พี่นิค หนุ่มซิกซ์ผู้มีอารมณ์ขัน พี่ฝน สาวทันสมัยกับการเปิดเพลงโดนใจวัยรุ่นและพี่วิลลี่หนุ่มร่างใหญ่ที่มีอารมณ์ขันไม่แพ้กัน

ด้านหน้าของเรา คือ เกาะภูเก็ต หลายวันมาแล้วที่เราขาดการติดต่อจากโลกภายนอกแต่ผมกลับไม่รู้สึกเหงาเลย แม้แต่น้อย คาราโอเกะของพี่หิ้วยังคงได้รับความนิยมอยู่ตลอด

ณ ท่าเรือรัษฎา เจ้าหญิงน้อยจอดใกล้เรือ ฐาปนา เรือLiveaboard อีก 1 ลำ ที่มีความหรูหรามาก ขอขอบคุณ พี่เอกแห่งเรือฐาปนา ที่นำปลาหมึกเนื้อนุ่มแสนอร่อย มาให้พวกเราทานกัน (ช่วงนี้ใครจะอาบน้ำก็ต้องอาบแบบเค็มๆไปก่อน เพราะกว่าน้ำจืดจะพร้อมก็หลังเที่ยงคืนไปแล้ว)

พี่ฝ้าย ไม่ยอมรับเงินค่าไฟฉาย ผมสุดแสนจะเกรงใจเพราะการที่ไฟฉายน้ำเข้า ไม่ใช่ความผิดของเธอเลย เมื่อการยัดเยียดไม่เป็นผล ผมจึงต้องยอม(ขอบคุณมากครับพี่)

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา 4 นาฬิกาของเช้าวันใหม่ พวกเราจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน



3 มกราคม 2549

หนาวมาก เมื่อคืนนี้ ผมไม่มีทั้งหมอนและผ้าห่ม พึ่งมานึกออกตอนเช้าว่า หยิบผ้าห่มมาจากที่บ้าน(ก็อยู่ในกระเป๋านั่นแหละ)ก็สายไปเสียแล้ว ผมเลยออกมานอนด้านนอก

คุณหมอจินต์ พี่น้อง พี่อุ พี่หนึ่ง กลับกรุงเทพเป็นชุดแรก แม้ผมจะงัวเงียแต่ก็ยังพอมองเห็นหน้าทุกคน พร้อมยกมือไหว้สวัสดี ทุกคน

ผมอาบน้ำและจัดของไว้ หลังจากเมื่อวานนี้อาบน้ำทะเลแบบเค็มๆ ให้ความรู้สึกที่แปลกดีเหมือนกัน

ด้านหน้าของผม มีเรือ 1 ลำ เขียนว่า พีพี ครุยเซอร์ บริษัทท่องเที่ยวที่ผมคุ้นเคย เพราะใช้บริการไปเกาะพีพีอยู่หลายครั้ง

หลังจากรับประทานอาหารเช้า ผมกรอกแบบสอบถามที่พี่ๆบนเรือฐาปนา ยื่นมาให้ช่วยกรอกให้ จากนั้นเราทุกคนขึ้นไปบนดาดฟ้าอีกครั้งเพื่อถ่ายรูปร่วมกัน(คำถาม ใครที่ยังไม่ตื่นบ้างครับ)

จากนั้นเป็นคุณนิคและพิงค์กี้ น้องโอ๊ต ตามด้วย พี่พิช เจี๊ยบ น้าแกรม หมอเดียร์

ผม พี่ป้อม ครูโก้ พี่อ้อย พี่แจ้และพี่หิ้ว(หรือเฮียฮู้) ก็เป็นชุดต่อไป แต่ทิ้งช่วงพอสมควรเพราะอยากให้ครูโก้พักผ่อนให้เต็มที่(ครูโก้ต้องขับรถอีกไกล)

ชุดของผม ขนเกียร์แบค กลับเหมือนเดิม จึงต้องใช้ดิงกี้ 2 เที่ยว โดยมีพี่วิลลี่มาส่งด้วย

เราช่วยกันเอากระเป๋าใส่ถุงดำ มัดเชือก มัดตาข่าย แต่ไม่มีที่ว่างให้พี่แจ้ติดไปลงสถานีขนส่ง พี่วิลลีจึงอาสาไปส่งพี่แจ้ให้แทน

แวะกินข้าวที่ร้าน ขวัญขนมจีน ผมกินขนมจีนน้ำพริก 2 จาน เป็นขนมจีนน้ำพริกที่อร่อยที่สุดเท่าที่เคยกินมา(หรอยจังฮู้) บังเอิญที่ว่า คุณหนุ่ยเจ้าของร้าน เป็นนักดำน้ำด้วย จึงคุยกับพี่ป้อมสนุกคอ ทริปหน้าหากเราไปตรงกับพี่หนุ่ย การันตีว่ามีขนมจีนอร่อยๆ กินบนเรือแน่นอน

รถครูโก้แวะที่ร้าน คุณแม่จู้ ผมจึงถือโอกาสซื้อเต้าส้อมาฝากที่บ้าน(เดี๋ยวหาว่าหายไปหลายวันไม่มีอะไรติดมือกลับมา) ที่นี่ผมเจอ พี่มน คุณหลี พี่รินทร์ พี่วรรณ พี่ฝ้าย พี่ฝน พี่วิลลี่ พี่ยู้และ พี่นกด้วย(บางส่วนแวะซื้อของก่อนจะไปสนามบิน)

เมื่อรถข้ามสะพานสารสิน เข้าสู่ อ โคกกลอย พี่ฝ้ายโทรมาหาผม ถามว่า กระเป๋าอาดิดาสของใคร ลืมอยู่ในรถพี่วิลลี ซึ่งเป็นของผมแน่นอนเพราะพี่นกบอกจำของในกระเป๋าของผมได้ ผมสุดแสนจะงง ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ผมจำได้ว่า ส่งให้พี่ลูกเรือลงดิงกี้แล้วแน่นอน

หากจะกลับไปเอากระเป๋าคงเสียเวลามาก วันนี้ช่วง 2 ทุ่ม พี่ยู้จะกลับกรุงเทพ พี่วิลลี่จึงให้เบอร์พี่ยู้กับผม เพื่อไปเอากระเป๋ากับเธอ เมื่อถึงกรุงเทพแล้ว

ระหว่างทาง เราคุยกันสนุกสนาน พี่หิ้วทำงานเป็นคนวางระบบคาราโอเกะ ในนาม “ ศักดิ์ คาราโอเกะ” จึงไม่ต้องแปลกใจว่า เหตุใดแกถึงรู้เรื่องเพลงมากมาย พี่หิ้วเป็นอีกตัวอย่าง นอกจากครูโก้และพี่ป้อม คือ เป็นคนที่มีความสุขในการใช้ชีวิตอย่างแท้จริงและไม่จำเป็นต้องจบการศึกษาสูง ไม่ต้องมีตำแหน่งหน้าที่การงานดีๆ

สำหรับผม ผมยกย่องคนที่ใช้ชีวิตแบบนี้มากกว่า คนที่จบการศึกษาสูงๆ ในระดับดอกเตอร์เสียอีก(ซึ่งดูจะสวนทางกับสังคม ที่จะยกย่องคนเก่งที่การศึกษา มีหน้ามีตาในสังคม)

เราแวะกินข้าวที่ร้าน ขาหมูนกน้อย แถวชุมพร จากนั้นก็แวะปั้มอีกหลายปั้ม แน่นอนว่าผมต้องลงมายืดเส้นยืดสาย

ในขณะที่คนอื่นรวมทั้งผมหลับในการเดินทาง ครูโก้ขับรถอึดมาก ไม่หลับเลย(ขืนหลับ ทุกคนก็ซวยซิ) คงมีนิโคตินกับคาเฟอีกเท่านั้น ที่ช่วยเหลือครูโก้ตลอดการเดินทาง

ผมมาถึงกรุงเทพเกือบเที่ยงคืน โชคดีที่เครื่องบินที่พี่ยู้โดยสารมา เกิดดีเลย์ ทำให้มาถึงพร้อมๆกับผมพอดี ผมจึงต้องรีบนั่งแท๊กซี่ ต่อไปยังสนามบินดอนเมืองเพื่อไปรับกระเป๋า(เลยไม่ได้ช่วยพี่ๆขนของเลย)


บทส่งท้าย


เป็นอันจบการเดินทางที่สุดแสนจะประทับใจของผม

หากเปรียบสิมิลัน คือ อั้ม พัชราภา ผมคงตกหลุมรักตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้เจอกันแล้ว

ครั้งแรกกับเรือ Liveaboard ที่ทุกคนดำน้ำกันแบบอุดตลุด ทุกคนใช้ชีวิตบนเรือเปรียบเสมือนมาอยู่บ้านอีกหนึ่งหลัง มิตรภาพดีๆ ได้เกิดขึ้นกับผม อีกครั้งหนึ่งแล้ว

ครั้งแรกกับการดำ Night Dive ที่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

ครั้งแรกกับการเห็นสัตว์ทะเล หลากชนิด ซึ่งคงไม่มีบทเรียนที่ไหน ที่จะให้คำตอบผมได้ดีเท่ากับการไปศึกษาด้วยตนเอง

ครั้งแรกของ……อีกมากมาย

ขอขอบคุณพี่ป้อม ที่มอบสิ่งดีๆให้ผมอีกครั้งหนึ่ง

ขอบคุณครูโก้(จอมอึด) ที่ขับรถพาผมไป-กลับที่หมายโดยสวัสดิภาพ

ขอบคุณพี่หิ้ว ถ้าไม่ได้คาราโอเกะของพี่ บนเรือคงไม่สนุกสนานเท่านี้

ขอบคุณพี่วิลลี่ พี่ยู้ ขอบคุณกัปตันเรือ ขอบคุณพี่ลูกเรือทุกคน ที่คอยอำนวยความสะดวก สร้างความสนุกสนานให้กับทริปนี้โดยตลอด

ขอบคุณเพื่อนๆพี่ๆน้องๆนักดำน้ำทั้งหลายกับมิตรภาพดีๆที่มีให้ ทั้งที่ผมเอ่ยชื่อ(และไม่ได้เอ่ย)ในเรื่องนี้(จริงๆก็ไม่น่าจะลืมใครแล้วนา กันไว้ก่อนครับ)

โอกาสหน้า หวังว่าคงได้มีโอกาสไปดำน้ำด้วยกันอีก

และขอบคุณทุกท่าน ที่ทนอ่านเรื่องยาวๆของผม จนจบอีกครั้งครับ




Kasab
(Phop Payapvipapong)
9/01/2549
15.58 น

Friday, January 13, 2006

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(5)



ปลายูนิคอนส์และปลาวัวไตตัน
หมึกกระดอง

Dive 19 4 คูณ 100 เมตร กับกระแสน้ำที่เชี่ยว

แม้น้ำทะเลในเวลานี้จะใสน้อยลงเพราะเริ่มมีกระแสน้ำ แต่ในระยะ 7 เมตรก็สามารถมองเห็นได้อย่างสบายๆ ผมตีขาตามกลุ่ม ไม่รู้ว่าจะรีบกันไปถึงไหน(แข่ง 4 คูณ 100 แน่ๆ) อาจเป็นไปได้ว่าผมตีฟินรัวเกินไปเลยเหนื่อยมาก หายใจไม่เป็นปกติ และตามกลุ่มไม่ทันเสียแล้ว มีอยู่ช่วงหนึ่งผมเหนื่อยมากจึงหยุดตีฟิน พี่พิชหันมาเห็นจึงช่วยลากผมไปต่อ(ภายหลังขึ้นมาแกบอกว่า ตอนนั้นแกก็เหนื่อยมากเหมือนกัน) ระหว่างทางผมได้เห็นหมึกกระดอง(Pharaoh Cuttlefish) 1 ตัวด้วย

กว่าจะถึงกองหิน อากาศของผมก็เหลือ 100 เรียบร้อยแล้ว(จาก190)(พี่ป้อมบอกภายหลังจากนั้นว่า ในจุดนี้เรือปล่อยให้นักดำน้ำลงไกลเกินไป ก็เลยเป็นอย่างที่เห็น ทุกคนเร่งความเร็วเพื่อไปถึงที่หมาย เพราะอยากเห็นแมนต้ากัน

ไดฟ์นี้ผมจึงเห็นอะไรๆ น้อยมาก อย่างเจ้าปลาปักเป้ากล่องเหลือง(Yellow Box Fish),ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish)และพวกกัลปังหา(Sea Fan)และปะการังอ่อน(Soft Coral) เพราะยังรู้สึกเหนื่อยๆอยู่


ขึ้นมาด้านบน น้ำแรงมาก จึงรีบขึ้นเรือ คุณนิคก็บอกกับผมเช่นกันว่า น้ำแรง พอลงไปซักพักก็บอกแฟนสาว(คุณพิงค์กี้) ให้ขึ้น เพราะดำน้ำไม่สนุกแล้ว ในเวลานี้

ผมรู้สึกปวดหัว อาการเช่นนี้จะเป็นเวลาลงไปลึกๆ หากได้นอนพักก็จะดีขึ้น ผมขอยาแก้ปวดหมอเดียร์ จะได้หายเร็วๆ

และแล้วคนที่เห็นแมนต้า ก็มีน้อยมาก หนึ่งในนั้น คือพี่แจ้ พี่แจ้บอกว่า แมนต้าว่ายผ่านข้างลำตัวไปและใช้เวลาไม่นานก่อนที่จะกระพือปีกหายไปอีกครั้ง

แม้ผมจะเสียดาย ที่ยังไม่มีโอกาสได้เห็นเขาเสียที แต่ของแบบนี้ต้องมีดวงด้วยครับ ไม่ได้เห็นกันง่ายๆนะ(ไม่งั้นคนอื่นก็เห็นกันหมดแล้วซิ)




เจ้าหญิงน้อยได้เตรียมอาหารกลางวันไว้พร้อมรับประทานแล้ว พี่แจ้ได้สอนเกร็ดเล็กๆให้กับผมว่า เวลาตีฟิน ให้ตียาวๆ อย่างอเข่า แล้วจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้ง่าย เช่นเดียวกับเจี๊ยบที่เสริมว่า ผมขายาว หากตีฟินดีๆ น่าจะไปได้ไกลมาก

เมื่อหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน ผมเริ่มหาพื้นที่นอนสะดวกๆ

และแล้ว ผมได้ที่นอนใหม่ บริเวณทางเดินข้างๆเรือ ไม่มีแดด สบายกว่าบนดาดฟ้าอีก

ตื่นขึ้นมา มีอาหารว่างให้รับประทานเป็นหมูสะเต๊ะ ว่ากันว่าอร่อยที่สุดในภูเก็ตแต่ผมทานไม่มากเพราะยังอิ่มๆอยู่เลย


Dive 20 ปลามีเขา ชื่อ ยูนิคอนส์

ไดฟ์นี้เราจะลงที่เกาะตาชัย อีกหนึ่งจุดดำน้ำที่มักมีคนเห็นแมนต้าบ่อยครั้ง

ด้านล่าง ปลาประหลาดมีเขา มีสีดำ 3 ตัว ว่ายน้ำผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาคือ ปลายูนิคอนส์(Longnose Unicornfish) เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสเห็นพวกเขา

จากนั้นก็เป็นปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) และปลาวัวไตตัน (Titan Triggerfish)

ไดฟ์นี้ ผมลองตีขาตามวิธีที่พี่แจ้แนะนำ ผลคือ ฉิวครับ ไปได้ไกลจริงๆ และผมก็ใช้อากาศดีที่สุด หลังจากการดำน้ำ 2 วันที่ผ่านมา(เหลือตั้ง 50 แน่ะ)

พี่แจ้เห้นแมนต้าอีกแล้ว(สงสัยแกมีญาณวิเศษ เจอบ่อยจัง) คราวนี้พี่รินทร์ได้ถ่ายวีดีโอมาเป็นสักขีพยานด้วย กำลังกระพือปีกว่ายน้ำ ที่ขอบปีกมีสีขาว สง่างามจริงๆครับ

เจ้าหญิงน้อยมุ่งหน้าสู่เกาะบอน จุดดำน้ำในไดฟ์ต่อไป ถึงตอนนี้หลายๆคน จะอาบน้ำแต่งตัว ไม่ลง Night Dive กันแล้ว แต่สำหรับผมอยากลงครับ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่จะมีการลง Night Dive (เอาให้คุ้ม)

ในวันพรุ่งนี้ ก็จะมีแค่ 3 ไดฟ์เท่านั้น เพราะเจ้าหญิงน้อยจะมุ่งหน้าสู่ จ ภูเก็ต หากอยากลงจริงๆ ไปลงดำที่ท่าเรือรัษฎา จ ภูเก็ตแล้วกัน (ฮ่าๆๆ)

อาหารเย็นพร้อมเสริฟ ใครใคร่จะกินก็สามารถกินได้เลย แต่ผมยังไม่อยากเพราะจะลงในไดฟ์ต่อไปอีกไม่ช้า(จริงๆก็หิวแต่กลัวอ๊วกด้วยครับ) และผมก็ไม่กลัวอาหารหมดเพราะเมื่อหิว ก็ไปบอกพี่ๆลูกเรือให้ทำอาหารให้เราได้ เช่น ข้าวไข่เจียว มาม่า เป็นต้น

อากาศหนาวมาก ยิ่งลมเย็นๆ พัดมายิ่งหนาว วันนี้ลง Night Dive กันดึก( 3 ทุ่มกว่า) แต่เมื่อถึงเวลาจริงๆ ก็ยังพอจะมีคนลงอยู่นะ


Dive 21 ลูบปลานกแก้วยามหลับ/เห็นดาวขนนกเดิน!

เราจะลง Night Dive ที่เกาะบอน โดยต้องนั่งดิงกี้ออกไป แล้วใช้ท่า Back Row
ผมยืมไฟฉายพี่พิชเรียบร้อยเพราะมีหลายกระบอก กระบอกนี้มีหลอด 6-8 หลอดแน่ะ (ตอนแรกแกไม่สบาย จะไม่ลง สุดท้ายก็ทนความเย้ายวนไม่ไหว เช่นเดียวกับพี่แจ้ที่อาบน้ำแล้วแต่ก็ยังโดนลากให้มาดำในไดฟ์นี้ ส่วนน้องโอ๊ตขอบาย ไม่ลงครับ)

พี่ป้อมชี้ให้ผมดูปูชนิดหนึ่งอยู่ในซอกหิน จากนั้นผมเห็นดาวทะเล(Star Fish) อยู่บนพื้นทราย

เจ้าตัวยาวๆ ที่อยู่ด้านหน้าผม คือ ปลาปากขลุ่ย (Smooth flutemouth) หลังจากที่มองเห็นเขาจากบนเรือ ใต้ทะเลนี้ ลำตัวของเขาดูยาวจริงๆเลย

ปลาสิงโตครีบขาว(White-Lined Lionfish) อยู่บนพื้นทราย มาดำน้ำคราวนี้ ผมพบเขาบ่อยกว่าปลาสิงโตอีกชนิดเสียอีก ตัวนั้น ชื่อ (Common Lionfish)

พี่ป้อมและพี่นกชี้ให้ผมดู สัตว์ทะเลรูปร่างแปลก มีสีแดง คล้ายดาวทะเลแต่ตัวเล็กกว่ามาก ภายหลังเปิดหนังสือจึงทราบว่า พวกเขาคือ Lamellaridae /Lamellarids (Coriocella Hibyae) ส่วนชื่อไทยไม่ทราบจริงๆครับ

พี่ป้อมเรียกให้ผมลงมาเดี่ยว ให้ผมใช้มือลูบลำตัวปลานกแก้ว(Parrot Fish)ยามหลับเบาๆ ตอนแรกผมคิดว่าแกให้ผมดูมุ้งปลานกแก้ว(เวลานอนปลานกแก้วจะกางมุ้งเพื่อป้องกันภยันอันตราย) จริงๆที่ให้ลูบเบาๆเพื่อให้ผมได้รู้ว่า มันหลับอยู่นะ น่ารักซะไม่มีเหมือนเล่นกับเด็กเลยแฮะ(อย่าสัมผัสแรงครับ เดี๋ยวเขาจะตื่น บาปหนา แกล้งปลาเวลาหลับ)

จากนั้น ผมเห็นดาวขนนก(Feather Star) ซึ่งตอนกลางวันก็ดูไม่มีอะไร แต่ตอนกลางคืนผมเห็นชัดเจนว่า พวกเขาเดินได้ครับ(พวกเขาก็เป็นสัตว์ทะเลประเภทหนึ่ง ผมเคยอ่านในหนังสือว่า ดาวขนนกจะหากินเวลากลางคืน ผมเริ่มนึกภาพออกแล้วครับ)

นอกนั้นก็จะเป็นกลุ่มปลาผีเสื้อ(Buttleflyfish) ที่เวลานี้ยังไม่นอนหลับ อาจจะตกใจในการมาเยือนของผมและเพื่อนๆก็ได้

มองไปบนผิวน้ำ มีฝูงปลาจำนวนมาก มองดูแล้วสวยงามจริงๆครับ

ดิงกี้ค่อยๆลากกลุ่มของผม ไปหาเจ้าหญิงน้อยอย่างช้าๆ ผมคุยกับพี่ป้อมเกี่ยวกับสัตว์ทะเลอย่างมีความสุข เสียดายแน่ๆ หากไม่ได้ลงมาเห็น

บนเรือ พี่ตาลถามผมว่าไปเจออะไรมาบ้าง ผมเล่าเรื่องลูบปลานกแก้ว และดาวขนนกกำลังเดินอย่างภาคภูมิใจ

คืนนี้กว่าจะผมจะได้กินข้าวก็ปาเข้าไป 5 ทุ่มแล้ว แต่ก็เป็นหนทางที่ผมเลือกเองครับ(ห้ามบ่น)

2 มกราคม 2549

ผมตื่นไม่ทันพระอาทิตย์ขึ้นอีก ซักพักก็จะต้องลงในไดฟ์แรกแล้ว คิดในใจว่า ผมดำน้ำมาอย่างมาราธอน จนถึงวันสุดท้ายของการดำน้ำแล้วหรือ? เวลาช่างผ่านไปเร็วมาก

Dive 22 เป็นหนึ่งเดียวกับท้องทะเล

เราลงกันที่เกาะบอนในไดฟ์นี้ น้ำใสมาก กระแสน้ำไม่แรง ผมรู้สึกว่าบังคับตัวเองได้ดีมาก ทั้งการตีฟิน การลอยตัว ไม่มีปัญหาเรื่องดิ่งไปชนปะการังด้านล่าง(พี่โก้บอก ก็เติมลงในBCD เล็กน้อยซิน้อง) นี่เป็นทักษะง่ายๆ ที่ผมมักจะลืมหลายครั้ง แต่ต่อไปนี้จะไม่ลืมแล้วครับ

ผมตีฟินแบบยาวๆ ตามที่พี่แจ้แนะนำ ผมแซงหน้าคนอื่นไปอย่างรวดเร็วกับการตีขาเพียงไม่กี่ครั้ง(ได้เปรียบที่เท้าใหญ่ ขายาว)

ผมเจอปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled scorpionfish) 2 ตัว กลมกลืนกับสภายแวดล้อมมาก และปลาสิงโตชนิดเบสิค(Common Lionfish) ที่พบเห็นได้บ่อยตามอควอเรี่ยม

ปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray eel) 2 ตัว ชูคอโผล่ขึ้นมา แต่ดูเหมือนว่า ไม่มีใครสนใจกันแล้ว แต่ผมยังสนใจเขาอยู่แน่นอน

ด้านหน้ากลุ่มของผมชี้ให้ดู โกบี้สีม่วง(Firefish Goby-Purple) สวยไม่แพ้สีแดงที่ผมเคยเห็นเลยครับ ผมดูในระยะไกลแต่เห็นชัดเจน กลัวว่าถ้าเข้าไปใกล้ เขาจะหนีลงรู แล้วพี่โก้จะอดถ่ายรูป ไม่มีรูปมาโชว์กัน

ปลาสินสมุทรวงฟ้า(Blue-Ring Angelfish) ว่ายผ่านไป

ปิดท้ายด้วยปลาวัวลายส้ม(Orange-Striped Triggerfish)ที่มาแบบตุ้ยนุ้ยอีกครั้ง

หลังจากรับประทานอาหารเช้า ผมเดินมาถ่ายภาพบนเรือ ไล่ตั้งแต่ห้องกัปตัน มีลูกเรือคนหนึ่งกำลังขับเรือโดยมีกัปตันคอยบัญชาการอยู่

ลงมาด้านล่างผมมาถ่ายรูปพี่ๆลูกเรือ ผู้ปิดทองหลังพระ ผู้ที่อำนวยความสะดวกให้นักดำน้ำทุกๆไดฟ์ แม้หน้าตาจะดูโหดแต่ความโหดไม่ได้ดูที่หน้าตานะครับ(สมัยนี้หน้าหล่อ แล้วชั่วก็มีถมไป)

พี่ยู้กำลังสับมะละกออยู่ ยิ้มอย่างมีความสุข เที่ยงนี้เราจะมีส้มตำทานแน่นอน

กะละมังสีฟ้าด้านหน้าผม มีไฟฉายและกล้องถ่ายรูปของนักดำน้ำมากมาย เพื่อความสะดวกในการหยิบ ใช้สอยนั่นเอง

ตรงเข้าไปห้องครัว กลิ่นไก่หอมฉุย พี่ลูกเรือคนหนึ่งกำลังปอกกระเทียมโดยมีกะละมังอยู่ใกล้ๆ ภายในมีไก่สดอยู่ ขณะที่อีกคนหนึ่งกำลังทำอาหาร(กำลังนึ่งข้าวเหนียวด้วย แซบ แซบ)

ต่อไปเป็นห้องพักของนักดำน้ำ ผมใช้ห้องพี่พิชกับน้องโอ๊ตเป็นแบบในการถ่ายรูป

ที่ชั้นสอง ผมจะเล่าให้ฟังว่า ใครทำอะไรกันบ้าง เริ่มจากโต๊ะแรก พี่มน พี่น้อง หมอจินต์ พี่หลี พี่อุ พี่ตาล พี่โก้ พี่พิช นั่งคุยกัน(ใกล้ๆพี่แจ้ พี่นก คุยอยู่กับพี่หมอตุ๋ง)

โต๊ะที่สอง วงไพ่ครับ ครูโก้ คุณนิค พี่หิ้ว(ตอนนี้แกเล่นเป็นแล้ว) พี่วรรณ พี่ฝน พี่วิลลี่

โต๊ะที่สาม น้าแกรมกับเดียร์จด Log Book โดยมีพี่นกและพี่พิช เข้ามาที่กล้องอย่างรวดเร็ว

ที่ดาดฟ้าน้องโอ๊ตและพี่ฝ้ายนอนหลับโดยจองคนละมุม(ไม่มีใครรู้ว่าโดนแอบถ่าย)

ที่ห้อง Living Room เจี๊ยบกำลังดูหนัง ส่วนพี่ป้อม นอนอีกแล้วครับ

ผมจึงไปที่ห้องกัปตัน พี่โก้เข้ามาสอบถามเรื่องเรือเล็กน้อย ที่นี่มีพื้นที่ว่างให้ผมนอน มีเครื่องปรับอากาศที่ไม่เย็นจนเกินไป เนื่องจากในเวลานี้น้ำจืดเริ่มจะไม่พอใช้แล้ว จึงอาจจะต้องนำเรือเข้าเติมน้ำจืดที่เกาะ (เจ้าหญิงน้อยมีเครื่องทำน้ำทะเลให้เป็นน้ำจืดได้ แต่ต้องใช้เวลา)

คำถามว่า บนเรือ ใครที่หลุดลอดสายตาช่างกล้องอย่างผมไปได้……(ไม่มีรางวัลให้ครับ)

เมื่อเรือจอด เป็นสัญญาณให้ผมทราบว่า ใกล้ถึงเวลาลงไดฟ์ต่อไปแล้ว

Thursday, January 12, 2006

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(4)



รูปแรก ปลาปักเป้ากล่อง รูปที่สอง ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ

(ขอขอบคุณช่างภาพจาก Dive Master ครับ)


ปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก

Dive 15 พลัดหลงกับเพื่อนๆ / Where are you team?

เจ้าหญิงน้อยมาถึงเกาะตาชัย(แล้วยายล่ะ หายไปไหน) แดดแรงๆแบบนี้ผมชอบจริงๆ น้ำทะเลสีสวยสดใส (เจี๊ยบเคยเล่าให้ผมฟังว่า ครั้งก่อนเธอมาสิมิลันเธอชอบเกาะตาชัยมาก) โดยจุดดำน้ำไดฟ์นี้ เรียกว่า กองใหญ่

โลกใต้ทะเลที่นี่ ผมเจอปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) ต้อนรับ ตัวนี้มองเห็นเปลือกตาขาวๆอย่างชัดเจน(ลักษณะเหมือนคนแลบลิ้นปลิ้นตา)

ขณะที่ผมกำลังดูความสวยงามเพลินๆหันไปอีกทีปรากฏว่า กลุ่มของผมหายไปหมดแล้ว ไม่เหลือซักคน ไม่ว่าจะเป็นพี่ป้อม พี่นก พี่พิช พี่โก้ เจี๊ยบ เดียร์ และน้องโอ๊ต

ผมตกใจ แต่ยังมีสติ รอบๆผมมีแต่นักดำน้ำแปลกหน้าหมดทุกคน มีอยู่คนหนึ่งได้เข้ามาหาผมพร้อมสเลดบอรด์(ที่ใช้สำหรับเขียนใต้น้ำ)(มุมล่างมีภาษาญี่ปุ่น,จีนหรือเกาหลีนี่ล่ะ) เขียนว่า Where are you team? พร้อมให้ผมเขียนแต่ผมก็ทำท่าทางแล้วสั่นหน้าไปว่า ไม่รู้

เขาคนนี้ใจดีมาก ชี้ไปด้านหนึ่งอธิบายว่าทีมของคุณอยู่ที่นั่นแล้วทำสัญญาณว่าโอเคนะ ผมก็ทำท่าทางโอเค(แต่จริงๆไม่รู้เรื่องเลย) และแล้วเขาก็จากไป

ส่วนผมยังมองหากลุ่มอยู่ การหายใจเริ่มไม่เป็นปกติเพราะตื่นเต้น(วางใจได้ว่าอากาศยังเหลือเยอะ) แต่ในใจคิดว่า ถ้าไม่เจอผมจะทำตามกฏคือขึ้นด้านบนผิวน้ำ(จะโผล่ไหนก็ไม่รู้ล่ะ)

และแล้วพระเจ้ามาโปรดผมซะที พี่โก้ ปาปารัซซี่ มาสะกิดผม แล้วพาผมไปหากลุ่มพี่ป้อม ผมรู้สึกดีใจมาก(เหมือนยกภูเขาออกจากอก)

ต่อไปผมเจอปลาแมงป่องเกล็ดเล็ก(Tassled scorpionfish) ร่างกายมันกลมกลืนกับสภาพแวดล้อมมาก แต่อย่าไปจับเชียวเพราะเขามีพิษนะครับ

โกบี้สีแดง(Red Fire Goby)หรือปลาลูกดอกไฟ(Fire Dartfish) 2 ตัว อยู่ด้านล่างระหว่างทางที่ผมว่ายไป ต่อด้วยฝูงปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) ที่ลอยตัวอยู่ด้านบน ประมาณว่าไม่ต่ำกว่า 20 ตัว

ปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark’ s Anemonefish) ยังคงทำตัวน่ารักอยู่กับดอกไม้ทะล(Sea Anemone)เหมือนเดิม แต่เหมือนยังระแวงว่าผมจะไปทำร้ายมันหรือเปล่า

ผมเห็นปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Porcupinefish)และปลาปักเป้าหน้าหมา(Pufferfish) เรามักจะเห็นในสภาพไม่พองตัว หากเห็นพองตัว มีหนาม แสดงว่ากำลังตกใจกลัวซึ่งก็มีแต่นักดำน้ำแหละครับที่ชอบแกล้งเขา

ระหว่างว่ายไป ผมเห็นกัลปังหา(Sea Fan) อยู่หลายต้น บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของท้องทะเลเป็นอย่างดี

เราขึ้นมารับประทานอาหารกลางวัน คุยกันเรื่องสัตว์ทะเลเช่นเดิม ก่อนที่ผมจะขึ้นไปดาดฟ้า หาที่นอน

ตูม!!! เสียงน้ำดังสนั่น ผมตื่นขึ้น มองลงไปด้านล่าง น้องโอ๊ตกำลังว่ายน้ำอยู่ โดดมาจากชั้น 2 ของเรือ จากนั้นไม่นานพี่พิชก็กระโดดบ้างคราวนี้มาจากชั้นดาดฟ้าของเรือ พี่ป้อมก็เอากับเขาด้วย คุณนิคก็ทนความเย้ายวนไม่ไหว จึงขอกระโดดบ้าง คราวนี้ช่างภาพก็กดชัตเตอร์กันสนุก(กล้องผมจับความเร็วไม่ได้ จึงใช้ถ่ายวีดีโอคลิปแทน)

แต่ละคนก็พยายามเปลี่ยนท่ากระโดด เพื่อความมันส์ น้องโอ๊ตกับคุณนิคบ่นว่าเจ็บก้น(ก็กระโดดแบบเอาขาลงไม่ให้เจ็บได้ไงหนอ ฮ่าๆๆๆ ) ส่วนผม เป็ดครับ ขอไม่โดดแล้วกัน


Dive 16 สินสมุทรสุดที่รัก นาม จักรพรรดิ

ก่อนจะลงและขึ้นจากน้ำทุกไดฟ์จะมีพี่ๆลูกเรือ คอยอำนวยความสะดวกยกถังเปิดอากาศ ยกถังเก็บเข้าที่ให้เสมอ แต่เพื่อความไม่ประมาทเราควรเช็คดูอีกรอบ หรือถ้าไม่เช็คต้องดูให้แน่ใจว่าเขาเปิดอากาศเรียบร้อยแล้ว(อย่าลืมหมุนกลับครึ่งรอบด้วย)

ไดฟ์นี้เราลงกันที่เกาะตาชัยบริเวณกองใหญ่เหมือนเดิม แต่ลงอีกด้านหนึ่ง ผมชอบมากเพราะขณะนี้กระแสน้ำไม่แรงอีกต่อไปแล้ว แถมน้ำใสมากด้วย

ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish) ออกมายลโฉมอีกแล้ว โดยสามารถเห็นเขาได้เกือบทุกไดฟ์ที่ลงเลย

แถบนี้รายล้อมไปด้วยกัลปังหา(Sea Fan)และปะการังอ่อน(Soft Coral)มากมาย แม้จะไม่ตื่นเต้นเร้าใจ เหมือนการดูสัตว์ทะเลอื่นๆ แต่นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเห็นสัตว์ทะเลจำนวนมากได้ง่ายๆ ผมเจอเจ้าปักเป้าหน้าหมา(Pufferfish), ฝูงปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish), ปลาสร้อยนกเขาแตงโม(Oriental Sweetlips) และทากเปลือย(์Nudibranch) อีกด้วย

ส่วนในกลุ่มปลาสินสมุทรที่พบเห็น พระเอกของผม คือ ปลาสินสมุทรจักรพรรดิ(Emperor Angelfish) แม้จะสามารถพบเห็นได้บ่อยและเป็นปลาที่นักดำน้ำส่วนใหญ่เลิกสนใจไปแล้วแต่ลวดลายของมัน ดูลึกลับ น่าเกรงขาม สง่างามเหมือนจักรพรรดิจริงๆ (ชอบมากถึงขนาด ซื้อหมอนเพนส์รูปสินสมุทรจักรพรรดิมาแล้ว)


บนเรือพี่ฝ้ายคลังเสบียง ยื่นขนมถุงมาให้เราทุกคนทานกัน ต่อด้วยพี่ฝนที่ทำทาโร่อบไมโครเวฟมาให้กิน รสชาดอร่อยครับ สำหรับดีเจบนเรือ ผมก็ยกตำแหน่งให้พี่ฝนแน่นอน เพราะเพลงฝรั่งสนุกๆ ก็มาจากแผ่นของเธอทั้งนั้น

ระหว่างผมถ่ายภาพเก็บบรรยากาศภายเรือไปเรื่อยๆ หนึ่งในนั้น คือหมอตุ๋งและพี่ตาล เป็นคู่รัก(ทราบภายหลังว่าเป็นหมอฟัน) หมอตุ๋งบอกว่า ไม่ค่อยจะลงน้ำแล้วเพราะมีความรู้สึกว่าอาจจะเป็นเบน(เกิดจากเมื่อลงไปลึกมากๆ จะมีไนโตรเจนซึมเข้าสู่เส้นเลือดและจะมีฟองอากาศค้างสะสมอยู่ตามข้อกระดูก ควรหยุดดำทันที)(หากอธิบายผิดขออภัยครับ)

ส่วนสาวรูปร่างจิ๋ว ผมสั้น ที่อำนวยความสะดวกให้กับทุกคนบนเรือเป็นอย่างดี เช่น การเตรียมอาหาร การช่วยตรวจดูอุปกรณ์ดำน้ำ คือ พี่ยู้(หวานใจพี่วิลลี่นั่นเอง)

บรรยากาศบนเรือเริ่มคึกคัก เสียงดัง เสียงหัวเราะสนุกสนานเป็นกันเอง เพราะพี่วิลลี่นำเกมฉีกกระดาษ รูปบิล ลาเดน กับจอจส์ บุช มาให้เล่น(แผ่นละ 5 บาท) เมื่อฉีกแล้วให้นำมาเทียบกัน หากเปิดเจอตัวที่เหมือนกันก็จะได้จับต่อ เป็นเกมสมัยนานมาก แม้แต่ผมก็ยังไม่เคยเห็น(สงสัยจะเกิดไม่ทันละมั้ง ฮ่าๆ)

เมื่อจบเกม(เจ้ามือรวยแล้ว) เราจึงเตรียมตัวสำหรับ Night Dive


Dive 17 ความน่ารักของสัตว์ทะเล ยามราตรี

เจ้าหญิงน้อยจอดใกล้อ่าวผักกาด อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ต่อให้ผมไม่สบาย ผมก็จะลงไดฟ์นี้ให้ได้ เพราะผมรู้ดีว่า อ่าวผักกาดสวยงามอย่างไร หลังจากที่เคยมาSnorkeling มาแล้ว 2 ครั้ง

ผมยังใช้ไฟฉายกระบอกเดิม เพื่อพิสูจน์ว่า น้ำยังจะเข้าอีกครั้งหรือไม่

ในสภาวะที่เหมือนไร้น้ำหนักกับการดำ Night Dive ผมสามารถบังคับร่างกายได้ง่ายและไม่เหนื่อยด้วย (วันนี้ความลึก ไม่เกิน 12 เมตรแล้ว ฮ่าๆๆ)

ผมเห็นปูลำตัวสีแดงชนิด Etisus Splendidus เหมือนเดิม จากนั้นเป็นปลาปักเป้าหน้าหมา(Pufferfish) หลายตัวนอนหลับอยู่ ดูยังไงก็ไม่ต่างกับเด็กทารกที่นอนหลับเลย ผมมีความรู้สึกแบบนั้น มันช่างน่ารักมาก(แต่อย่าไปแตะเขาล่ะ)

ปลาสิงโตครีบขาว(White-Lined Lionfish) ลอยตัวนิ่งอยู่ ท่าทางกำลังหลับเหมือนกัน ผมช่วยพี่โก้ส่องไฟด้วย จะได้ถ่ายรูปง่ายๆ

ปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish) ปลาผีเสื้อ(Buttelflyfish)และปลานกแก้ว(Parrotfish) บางตัวที่ว่ายอยู่ในคืนนี้ ดูท่าจะไม่หลับกันง่ายๆเพราะมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญอย่างพวกผมมากวนซะแล้ว

เจ้าปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray eel) ลำตัวยาวมาก อยู่ในโพรง ผมช่วยพี่โก้ส่องไฟฉายจนเห็นใบหน้าที่อ้าปากจนเห็นฟันที่แหลมคม(เริ่มจากลำตัว) โดยสามารถ เข้าไปส่องใกล้ๆ โพรงได้ โดยลำตัวของผมไม่ติดพื้น(บ่งบอกได้ว่า ในเวลานี้ ผมลอยตัวได้อย่างอิสระจริงๆ)

แม้ไฟฉาย จะยังคงน้ำเข้าแต่ผมก็ใช้วิธีแก้โดยการส่องในระยะใกล้ ประสิทธิภาพไม่ได้ลดลงไปเลยครับ

ขากลับดิงกี้(เรือยาง) ลากผมและเพื่อนๆ(จับที่เกาะกันคนละมุม)กลับมายังชายคาเจ้าหญิงน้อย ส่วนพี่โก้ พี่พิช พี่ป้อม ดำน้ำตามมา จนเราทุกคนบนเรือคอยชำเลืองหาด้วยความเป็นห่วง(เนื่องจากดิงกี้ ลากไม่ไหว พวกเขาจึงเสียสละ ดำมาถึงที่เรือเอง)


ปีเก่าผ่านไป-ปีใหม่เข้ามา

หลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จ พี่หิ้วให้ผมช่วยยกลำโพงที่อยู่ในห้อง Living Room เมื่อหลายๆอย่างเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ผมจึงเริ่มมองเห็นคาราโอเกะ ที่พี่หิ้วขนมาจากกรุงเทพเพื่อมาฉลองปีใหม่บนเรือโดยเฉพาะ การเลือกเพลงเป็นแบบระบบสัมผัสที่จอเสียด้วย(ธรรมดาที่ไหน )

เพื่อให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมและมีโอกาสแสดงออก จึงต้องร้องเพลง คนละ 1 เพลง หากย้อนเวลากลับไปนานมากแล้ว ที่ผมไม่ได้ร้องคาราโอเกะ คนบนเรือจึงแสนจะโชคร้ายที่ได้ยินเสียงผม ฮ่าๆๆๆ(ผมเลือกเพลง How deep is your love ครับ) ส่วนชาวต่างชาติคนเดียวบนเรืออย่างคุณน้าแกรม ก็ไม่รอดพ้นที่จะต้องร้องเพลงเช่นเดียวกัน(คนที่อ้ำอึ้งว่าจะไม่ร้อง อย่างพี่แจ้และน้องโอ๊ต ทนเสียงเพลงที่เย้ายวนไม่ไหว ก็ต้องร้องจนได้ )

เมื่อใกล้ถึงเวลาเที่ยงคืน เราทุกคนขึ้นไปบนดาดฟ้าของเรือ เพื่อเตรียมนับเวลาย้อนหลัง Count Down (เราจึงทราบว่าพี่ป้อมของเราแอบมานอนบนนี้ แล้วก็ไม่ยอมตื่นซะด้วยนะ)

สาม สอง หนึ่ง เฮๆๆๆ เสียงเพลงสวัสดีปีใหม่ดังขึ้นจากด้านล่าง ปี2548 ได้ผ่านพ้นไปเรียบร้อยแล้ว ปี 2549 เข้ามาแทนที่ ท่ามกลางความสนุกสนานของเหล่านักดำน้ำทุกคนที่มาฉลองปีใหม่กลางท้องทะเลอันดามัน

มีเพียง ท้องทะเล แสงดาวบนท้องฟ้า และรูปถ่าย เป็นสักขีพยานให้พวกเราทุกคน

ที่ชั้นล่าง บางคนได้แยกย้ายกันไปนอน ส่วนผมและเพื่อนๆพี่ๆยังคง ร้องคาราโอเกะกันต่อ แม้จะยิ่งดึกแต่ดีกรีความมันส์ไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย

เราเลยเอาโต๊ะ เก้าอี้ ออก เพื่อเปิดพื้นที่ มาแดนส์กัน ผมกับคุณนิคแสนจะลำบากเพราะหัวติดเพดานเรืออย่างจัง ก็ต้องเต้นแบบย่อตัว ดูตลกไปอีกแบบ(นานอีกเช่นกัน ที่ผมไม่เคยเต้นแบบนี้ แต่สนุกมากครับ)

พรุ่งนี้เช้าไดฟ์แรก คงจะสายมากกว่าทุกวัน แต่ทุกคนยินดีครับเพราะไม่บ่อยครั้งนัก ที่นักดำน้ำจะได้มีโอกาสแสวงหาความสุขอย่างอื่น(โดยเฉพาะการเปิดเธคย่อมๆบนเรือ) นอกจากการลงไปสำรวจใต้ท้องทะเล

Happy New Year ปี 2006(2549) ครับ


1 มกราคม 2549

ผมตื่นเพราะเสียงพี่ป้อมและเสียงสาวๆเหมือนเคย แต่วันนี้ผมตื่นสายจึงไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นอีกแล้ว และต้องรีบทำธุระยามเช้า เปลี่ยนชุด เพราะใกล้เวลาลงไดฟ์แรกแล้ว


Dive 18 แววตาไร้เดียงสาของ ปักเป้ากล่อง

ไดฟ์นี้เราจะลงกันที่กองหินริเชลิว จุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงมากและพึ่งได้ผนวกเข้ากับอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ ไม่กี่ปีที่ผ่านมา เพื่อประโยชน์ในการสอดส่องดูแลทรัพยากรที่ล้ำค่า ใต้ท้องทะเล

พี่วิลลี่บอกว่า เราจะลงดิงกี้ไปทีละชุด โดยผม น้องโอ๊ต พี่พิชและพี่ป้อมเป็นชุดสุดท้าย

ดิงกี้มาส่งใกล้กองหิน ผมใช้มือจับหน้ากาก ลงน้ำด้วยท่า Back Row

โลกใต้ทะเลที่ริเชลิว ใสไม่แพ้สิมิลันเลยครับ ผมรู้สึกตื่นเต้นจริงๆ

พี่ป้อมชี้ให้ผมดูปลาปักเป้ากล่องเหลือง(ํYellow Box Fish) ตัวนี้ผมพึ่งเคยเห็น หลังจากที่สมาชิกในชุดของผมเห็นไปแล้วที่เกาะตาชัยเมื่อวานนี้(ก็ตอนที่ผมพลัดหลงไปนั่นแหละครับ) แม้ผมจะไม่ทราบว่าตัวที่เห็นเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่แล้วแต่แววตาของเขา ทำให้ผมนึกถึงแววตาของเด็กที่ไร้เดียงสา น่าเอ็นดูจริงๆครับ(แววตาเหมือนปักเป้าหน้าหมาครับแต่แตกต่างจากแววตาของปลานกแก้ว แววตาของปลาไหลมอเรย์)
จากนั้นเป็นลูกปลาสินสมุทรจักรพรรดิ (Emperor Angelfish)2ตัว ที่พี่นกเจอตั้งแต่ไดฟ์แรกๆแต่ผมพึ่งมาเจอที่นี่ หากเทียบปริมาณความบ่อยในการพบเห็น เราเห็นพวกเขาในวัยเด็กยากกว่าในวัยโตเต็มวัยมากครับ

และแล้วผมก็สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอีกครั้งว่าทำอย่างไรไม่ให้เมื่อยขาเวลาตีฟิน (แต่ต่างคนต่างสไตล์ครับ ) วิธีของผมคือ เวลาหายใจเข้าผมจะลอยตัวนิ่งๆ ไม่ตีฟิน จะเป็นการพักไปในตัวด้วย ส่วนเวลาหายใจออก ผมจะค่อยๆพ่นอากาศออกเป็นจังหวะๆโดยตีฟินไปด้วย เท่านี้ ผมรู้สึกสบายมากขึ้นแล้วครับ ผ่อนคลายมากด้วย

ผมเจอปลาการ์ตูน 4 ชนิดที่นี่ คือ ปลาการ์ตูนส้มขาว(Clown Anemonefish),ปลาการ์ตูนบั้งขาว(Clark Anemonefish),ปลาการ์ตูนปานดำ(Red Saddleback Anemonefish)และปลาการ์ตูนอินเดียน(Shunk Anemonefish) น่ารักไม่แพ้กันเลย

นอกนั้นเป็นปลาสินสมุทรลิปสติก(Three-Spot Angelfish),ปลาสินสมุทรบั้งเหลือง(Regal Angelfish),ปลาวัวไตตัน(Titan Triggerfish),ปลาปักเป้าหน้าหมา(Pufferfish),ปลากระรอกลายแดง(Redcoat),ปลาสิงโตครีบขาว(White-Lined Lionfish),ปลากะรังลายนกยูง(Peacock Grouper)

ปิดท้ายด้วยปูชนิดหนึ่งในซอกหินและปะการังอ่อน(Soft Coral)มากมายตลอดทั้งไดฟ์

หลังจากรับประทานอาหารเช้า(น่าจะเป็นไส้กรอก ไข่ดาว ขนมปัง) ผมจึงขึ้นไปพักผ่อนบนดาดฟ้า

“แมนต้าครับพี่ บนผิวน้ำ” เสียงเจ้าโอ๊ต ปลุกผม พร้อมบอกให้เตรียมตัวลงในไดฟ์ต่อไป ผมมองดูออกไปที่ผิวน้ำแต่ก็ไม่เห็นเสียแล้ว

แม้ผมจะงัวเงีย แต่ดวงตาเบิกโพลงทันที Manta Ray หรือกระเบนราหู เป็นสิ่งนักดำน้ำอยากเห็นมาก ด้านล่างนักดำน้ำรีบแต่งตัวกันทุกคน ผมจะรอช้าอยู่ไม่ได้เช่นกัน

Wednesday, January 11, 2006

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(3)

ปูชนิด Etisus Splendidus และ ปลาลูกดอกไฟ(โกบี้สีแดง)


ปลาวัวตัวตลก


Dive 12 ถ่ายรูปช่องนายแบบ-นางแบบ/ปลาวัวตัวตลกแสนน่ารัก

หลังจากฟังพี่วิลลี่พูดแล้ว ไดฟ์นี้เราจะลงดำกันที่หินหัวกะโหลก ผมเคยได้ยินว่าน้ำแรง ภาพหินดำๆโผล่พ้นน้ำ ด้านหน้าผมช่างดูน่ากลัวจัง

พี่ป้อมบอกว่าจะให้พี่นกพาผมมาดูโกบี้ ในไดฟ์นี้ด้วย

เมื่อผมลงมาด้านล่าง น้ำที่นี่ก็ยังใสอยู่ ปลาวัวไตตันหรือปลาวัวอำมหิต(Titan Triggerfish) ออกมาต้อนรับ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ช่วงฤดูวางไข่แน่ เพราะเขาไม่โหดเหมือนชื่อแม้แต่น้อย(ผมเคยดำ snorkeling ที่เกาะสุรินทร์เจอพวกเขามองตาขวาง ยังแหยงๆอยู่เลย) นักดำน้ำบางรายเจอเขาพุ่งเข้าชนเลยนะครับ(โหดมาก) นอกจากนี้ก็ยังพบปลาสิงโต(Lion fish) ด้วย

จากนั้นเป็นโกบี้สีแดง(Red Fire Goby)หรือปลาลูกดอกไฟ(Fire Dartfish) ผมดีใจที่เห็นเขาครั้งแรกในชีวิต ดูจากสถานที่ที่มีแต่เศษหิน ไม่น่าเชื่อว่าจะพบเขาอยู่ที่นี่ได้ (เมื่อพี่โก้ปาปารัซซี่ จะมาถ่ายรูปเขาก็หนีลงรูไป)

ผมเห็นปลาวัวตัวตลกหรือปลาวัวมงกุฎ(Crown Triggerfish) ครั้งแรก หลังจากที่เคยแต่เห็นในหนังสือ ในเว็บไซด์และในทีวี ที่เรียกว่าปลาวัวตัวตลกเพราะลายตามลำตัวของมัน ที่ดูเหมือนตัวตลกนั่นเอง

พี่ป้อมชี้ให้ดูกุ้งตัวใสชนิดหนึ่ง ในดอกไม้ทะเล ต้องสังเกตดีๆ มิฉะนั้นมองไม่เห็นเลยครับ

ต่อด้วยปลาปักเป้าหน้าหมา(Pufferfish) ที่ว่ายผ่านผมไป

เรามาถึงที่ช่องนายแบบ-นางแบบ ช่องนี้มีลักษณะเป็นรูขนาดกลาง สามารถนำศีรษะลอดผ่านได้ รอบๆรูมีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กเช่นตะไคร้น้ำเกาะ ทำให้มีสีสันสวยงาม พี่โก้บอกให้ผมอยู่นิ่งๆ ว่าแล้วแกก็ลอดไปอีกด้านเพื่อถ่ายรูปให้ผม

ช่วงทำ Safety stop พี่ป้อมชี้ให้ดูอะไรบางอย่างสีออกเหลืองๆ ค่อยๆหล่นลงไปด้านล่าง ผมก็งงๆ อะไรเหรอพี่ แต่ก็คิดว่า แกคงบอกให้ผมลงไปเก็บละมั้ง

ผมจึงพุ่งลงไป แต่เมื่อมองอีกทีก็ไม่เห็นเสียแล้วประกอบกับอากาศผมเหลือเพียง 20 ผมจึงไม่เสี่ยงที่จะลงไปเพราะไม่น่าจะมีเพียงพอที่จะให้ผมขึ้นมายังระดับเดิมได้ เป็นสิ่งที่บ่งบอกอย่างดีว่า การดำน้ำต้องมีสติ

เมื่อโผล่มาที่ผิวน้ำ พี่ป้อมบอกที่หล่นไปน่ะ ท่อหายใจของผม ผมตกใจมาก(พร้อมคลำๆดู หายจริงเว้ย) ผมบอกพี่ป้อมว่า นึกว่าพี่ให้ผมลงไปเก็บ ซึ่งจริงๆแล้วแกต้องการชี้ให้ดูครับว่าเป็นของผม ลงไปด้านล่างเกิน 20 เมตร อากาศก็เหลือน้อย เสี่ยงอันตรายเกินไป

พี่ป้อมถามอีกว่า แล้วตะกั่วล่ะไปไหน(ใช้รัดเอวนักดำน้ำเวลาลงสู่ใต้ทะเล) ผมคลำดูอีก หายอีกแล้ว หลุดไปตั้งแต่เมื่อไรหนอ จึงเป็นเรื่องขำขัน ในวันนี้ และโชคดีมากที่มันไม่ตกใส่หัวใคร ไม่งั้นผมอาจจะเป็นฆาตกรได้เลย

พอขึ้นมาจากน้ำ ผมต้องทำทีเงียบๆไว้(ใครอ่านเรื่องนี้คงทราบ มาเก็บตังค์ที่ผมล่ะกัน ฮ่าๆๆ) พี่โก้บอกว่า เห็นตะกั่วของผมแวบๆ แต่คว้าไว้ไม่ทันจริงๆ(ดีนะ ที่ไม่ลงหัว)

ได้ยินพี่พิชบอกอีกว่า แกทำ Fin(ตีนกบ) หลุดไปข้าง โชคดีมีคนคว้าไว้ทัน

เจ้าหญิงน้อยแล่นมาถึงเกาะแปด เห็นหินเรือใบหรือหินใบ สัญลักษณ์ของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ที่ใครหลายๆคนก็ต้องรู้จัก

ผมและเพื่อนๆขึ้นมาถ่ายรูปหินใบ และพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้าไป เราถ่ายแบบเอาหัวชนกันรอบทิศเป็นสีสันในการถ่ายรูปอย่างแท้จริง

ได้ยินเสียงน้าแกรมพูดว่า Turtle เราจึงชะโงกหน้าออกไปดู ใกล้ๆเรือมีเต่าโผล่หน้าขึ้นมาหายใจ น้องโอ๊ตจึงใช้ความว่องไวในการถ่าย จับภาพไว้ได้(ขัดกับหุ่นอ้วนๆเสียจริง) นอกจากนี้เรายังพบปลาปากขลุ่ย(Smooth flutemouth) อยู่บนผิวน้ำด้วย

ส่วนด้านล่างพี่วิลลี่ คุณนิค ครูโก้ เริ่มเล่นไพ่กินตังค์กันแล้ว โดยมีพี่หิ้วคอยศึกษาการเล่นเหมือนเดิม

Dive 13 Night Dive ครั้งแรกของข้าพเจ้า

พี่วิลลี่บอกว่า เราจะลงในไดฟ์ต่อไปบริเวณนี้ ซึ่งเรียกว่าหินเต่า แต่น้ำค่อนข้างลึกอาจถึง 20 กว่าเมตร จึงขอให้ทุกคนระมัดระวัง และพี่วิลลี่ก็ถามอีกว่า ใครยังไม่เคยลง Night Dive บ้าง ซึ่งก็มีผมและคุณนิค(น่าจะใช่นะ) ตอนแรกนึกว่าจะอดลง แม้ผมจะรู้สึกกลัวๆ แต่ความท้าทายมันเย้ายวนให้ผมต้องลงไปด้านล่างให้ได้เพราะในตอนกลางคืนชีวิตใต้ทะเลจะเป็นอีกแบบหนึ่ง ก่อนจบแกทิ้งท้ายว่า หากมีปัญหาให้ส่องไฟเข้าหาเกาะไว้(อย่าส่องไฟใส่หน้าคน อย่าส่องไฟเข้าหาเรือ)

ผมเตรียมไฟฉายที่ฝากพี่ฝ้ายซื้อมา ใส่ถ่านเรียบร้อย พร้อมที่จะลงไปสัมผัสความมืดด้านล่าง

ในตอนกลางคืน กระแสน้ำจะไม่ค่อยมี แม้เป็นครั้งแรกแต่ผมรู้สึกหลงรัก การดำน้ำกลางคืนเข้าอย่างจัง เพราะลอยตัวสบาย ไม่ต้องตีขามาก ส่วนความมืด มันก็ไม่เท่าไรครับ เพราะไฟฉายจากนักดำน้ำ ทำให้ไม่รู้สึกน่ากลัว แม้จะมองไม่เห็นชัดว่า ข้างๆเราเป็นใคร แต่ควรระมัดระวัง ไม่ดำเพียงคนเดียว นั่นแหละครับ(ชำเลืองมองดูตลอด)

ลำแสงจากมือขวาของผม ส่องออกมา(เท่มาก ขอบอก) พบปักเป้าหน้าหมา(Pufferfish) กำลังหลับอยู่

ส่องตามรู ผมพบปลาจิ้มฟันจระเข้ประเภทหนึ่ง(Pipefish) และเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมว่ายผ่านมันไปพอดี

ไฟฉายหลายกระบอก ส่องไปที่ที่เดียว ผมจึงส่องบ้าง เขาคือกุ้งมังกร(Lobster) ตัวโต กำลังวิ่งออกจากโพรงหนึ่ง ไปยังอีกโพรงหนึ่ง บางครั้งก็หยุดเหมือนจะรอดูว่า พวกนี้มันจะมาทำอะไรเราหว่า แล้ววิ่งต่อไป(ว่าแต่หิวซะแล้วซิ อยากกินกุ้งมังกร) ผมเห็นเขา 2 ครั้ง ถ้าไม่ใช่ 2 ตัว ก็อาจจะเป็นตัวเดียวกัน ออกมา 2 ครั้งก็เป็นได้

จากนั้นเป็นปลาสิงโตครีบขาว(White-Lined Lionfish) ที่ผมสามารถจำแนกได้อย่างแม่นยำเพราะภายหลังบนเรือได้เอาหนังสือมาเทียบกับกับรูปที่พี่โก้ได้ถ่ายเอาไว้ด้วย

ปูลำตัวสีแดงชนิด Etisus Splendidus ก็อยู่ในโพรง ดวงตามันออกจะเหี้ยมๆเล็กน้อย และยังมีปูเสฉวน(Hermit Crab)ขนาดกลางอีกด้วย

นอกจากนั้นก็มีปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue surgeonfish) ปลาโนรีหน้าหัก(Phantom Bannerfish)และดาวขนนก(Feather Star)

ผมรู้สึกว่าไฟฉายเริ่มอ่อน ถ่านคงใกล้หมดแล้วแน่ๆ

ปิดท้ายไดฟ์อย่างยิ่งใหญ่ แสงไฟส่องไปในจุดเดียวกัน เจ้าเต่ากระ(Hawksbill Turtle)ตัวเมื่อซักครู่ที่โผล่หน้ามาหายใจ ค่อนข้างแน่ ผมส่องไฟหามัน อยู่ในระยะประชิด มันช่างยิ่งใหญ่กว่าเห็นตอนกลางวันเสียอีก ก่อนที่มันจะว่ายหนีไป(ด้วยความรำคาญ นักดำน้ำ ฮ่าๆๆ)

เราทำ safety stop ก่อนขึ้นด้วย เพราะลงไปลึกถึง 20 เมตร

ขึ้นมาด้านบน พี่พิชบอกผมว่า อย่าไปบอกใครนะน้อง อายเขา ว่าลง Night Dive 20 เมตร ทั้งนี้เพราะการดำน้ำกลางคืน ไม่ควรเกิน 12 เมตรนั่นเอง(สำหรับผม ภูมิใจนะ ครั้งแรกด้วย) ผมว่าแม้จะแหกกฏบ้าง แต่ให้อยู่ในพื้นฐานความปลอดภัย มีสติ ไม่Panic อะไรๆก็คงไม่น่ากลัวครับ

แท้จริงแล้ว ไฟไม่ได้อ่อน แต่น้ำเข้าไฟฉายครับ(ในไดฟ์นี้นักดำน้ำส่วนใหญ่มองเห็นไฟฉายของผม รู้ด้วยว่าน้ำเข้า) เลยต้องรีบทำความสะอาด ในวันพรุ่งนี้ผมจะลองดูอีกครั้ง

อาหารเย็นผมจำได้ว่า กินปูผัดขึ้นช่าย และกล้วย ก่อนจะไปอาบน้ำและขึ้นมาดูวีซีดี อำพล อภินันทนาการจากครูโก้(เจ้าเก่า)

ผมพึ่งได้ยินชื่อ สาวแขกซิกข์อีกคน ที่พูดไทยชัดแจ๋ว ชื่อ คุณพิงค์กี้เป็นแฟนคุณนิคนั่นเอง(วงไพ่ก็ยังคงเปิดโต๊ะต่อไป )

คืนนี้ผมง่วงกว่าเดิม เพราะเมื่อวานนอนน้อยแถมดำน้ำมาทั้งวัน ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย จึงรีบไปนอน พรุ่งนี้จะได้สดชื่นในไดฟ์แรกของวัน

ก่อนนอน เรือแล่นมาหลบลมที่เกาะเก้า(ในอ่าว) ก่อนที่จะเดินทางอีกครั้งในเวลาตี4 จะได้ถึงเกาะบอนทันเวลาพอดี ไม่เร็วและไม่ช้าจนเกินไป

31 ธันวาคม 2548

เช้านี้ ผมได้ยินเสียงเจ้าหญิงน้อยกำลังวิ่ง เดาเวลาได้เลยว่าช่วงตี 4 แน่นอน ก่อนจะนอนต่อ และตื่นอีกครั้งในเวลา 7 โมงเช้า

ได้ยินเสียงพี่ป้อมคุยกับสาวๆ ผมจึงตื่นขึ้นมา ไม่น่าเชื่อว่า ผมยังสามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้อีก(แบบไม่ตั้งใจ)จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้อีก 1 วัน

หลังจากทำธุระเสร็จเรียบร้อย ผมมาเขียน Log Book(สมุดจดของนักดำน้ำ) ของเมื่อวาน จากพี่นก โดยจดเฉพาะรายละเอียดสำคัญๆก่อน เช่นเริ่มกี่โมง ใช้เวลาไปเท่าไร ระดับความลึก เป็นต้น

เมื่อหาอะไรกินได้ซักพัก ก็ได้เวลาลงไดฟ์แรก




Dive 14 ความเหนื่อยกับการสู้กระแสน้ำ

ไดฟ์นี้เราจะลงดำที่เกาะบอน ถ้าโชคดีเราอาจจะได้เจอกระเบนราหู( Manta Ray) ซึ่งนักดำน้ำทุกคนใฝ่ฝัน ซึ่งในวันนี้กลุ่มของผมจะเป็นกลุ่มที่ลงก่อนบ้าง ก่อนจบพี่วิลลี่ ทิ้งท้ายว่ากระแสน้ำจะแรงให้ว่ายต่ำๆเข้าไว้

น้ำใสแจ๋ว ผมพบปลาสินสมุทรลายบั้ง(Six-banded Angelfish) และฝูงปลาสร้อยนกเขาแตงโม(Oriental Sweetlips)

ด้านหน้าของผม คือผาขนาดใหญ่ สูงชัน เป็นผาที่มีปะการังอ่อน(Soft Coral)สีม่วงและสีเหลืองเต็มไปหมด ช่างสวยงามและยิ่งใหญ่เสียจริงๆ

ผมดันไม่จำ(แถมลืม) ที่พี่วิลลี่อุตส่าห์เตือนไว้ ว่ากระแสน้ำแรง ผมจึงตีขา ตีแล้ว ตีอีกก็ไม่ไป(ไม่ยอมก้มต่ำไม่ยอมใช้หน้าผาบังอีก แน่ะ) โปรดนึกภาพ ผาสูงใหญ่ หากเราอยู่ในอาณาเขตร่มเงาของผา เราจะไม่ถูกกระแสน้ำ แต่ผมดันว่ายปะทะกระแสแบบเต็มๆ โดยไม่ยอมใช้ผาหินเป็นเกราะกำบัง ผลคือ เหนื่อยครับ เมื่อยมาก จนพี่โก้ต้องมาช่วยดึงผมขึ้นไปให้มาพักโดยเกาะบริเวณผาไว้(ตอนแรกนึกว่าจะให้มาเก๊กถ่ายรูปซะอีก อุตส่าห์ชู 2 นิ้ว ฮ่าๆๆ)

คนอื่นๆเจออะไรกันเพียบ ส่วนผม ไดฟ์นี้เหนื่อยครับ อยากจะปล่อยตัวตามกระแสน้ำให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย รับรองไปไกลแน่ๆ

ขึ้นมาพักรับประทานอาหารเช้า ก่อนที่แต่ละคนจะหาเวลาพักผ่อนตามมุมถนัด เป็นเวลาเดียวกับที่เจ้าหญิงน้อยมุ่งหน้าสู่เกาะตาชัย จุดดำน้ำในไดฟ์ต่อไป

Tuesday, January 10, 2006

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(2)

ปลากระเบนจุดฟ้า และปลาไหลสวน
น้ำทะเลสวยๆที่สิมิลัน

ไข่มุกอันดามัน สวรรค์เมืองใต้ บารมีหลวงพ่อแช่ม…..

เป็นคำขวัญของจังหวัด ที่เรามักจะคุ้นหูอยู่ตลอด หลังจากเกิดสึนามิ ผมก็ยังไม่เคยมาเยือนที่นี่อีก(ยิ่งพี่ชายคนโต ไปศึกษาต่อ การมาที่นี่จึงไม่ค่อยบ่อยเหมือนเคย)

ป้ายทางเข้าหาดไม้ขาว ผ่านไป ต่อด้วย หาดสุรินทร์ หาดป่าตอง ด้านหน้าของผม คือ อนุเสาวรีย์ของคุณหญิงจันและคุณหญิงมุก 2 วีรสตรี ผู้กล้าหาญ ผมขอพรให้ท่านช่วยคุ้มครองผมและทุกๆคนตลอดการเดินทาง ขอให้อากาศดี ฝนไม่ตกด้วย

ก่อนถึงท่าเรือ เราแวะซื้อของที่เซเว่น ผมไม่แน่ใจว่าหยิบแปรงสีฟันมาหรือยัง จึงซื้ออีกเพื่อความชัวร์(คงไม่มีใครให้ผมยืมแน่นอน ของแบบนี้ของใช้ส่วนตัวครับ ฮ่าๆๆ)

ที่นี่ผมได้เจอพี่โก้(ปาปารัซซี่) ที่เดินทางมาโดยเครื่องบิน และได้เจอพี่มน และคุณหมอจินต์ มาแวะซื้อของที่นี่ด้วย (ชื่อพึ่งมาทราบตอนหลัง แต่จำหน้าได้ครับ ว่าเจอใครบ้าง)

ถึงจุดนี้ ไม่ไกลจากท่าเรือรัษฎาเท่าไร พี่โก้จึงชวนผมให้ไปด้วยกัน เพราะรถตู้ยังมีที่ว่างอีกมาก จะได้ไม่ต้องเบียดกันอีก

บนรถ มีนักดำน้ำอยู่หลายคน เมื่อทราบว่าผมนั่งรถมาจากกรุงเทพ โดยมากับอุปกรณ์ดำน้ำ แถมเบียดเสียดกัน 5 คน ต่างก็แปลกใจไปตามๆกัน(คงคิดว่า อัดกันมาได้อย่างไร)

รถเข้ามาจอดที่ท่าเรือรัษฎา ท่าเรือที่ผมคุ้นเคยดีเพราะนั่งเรือไปพีพีก็บ่อยครั้ง เมื่อลงจากรถ มีคนถามผมว่า มาเรือลำไหน ผมบอก Little Princess ซึ่งเขาดูจะงงๆอยู่ พอบอกว่าเจ้าหญิงน้อย ภาษาจึงตรงกัน(เป็นลูกเรือของเจ้าหญิงน้อยนั่นแหละ)


เข้าสู่ ชายคา Little Princess

ผมเจอพี่แจ้เป็นคนแรก พี่แจ้เป็น Divemaster ที่ชุมพรคาบาน่า ผมน่ะจำแกได้แน่นอน แกมีชื่อเสียงในด้านการหาของ เช่น ฉลามวาฬ เป็นต้น(จนบางครั้ง มีคนเรียกร้องมาว่า หากไม่มีพี่แจ้ จะไม่ไปทริปนั้น จึงบ่งบอกถึงความเก่งกาจในการหาสัตว์ทะเลของแกได้ดี)

บนเรือช่างไม่ได้ออกแบบมาให้ผมขึ้นจริงๆเพราะเพดานเรือเตี้ยมาก จนผมต้องก้มคอเดินตลอด(ก็คนส่วนใหญ่ไม่ได้สูงนี่ ไอ้โย่ง) ผมพบเจี๊ยบ หมอเดียร์ พี่พิช น้องโอ๊ต ที่มาถึงก่อนแล้ว

ไม่นานนัก พี่ป้อม พี่อ้อย ครูโก้ พี่หิ้ว ก็ทยอยตามมา

ผมไปดูห้องพักของตัวเอง ที่อยู่ในห้อง Living room ในห้องนี้ผมพักกับพี่โก้ หมอจินต์และพี่นก มีทีวีจอยักษ์อยู่ในห้องด้วย ผมยังมีรูปถ่ายคอเอียงๆเลย เป็นสัญลักษณ์ว่า เพดานมันเตี้ยจริงๆ

บนเรือผมได้เจอพี่รินทร์และพี่วรรณ(แฟนสาว) จากนั้นเป็นคุณนิค แขกซิกซ์ที่พูดไทยชัดแจ๋ว ต่อด้วยชาวต่างชาติเพียงคนเดียวบนเรือ น้าแกรม น้าเขยแท้ๆของเจี๊ยบนั่นเอง นอกจากนี้ ผมยังได้พบพี่นก(หรือยัยนก นู๋นก นกบ้า ที่พี่ป้อมชอบเรียกนั่นเอง) ล่าสุดที่ผมได้เจอพี่นก คือ เดือนเมษายน 2548 ตอนไปเรียนดำน้ำที่ชุมพรคาบาน่านั่นเอง

พี่โก้บอกให้ผมกินข้าวต้ม(ระหว่างรอนักดำน้ำทยอยมากัน) ผมนั่งกินพร้อมกับมองความหรูหราของเรือ ไม่น่าเชื่อว่า ผมจะได้มาเรือ Liveaboard จริงๆน่ะเหรอ

ผมลงมาสำรวจเรือแบบคร่าวๆ ชั้นล่างใกล้ Plat form มีอุปกรณ์ดำน้ำตั้งอย่างเป็นระเบียบ เดินตรงเข้าไปเป็นห้องน้ำ 6 ห้อง ห้องครัว เดินตรงไปอีก เป็นห้องพักของนักดำน้ำ

ชั้นสอง เป็นห้องรับประทานอาหาร มีทีวีหนึ่งเครื่อง เดินออกไปด้านหน้าจะผ่านห้อง Living room และห้องของนักดำน้ำคนอื่นๆ ด้านหน้าสุดเป็นห้องของกัปตันเรือ ผมยังเดินเข้าไปถามกัปตันเกี่ยวกับเรดาห์ต่างๆ ว่ามีประสิทธิภาพการหาปลาได้แค่ไหน ก่อนทิ้งท้ายว่า จะเข้ามาดูใหม่อย่างแน่นอน

ชั้นบนสุดเป็นชั้นดาดฟ้า บรรยากาศดีมาก ใครมานอนดูดาว ก็คงได้บรรยากาศดีๆแน่ (ถึงตอนนี้ผมหยิบกระเป๋าเสื้อผ้า ขึ้นไปวางในห้องพัก)

ใกล้ๆ เรามีเรือฐาปนาที่พึ่งแล่นออกไป(มีการจุดปะทัดก่อนออกด้วย) ด้านหน้าของเรา คือ เรือคูน เรือหรูหราอีกลำ หากเปรียบเทียบชื่อชั้น เจ้าหญิงน้อยยังใหม่ ในวงการเรือ Liveaboard แต่ของแบบนี้ไม่แน่ครับ หัวเราะทีหลังอาจจะดังกว่าก็ได้ ของแบบนี้อยู่ที่การบริการครับ

ประมาณเที่ยงคืนกว่า นักดำน้ำชุดสุดท้ายก็มาถึง พี่ฝ้ายขนของพะรุงพะรัง แน่นอนว่าของกินทั้งนั้น(นักดำน้ำทุกคนอิ่มหมีพีมันก็คราวนี้ล่ะ) นอกจากนี้ยังมีพี่ฝนและคุณหนึ่งด้วย(พี่ฝนนำ Dive Site ปรินส์สี มาด้วย สวยดีครับ)

เจ้าหญิงน้อยออกเดินทาง พร้อมเสียงปะทัดดังสนั่นขณะที่ผมกำลังจะเดินออกไปด้านหน้าเรือ(ชะงักเพราะเสียงปะทัด)

ผมอาบน้ำอย่างสบายอารมณ์ ช่างหรูหรามาก มีน้ำอุ่นไว้บริการ พร้อมสบู่ ยาสระผม ผ้าเช็ดตัว แม้แต่ผ้าห่มก็มีให้บริการ (รู้งี้ ไม่ขนมาให้หนักหรอก)

ครูโก้ เอาวีซีดี คอนเสริตมาเปิด มีอำพลและบิลลี่ แสดงร่วมกัน ทำให้บรรยากาศดูครึกครื้นขึ้นมาทันที จากนี้ไปคงต้องพึ่งวีซีดีทั้งหลาย เพราะ 4 วันนับจากนี้ไป จะไม่มีคลื่นโทรศัพท์และสัญญาณทีวี เรา(25 นักดำน้ำบวกลูกเรือและกัปตัน) จะถูกตัดขาดจากโลกภายนอก และอยู่ในโลกใต้ทะเลอย่างแท้จริง

ผมรู้คร่าวๆว่าเรือจะถึงสิมิลัน ประมาณ 9 โมงเช้า และเราจะลงไดฟ์แรกในทันที ตอนนี้ผมเริ่มง่วงนอน ตี 2 ครึ่งแล้ว หากไม่รีบพักผ่อน พรุ่งนี้อาจไม่สดชื่น ดำน้ำไม่สนุก

30 ธันวาคม 2548

ผมตื่นมาทันดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้ ได้ยินเสียงของพี่ป้อมเป็นคนแรก แกตื่นเช้าจริงๆ ผมลงไปทำธุระยามเช้า ก่อนเปลี่ยนกางเกงขาสั้นเตรียมพร้อมสำหรับไดฟ์แรกในวันนี้

หลังจากชงโอวัณตินกับขนมปัง และกล้วย เป็นอาหารเรียกน้ำย่อย พี่วิลลี่ซึ่งเป็น Boat Manager ของเรือลำนี้(เป็น Instructor ด้วย) ปูผ้าเช็ดตัวบนโต๊ะอย่างสวยงาม เพื่อจั่วไพ่ ผมก็เล่นกับเขาเหมือนกัน ทบทวนไพ่สลาฟ หลังจากที่ไม่ได้เล่นมานานโดยมีครูโก้และเจี๊ยบร่วมเล่นด้วย พี่นกเป็นคนแจกไพ่ ส่วนพี่หิ้วยังเล่นไม่เป็นจึงขอศึกษาดูก่อน

ผมจำได้ว่าคุณหนึ่งสีหน้าไม่ดีนัก รู้สึกว่าแกจะเมาเรือ(ผมจึงแนะนำให้ไปรับยาที่หมอเดียร์)

ไม่นานนักอาหารเช้า ไส้กรอก ไข่ดาว ข้าวต้ม ก็มาเสริฟ ผมจึงทานอีกรอบ ถึงตอนนี้นักดำน้ำก็เริ่มจะตื่นกันหมดแล้ว

Dive 10 ความใสของน้ำทะเล(ของแท้)!!!

เกือบ 9 โมง เรือมาจอดที่เกาะห้า อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน พี่วิลลี่เริ่ม Brief ให้ฟังเกี่ยวกับไดฟ์แรกในวันนี้ว่า เราจะลงกันที่หินม้วนเดียวและสวนปลาไหล(Garden eel) ที่เรียกว่า หินม้วนเดียวเพราะว่า หากใครเอากล้องถ่ายรูปลงไป มักจะกดชัตเตอร์จนฟิลม์หมดนั่นเอง ส่วน Garden eel จะอยู่รอบนอก มีปลาไหลสวนจำนวนมาก(พวกเขามักจะชอบโผล่เฉพาะส่วนหัวออกมาจากรูบนพื้นทราย)

เราจะแบ่งกันลงเป็นชุดๆ ในวันนี้ ชุด 1และ 4 จะลงก่อน ตามด้วยชุด 2(ชุดของผม)และชุด 3 ส่วนในวันรุ่งขึ้น ชุดของผมและชุด 3 ก็จะสลับลงเป็นชุดแรกๆบ้าง

ระหว่างที่ชุดแรกลงไป ผมถ่ายรูปน้ำทะเลที่เกาะห้า สีฟ้าสด สวยงามมากครับ ไม่แปลกใจว่าเหตุใด นักท่องเที่ยว ถึงชอบสีน้ำทะเลที่สิมิลัน

ผมลงมาClean mask ด้วยแชมพูเพื่อให้หน้ากากไม่เป็นฝ้า ก่อนจะเปลี่ยน Wet Suit ซึ่งมีแต่เบอร์ L ส่วน XL เพียงตัวเดียวคงต้องให้น้องโอ๊ตเพราะตัวใหญ่กว่าผมมาก แม้จะดูแน่น(รัดรูปมาก)สำหรับผม แต่ก็ต้องใส่ ไม่งั้นหนาวๆคงไม่สนุก ส่วนน้าแกรมใส่เบอร L ไม่ได้เช่นกันจึงลงเสื้อยืด กางเกงขาสั้น

ชุดของผม มีพี่ป้อม พี่นก พี่โก้ พี่พิช เจี๊ยบ น้าแกรม เดียร์ น้องโอ๊ต

ผมกระโดดลงด้วยท่า Giant Stride จาก Plat form และหยิบแผ่นปลาสำหรับสังเกตปลาทะเลลงมาด้วย(ได้มาอีกแผ่นตอนไปงานเปิดตัว Sea Thai Sea) ที่นี่น้ำทะเลใสมาก ใสมากที่สุดตั้งแต่ที่ผมเคยดำมา(ผมว่าชุมพรก็ใสแล้วนะ) เคยแต่ได้ยินเขาพูดกันว่าน้ำที่สิมิลันใส หากไม่เห็นด้วยตาคงนึกไม่ออกว่า สามารถมองไกลได้ 15-30 เมตรอย่างสบายๆ

ผมเจอปลาสิงโต(Lion fish) 1 ตัว แต่มันอยู่ในโพรงจึงไม่ทันสังเกตชนิดว่าเป็นชนิดใด จากนั้นเจ้าปลาขี้ตังเบ็ดฟ้า(Powder-blue surgeonfish) แม้จะมีจำนวนมาก พบได้บ่อยที่สิมิลันแต่ดูกี่ทีก็ไม่เคยเบื่อเลยเพราะสีสันที่สวยงามของมันนั่นเอง นอกจากเห็นอีกตัวหนึ่งลำตัวออกเทาๆ ผมจำลักษณะหางได้ว่า คือหนึ่งในปลาขี้ตังเบ็ดนั่นเอง

เจ้าปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) 2 ตัว ว่ายผ่านผมไป จากนั้นผมเห็น ปลาพงเหลืองห้าเส้น(Five-lined Snapper) ตัวนี้พบบ่อยในอันดามันไม่พบในฝั่งอ่าวไทย เป็นคนละตัวกับที่ชุมพร รายนั้นคือ ปลากระพงเหลืองแถบฟ้า(Bluestripe Snapper) ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันมาก

ต่อด้วยปลาโนรีครีบยาว(Lonngfin Bannerfish), ปลากะรังแดงจุดน้ำเงิน(Coral Rockcod) ,ปลานกขุนทองหลังขีดหรือปลานกขุนทองเขียวพระอินทร์(Vrolik’ s Wrasse)

กลุ่มของผีเสื้อแสนสวยชื่อ ปลาผีเสื้อขาวดำ(Black Pyramid Butterflyfish),ปลาผีเสื้อปากยาว(Long-nose Buttleflyfish),ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish)

ปะการังอ่อน(Soft Coral)หนักไปทางสีม่วงเยอะ กัลปังหา(Sea Fan) ก็เยอะจริงๆ พบเห็นได้ง่ายมากที่สิมิลัน สวยงามมากครับ

ผมรู้สึกอึดอัดมาก ไม่สบายตัว ไม่สดชื่น เคลียร์หูยาก อาจจะไม่สบาย พยายามดึงWet Suit ออกมาจากรอบๆคอ น้ำก็เข้า เย็นอีก(โง่หรือเปล่าเนี่ย) ผมหายใจแบบรวดเร็ว จนอากาศหมดก่อนเพื่อนและต้องใช้ Octopus จากพี่ป้อมเป็นครั้งแรก

เมื่อขึ้นจากน้ำก็ยังมีอาการคลื่นไส้ ในลำคอ ขมอมเปรี้ยว แสดงว่า สิ่งไม่พึงประสงค์ใกล้จะออกมา(แต่ก็ไม่ออกครับ อย่าพึ่งเบือนหน้าหนี)

คนอื่นๆเห็นปลาไหลสวน(Garden eel)ทุกคน มีเพียงผมเพียงคนเดียว ที่ดำน้ำในไดฟ์แรกยังไม่ดีนัก มัวแต่ดูตัวเองซะมาก เลยทำให้พลาดโอกาสไป

ยาหมอเทวดา

เมื่อขึ้นมาพี่ป้อมบอกผมอาจตื่นเต้นเกินไปและไม่ผ่อนคลายทำให้ดำไม่สนุก ผมบอกพี่ป้อมว่า ไดฟ์หน้าช่วยลงไปชี้ให้ผมดูแบบชัดๆ ว่านั่นคือปลาไหลสวน เพราะบางครั้งผมก็บ้องตื้นน่ะครับ(พี่ป้อมบอกมีเยอะเดี๋ยวไดฟ์หน้าจะชี้ให้ดู ไอ้น้อง) ในตอนนี้อาหารกลางวันของนักดำน้ำก็เตรียมพร้อมแล้ว

ผมได้ยาแก้เมาเรือกับยาแอคติเฟดที่ทำให้เคลียร์หูง่ายขึ้นจากหมอเดียร์ ได้ผลทันตาเห็นครับ ยังกับยาหมอเทวดาเพราะจากนั้นไม่นานผมมีอาการสดชื่นขึ้นทันที

ถึงตอนนี้ความใสของน้ำทะเลก็เย้ายวนให้ผมและเพื่อนๆต้องขึ้นไปถ่ายรูปบนดาดฟ้าของเรือ แม้ฝ่าเท้าจะร้อนมากเท่าใดแต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับนายแบบ-นางแบบของเรา และช่างกล้องปาปารัซซี่แต่อย่างใด

จากนั้นผมลงมาด้านล่างเพื่อมาฟังพี่วิลลี่ Brief ในไดฟ์ต่อไป


Dive 11 ปลาไหลสวนที่ 35 เมตร!!!!

จุดดำน้ำ จุดนี้เรียกว่า East of Eden จะมีกัลปังหาและปะการังอ่อนสีสันสวยงาม มี ปลาจิ้มฟันจระเข้ปีศาจ(Ghost Pipefish) ปลาไหลมอเรย์(Moray eel)และถ้าโชคดีอาจมีโอกาสพบฉลามด้วย

ปรี๊ดๆๆๆๆเสียงในหูของผมเวลาเคลียร์เมื่อเปลี่ยนระดับ เสียงดังเหมือนจรวดเวลาออกจากฐาน เป็นสัญญาณดีเพราะผมเคลียร์หูได้ง่ายมาก มีความรู้สึกสดชื่นและผ่อนคลายเมื่ออยู่ใต้น้ำ(ยาดีมาก)

ปลาวัวลายส้ม(Orange-Striped Triggerfish) พาร่างท้วมๆออกมาให้ยลโฉม ต่อด้วยปลาการ์ตูนลายปล้อง(Clark’ s Anemonefish) กับดอกไม้ทะเล(Sea Anemone) ที่ดูน่ารักไม่แพ้กัน นอกจากนั้นก็ยังมีปลาโนรีครีบสั้น(Singular Bannerfish) อีกด้วย

บริเวณเรือนกล้วยไม้ พี่ป้อมชี้ให้ดูปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray eel) ตัวแรกอยู่ใต้ปะการังขนาดผมทำตัวราบจนหัวจะมุดเข้าไปใต้ปะการังได้อยู่แล้ว ตาถั่วๆของผมยังมองไม่เห็นเลย(หรือหน้ากากคลีนไม่ดีหนอ อ่อ เป็นฝ้าเล็กน้อย) แต่ในที่สุดผมก็เห็นอีกตัวหนึ่ง ชูคอออกมาจากรู ปากแหลมๆนั้นน่ากลัวเชียว อย่าเอามือเข้าไปล่ะ(เคยมีนักดำน้ำเอามือเข้าไปแหย่มัน ผลคือนิ้วขาด แต่ผมไม่สงสารนักดำน้ำคนนั้นเลย อยู่ดีไม่ว่าดี)

ระหว่างว่ายเลาะผาไปเรื่อย พี่ป้อมเรียกให้ผมออกไปเดี่ยวๆ ในความลึก 35 เมตร ท่าทางแกต้องการให้ผมดูอะไรซักอย่าง

ในความลึก 35 เมตรนี้เอง ผมเห็นปลาไหลสวน(Garden eel) แต่กว่าจะเห็นพี่ป้อมต้องชี้ให้ดูแบบใกล้ๆ (มีเสียงอึ้มๆๆ ออกมาจาก เรกูเลเตอร์ เหมือนบอกว่า นั่นไง ไม่เห็นเหรอ)ต้องรอจังหวะเพราะช่วงที่พวกเขามุดลงรู จะโผล่ขึ้นมาอีก ไม่แน่ใจว่าคุ้มไหม คนอื่นเห็นกันตื้นๆ แต่ผมต้องลงมาในระดับ 35 เมตร แต่ผมว่าคุ้มล่ะครับ

โชคชั้นสอง เมื่อพี่ป้อมหันกลับเพื่อขึ้นไปยังระดับที่ตื้นขึ้น ผมยังมองดูเจ้าปลาไหลสวนอยู่ ถัดจากปลาไหลสวนไม่ไกล เหนือพื้นทรายเล็กน้อย ผมเห็นสัตว์ทะเลตัวหนึ่งกำลังกระพือปีกว่ายออกไป เขาคือปลากระเบนจุดฟ้า(Blue-spotted stingray) จากการเทียบขนาดพวกเขาจึงไม่ใช่กระเบนนกแน่นอน(รายนั้นเห็นยากกว่ามาก)

ถึงตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกมึนๆปนเมา เพราะในระดับความลึกมากๆจะมีไนโตรเจนซึมเข้าร่างกายมากจนเกิดอาการเมาไนโตรเจนได้ หากผมไม่ตามพี่ป้อมกลับไปเดี๋ยวนี้ ผมอาจจะต้องอยู่ที่นี่ตลอดไป แม้ผมจะอยากดูต่อแต่ผมยังมีสติ จึงรีบหันกลับไปสู่ระดับที่ตื้นกว่าทันที

ที่ระดับ 30 เมตร พี่ป้อมเรียกให้ผมลงไปดูช่องหิน ช่องหนึ่ง สามารถมุดออกไปถ่ายรูปได้(ไม่ใช่ช่องนายแบบ-นางแบบที่มีชื่อเสียงนะครับ อันนั้นจะอยู่ที่จุดดำน้ำที่เรียกว่า หินหัวกะโหลก)

ผมมีความสุขมาก ได้เห็นปลาไหลสวน(ซะที) พี่ป้อมบอกว่าอุตสาห์ชี้ให้ดู ต้องเห็นแล้วไอ้น้อง(แกยังแซวเรื่องปลาไหลมอเรย์ยักษ์ด้วย) จากนั้นผมใช้เวลาพักผ่อน ที่นักดำน้ำส่วนใหญ่บนเรือทำกัน คือ นอนครับ(เราจะลงในทันทีไม่ได้ ต้องให้ไนโตรเจนค่อยๆซึมออกไปก่อน จึงจะสามารถดำต่อได้)

ส่วนอีกหนึ่งกิจกรรมของนักดำน้ำ(นอกจากเล่นไพ่) คือการเปิดหนังสือสัตว์ทะเลว่า ได้เจอตัวอะไรมาบ้าง มีชื่อภาษาอังกฤษว่าอย่างไร โดยมีพี่นกซึ่งเป็นขาประจำในการเปิดหนังสือเสมอๆ

สิมิลัน...ฉันรักเธอ(1)


ปลายเดือนตุลาคม 2548 หลังจากเสร็จสิ้นทริปดำน้ำที่พัทยา ผมได้ยินพี่ป้อม พี่พิช พี่ต่อ พี่ฝ้าย พี่โก้(ปาปารัซซี่)และอีกหลายๆคน พูดถึงทริปดำน้ำช่วงปีใหม่ที่สิมิลัน เป็นทริปที่เรียกกันว่า “ทริปดำน้ำ ข้ามปี”

เมื่อผมได้ยินดังนั้น กิเลสที่หนา(อยู่แล้ว)ของผมจนเกาะเป็นหินปูน ก็เข้ามาทันที ผมคิดในใจว่า หากได้ไปในทริปนี้ คงดีไม่น้อยเพราะจะเป็นการไปเรือ Liveaboard ครั้งแรกในชีวิตของผมด้วย ผมใฝ่ฝันว่า ในปีหนึ่งอยากไปดำน้ำกับเรือ Liveaboard ปีละ 1 ครั้ง(ขืนไปบ่อยๆ จนตายซิครับ อาจต้องไปเป็นร๊อบ ชไนเดอร์ ในหนังเรื่อง ดิวส์ บิกกะโล่ ล้อเล่นครับ ผมมีศักดิ์ศรีนะ ฮ่าๆๆๆ)

(Liveaboard คือ เรือสำหรับการไปดำน้ำโดยเฉพาะ เนื่องจากทริปหนึ่งต้องไปหลายวัน กิน นอน บนเรือ ภายในจึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เรียก เรือเป็นบ้านคงไม่ผิดนัก)

พูดถึงอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จ พังงา ผมยังไม่เคยไปเยือนเลย ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยวแบบ Backpacker ที่ผมมักจะไปบ่อยๆก็ตาม

แต่อุปสรรคของผม ข้อแรกคือ ช่วงวันหยุดยาว ผมมักจะใช้เวลาอยู่กับครอบครัวทุกครั้ง จึงเป็นเรื่องยากที่จะปลีกตัวไปได้

ส่วนอีกข้อ ผมซึ่งยังไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง จะเก็บเงินจำนวนมากมายขนาดนั้น ภายในเวลาที่จำกัด ได้อย่างไร

เมื่อผมพูดคุยกับครอบครัว ช่วงปีใหม่ ไม่มีใครออกต่างจังหวัด เมื่อผมขอไปดำน้ำก็ไม่มีใครคัดค้านเพราะคุณพ่อและคุณแม่ทราบดีว่า นี่คือ สิ่งที่ผมรักมาก เพียงแต่ท่านขอร้องให้ระมัดระวังตัวให้มากเท่านั้น

ผมเริ่มคิดการหางานพิเศษทำ ไม่ว่าจะเป็นการล้างจาน เสริฟอาหาร หรือแม้กระทั่งการไปเป็นพนักงานขายตามห้างสรรพสินค้า

สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ การเสริฟอาหารในช่วงค่ำที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง ถึงแม้ว่า หักลบค่าเดินทางแล้วจะทำให้รายได้ลดลงก็ตาม

คุณพ่อจึงเสนอหนทางให้ เพราะไม่อยากให้งานพิเศษรบกวนเวลาอ่านหนังสือของผม(ขณะนั้นใกล้สอบด้วยครับ) โดยให้ผมทำความสะอาดบ้านเพิ่มขึ้น จากสัปดาห์ละ 1 วัน เป็น 3 วัน

เมื่อผมคำนวนดูแล้ว เป็นหนทางที่ดีสำหรับทุกฝ่าย ผมก็ไม่ต้องขาดเรียนในช่วงค่ำด้วย(ส่วนจะเอาเงินล่วงหน้ามาใช้ แล้วจะไม่มีใช้ในอนาคต ค่อยแก้ปัญหาอีกทีแล้วกัน)

ยิ่งพี่ป้อม ครูสอนดำน้ำของผม อนุญาติให้ผมเดินทางไปโดยรถยนต์ด้วยกันได้ ทำให้ผมประหยัดค่าเครื่องบินได้ หลายพันบาท การเก็บเงินของผมจึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเรื่อยๆ (พี่ป้อมอยากให้ผมเห็นโลกใต้ทะเลที่สวยงามจริงๆเสียที)

เมื่อปีใหม่ ใกล้เข้ามา ฝันหวานของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง จะเป็นความจริงอีกหนึ่งครั้งแล้วครับ

29 ธันวาคม 2548

เช้าวันนี้ ชูฮวย เพื่อนซี้ของผม จะกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ แต่เพราะนัดกับพี่ป้อมไว้ และเวลาก็กระชั้นชิดกัน ผมจึงเลือกส่งเพื่อน ที่บ้านของมันแทน ตั้งแต่เมื่อวาน

คุณพ่อมาส่ง ที่ Lotus อ่อนนุช ผมแบกเป้ที่มีหนังสือเกี่ยวกับสัตว์ทะเลและ Snockle กับกระเป๋าเสื้อผ้าใบใหญ่ เดินเข้าไปในห้างเพื่อหาซื้อถุงดำและน้ำยาดับกลิ่น(เฮ้ย ไม่ใช่หมอวิสุทธิ์) ฮ่าๆๆ ผมซื้อถุงดำอย่างเดียวครับ พี่ป้อมบอกว่าไว้ เอาขนาดใหญ่ที่สุด เพราะจะไว้ใส่ของท้ายกระบะรถของครูโก้ เพราะฝนอาจจะตกได้(กันไว้ไม่เสียหลาย)

นอกจากนี้ผมก็หาซื้อถ่านไฟฉายเพิ่ม เอาไว้ใช้ในการดำน้ำตอนกลางคืน หรือที่เรียกกันว่า Night Dive (เป็นครั้งแรกของผม เช่นกัน ออกจะตื่นเต้นมากเพราะมืดๆ ใต้น้ำดูน่ากลัวนา) ส่วนไฟฉายผมฝากพี่ฝ้ายซื้อเรียบร้อยแล้วครับ ระหว่างนี้ก็หาข้าวเช้าใน Food Center กินเพื่อฆ่าเวลาไปพลางๆ

พี่ป้อมโทรเรียกให้ผมออกมา ด้านหน้า Lotus เพราะรถครูโก้จอดติดไฟแดงอยู่ ในเวลานี้ รถกระบะ นิสสัน ที่มีอุปกรณ์ดำน้ำเต็มคันรถ ดูจะเด่นเป็นสง่าเสียจริงๆ

เรามุ่งหน้าขึ้นทางด่วน สู่ปั้มแห่งหนึ่ง แถวรามอินทา เพื่อมารับพี่อ้อย(หรือผู้กองอ้อย) ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง แห่งอุบลราชธานี นักดำน้ำอีกคนหนึ่ง ที่นั่งรถมาจากอุบลราชธานี เพื่องานนี้โดยเฉพาะ

บ้านชายโสด นามว่า พี่หิ้ว

เรามุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ดูลึกลับมาก หากเดินเข้าหมู่บ้านขาลากแน่นอน เรามาถึงบ้านหลังหนึ่ง ชายหนุ่ม(โสด) นามว่า พี่หิ้ว ออกมาต้อนรับด้วยชุดอยู่บ้านสบายๆ พร้อมเรียกให้เราเข้ามาในบ้านก่อน

ผมสังเกตเห็น ภายในบ้าน ยังไม่เรียบร้อยดี เห็นได้ชัดว่าพึ่งย้ายมาอยู่ไม่นาน แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในบ้านนี่ซิ ทั้งทีวีจอยักษ์ เก้าอี้นวดที่ครูโก้และพี่อ้อย เอ่ยปากชมว่า ใช้แล้วสบายจริงๆ(เมื่อเป็นหนุ่มโสดจึงต้องหารางวัลให้กับตัวเอง ผมนึกถึงพี่ชายคนโตผม ไม่ต่างกันเลยครับ)

“จัดของเสร็จหรือยัง พี่หิ้ว” ครูโก้ ถาม

“ สวมเสื้อตัวเดียวก็ไปได้แล้ว” พี่หิ้วพูด

ถึงตอนนี้ผมเริ่มเข้าใจแล้วว่า เหตุใดต้องมารับพี่หิ้วถึงที่บ้าน เพราะมีอุปกรณ์ คาราโอเกะ สำหรับไปสนุกกันบนเรือด้วย การขนย้ายบ่อยๆ ไม่เป็นการดีครับ (อีกอย่างให้แกขนไปลำบากน่าดู เพราะมีหลายกล่อง)

เราช่วยกัน ขนเกียร์แบค(กระเป๋าสำหรับใส่อุปกรณ์ดำน้ำ)และกล่องอื่นๆ ลงจากรถ เพื่อนำมาใส่ถุงดำป้องกันฝน ที่อาจตกลงมา และนำกระเป๋าเสื้อผ้า มาใส่หลังรถด้วย เพราะ 5 คนในรถ ดูจะไม่มีที่ว่างให้วางกระเป๋าได้เลย นอกจากถือไว้กับตัวเท่านั้น จากนั้นก็ใช้เชือกรัดอีกที เพื่อกันของตกระหว่างเดินทาง โดยยังมีอีกหนึ่งอย่างที่ต้องซื้อก่อนออกเดินทาง คือ ตาข่าย ไว้รัดบนกระบะอีกทีหนึง

แม้ผมจะนึกเสียดายว่า หากไปส่งชูฮวย น่าจะออกเดินทางทัน แต่ใครจะรู้ล่วงหน้าล่ะครับ และการที่ผู้น้อยอย่างผม มาก่อนเวลา ก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว (ไปกับเขา อย่าเรื่องมากนา )

ออกเดินทาง สู่เกาะภูเก็ต

สิมิลันอยู่ จ พังงา ทำไมถึงไปภูเก็ตเหรอครับ เพราะเรือ Liveaboard นามว่า Little Princess (เจ้าหญิงน้อย) รออยู่ที่ท่าเรือ รัษฎา จ ภูเก็ต หากเดินทาง จาก จ พังงา แม้จะใกล้สิมิลันกว่ามากแต่ก็จะลำบากมากเช่นกันตรงที่ จ พังงา ไม่มีสนามบิน นักดำน้ำส่วนใหญ่ มาเครื่องบินกัน ถึงตรงนี้คงเข้าใจแล้วนะครับ

ผมไม่ได้ขึ้นสะพานพระราม 9 มานานมาก จึงไม่ค่อยคุ้นเส้นทางเท่าไรนัก แต่สังเกตได้ว่าผู้คนเริ่มทยอยออกไปฉลองเทศกาลปีใหม่กันแล้ว

เราแวะ Lotus พระราม 2 เพื่อซื้อตาข่าย พี่หิ้วรีบลงไปหาซื้อให้ ส่วนพี่อ้อยลงมาหาซื้อ Sun block ส่วนผมลงมาเข้าห้องน้ำ ถามว่าเหตุใดพี่ป้อมและครูโก้ จึงไม่ลงมา ของหลังรถไงครับ กลับมาอีกทีของหาย ก็ฮาซิ(ครูโก้บอกว่า รถหายผมไม่กลัวหรอก มีประกัน แต่ของหลังรถนี่ซิ ไม่มีประกันนะ)

ก่อนขึ้นรถผมเดินมาเจอพี่หิ้ว แกใจดีมาก ซื้อขนมมาฝากทุกคน ในรถด้วย

เส้นทางพระราม 2 ในตอนนี้ ผมเริ่มคุ้นแล้ว เพราะ หากย้อนกลับไป จะผ่าน เดอะมอลล์ บางแค เนติบัณฑิตยสภา ส่วนตรงไปเรื่อยๆก็จะผ่านมหาชัย (นึกภาพตามแล้วกันครับ) เราเติมน้ำมันที่ปั้ม Jet ก่อนออกเดินทางด้วย(ในปั้มคนเพียบเลย ไปปีใหม่กันแน่ๆ)

โดยเวลานี้ เที่ยงครึ่งแล้ว เราจึงต้องทำเวลาเพื่อไปขึ้นเรือให้ทัน ในเวลาเที่ยงคืน

เผลอแปบเดียว เราเลี้ยวซ้ายเข้าสามแยกวังมะนาว เข้าสู่เมืองเพชรบุรี ผ่าน อ เขาย้อย ผมคิดในใจว่า เร็วมาก หากเปรียบเทียบกับหวานเย็น สีส้ม(จอดทุกป้าย) ที่ผมเคยหลวมตัวนั่งมา ครั้งมาเที่ยว จ ประจวบคีรีขันธ์(รถออก 6 โมง ถึงประจวบคีรีขันธ์ 11 โมง)

บนรถ เปิดเพลงถูกใจผมจริงๆ ไม่ใช่เพลงวัยรุ่นครับ แต่เป็นเพลงรุ่นพ่อผมหนุ่มๆต่างหาก เช่น ของ คลิฟ ริชาดร์ เป็นต้น ผมว่าฟังเพลงเก่าๆ สบายหูดี โดยมีพี่หิ้วเป็นดีเจและถามเรื่องเครื่องเสียงของครูโก้ตลอดทาง ที่สำคัญคนขับชอบฟังเพลงเก่าๆด้วยครับและสมาชิกในรถทุกคนก็ชอบทั้งนั้น

เราแวะกินข้าวแกง ที่ปั้มแห่งหนึ่งใน อ ปราณบุรี โดยเอาท้ายเข้าจอด ตาทุกคู่จ้องแต่ท้ายรถ(ฮ่าๆ ก็ดูไว้ครับ เรื่องวิ่งราวคงไม่มีทาง เพราะโจรส่วนใหญ่ผอมแห้ง ขี้โรคทั้งนั้นแบกของไม่ไหวหรอก) แม้อาหารไม่ใช่อร่อยระดับภัตตาคาร แต่ก็ทำให้เรารอดจากมื้อนี้ไปได้อย่างแซบ(อยากรู้ถามพี่หิ้วครับ แซบ แซบ)

เราออกเดินทางต่อไป หากรถจอดเมื่อไร ผมต้องลงมายืดเส้นยืดสายทุกครั้ง เพราะช่วงขาที่ยาวนั่นเอง (ซัก 10 วินาที ก็ยังดีครับ)


มีตำรวจในรถ มันดีอย่างงี้ นี่เอง

บริเวณ อ ทับสะแก เราพบด่านตรวจ ซึ่งตำรวจโบกให้เราจอดข้างทาง บอกว่าขับรถเร็ว เพราะในช่วงนี้เป็นวันแรก ที่เริ่มนโยบาย 7 วันอันตราย (รถกระบะ ห้ามขับเกิน 100 กิโลเมตร/ชั่วโมงครับ) เราล่อไป 120 แล้ว(ก็ถนนมันโล่งนี่นา อีกอย่างเราต้องรีบทำเวลาด้วย)

ตำรวจบอกให้ลงมาที่เตนส์ พร้อมขอดูใบขับขี่ครูโก้ และให้จ่ายค่าปรับ 200 บาท จึงเป็นหน้าที่ของพี่อ้อย ผู้กองหญิง ที่จะลงมาเจรจาเพราะเรามีความจำเป็นจริงๆ ต้องไปให้ทันเรือ เผลอแปบเดียวตำรวจบอกให้นั่งรอซักพัก(เพื่อจะได้ดูไม่น่าเกลียด) แล้วก็ปล่อยให้ขึ้นรถต่อได้

ผมถามพี่ๆ อย่างสงสัย ตำรวจเขาจับความเร็วได้อย่างไร จึงได้คำตอบว่า ตามทางจะมีตำรวจ ถือเครื่องวัดไว้ หากใครขับเกินก็จะถูกแจ้งไปที่ด่านข้างหน้า ทันที

ด้านหน้าก่อนถึง อ บางสะพาน ผมเห็นร่องรอยสะพานขาด ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เกิดจากน้ำป่าแน่นอน(เร็วๆนี้ ที่มีฝนตกหนัก) รุนแรงมาก ขนาดสะพานยังเอาไม่อยู่แล้วคนจะเหลืออะไร บริเวณนี้รถจึงติดเล็กน้อย เพราะต้องใช้สะพานชั่วคราว ที่ทำขึ้น ข้ามได้ครั้งละ 1 คัน เท่านั้น

เราผ่านศูนย์บริการ ทางหลวงเขาโพธิ์ ผมจำได้ดีว่า ในขากลับรถทัวร์มักจะแวะเข้ามาบริเวณนี้ด้วย

เมื่อเลย จ ประจวบคีรีขันธ์ เข้าสู่ จ ชุมพร (ซึ่งหาปั้มระหว่างทางยากจริง) เราเจอจุดตรวจอีกครั้ง เป็นกรวยอยู่ข้างๆทาง เรามัวแต่สนใจกับงานศพข้างทางเลยไม่ได้ชะลอ เลยโดนตำรวจเรียกอีกครั้ง ซึ่งพูดอย่างมีอารมณ์ว่า

กรวย ไม่เห็นกรวยหรือไง? ตำรวจคนหนึ่งพูด พร้อมบอกอีกว่า “เพื่อประโยชน์กับตัวคุณเองทั้งนั้น” เราก็ได้แต่บอกว่าไม่เห็นจริงๆ อีกอย่างกรวยก็ไม่ได้ตั้งขวางทางแค่เบี่ยงออกมา และไม่มีกฏจราจรข้อไหนบอกว่า เห็นกรวยให้ชะลอด้วย(ผมว่าไม่มีนะ ถ้ามีขออภัยครับ) จึงเป็นเรื่องสนุกๆในการเล่นคำ ฮ่าๆๆๆ

และแล้วประมาณ 2 ทุ่ม เราก็มาถึง จ สุราษฐ์ธานี โดยแวะปั้มขนาดใหญ่ ผมจำได้แม่นว่า เคยมาแล้วแน่นอน

เราเอาท้ายจอดเข้าเหมือนเคย ผมได้ข้าวหมูกรอบ กับโอวัณติน 1 แก้ว เป็นอาหารเย็น มีคนแปลกหน้าคนหนึ่งคุยโทรศัพท์แล้วชอบมายุ่มย่ามแถวรถจัง(เดินไปแล้วก็เดินมา) บางครั้งมีเอาเท้าพาดด้วย ผมบอกพี่ๆว่า คุยกับสาวแน่นอน เพราะอาการแบบนี้มันฟ้อง จับนั่นจับนี่ เดินไปเดินมา เขินนั่นเอง(แต่เราก็จ้องดูตลอด เผื่อเป็นพวกมิจฉาชีพ)

รถเข้าสู่เขต จ กระบี่ โดยใช้เส้นทางลัด ที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งนักและไม่ค่อยมีไฟ แถมไม่ค่อยมีบ้านคน ครูโก้บอกว่าเส้นทางนี้กลัวอยู่ 2 อย่างคือ ยางระเบิด อีกข้อคือ กลัวโจรปล้นเพราะเส้นทางดูจะเปลี่ยวเหลือเกิน

ระหว่างทาง ผมได้ยินเสียงติดต่อทางโทรศัพท์อยู่ตลอด เป็นของพี่ป้อมและครูโก้ ไว้คอยติดต่อกับนักดำน้ำว่า มาถึงหรือยัง และมีใครมารับบ้าง เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างเรียบร้อย

รถเข้ามาสู่ อ โคกกลอย จ พังงา ซึ่งหมายความว่า ด้านหน้าของเรา คือ สะพานสารสิน