Wednesday, December 28, 2005

งานเปิดตัวหนังสือ คู่มืออันดามัน ปะการัง พังงา สึนามิ


1 อาทิตย์ก่อน ผมได้รับหนังสือ คู่มืออันดามัน ปะการัง พังงา สึนามิ จากการจองในงานสัปดาห์หนังสือ(ซึ่งได้ราคาที่ถูกกว่าไปซื้อเอง) โดยการส่งไปรษณีย์ เนื่องจากว่า งานเปิดตัวนี้ได้เลื่อนจากเดิม คณะผู้จัดทำจึงแสดงความรับผิดชอบ โดยการส่งหนังสือมาถึงที่บ้าน

วันนี้ ผมนำหนังสือเล่มนี้และหนังสือปลาทะเล 3 มาที่งานด้วยเพื่อให้ ดร ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เซ็น ซึ่งเป็นธรรมเนียม ที่ผมจะต้องขอลายเซ็นนักเขียนอยู่แล้ว (พอออกจากบ้านนึกขึ้นได้ว่าลืมหยิบหนังสือมาให้พี่เล็ก โอภาส ปฎิมานุเกษม เจ้าของหนังสือเกี่ยวกับกิน ทั่วไทย มาให้เซ็นด้วย)

งานจัดขึ้นที่โรงแรมดุสิตธานี ผมเดินทางโดยรถไฟฟ้าใต้ดินลงสถานีสีลม ซึ่งถือว่าสะดวก รวดเร็วมาก

ทางเข้างาน เป็นรูปฉลามอ้าปากพร้อมฟันอันแหลมคม ทำด้วยโฟม ผมเดินชนจนฟันหัก(ช่วยไม่ได้ตั้งมาเตี้ย จัง แล้วจะมาเก็บเงินผมไหมหนอ ผมทำเองครับ ฮ่าๆๆ)

ที่งาน พริสตี้สาวน่ารัก น่าหยิก จากแสงโสม ยืนแจกกระเป๋า ทั้ง 4 สาว หน้าตาดีมาก จนผมรู้สึกว่ากำลังหลงมาในดงนางฟ้า(ยัง!!!) ก็เล่นแต่งชุดราตรีสีขาว ยังกับเทพนิยาย นี่นา

รอบๆ ยังมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสึนามิ และสัตว์ทะเลต่างๆเช่น ปะการัง ปู กุ้ง หอย (มีภาพประกอบด้วย ที่นักดำน้ำทั้งหลายอยากเจอก็มี เช่นกุ้งนักมวย กุ้งตัวตลก กุ้งตัวยาว กั๊งตั๊กแตน เป็นต้น) นอกจากนี้ ยังมีวีดีโอเกี่ยวกับสัตว์ทะเลฉายด้วย เช่น หมึกกระดอง ทากเปลือย เป็นต้น ผมจึงไม่พลาดยืนอัดวีดีโอไว้ (ไปซื้อมาดูไม่ดีกว่าเหรอ ลุง)

หลังจาก อ ธรณ์ เซ็นหนังสือให้ผมเสร็จ ดูเหมือนว่า ยิ่งนานเข้า แกคงเริ่มจะคุ้นๆหน้าผมแล้ว และน่าจะจำชื่อผมได้แล้วด้วย(ก็เจอกัน เกือบทุกงานที่หนังสือออกนี่นา หรือจำไม่ได้ครับ ใครหว่าเด็กคนนี้?)

ผมเจอพี่ปุ๊ย นักดำน้ำที่พึ่งรู้จักกัน ในงานสังสรรค์เว็บพี่ป้อม วันนี้แกไปทำฟันมา และได้รู้ข่าวสารจากนิตยสาร อ ส ท เลยแวะเข้ามาดูหน่อย(เผลอแปบเดียวแกหมดเงิน ค่าหนังสือไปเป็นพัน)

เดินต่อเข้าไป ผมซื้อแผ่นปลาใต้น้ำอีกใบ กะเอาไปใช้ในทริปดำน้ำที่ใกล้จะถึงเต็มที่ ใบนี้เน้นหนักที่ปลาผีเสื้อ ปลาที่เหมาะแก่การสังเกต หากสามารถจำแนกด้วยตาได้ ผมคิดว่าน่าจะช่วยให้ผมเก่งขึ้นเยอะ จัดทำโดยมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และคนที่ยื่นให้ผม ทราบภายหลังก็คือ อ ศักดิ์อนันต์ ปลาทอง อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านวิทยาศาสตร์ทางทะเลและเป็นคนทำหนังสือเล่มนี้ด้วย

คุณหน่อย(น่าจะใช่นะ หากผิดขอโทษจริงๆครับ)และ คุณ scuba734 ก็มาทักผม พวกเธอก็มางานนี้กันด้วย ว่าแล้วพวกเธอก็ขอตัวไปซื้อแผ่นปลาบ้าง

ผมได้รู้จักกับน้องดาและน้องปอ 2 สาวคณะเศรษฐศาสตร์แห่ง ม เกษตร ขณะกำลังฟังอาจารย์สาวคนหนึ่งแห่งคณะประมง ม เกษตร อธิบายวงจรชีวิตของแพลงตอนให้ฟัง โดยสาวคนแรกเป็นนักดำน้ำตัวยง ชอบทะเลมาก ส่วนอีกคนถูกเพื่อนดึงมา ชอบทะเลเช่นกัน ผมเลยโน้มน้าวให้มาเรียนดำน้ำ(น้อง เรียนเถอะ สนุกนา)

มองไปด้านขวา พี่เล็กยิ้มร่า ผมเลยเข้าไปคุยกับแก แกยังชวนผมไปเที่ยวป่าเดือนกุมภาพันธ์เลยนะ พร้อมบอกว่า งานนี้ไม่มีหลอกคนไปเที่ยวแล้ว จะมีแต่เด็กๆต่างหากที่จะหลอกแกให้ไปทำอาหารให้ทาน

เสียงเพลงดังขึ้น มีการแสดงโชว์จากเด็กๆ จากนั้นบนเวที มีนางแบบสาวมาเต้น ท่าเต้นของเธอ ช่างทรมานใจผมเสียจริงๆ(ใครไปงาน คงรู้นะครับ ว่าท่าไหน ฮ่าๆๆๆ)

ดีเจ เอก กฤษณาวารินทร์ ช่างภาพใต้น้ำ และดีเจชื่อดัง มาเป็นพิธีกรบนเวที สัมภาษณ์คณะผู้จัดทำ โดยมี
คุณ นัท สุมนต์เตมีย์ นักถ่ายภาพใต้น้ำชื่อดัง รวมอยู่ด้วย (พี่นัท ตาเล็กมากครับ ถ่ายรูปแก เกือบไม่เห็นลูกตาแน่ะ)


ปิดท้ายด้วยการกินค๊อกเทล จนคนอย่างผมที่ชอบของฟรี ห้ามใจไม่อยู่ ต้องขอหน่อยล่ะ เบาะๆก็แค่เดิน 3-4 รอบเท่านั้นเอง (เกรงใจแล้วนา)

นั่นเป็นงานเปิดตัวหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งทำให้คนรักทะเลอย่างผม มีความสุขครับ





Sunday, December 25, 2005

ออกกำลังกาย เพื่อสุขภาพ


“ช่วยปรบมือให้เด็กคนนี้หน่อยครับ” เสียงผู้ประกาศงานวิ่งมินิมาราธอน Rachada Fun Run ปี1992บอกบริเวณเส้นชัย ขณะนี้เด็กชายกระสาบที่ร่างกายแสนจะผอมบาง กำลังวิ่งเข้าอย่างเหนื่อยหอบ ซึ่งในเวลานั้นเขามีอายุ 11 ปี

นั่นเป็นครั้งแรกของเด็กชายกระสาบในการวิ่งมินิมาราธอน(10 กิโลเมตร) หลังจากเคยชิมลางในการวิ่งระดับ 3 กิโลเมตรมาแล้ว ในงานสามเสนมินิมาราธอน

หลังจากนั้นเขาก็วิ่ง 10 กิโลเมตร ล่าเหรียญรางวัลตลอดมา งานแล้วงานเล่า ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งกาจถึงขนาดได้รับถ้วยรางวัลก็ตาม แต่เขาก็เลือกที่จะวิ่ง แม้จะต้องตื่นเช้าซักแค่ไหน คำตอบสุดท้าย คือ สุขภาพที่ดีของเขาเอง หลายๆครั้ง เขาชวนเพื่อนมาวิ่งด้วย
……………..

“ถ้าวิ่งรอบเล็ก พ่อจะให้รอบละ 5 บาท” นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเด็กชายกระสาบ ที่ครอบครัวปลูกฝังให้ออกกำลังกายมาตั้งแต่เด็ก สถานที่ยอดฮิตที่ไปทุกสัปดาห์ คือ สวนจตุจักร แต่กระนั้น ก็ส่งผลดีให้กับเขา เพราะหลังจากนั้น เขาต้องถูกส่งเข้าไปโรงเรียนประจำ สถานที่ที่มีระเบียบวินัยที่เข้มงวดและมีการซ้อมกีฬาอย่างหนัก การวิ่งของเด็กชายกระสาบจึงเป็นการวิ่งเพื่ออนาคตของตัวเขาเองจริงๆ

…………………

13 ปีให้หลัง นายกระสาบโตเป็นหนุ่ม นายกระสาบก็ยังคงออกกำลังกายอยู่เป็นประจำตราบที่มีเวลา หลายครั้งที่เขาไม่ได้ออกกำลังกายจะรู้สึกหงุดหงิด อาการคล้ายลงแดง นั่นอาจเป็นเพราะการออกกำลังกายได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขาไปเรียบร้อยแล้ว

ส่วนการวิ่งมินิมาราธอน นายกระสาบยังคงวิ่งอยู่ แต่ลดจำนวนลง น้อยสุดก็แค่ปีละ 1 งานเท่านั้น และงานวิ่งที่เขาจะเข้าร่วมต้องเป็นงานที่ไม่จัดวิ่งตามถนนเพราะจะมีปัญหาเรื่องมลพิษทางอากาศอย่างมาก

…………………

“ ไม่เอาว่ะ ทรมานตัวเองน่ะ” เด้าเก่า หนุ่มร่างเตี้ย มักเปรยกับผมเสมอหากผมพูดถึงการวิ่งมินิมาราธอน ซึ่งผมก็ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่งต่อไป เพื่อสุขภาพที่ดี แม้จะเป็นการทรมานตัวเองอย่างที่มันว่าไว้จริงๆ

วันนี้เป็นงาน “วิ่งสู้เอดส์” ซึ่งสมาคมพัฒนาประชากรและชุมชนได้จัดขึ้น ปีนี้เป็นปีที่ 9 ภายในกระทรวงสาธารณสุข โดยคนเปิดงานก็คือ คุณพ่อของผมเอง

ผมได้ชวนบักบาน หนุ่มที่รักการวิ่งเช่นกัน โดยเขาเคยแข่งขันวิ่ง 5000 เมตร(5 กิโลเมตร) สมัยอยู่ รร มาแล้ว

ภายในงาน ผมยังเห็นภาพเดิมๆ ซึ่งไม่เคยเปลี่ยนแปลงไปเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม คือ กลุ่มนักวิ่งที่รวมตัวกัน, คุณป้ากับสุนัขเกือบ 10 ตัว ที่พาไปวิ่งทุกงานดูน่ารักน่าชัง เป็นต้น นั่นก็คือ อีกหนึ่งสังคม ที่ผู้คนที่ชอบในเรื่องเดียวกัน ทำให้มาพบเจอกันได้ (คงไม่ต่างกับการดำน้ำของผม และการชอบในประเทศญี่ปุ่นของพี่คนโต)

แม้เวลาการเข้าเส้นชัยของผมกับเพื่อน จะแพ้เด็กๆและผู้ใหญ่อีกหลายๆคน ก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่า หลายๆคน วิ่งเป็นประจำ เป็นนักล่าเหรียญ ล่าถ้วยมากกว่าผมเยอะ เล่นเข้ากัน 31 นาที (ที่ 1 ) เอาอะไรไปสู้ครับ พี่น้อง

อย่างไรก็ตาม การออกกำลังกายยังคงเป็นเรื่องดีดี สำหรับผมเสมอ

ว่าแล้ว ก็มาออกกำลังกายกันเถอะครับ

Thursday, December 22, 2005

Meeting กลุ่มดำน้ำ



หลังจากที่ http://www.nivach.com/ ก่อตั้งขึ้น พี่ป้อมคิดว่า น่าจะหาเวลาซัก 1 วัน นัดลูกศิษย์หรือคนอื่นๆที่สนิทสนม มาทบทวนความรู้ในการดำน้ำ จุดประสงค์ที่สำคัญไปกว่านั้น คือ ต้องการให้บุคคลนิรนามทั้งหลายในเว็บไซด์ ทั้งที่มาตอบกระทู้และไม่ได้ตอบ มาทำความรู้จักกัน สร้างความสัมพันธ์ ฉันท์มิตรให้แนบแน่น

งานนี่เป็นงานแรก พี่ป้อมจึงตั้งกระทู้ล่วงหน้าไว้เป็นเดือน เพื่อที่จะให้หลายๆคนได้เตรียมตัว จะได้ทราบล่วงหน้าว่า จะมากันได้ไหม

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากมางานนี้มาก นอกจากจะได้เจอเพื่อนๆ พี่ๆ ที่รู้จักกัน ยังได้มีโอกาสได้พบกับมิตรภาพใหม่ๆ ซึ่งรอคอยผมอยู่แล้ว

เลี้ยวขวาเข้าซอยท้องฟ้าจำลอง เลี้ยวซ้ายเข้าสระว่ายน้ำบ้านกล้วย ซึ่งดูจะไม่แปลกใหม่สำหรับผมแล้วเพราะเคยมาสำรวจกับพี่ป้อม 1 ครั้ง (ในเรื่อง กำเนิดชุมชนนักดำน้ำ
www.nivach.comนั่นแหละครับ)

ก่อนจอดรถผมเจอครูโก้ แม้จะไม่ใส่แว่นแต่ผมก็ไม่ลืมที่จะยกมือไหว้ จากนั้นก็เห็นดม หนุ่มไว้หนวด ผู้ดูแลอุปกรณ์ดำน้ำ ที่ผมเริ่มจะคุ้นๆหน้า เมื่อขึ้นไปด้านบน พี่พิช พี่ต่อ(หรือคุณ taby) 2 คู่หู ดูโอ้ ก็มาถึงก่อนผมเสียอีก

เข้าไปด้านใน ผมเจอน้องออมที่มากับคุณแม่(รายละเอียดใน เรื่องโลกกลมๆ ครับ) คู่นี้ ไปเที่ยวชุมพรคาบาน่าแล้วก็ไปเรียนดำน้ำด้วยกัน ช่างเป็นคู่แม่ ลูก ที่มีความผูกพันกันดีมากจริงๆครับ

บทเรียนในวันนี้ ส่วนใหญ่เรื่องของการคำนวนปริมาณไนโตรเจนในร่างกาย เรื่องที่ผมปวดหัวอยู่ตลอด แต่ดูเหมือนว่าในวันนี้ ผมจะเริ่มเข้าใจมากขึ้น แม้จะช้ากว่าคนอื่นๆก็ตาม(ได้ตารางRDP หรือ Recreational Dive Planner มาครอบครองแล้ว อภินันทนาการจากพี่ต่อ)

ซักพักพี่นัท(เคยไปทริปพัทยาด้วยกัน) สาวที่ใครๆในเว็บเรียกว่าน้องแห้งก็ปรากฏตัว ต่อด้วยพี่เอ ชายหนุ่มที่มาพร้อมกับแว่นตา(คุณนักเขียนครับ คนใส่แว่นมันแปลกตรงไหน)(ฮ่าๆๆ ผมก็ใส่เหมือนกันนี่นา)

จากนั้นเป็นน้องโอ๊ต(หรือ rave อะไรเนี่ยล่ะ) เด็กวัยเรียนแค่ มัธยมศึกษาปีที่ 5 แต่จบระดับ Advance แล้ว พาร่างอ้วนๆ ก้าวเข้าประตูมา ผมเริ่มไม่แปลกใจว่า เหตุใด หากนึกถึงสามย่าน ต้องพูดถึงน้องโอ๊ต(น้อง สมบูรณ์จริงๆ)

พี่ปุ๊ยและพี่หมีแฟนสาว(ผมไม่ได้เขียนผิดครับ พี่หมีเป็นชื่อของผู้หญิงจริงๆครับ) ก็ตามมาติดๆ โดยผมเริ่มคุ้นๆหน้าพี่ปุ๊ยในรูปที่โชว์ในเว็บ หนุ่มร่างท้วมผิวสีแทนเบ่งกล้าม(ทราบภายหลังว่าก็เป็นคนเดียวกันนั่นแหละ)

หมอเดียร์และเจี๊ยบ(Nujeab) 2 คู่ซี้ก็ตามมา แม้ว่าอาจจะช้าไปนิด แต่พี่ป้อมก็ยินดีกด รีวายตัวแกเอง แล้วนำเรื่องเก่ามาเล่าใหม่อีกรอบ ซึ่งผมจะได้ประโยชน์ที่สุด เพราะได้ฟังอีกรอบ

ปิดท้ายด้วยพี่โก้(DM) ปาปารัซซี่ของเรา(รายละเอียดตอนเรื่องของโลกกลมๆอีกครั้ง) ที่มาตอนเลิกพอดี แต่มาช้าก็ยังดีกว่าไม่มา

ก่อนกลับเรายังได้รับประทานอาหารเย็นร่วมกัน ที่แบลค แคนยอน เมเจอร์เอกมัยด้วย

นับว่า เป็นการนัดพบที่เรียบง่าย แต่แฝงไปด้วยความสนุกสนานและความรู้โดยมีความสนิทสนมกลมเกลียว ฉันท์มิตร วิ่งตามมาติดๆ

Wednesday, December 21, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(6)




Pirates of the Caribbean

ไม่ใช่หนังแต่อย่างใด แต่เป็นเครื่องเล่นที่ผม คุณแม่และพี่ชายทั้งสอง กำลังต่อคิวอยู่ครับ เมื่อเข้าไปภายใน จะมีที่นั่งที่ละ 3 คน แต่จะนั่งไม่เต็มก็ได้(เรามาคนเดียว อยากจะนั่งคนเดียวก็ไม่มีใครว่าครับ) โดยต้องยืนรอตามช่องที่กำหนด และมีพนักงานสาวสวยชาวญี่ปุ่น อำนวยความสะดวก

ในนี้มืดมาก เรือแล่นไปเรื่อยๆ(คาดว่าใต้น้ำต้องมีราง) 2 ข้างของผม คือเหล่าโจรสลัดในเรื่อง บ้างก็หัวเราะ บ้างก็กำลังจับสาวๆเป็นตัวประกัน ผมพยายามถ่ายรูปไว้แต่ก็มืดไปหมดเพราะแฟลตไม่ถึงครับ

ระหว่างทางมีเสียงเพลงประกอบโดยตลอด สร้างความตื่นเต้นมาก ที่สำคัญผมว่าเขาทำดีมากๆเลย

ปิดท้ายก่อนออก เราเข้าไปในสงครามของโจรสลัดสองฝ่าย ต่างฝ่ายก็ยิงปืนใหญ่ใส่กันอย่างไม่ลดละ มีเพียงเราที่นั่งดูสงครามอย่างสบายอารมณ์

ออกมา ผมเข้ามาดูที่ร้านขายของที่ระลึก ถ่ายรูปของที่ระลึกสวยๆ เช่น มิกกี้ เมาท์, โดนัน ดักส์ คาดตาโจรสลัด, ตุ๊กตากัปตันฮุคและเหล่าลูกเรือผู้ชั่วช้า ,โมเดลเรือจำลอง ,ปืน และตุ๊กตาหัวกะโหลก เป็นต้น

เราได้ Fast Pass เครื่องเล่น Big Thunder Mountain เวลาเที่ยงกว่าๆ เราถ่ายรูปหมู่ของทัวร์นี้เป็นครั้งแรก โดยมีพี่ภาคินเป็นคนถ่ายให้


Western River Railroad

ระหว่างต่อคิว ผมมองเห็นรถเข็นเด็กอ่อน จอดเป็นระเบียบดี พ่อแม่คงพาลูกๆมาเที่ยว สิ่งที่ผมชอบคือ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในการจัดการ

เครื่องเล่นที่เรียกว่า Western River Railroad นั้น คือการนั่งรถไฟลอยฟ้า ในสภาพเปิดโล่ง ชมทัศนียภาพรอบดิสนีย์แลนด์ ระหว่างทางจะมี สัตว์ต่างๆ ซึ่งจำลองได้เหมือนจริง แถมขยับได้ด้วย อีกทั้งยังจำลองชีวิตของชนเผ่าอินเดียนแดงมาให้ได้ชมกัน

คุณน้าผู้ใจดี ถ่ายรูปให้ครบทั้งครอบครัว น่าเสียดายว่ารูปนี้ ไม่ได้เปิดแฟลช เลยมืดไปหน่อย

อยู่บนนี้มองเห็นบรรยากาศด้านล่างได้ชัด ผู้คนเดินขวักไขว่ คนมาเที่ยวที่นี่ คงไม่ต่ำกว่าหมื่นคน ต่อวันแน่นอน

ก่อนครบรอบ ผมยังเห็น เครื่องเล่น Big Thunder Mountain ที่เราจะได้เล่นในอีกไม่ช้าด้วย(ท่าทางน่าตื่นเต้นมาก)


สังเวย แว่นกันแดดกุ๊ชชี่

ระหว่างเข้าห้องน้ำ คุณแม่ทำแว่นกันแดดกุ๊ชชี่ตก ราคาหลายพันบาท เข้าไปถามใครก็ไม่รู้เรื่อง คนส่วนใหญ่ส่ายหน้าอย่างเดียวเพราะฟังภาษาอังกฤษไม่ออก

จึงต้องเป็นหน้าที่ของพี่คนโต ในการไปสอบถามเจ้าหน้าที่ ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่า ทุกวันจะมีคนมาแจ้งของหายมาก โดยบริเวณทางออก จะมีศูนย์สำหรับของหายที่มีผู้เก็บได้ ให้ลองไปสอบถามดู

คุณแม่จึงเป็นคนเดียวในตอนนี้ ที่ชักจะไม่ค่อยสนุกสนานเท่าไรแล้ว


ขบวนพาเหรด อลังการ

สังเกตเห็นว่า มีผู้คนจำนวนมากมานั่งรออย่างเป็นระเบียบ คุณภาคินบอกว่าอีก 10 นาที บริเวณนี้จะมีขบวนพาเหรด

เสียงเพลงเริ่มต้นขึ้น ขบวนพาเหรดเริ่มจาก รถเจ้ามิกกี้ เมาท์ผูกโบว์สีชมพู โดยมีนางเอกอย่างเธออยู่บนรถด้วย โบกมือต้อนรับผู้ชม ต่อด้วยรถของเจ้าตุ๊กตาหิมะ จากนั้นเป็นรถของขวัญที่มีมากมายเสียจริงๆ

ต่อมาเป็นคิวรถของเจ้าพลูโต ต่อด้วยหมี เดาว่าน่าจะเป็นเรื่องที่เป็น หมี พ่อ แม่ลูกน่ะครับ

จากนั้นเป็นรถของเป็ดจอมกวน อย่างโดนัล ดักส์ ต่อด้วยรถของกระรอกที่แสนจะน่ารักอย่าง ชิพ แอน เดล ตามด้วยรถของเจ้าขนมผิงตามนิทานที่เราเคยอ่านกัน

ปิดท้ายขบวนด้วยตัวเอกอย่างมิคกี้ เมาท์ชาย กวางเรนเดียร์ ซันตาคลอสที่มากับตัวละครที่หน้าตาคล้ายเกมลินท์(ตัวนั้นแหละ ผมไม่รู้จักชื่อ แต่รู้แต่ว่ากำลังดังด้วยล่ะ) ไม่นานรถก็หยุดลง

เสียงเพลง ซานต้าคลอส อีส คัมมิ่ง …..เปิดขึ้นอีกครั้ง เหล่าตัวละครบนรถ ต่างลงมาโบกมือ ทักทายผู้ชม สังเกตได้ว่าเด็กๆ ดูจะดีใจมากทีเดียว

ซักพัก ตัวละครได้กลับไปบนรถอีกครั้ง ขบวนรถได้เคลื่อนต่อไป เป็นอันจบการแสดงขบวนพาเหรด


Big Thunder Mountain

เมื่อถึงเวลาเราไปที่ Big Thunder Mountain เครื่องเล่นนี่ คนต่อคิวยาวเหยียด เรามีบัตร Fast Pass แล้ว จึงเดินเข้าไปในช่อง Fast Pass ได้เลย (มีเพียงคุณแม่ ที่ไม่ขึ้นเพราะเครื่องเล่นนี้ออกจะหวาดเสียวเล็กๆ)

ก่อนเข้าเล่น จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจดูความเรียบร้อย เช่นเดิม เครื่องเล่นมีลักษณะ เป็นกระบะ วิ่งบนราง แถวหนึ่ง นั่งได้ 2 คน โดยก่อนเครื่องออก เจ้าหน้าที่จะดึงที่จับลงมา นอกจากจะให้จับไว้แล้ว ยังสามารถป้องกันไม่ให้ร่างกายออกไปด้านนอกด้วย

Big Thunder แล่นไปเรื่อยๆ จนถึงที่สูง(ผมถ่ายวีดีโอไว้) ก่อนจะพุ่งลงมาด้วยความเร็วสูง พร้อมกับเสียงร้อง เสียงหลง ที่เสียวท้องน้อย ของใครหลายๆคน รวมทั้งผมด้วย (พอจะลงมาด้วยความเร็วสูง ผมหยุดถ่ายทันที รีบหาที่ยึด กลัวกล้องกระเด็นตกไป เสียดายแย่เลย) (ส่วนของพี่คนโต ได้ถ่ายวีดีโอไว้ ผมฟังกี่ทีก็ขำทุกที)


อดเข้า บ้านผีสิง

เราเดินหาของรับประทาน แต่ไม่ว่าร้านไหน คนเต็มไปหมด ที่นั่งก็หายากแสนยาก เราจึงตัดสินใจเดินต่อไป หาอะไรๆง่ายกินแทน เลยมาหยุดตรง สิ่งที่เหมือนเครปบ้านเรา แต่สอดไส้ไปด้วยเนื้อไก่ เนื้อหมู เป็นต้น(ระหว่างนั่งกิน ผมสังเกตเห็นสาวญี่ปุ่นมองมาที่ครอบครัวเรา ผมรู้ทันทีว่า คงทึ่งที่สั่งมาเยอะ ก็แต่ละคนตัวใหญ่ๆ กินจุทั้งนั้นนี่นา)

เดินต่อไปเรื่อยๆ เห็นเรือขนาดใหญ่เต็มไปด้วยผู้คน(คงไม่ได้นั่งแน่ๆ) ข้างๆ มีตัวละครอย่าง เจ้าพลูโตและเจ้าหมีสีเทาหน้าตาดูไม่ค่อยฉลาดแถมยังทำท่าง่วงนอนด้วย(เห็นหน้าแล้วขำมาก) เมื่อเจ้าพลูโต มีคนถ่ายเยอะ ผมและพี่ชายจึงพุ่งเป้าไปที่เจ้าหมีสีเทา ถ่ายรูปแล้ว ขำเป็นบ้าเลย

จากนั้น คุณภาคินอยากให้เราไปที่บ้านผีสิง แต่พอไปถึงพบว่า หากต่อคิวต้องรอ 130 นาที(2 ชม กว่า) หาก ใช้ Fast pass ต้องรอเวลา 21.00-21.55(ซึ่งเราก็อยู่บนเครื่องบินแล้ว ในเวลานั้น) พี่ภาคินบอกอีกว่าหนุ่มสาวชาวญี่ปุ่นชอบบ้านผีสิงมาก จึงไม่แปลกใจว่าทำไมถึงต้องต่อคิวนาน

เรายังเดินต่อไปเรื่อยๆ ผ่านเครื่องเล่นหลายอย่าง แต่คงไม่มีเวลาเล่นแล้ว จึงใช้เวลาส่วนนี้ถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เครื่องเล่นที่นี่มีมากกว่า 20 อย่าง แถมตอนกลางคืนยังมีขบวนพาเหรด การจุดพลุ และการแสดงอีกมาก หากคราวหน้ามีโอกาส ผมอยากจะอยู่ที่นี่ทั้งวันเลย(จะได้คุ้มๆ)


กัปตัน ฮุค กวนโอ๊ย

ใกล้เวลาแล้ว เราเดินออกมาจนใกล้ถึงทางออก พี่คนโตกับคุณแม่ไปติดต่อเรื่องแว่นตา ส่วนผมและพี่คนกลางเดินเข้ามาดูของที่ระลึก พี่คนกลางหาของซื้อให้แฟน ส่วนผมหาของซื้อให้แฟน(เพลง) ส่วนใหญ่ผมชอบถ่ายรูปของที่ระลึกมากกว่าครับ ที่ร้านนี้มี เจ้าหมีพูห์ มิกกี้ เมาท์ เจ้าตัวหน้าตาคล้ายเกมลินท์ เป็นต้น

ออกมาด้านนอกอีก ผมและพี่คนโต เจอคนค่อมและกัปตันฮุค จึงเข้าไปถ่ายรูป(พยายามหาตัวที่ไม่เด่นและคนถ่ายน้อยครับ ขี้เกียจรอคิว) หลังจากผมถ่ายคนค่อมให้พี่ชายผมเสร็จ ผมก็เข้าไปที่กัปตันฮุค ตัวสูงน่าดูเชียวล่ะ

แต่พอมายืนกับผมก็เท่ากัน ผมเดาว่าคนใส่ชุดนี้คงสูงมากๆเลย แต่กัปตัน ฮุค ก็มีลูกเล่นเยอะ มาขอถ่ายรูป แต่จ้องตาผมไม่ยอมไปมองที่กล้องซะที(เดี๋ยวตบกระโหลกซะเลย) ในที่สุดผมก็ได้ถ่ายสมใจอยาก เมื่อมองต่อไปเรื่อยๆ เจ้ากัปตัน ฮุค นี่แกล้งทุกคนเลย ขนาดเด็กญี่ปุ่นตัวเล็กๆ ยังโดนหยอกโดยการตบหัวเบาๆ(บุคลิกร้ายเหมือนกัปตันฮุคเลยแฮะ)

ผมยืนดูพี่คนโต คุยกับเด็กๆญี่ปุ่น เพราะดูเหมือนอยากถ่ายกับกัปตัน ฮุค แต่ไม่มีคนถ่ายให้ พี่ผมจึงเข้าไปช่วยพวกเธอ


เวลาแห่งความสุข มักจะผ่านไปรวดเร็วเสมอ

พี่ชายผมขออนุญาติเจ้าหน้าที่เดินออกไป เอากระเป๋าที่วางอยู่บนรถบัสและจะกลับเข้ามาใหม่(พี่ชายผมอยากอยู่เที่ยวต่อ ไหนๆก็เสียเงินเข้ามาแล้ว และจะดูเรื่องแว่นตาให้คุณแม่ด้วย)

ส่วนผม พี่คนกลาง คุณพ่อ คุณแม่ ก็ถึงเวลาที่ต้องเดินทางไปสนามบินนาริตะแล้ว ผมถอดเสื้อโค้ตที่ใส่อยู่ให้พี่คนโต ใช้ที่นี่(เดิมทีเสื้อตัวนี้คุณพ่อก็ขนมาเพื่อเอามาให้พี่คนโตใส่ที่นี่อยู่แล้ว)

รถบัสแล่นออกจากดิสนีย์แลนด์ ผมเห็นเรือขนาดใหญ่ ยังมี Disney Sea อีกที่หนึ่ง อยู่ใกล้ๆ Disney Land ผมหวังว่า คราวหน้าผมจะต้องมาเที่ยวให้ได้ และยังมีอควอเรี่ยมที่โตเกียว ที่ผมเคยเห็นทางทีวีและหนังสือพิมพ์ รอให้ผมกลับไปค้นหาอยู่

ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูบรรยากาศในญี่ปุ่น คงอีกนานกว่าที่ผมจะได้มาเที่ยวที่นี่อีก ผมนั่งนึกในใจว่า เวลาไม่กี่วันนี้ผมได้อะไรๆมากเหลือเกิน มันเป็นกำไรชีวิตของผมเลย

ที่สนามบินนาริตะ เราขนสัมภาระผ่านเครื่องตรวจ ผ่านขั้นตอนต่างๆ เหมือนเที่ยวมา

ผมลืมหยิบกระเป๋าสะพายให้เขาตรวจ จนเจ้าหน้าที่ต้องเตือน นอกจากนี้ เธอยังถามว่าอะไรในลังกระดาษ ผมตอบไปว่า คือ ผลไม้(ก็ลูกพลับนั่นแหละ) (พอผ่านมาผมแซวกับพี่ว่า bomb) มีเจ้าหน้าที่หันมาด้วย ชักจะเล่นพิเรนท์เกินไปมั้ง ผมเนี่ย ฮ่าๆๆๆ

ตรงนี้ผมซื้อขนมที่ Duty Free พึ่งรู้ว่า ต้องใช้ตั๋วเครื่องบิน(ฺBoarding Pass)ในการซื้อของด้วย


6 ชั่วโมงบนเครื่องที่แสนทรมานใจและทรมานกาย

การท่องเที่ยวของผมในครั้งนี้ เกิดเรื่องที่คนสนุกสนานอย่างผม ต้องหน้าซีด ผิดหวัง อยากจะร้องไห้ ก่อนเครื่องบินขึ้น พี่คนกลางบอกให้หยิบกล้องมาให้ดูหน่อย ปรากฏว่ายังไม่ใช่ SD card ที่ต้องการ เมื่อผมหาดูผมเทกระเป๋าออกมา ไม่พบครับ มันหายไป!!!

ผมนั่งนิ่ง นั่นก็หมายความว่า ตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงขบวนพาเหรดจบ รูปที่ผมถ่ายต้องชวดๆๆๆ ผมเสียดายมาก เพราะจะอีกนานแค่ไหน กว่าผมจะได้กลับไปตรงนั้นอีก ยิ่งมีขนาดเล็กเท่าปลายนิ้วก้อย แทบจะไม่มีสิทธิ์จะได้คืนเลย ยิ่งไม่ใช่บ้านของเราด้วย

คุณพ่อ คุณแม่ ต่างยิ้มๆ ปลอบใจผมว่า ช่างมันเถอะ แต่ผมยังทำใจรับไม่ได้(ราคาไม่เท่าไรครับแต่คุณค่าทางจิตใจนี่ซิ ผมเสียดายรูปมาก มีถ่ายครบทั้งครอบครัวและยังมีขบวนพาเหรดอีก) เพราะเรื่องแบบนี้มันไม่น่าเกิดขึ้น ผมบ่นให้ฟังว่า ให้SD cardหาย ผมยอมให้ Passport ของผมหายไป ยังจะดีซะกว่า การเที่ยวครั้งนี้เกือบจะจบลงด้วยดีแล้วแท้ๆ ผมบ่นกับตัวเองว่า ทำมาดีทุกอย่าง จบไม่สวยเลย

สิ่งนี้อาจเป็นความผิดของผมเอง ที่ไม่ระวังให้ดี ผมร้อนใจอยากจะโทรศัพท์ไปสอบถามพี่คนโตทันที ผมนึกขึ้นได้ว่า เปลี่ยนSD card ก่อนขึ้น Big Thunder Mountain และให้พี่คนโตเปลี่ยนให้ ถ้าไม่ตกที่นั่น ก็อาจจะตกตอนผมถอดเสื้อหนาวให้พี่คนโต ก่อนขึ้นรถบัส ถ้าไม่ตกแถวนั้น สุดท้ายคือบนรถบัส ที่ผมนั่ง

ผมหน้ามุ่ย อาหารมา ก็ฟาดเกลี้ยง อยากจะทานไม่ลงเหมือนกันล่ะ แต่มันหิวนี่ บนเครื่องฉายที่จำได้ก็เรื่อง Polar Express ผมรู้สึกว่า เวลาเราทุกข์ร้อน เวลาผ่านไปช้ามาก ผมเริ่มทรมานเพราะหายใจไม่ออก บางครั้งก็ใช้ปากหายใจแทนบ้าง(อย่างกับดำน้ำแน่ะ) อาจเป็นเพราะว่า ยิ่งสูง บรรยากาศก็เปลี่ยนแปลงก็เป็นได้

ผมเดินมาเจอคุณภาคิน เล่าเรื่องให้ฟัง คุณภาคินให้เบอร์โทรศัพท์ของคุณคุโบตะ และหมายเลขรถบัสฮิราโกะ ผมจึงใจชื้นขึ้น มีความหวัง แม้จะริบหรี่ก็ตาม


เสียงกู่ร้องด้วยความยินดี /บทสรุป

ที่สนามบินดอนเมือง ผมโทรหาพี่คนโต ซึ่งพี่คนโตตกใจเหมือนกันพร้อมพูดว่าเสียดายมาก แต่ก็ไม่ได้อยู่กับเขา ก่อนวางสายพี่คนโตยืนยันว่าได้ใส่ลงไปในกล่องกระดาษลักษณะบางๆที่แกะออกมา

เมื่อกลับมาถึงบ้าน พี่คนกลางถามผมอีกครั้งว่า พี่คนโตบอกว่าอย่างไร พร้อมหยิบกระเป๋าของผมออกมาดูอีกครั้ง ระหว่างที่ผมรดน้ำต้นไม้นั่นเอง พี่คนกลางบอกเจอแล้ว ผมตะโกนลั่นบ้านด้วยความดีใจ มันอยู่ในกระเป๋าของผมนั่นแหละ อยู่ในกระดาษบางๆที่ใส่เมโมรี่ที่ซื้อมาด้วย ที่ผมหาไม่เจอเป็นเพราะกล่องที่เบามาก จนเข้าใจว่าไม่น่าจะมีอะไรอยู่ในนั้นแล้ว (ไม่รอบคอบเอง)

การท่องเที่ยวในทริปนี้ จึงจบลงอย่างสวยงาม พระเอกก็ไม่ตายตอนจบด้วย


บทสรุป

ขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ ที่เปิดโอกาสอันดีงามเช่นนี้ให้ ผมคงกลายเป็นคนโง่อีกครั้ง หากทิ้งโอกาสการไปเที่ยวต่างประเทศอีก

ขอบคุณในความรอบคอบของพี่คนกลางที่มีเสมอมา ที่ช่วยให้ผมกลับโรงแรมถูก และช่วยหาSD cardจนพบด้วย

ครั้งแรกกับการเห็นใบไม้เปลี่ยนสี

ครั้งแรกกับอากาศแสนเย็นยะเยือก ที่-3 องศาเซลเซียส

ครั้งแรกกับการเห็นหิมะ โดยไม่ต้องไปถึงทวีปยุโรปหรือทวีปอเมริกา

ครั้งแรกที่ผมเปลี่ยนทัศนคติ ก่อนนี้ผมยอมรับว่า ผมไม่ชอบในความเป็นชาตินิยมของคนญี่ปุ่นหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษาอังกฤษที่ไม่ยอมใช้ เป็นต้น

แต่การที่ผมได้มาสัมผัสชีวิตของคนที่นี่ แม้ไม่ถึง100 เปอรเซ็นก็ตาม

ผมกลับภูมิใจ ในความสามารถของคนเอเชียอย่างเรา อย่างน้อยเขาก็ไม่เหยียดสีผิว ไม่ดูถูกเราเหมือนชาวต่างชาติบางคนแล้วกัน

ผมรับรู้ถึงความมีน้ำใจของคนที่นี่ จากการแสดงออกทางสีหน้าถึงแม้จะฟังไม่รู้เรื่องเป็นส่วนใหญ่ หลายครั้งผมรู้สึกปลื้ม จนเมื่อนึกถึงภาพต่างๆ น้ำตาก็คลอเบ้า

ผมได้เห็นชีวิตใหม่ๆ วัตนธรรมใหม่ๆ กฏระเบียบของบ้านเมืองเขา อีกทั้งประสบการณ์ที่น่าจดจำ ผมจึงไม่ยอมแพ้ที่จะถ่ายทอดเรื่องราวที่แสนยาว(น่าจะยาวที่สุด) มาให้ทุกๆคนได้อ่าน เพราะจุดประสงค์หลักของผมในการเขียนทริปไปเที่ยว เพื่อให้ผู้อ่านเห็นภาพมากที่สุด ไม่ว่าจะยาวซักกี่หน้า ผมก็จะทำเพราะนั่นเป็นเจตนารมย์ของผม

ผมไม่แปลกใจเลยว่า แม้ความเป็นอยู่ที่แสนจะลำบากของพี่ชายคนโต ไม่มีแม้แต่เบี้ยเลี้ยง หากเปรียบเทียบกับคนอื่นๆที่ได้ทุนมาเรียน แต่พี่ของผมกลับยอมทิ้งรายได้เป็นกอบเป็นกำในอาชีพแพทย์ชั่วคราว เลือกที่จะมาตามหาความฝันในดินแดนแห่งนี้

ผมรู้สึกได้อย่างเต็มเปี่ยมว่า ความรักในประเทศญี่ปุ่นของพี่ชายผม ไม่ต่างไปกับความรักในท้องทะเลของผมเลยแม้แต่น้อย ผมฟันธงได้เลยว่า มันคือแบบเดียวกัน

ความรักแบบนี้สังเกตได้ไม่ยากครับ หากคุณชอบในเรื่องใดๆแล้ว คุณเห็นมัน ใจคุณสั่นไหว ตื่นเต้น ขอหยุดดูก่อน ขอเก็บเงินไปซื้อมาอ่านหน่อย นั่นแหละครับ

พี่คนโตเคยพูดปลอบใจผมเสมอ เวลาผมผิดหวังในการสอบครั้งแล้วครั้งเล่าว่า “ พี่เชื่อว่า แม้เราไม่เก่งในด้านนี้ แต่พระเจ้ามักให้สิ่งอื่นมาทดแทนเสมอจนมีความสมดุล สิ่งที่เราได้มักจะเป็นสิ่งที่ใครหลายคนหาไม่พบหรือไม่ก็เป็นสิ่งที่คนๆนั้นขาดหายไป จึงตอบคำถามได้ว่า ไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบไปซะทุกเรื่อง”

ผมจึงใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ที่มีในสิ่งที่คนอื่นไม่มี และไม่มีในสิ่งที่คนอื่นมี

สุดท้ายนี้ขอขอบพระคุณผู้อ่านทุกท่านที่อุตสาห์ทนอ่านกันจนจบครับ

Phop Payapvipapong
14 Dec 2005
2.47 am




Tuesday, December 20, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(5)





ข้าวผัดรสชาดไทยๆ

เราถึง Sunshine City Prince Hotel คุณภาคินบอกให้ใช้เวลาเก็บของอย่างรวดเร็ว และลงมาพบกัน เพื่อไปรับประทานอาหาร ส่วนครอบครัวผมจะขอไปทานกันเอง

สภาพห้องในโรงแรม สู้เมื่อวานไม่ได้ ห้องก็แคบกว่ามาก(แต่ผมคิดว่าราคา ที่นี่แพงกว่าเพราะอยู่ในเมือง)

เราเดินออกไปด้านนอก ผ่านตรอกซอกซอย เพื่อหาร้านอาหาร เนื่องจากโตเกียวเป็นเมืองใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจว่าพี่ชายคนโตจะไม่คุ้นเส้นทางนัก

ในที่สุดก็ได้ร้าน Genya เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวเล็กๆ เราใช้วิธีเลือกร้านโดยมองจากเมนูอาหารข้างหน้าและโต๊ะภายในร้าน เพราะบางร้านจะไม่มีที่นั่งแบบส่วนตัว

แน่นอนว่าเมนูเป็นภาษาญี่ปุ่น ไม่มีภาษาอังกฤษมาเจือปน พี่คนโต จึงเป็นคนดูเมนูและสั่งอาหารให้ ผมสั่งข้าวผัดเนื้อซักอย่าง ในขณะที่คนอื่นๆสั่งก๋วยเตี๋ยว(ผมชอบกินข้าวเพราะคุ้มครับ ก๋วยเตี๋ยวมันไม่อิ่ม)

ซึ่งข้าวผัดเนื้อของผมรสชาดก็เป็นแบบไทยๆครับ ไม่ได้ต่างกับบ้านเราเท่าไร ผมสอบถามคุณพ่อ ก๋วยเตี๋ยวก็ไม่ค่อยอร่อยนัก(อาจอร่อยสำหรับคนญี่ปุ่นแต่ไม่ถูกปากคนไทยครับ) แต่ถึงไม่อร่อย ทุกคนก็ฟาดเรียบด้วยความหิว

เราอยู่ในร้านไม่นานนักเพราะข้างๆ มีกลิ่นบุหรี่โชยมา (คนญี่ปุ่นสุบบุหรี่จัดครับ แม้กระทั่งในร้านอาหาร)

เมื่อทานอาหารเสร็จ เราเดินไปเรื่อยๆ ผมเดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่ง มีป้ายโฆษณา พี่คนโต ชี้ให้ผมดูว่า “มาทำงานดิ เงินดีนะ” ซึ่งก็คือ มี่ญี่ปุ่นเปิดโอกาสให้เด็กหารายได้พิเศษมาก อย่างที่ร้านนี้ ให้สมัครงานทำรายชั่วโมงก็ได้ ไม่มีพิธีรีตองมาก เข้าเปลี่ยนชุดทำ เมื่อถึงเวลารับเงิน วันไหนอยากทำก็มา วันไหนไม่อยากมา ก็ไม่ต้องมา(ที่เมืองไทย งานพิเศษจะให้เข้าเป็นเวลาและมีพิธีรีตองมากกว่านี้)

เราเดินเข้าไปแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าอีกห้างหนึ่ง ผมมองทีวีเห็น Bio Hazard 4 พร้อมแผ่นจริงวางขาย แต่ราคาตกประมาณแผ่นละ 3000-4000 บาท(เมืองไทยแผ่นก๊อปแผ่นละ 70 บาทจ้า จ่ายแพงกว่าทำไมกับแผ่นจริง ฮ่าๆๆ)

พี่คนกลางได้ซื้อหูฟังที่นี่ เพื่อใช้กับโทรศัพท์ ขณะนี้ใกล้ 4 ทุ่ม แผนกเครื่องใช้ไฟฟ้ากำลังปิด ผมออกมาดูบรรยากาศยามค่ำคืน ข้างๆ มีร้านปาจิงโกะด้วย มีคนเล่นเพียบเลย (แต่จะได้จริงๆซักกี่คนล่ะ )


ผจญภัยยามค่ำคืน

เราเดินกลับไปที่ Sunshine City Prince Hotel คุณน้าคนนั้น ยังไม่ได้กลับมาเลย พี่คนโตบอกให้ผมไปเอากุญแจที่ Front เพื่อทดสอบภาษาอังกฤษ (งูๆปลาๆ สบายมาก ผ่านฉลุย)

ผมหยิบของกิน ของฝากที่เพื่อนพี่คนโตฝากซื้อ ที่ขนมาจากเมืองไทย เช่น มาม่า เหล้าไทย ไวน์ เป็นต้น เนื่องจากของที่หนัก กว่าพี่คนโตจะเดินไปถึงสถานีรถไฟคงเหนื่อยแย่

ผมและพี่คนกลางตกลงกันว่าจะไปห้องพี่คนโตด้วยกัน เพื่อเอา SD card ไปโหลดลงคอม ไรท์ใส่แผ่น จะได้มีเนื้อที่ไว้สำหรับถ่ายในวันรุ่งขึ้น ที่สำคัญจะได้ช่วยถือของไปด้วย แม้ผมจะเหนื่อยแต่ก็ไม่อยากนอนเร็ว อยากเห็นชีวิตของคนที่นี่ด้วย เราต้องรีบไปเพราะขากลับ รถไฟรอบสุดท้ายอาจจะหมดในเวลาเที่ยงคืนก็ได้(พี่คนโตไม่แน่ใจในเรื่องเวลาแต่เดาว่าอย่างงั้น)

นี่เป็นโปรแกรมท่องเที่ยวที่ผมและพี่ชายทั้งสองจัดขึ้นเองครับ

ผมเดินลงมาด้านล่าง เห็นคุณภาคินจึงสอบถามถึงคุณน้าคนนั้น ได้รับข่าวดีว่าเธอกลับมาแล้วอย่างปลอดภัยด้วย

หลังจากดูแผนที่ซึ่งติดไว้ที่ฝาผนังโรงแรม เราเดินออกจากโรงแรม Sunshine City Prince Hotel ผ่านสถานีรถไฟใต้ดินหลายสถานี แต่กลับไม่ใช่สถานีรถที่เราจะขึ้น(พี่คนโตบอกจะเป็นรถไฟลอยฟ้าธรรมดา)

ผมเดินผ่านสถานที่ก่อสร้าง สาวหน้าใสถือไฟสัญญาณเตือนสีส้ม เพื่อไม่ให้คนเดินมาตกท่อ (พี่คนโตบอกอีกเช่นกันว่า แบบนี้มาทำงานพิเศษเป็นรายชั่วโมง คืนหนึ่งก็ได้เงินไม่น้อยเลย เข้าใจว่าเธอคนนี้มาทำงานพิเศษเช่นกัน)

หลังจากเดินก้าวยาวๆกลมกลืนคนญี่ปุ่น รอสัญญาณไฟเพื่อข้ามถนน เรามาถึงสถานี Ikebukuro มีเครื่องออกตั๋วอัตโนมัติอยู่หลายเครื่อง เมื่อกดสถานี ใส่เงินเข้าไปเครื่องจะทอนออกมาทันที และมีตั๋วเล็กๆขนาดประมาณยางลบดินสอยี่ห้อสเต็ดเลอร์ มีผู้คนมากมายในสถานี แต่ละคนเดินอย่างรีบเร่งเพื่อทำธุระของตน เมื่อเดินขึ้นไปถึงบริเวณชานชะลา มองเห็นทุกคนต่อแถว ตามคิวเป็นระเบียบ

เมื่อรถไฟลอยฟ้ามาถึงรูปร่างหน้าตา คือรถไฟแบบบ้านเราเลย เพียงแต่ไม่มีเสียงปู๊นๆเท่านั้น เข้าไปด้านใน คนยังไม่แน่นมาก มีที่ยืนสบายๆ ยังมีเสียงประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นโดยตลอด คนต่างชาติอย่างเราจึงจับใจความได้เพียงชื่อสถานีเท่านั้น

ผมสนใจจอทีวี ที่อยู่ในนี้มากจึงต้องถ่ายวีดีโอเก็บไว้ เพราะจะแสดงถึงเส้นทางในแต่ละสถานี ที่สำคัญชื่อสถานีมีเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษด้วย ทำให้การเดินทางที่ว่ายาก ง่ายขึ้นเยอะ ก่อนถึงสถานีแต่ละครั้งนอกจากคำเตือนเรื่องประตู ยังมีเรื่องให้ปิดโทรศัพท์ด้วย(พี่คนโตบอกจะได้ไม่เป็นการรบกวนผู้อื่น)

เสียงประกาศ สถานีต่อไป สถานี Shin-Okubo พี่บอกผมให้เตรียมตัว


การใช้ชีวิตของพี่ชาย

เดินออกมาเรื่อยๆ พี่คนโตเล่าว่า แถบนี้จะมีคนต่างชาติเยอะ ถ้าคนญี่ปุ่นถามว่าพักอยู่แถวไหน หากบอกว่าอยู่ที่นี่ เขาจะตกใจและถามว่า “ไปอยู่ได้อย่างไร ไม่กลัวบ้างเหรอ” ที่นี่ จึงถือว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรมในสายตาคนญี่ปุ่นบางคน

ผมคิดว่าหลายอย่างที่นี่ไม่เหมือนที่อื่นๆ เช่น ร้านขายเสื้อผ้าที่ยังเปิดอยู่เลย(ถ้าที่อื่นเวลานี้คงปิดหมดแล้ว) ระหว่างที่เดินผมมองดู ก็ไม่มีอะไรที่เสียหาย การที่คนญี่ปุ่นคิดว่าแปลก ไม่ได้หมายความว่าคนต่างชาติอย่างเราจะแปลกด้วยนะ แล้วอีกอย่างยังมีคนญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อย ที่อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย

พี่ชายผมชี้ให้ดูตึกตรงข้ามบอกว่า “ถ่ายรูปไปให้พ่อดูดิ” นั่นคือ โรงแรมไคโย โรงแรมที่คุณพ่อผมเคยมาพัก ตอนมาดูงานที่นี่ ซึ่งปัจจุบันได้ปิดกิจการไปแล้ว เรียบร้อย

พี่คนโตชี้ให้ดูร้าน 100 เยน กล่าวคือทุกอย่างในร้านราคา 100เยนหมด จึงเป็นที่ถูกใจของคนชอบของคุณภาพดีและราคาถูก เดินไปเรื่อยๆ พี่คนโตก็ชี้ให้ดูร้านเกม ที่เข้ามาเล่นฟรีบ่อยๆ (ที่นี่มีร้านเล่นฟรีมากมาย)

เราเดินข้ามถนนอีกครั้ง เดินเข้าไปในซอย ซึ่งแม้จะ เกือบ 5 ทุ่มแต่ก็ไม่เปลี่ยวมากเท่าไร ตลอดทางมีตู้ขายน้ำอัตโนมัติและตู้ขายบุหรี่อัตโนมัติเพียบเลย(ไม่ต่ำกว่า 7 ตู้)

มาถึงที่หมาย พี่คนโตบอกว่า เขาเรียกที่นี่ว่าแมนชั่นไม่เรียกว่าอพาตเมนต์ เราขึ้นลิพท์ไปเรื่อยๆ เดินไปจนถึงห้อง

ขณะนี้เพื่อนๆ ที่แชร์ค่าห้องอยู่ด้วยกัน ยังไม่มีใครกลับมาจากการทำงานพิเศษ ผมได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของพี่ชายที่นี่ ภายในห้องมีเตียง 2 ชั้นอยู่ 2 เตียง(รวมเป็น 4 เตียง) มีห้องน้ำ เครื่องซักผ้า ตู้เย็น ไมโครเวฟ คอมพิวเตอร์ ทีวี(ของใช้ที่นี่ส่วนใหญ่จะได้จากคนมาให้ หรือเขาทิ้งตามถังขยะ)ตอนผมฟังแรกๆก็ไม่ค่อยเชื่อนัก แต่พอเห็นความทันสมัยของเทคโนโลยีที่นี่ จึงไม่แปลกใจ หากเป็นผม มีของในถังขยะแบบนี้ คงไม่พลาดที่จะไปดูบ้าง ด้านได้อายอดครับพี่น้อง) แม้สภาพห้องจะดูแออัดบ้าง แต่ก็ไม่ควรคิดมากสำหรับการมาอยู่ในต่างประเทศสำหรับคนที่ต้องการประหยัดรายจ่าย

พี่คนกลางโหลดรูปลงคอม ไรท์ใส่แผ่นและตัวเก็บข้อมูลอีกทีหนึ่ง(กันเหนียว) พี่คนโตโชว์เครื่อง psp , game boy advance เป็นต้น

ซักพักใหญ่ เพื่อนพี่คนโตก็กลับมา พี่คนกลางอยากได้เอ็มพี 3 เพลงไทย ก็ได้พี่คนนี้ช่วยเหลือในการค้นหาให้

“ไป Free marget หรือเปล่าครับพรุ่งนี้” free marget คือตลาดมืด เปิดเฉพาะเสาร์-อาทิตย์ มีของดีราคาถูกมาก ตั้งแต่เสื้อผ้า ไปถึงอุปกรณ์อิเล็กทรอนิค ผมและพี่คนกลางสุดแสนจะเสียดายเพราะไม่มีเวลาไปได้ พรุ่งนี้มีโปรแกรมไปดิสนีย์แลนด์ บ่ายๆก็ต้องไปสนามบินนาริตะเพื่อเดินทางกลับเมืองไทยแล้ว

ขากลับพี่คนโตเดินออกมาส่งที่สถานี Shin-Okubo ผมและพี่คนกลางรอรถไฟลอยฟ้าเที่ยวที่สองเพราะเที่ยวแรกคนแน่นมากๆ ไม่มีที่แม้แต่ให้แมวเข้าไป(แน่นจริงๆ) ไม่น่าเชื่อว่า เวลา 00.30 คนยังไม่กลับบ้านกันเหรอไง?

เที่ยวที่สอง คนก็ยังแน่นมาก เราเบียดเข้าไปจนได้ ผมไม่แปลกใจว่า ทำไมในการตูนญี่ปุ่น(เช่น อ ซากุไร ในเรื่อง GTO ) มักมีฉาก ที่คนมักถูกลวนลามในรถไฟที่แน่นๆ(เป็นแบบนี้นี่เอง) ใกล้ๆผม คือสาวญี่ปุ่นหน้าตาน่ารัก ขาว น่าดู (ตกหลุม)

ไม่มีที่แม้จะขยับ คนเข้ามาเรื่อยๆ เวลาออกหากใครเกรงใจ ไม่ได้ออกแน่นอนครับ ชนก็ต้องชนไปเลย ผมและพี่คนกลางมาถึงสถานี Ikebukuro

เมื่อออกมา เรื่องที่ง่ายดูเหมือนจะไม่ง่ายเสียแล้ว เพราะสถานีนี้ มีรถไฟลอยฟ้าประมาณ 6 สาย แดง เขียว น้ำเงิน เหลือง ส้ม ชมพู วิ่งผ่านทับเส้นกัน แค่หาทางออกที่ถูกต้องก็ยากแสนยากแล้วครับ

เดินไปแล้วก็เดินมา อยู่ไหนหว่า แม้จะเป็นสถานีที่ถูกต้องก็ตาม แต่ทางออกล่ะ เห็นคนญี่ปุ่นหลายคนวิ่งกลับบ้าน จนผมคิดว่า นี่บ้านไม่หนีไปไหนหรอก ทำไมต้องรีบขนาดนั้นหนอ เดินเร็วๆก็พอล่ะ

ในที่สุด ผมจำได้ว่า ขามาผมถ่ายรูปขณะพี่ชายทั้ง 2 ซื้อตั๋วอยู่ เมื่อคิดจาก การตั้งเครื่องขายตั๋ว กำแพงที่ตั้งตรงนี้ ผมจึงบอกพี่คนกลางในเส้นทางที่น่าจะถูกต้อง และแล้ว เราก็ออกมาข้างนอกจนได้

ถึงตรงนี้ ก็ได้พี่คนกลางของช่วยเหลือเพราะเส้นทางกลับโรงแรม Sunshine City Prince Hotel ผมไม่คุ้นเอาซะเลย มีหลายมุม หลายตึก หลายแยก ยิ่งแว่นไม่ได้ใส่ มองไกลๆ ตาก็เริ่มลายๆ จึงเป็นข้อพิสูจน์ว่า เวลาคับขัน สองหัวย่อมดีกว่าหัวเดียวเสมอ

กลับมาคุณพ่อทิ้งโน้ตไว้ให้ไปหาที่ห้อง โดยให้ไปเอาของที่สั่งซื้อจากคุณภาคิน เช่น ถั่วพิซซาซิโอ,ช๊อคโกแลคเมลอน ถ้วยโป๊ เป็นต้น มาแพคใส่กระเป๋าให้เรียบร้อย

ผมและพี่คนกลางกลับถึงโรงแรมเปลี่ยนชุด แปรงฟันนอนเพราะ 6 โมงก็ต้องตื่นแล้ว แม้จะมีกลิ่นโชยออกมาจากเท้าก็ตาม(แม้เหงื่อจะไม่มีแต่รองเท้ายังไงก็เหม็นครับ)

ในที่สุดการผจญภัยยามค่ำคืนนอกทริปในวันนี้ ก็จบลงได้ด้วยดี



3 พฤศจิกายน 2548


ห้องอาหารชวนปวดหัว



เสียงนาฬิกาปลุกดัง พี่คนกลางให้ผมอาบน้ำเป็นคนแรกเพราะผมมักจะช้าหากให้อาบน้ำทีหลัง ผมแพคกระเป๋าเสร็จออกมาถ่ายรูปในห้องพักเหมือนเคย

ขนกระเป๋าลงไปด้านล่าง ผมเห็นกรุ๊ปทัวร์คนไทย ที่มากับเครื่องบินลำเดียวกับเราตั้งแต่วันแรก แต่เพราะนั่งรถคนละคันและทริปคนละทริป จึงไม่ได้เจอกันเท่าไร(ผมจำสาวผมยาว รูปร่างขาวอวบคนหนึ่งได้)

ลงไปกินอาหารเช้าที่ห้องอาหาร Bayern restaurant กว่าจะหาห้องอาหารพบต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะที่นี่มีห้องอาหารมากกว่า 3 ร้าน(คนมากินอาหารตอนเช้ามึนตายล่ะ ห้องอาหารเยอะเหลือเกิน)

ผมยังติดใจน้ำแอ๊ปเปิ้ลและปลาซาบะเมื่อวานนี้ที่ Fujinoboukaen Hotel เช้านี้จึกตักมากินอีกแม้จะสู้เมื่อวานไม่ได้ก็ตาม นอกนั้นก็มีซุปเต้าเจี๊ยว ไส้กรอก ขนมปัง เป็นต้น แต่กินยังไม่ทันคุ้ม ก็ต้องรีบไปเพราะใกล้ถึงเวลานัดหมายแล้ว(ไม่ทันได้ครึ่งท้องเลย)

เดินไปที่ตู้โทรศัพท์ พี่คนกลางกดโทรศัพท์หาพี่คนโตว่าถึงไหนแล้ว เพราะเรานัดหมายกันที่นี่ ในวันนี้เราจะไปดิสนีย์แลนด์ด้วยกัน ปรากฏว่าถึงสถานี Ikebukuro แล้ว แต่ยังหาทางออกไม่ถูก จึงบอกว่าให้ไปกันได้เลยแล้วไปเจอกันที่ดิสนีย์แลนด์(เหมือนผมกับพี่คนกลางเมื่อวานนี้ และไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดเพราะพี่คนโตก็ไม่ค่อยได้มาแถวนี้ด้วย)

ออกมาด้านนอก อากาศเย็นได้ที่จริงๆ เอาสัมภาระเข้าที่ใต้ท้องรถแล้ว ผมช่วยพนักงานของโรงแรมขนลูกพลับญี่ปุ่น 10 กว่ากล่องที่คุณภาคินสั่งมาขึ้นรถ เพราะไว้ด้านล่างอาจจะทำให้เสียง่าย

ผมลงมาด้านล่างอีกครั้งเพื่อถ่ายรูปโรงแรม โชคดีที่พี่คนโตมาถึงพอดี เราจึงขึ้นรถไปด้วยกัน


ออกเดินทางสู่ ดิสนีย์แลนด์

พี่ภาคินบอกจะใช้เวลาประมาณ 45 นาที จะถึงที่หมาย ผมคุยกับพี่ๆถึงเรื่องราวเมื่อวานนี้ เกี่ยวกับสายรถไฟที่มากจนน่าปวดหัว ซึ่งพี่ๆต่างก็เห็นด้วย

พี่ภาคินบอกว่า หากเปรียบเทียบดิสนีย์แลนด์ที่ฮ่องกงกับญี่ปุ่นนั้น ที่นี่ทำดีกว่ามากๆ จากนั้นแกก็อธิบายต่อว่าประเทศญี่ปุ่นเมืองใหญ่ที่สุด คือ โตเกียว รองลงมา คือ โยโกฮาม่า โอซาก้าและนาโกย่า

ผมถ่ายรูปต้นไม้เปลี่ยนสีสวยๆ เช่นเคย จากนั้นผมเห็น คนกำลังต่อคิวยาวเหยียดในเวลาเช้าแบบนี้ ผมจึงถามพี่คนโตซึ่งได้รับคำตอบว่า เป็นคนต่อคิวเข้าร้านปาจิงโกะ ถามว่าเข้าทำไม เพราะต้องการได้รางวัล โดยพวกเขามารอที่ตู้ที่คิดว่ารางวัลจะออก หลังจากเสร็จสิ้นเมื่อคืนแล้ว โดยหากคนข้างหน้าได้รางวัลก็จะออกอาการเซ็งไปตามๆกันและไปที่ตู้อื่นเพื่อรอรางวัลต่อไป (ก็ไม่ต่างกับการพนันบอล หรือการเสี่ยงโชคด้วยการซื้อล๊อตเตอรี่น่ะครับ)

ขยายต่อว่า การเล่นปาจิงโกะที่นี่ ในตอนเช้าจะมีหนังสือออกมา โดยมีเกจิทั้งหลายมาวิเคราะห์ว่าตู้ไหน น่าจะออก ตู้นี้ออกไปแล้วไม่น่าจะออกอีก เป็นต้น(เรื่องจริงนะครับ วิเคราะห์แบบฟุตบอลเปี๊ยบ ผมยังขำๆเลย มีด้วยเหรอเนี่ย)

ไม่นานนัก รถบัสแล่นมาถึงดิสนีย์แลนด์ สวนสนุกในฝันของใครหลายๆคน


Welcome to Disneyland

ที่นี่สร้างมา 20 กว่าปีแล้ว เนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์จึงมีคนมาเที่ยวเยอะแม้กระทั่งคนญี่ปุ่นเองก็ตาม ผมเห็นรถจอดยาวเหยียด(แม่เจ้าโว้ย ทำไมเยอะจัง)

อากาศในวันนี้เย็นสบาย(แต่ก็ต้องสวมเสื้อหนาวอยู่ดี) ผมมองเห็นรถไฟฟ้า หน้าต่างมีรูปมิกกี้ เมาท์วิ่งผ่านไป จึงต้องหยิบกล้องขึ้นมาถ่าย

พนักงานสาวหน้าตาน่ารัก คอยตรวจกระเป๋าที่ทางเข้าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม ตรวจเสร็จเธอก็ขอบคุณโดยพูดว่า “อาริงาโตะ โกไซมัส”(ขอบคุณมากๆ)

ถึงตรงนี้คุณภาคินกำลังซื้อตั๋วอยู่ ผมก็ถ่ายรูปบรรยากาศไปเรื่อยๆ คนทยอยมากันเยอะเลย โดยตั๋วตกใบละประมาณ 1800 บาท(การซื้อเป็นกลุ่มย่อมได้ราคาถูกกว่า)

เมื่อผ่านประตูเข้าไปเห็นตัวละครต่างๆในดิสนีย์ เช่น มิคกี้เมาท์ โดนัน ดักส์ ปีเตอร์แพน เป็นต้น โดยมีคนจำนวนมาก ยืนรอถ่ายรูปคู่อยู่ พี่คนโตบอกว่า หากมีโอกาสอยากมาทำงานพิเศษที่นี่ โดยมาทำเป็นตัวละครสวมชุดนี่ ท่าจะดี พี่คนกลางเสริมว่า เขาไม่เรียกว่าสมัครงานแต่จะเรียกว่า มาแคสติ้ง เพราะเขาถือว่าทุกคนที่นี่ ถือเป็นส่วนหนึ่งของการแสดง

เดินเข้าไปเรื่อยๆ เห็นต้นสนขนาดใหญ่ ตกแต่งด้วยไฟคริสมาต์ บ่งบอกบรรยากาศคริสมาต์ที่กำลังมาถึงอย่างดี เมื่อเดินทะลุออกไปสิ่งแรกที่เห็นคือปราสาทที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้า

คุณภาคินนัดหมายเวลาที่เจอกัน และแนะนำเครื่องเล่น ที่ต่อคิวไม่นาน ในเวลาที่มีน้อยเช่นนี้ จากนั้นคุณภาคินให้แต่ละกลุ่มหาตัวแทนมา 1 คนเพื่อไปเอาบัตรของคนในกลุ่มไปปั้ม Fast Pass ที่เครื่องเล่น Big Thunder Mountain (fass pass คือ สิทธิพิเศษ เมื่อเราปั้มบัตรแล้ว เราสามารถไปเล่นเครื่องเล่นอื่นๆก่อนได้ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเราสามารถ มาเล่นที่เครื่องเล่นนั้นๆได้ทันที โดยไม่ต้องต่อคิวอีก โดยเข้าช่อง Fast Pass นับว่าเป็นวิธีการที่ดีจริงๆครับ โดยใน 1 เครื่องเล่นสามารถใช้ Fast Pass ได้แค่ครั้งเดียวนะครับ)

คุณพ่อเอาบัตรของครอบครัวไปทำ Fast Pass ให้ เพราะเครื่องเล่นตรงนี้คุณพ่อเคยเล่นแล้ว ครั้งมาที่นี่

Monday, December 19, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(4)




God Hand

บนรถ พี่ภาคินถามเราว่าหลับสบายดีไหม ผมเชื่อว่าเกือบทั้งหมด พึงพอใจกับโรงแรมและการบริการ และแล้วผมก็รู้จนได้ว่า ตู้ประหลาดข้างๆลิพท์ที่เขียนว่า 1000 เยน นั้น คือการ์ด สำหรับดูทีวีในช่องพิเศษนั่นเอง(ก็พวกหนังโป๊นั่นแหละ)

พี่ภาคินบอกว่าที่นี่ถือว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดา เปิดกว้างกว่าบ้านเรามาก มีร้านsex shop ให้เกลื่อน มีร้าน god hand(หัตถ์เทพเจ้า) ไว้สำหรับคนที่เครียดๆ ไปที่ร้าน จะมีสาวมาสำเร็จความใคร่ให้โดยใช้มือ ว่าแล้วเมื่อคนหน้ามุ่ยลงไป ออกมาจากร้าน หน้ายิ้มอารมณ์ดีทุกคน หากเป็นบ้านเรา เป็นเรื่องใหญ่มากแน่ครับ(ไว้โอกาสหน้าผมจะไปสำรวจดูแล้วกัน ฮ่าๆๆ)

วันนี้เราจะผ่านหลายย่าน ไม่ว่าจะเป็น โอวาโอคุโบะ ,กินซ่า(เราจะแวะรับประทานอาหารกลางวันที่นี่), อาซากูซาและชินชูกุ

แวะที่จุดพักรถข้างทาง ข้างหน้าร้านมีถังขยะรูปร่างแปลกตา แยกอย่างเป็นระเบียบ เช่น สำหรับกระป๋อง สำหรับขวดพลาสติก สำหรับกระดาษ

ผมเดินเข้าไปดูในร้าน มีการ์ตูนเรื่องบากิด้วย(ยังไม่อวสานอีกหรือเนี่ย) โดยวิธีอ่านต้องอ่านจากด้านหลัง อย่างที่รู้ๆกัน ข้างๆมีหนังสือเล่มหนึ่ง มีเด็กญี่ปุ่นหน้าใส สวมชุดบิกินี่ เป็นปก ไม่บอกคงรู้ว่าเป็นหนังสือเกี่ยวกับแฟชั่นนั่นเอง(อะ อะ คิดอะไรกัน)

พี่ชายคนโต โทรเข้าโทรศัพท์ของพี่ภาคินเพื่อสอบถามเวลามาถึง เพราะ เรานัดเจอกัน ที่วัดอาซากูซ่า

พี่ภาคินบอกโปรแกรมต่อไปว่า หลังจากทานข้าวเสร็จ เราจะไปไหว้พระที่วัดอาซากูซ่า แล้วกลับมาชินชูกุเพื่อ ช๊อปปิ้ง โดยจะพาไปที่ร้านซากุรายะ(ขายเครื่องใช้ไฟฟ้า)


กินซ่า แหล่งสินค้าแบรนเนม

เมื่อเข้าใกล้มหานครโตเกียว รถเริ่มติด เห็นตึกสูงๆมากมาย อุณหภูมิในขณะนี้ 12 องศาเซลเซียส

เราเข้าเขตย่านกินซ่า พี่ภาคินบอกเปรียบได้กับเอ็มโพเรียมหรือที่เกศรพลาซ่าในบ้านเรา มีร้านสินค้าแบรนเนมเต็มไปหมด คงถูกใจสาวๆหลายคนแน่นอน ผู้คนเดินอย่างรีบเร่ง ตามทางเท้าที่ไม่มีสิ่งใดมากีดขวาง ผู้คนยืนรอเพื่อข้ามถนนอย่างเป็นระเบียบ

ถึงจะดูจอแจ แต่ก็ไม่เละเทะแบบบ้านเรา มีที่จอดรถโดยตีเส้นไว้อย่างเป็นระเบียบ แม้กระทั่งในซอยเล็กๆ เห็นสถานีรถใต้ดินที่นี่ด้วย เขียนว่ากินซ่า อาจเป็นเพราะระบบขนส่งมวลชนของเขาดีมาก ผู้คนจึงนิยมเดินทางโดยการเดิน(บ้านเรา เดินแล้วก็ปิดจมูกไป เหม็นควันพิษ ต้องระวังเหยียบขี้หมา เป็นต้น)

ลงมาด้านล่าง อากาศเย็นสบาย เดินข้ามถนน เข้าไปในตึกที่ชั้นใต้ดิน มีร้านบุฟเฟ่เนื้อเกาหลี คล้ายในบ้านเรา ซึ่งเป็นอาหารของเราในบ่ายนี้ ก่อนหน้านั้นพี่ภาคินนัดหมายเวลาไว้ หากใครกินเสร็จเร็วสามารถออกมาช้อปปิ้งได้

ผมเดินเข้าไปตักเนื้อหลากชนิด ใช้สังเกตจากสีเนื้อเอาเพราะภาษาญี่ปุ่นอ่านไม่ออกครับ เลยไม่รู้ว่าอันไหน หมู เนื้อหรือไก่ (แม่ผมไม่ทานเนื้อครับ)

นอกจากนั้นก็ยังมี สลัดผัก ซุบเต้าเจี้ยว ข้าวเปล่า แกงกระหรี่ ปลาทอด เฟรนไฟล์ ติ่มซ่ำ เป็นต้น

ลวกๆ จนไฟลุก ไหม้บ้าง ไม่ไหม้บ้างตามสไตล์อาหารประเภทนี้ แต่จะเปลี่ยนกะทะ คงยากหน่อยเพราะพนักงานไม่เดินให้เห็นเลย(ไม่รู้จะพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่าด้วย)

ซักพักไม่นานคนเต็มร้านเลย คงอธิบายได้ว่าคนญี่ปุ่นชอบอาหารประเภทนี้เหมือนกัน

ผมซัดไอติม ก่อนจะรีบลุกเพราะถึงเวลานัดหมายแล้ว

ผมเห็นความจอแจ ของที่นี่ ชัดเจน หากเลือกได้ผมคงเลือกไปอยู่ตามชนบทมากกว่า เช่น จังหวัดคานางาว่า

พี่ภาคินสอบถามว่า ร้านนี้เป็นอย่างไรบ้าง ผมเห็นด้วยกับหลายๆคน คือ ร้านน่ะดี แต่โปรแกรมกินไม่ควรเป็นมื้อนี้เพราะเสียเวลา กว่าจะปิ้งๆ ย่างๆ เสร็จ ควรจะหาอาหารที่กินง่ายๆและใช้เวลาไม่มาก จะดีกว่า


ดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ รมควันธูป ที่วัดอาซากูซ่า

รถแล่นออกจากย่านกินซ่า ลัดเลาะเข้าซอย พี่ภาคินชี้ให้ดูข้างๆแม่น้ำจะมีเตนส์ เรียงรายอยู่ นั่นไม่ใช่ที่อยู่ขอทานแต่เป็นของพวกเด็ก ที่หนีออกจากบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกคนมีเงิน แต่ความคิดขัดแย้งกับทางบ้าน เลยออกมาใช้ชีวิตโดยลำพัง (เด็กไทยอย่าเอาอย่างเชียว สงสารคุณพ่อคุณแม่)

สะพานที่นี่มีเยอะ แต่สีสวยจริง มีทั้งแดง ฟ้า เหลือง เขียว ดูๆไปก็สวยดีครับ

รถจอดข้าง โรงเรียนประถมแห่งหนึ่ง พี่ภาคินอยากพาเข้าไปชมเหมือนกัน เสียดาย เวลาที่มีจำกัด
เลยอดเข้าไปชมข้างในเลย(ยิ่งช้า เราก็จะมีเวลาที่ชินชูกุน้อย) โดยข้างหน้าเราประตูใหญ่ๆสีแดงๆนั้น คือ วัดอาซากูซ่านั่นเอง

ผมว่า ตัดสินใจผิดที่ถอดเสื้อโค้ตออกเพราะยังมีความรู้สึกเย็นๆอยู่

ลูกกลมๆสีแดงสลักอักษรภาษาญี่ปุ่นอยู่ตรงกลางประตู(เรียกว่าอะไรหนอ ผมก็ไม่ทราบด้วยซิ) เดินเข้าไปเรื่อยๆ ผู้คนมากมายจริงๆ พบรูปปั้นและมีน้ำไหลออกมาหลายๆทิศ มีที่ตักน้ำอยู่ใกล้ๆ คุณพ่อบอกว่า นี่คือน้ำศักดิ์สิทธิ์ ใครได้ดื่มก็จะมีความเป็นสิริมงคล ผมดื่มไปเล็กน้อยรสชาติเหมือนน้ำก๊อกที่ญี่ปุ่นทั่วๆไป แต่ความศักดิ์สิทธิ์นี่ซิ ได้ไปเต็มๆแน่

ใกล้ๆกัน มีกระถางธูปอยู่ตรงกลาง มีความเชื่ออีกเช่นกันว่า ใครได้รมควันธูปจะมีความสิริมงคล จึงไม่แปลกใจที่เห็นคนทั้งญี่ปุ่นและต่างชาติ แสดงท่าทางปัดควันให้เข้าสู่ร่างกาย ผมจึงทำบ้างและขอพรไปด้วย

ถึงตรงนี้ผมและพ่อ มองหาพี่ชายคนโตเพราะนัดกันที่กระถางธูปตรงนี้ ไม่นานนักพี่ชายคนโต ก็เดินมาหา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม นั่นก็หมายความว่า เรา 5 คนได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้งหนึ่ง

เราเดินขึ้นไปข้างบนในอาคารหลังหนึ่ง(ที่ประเทศเรา คืออุโบสถครับ) ภายในมีพระพุทธรูปแบบญี่ปุ่น ผมสักการะและขอพรท่าน โดยพยายามไหว้แบบคนญี่ปุ่น(เอามือสองข้างประกบกันแล้วยกขึ้นประมาณศีรษะแล้วก้มหัวแต่ที่บ้านเราออกช้อยกว่ามากครับ) ดูๆไปก็คงเหมือนคนต่างชาติไหว์แบบไทยแหละครับ เพราะไม่คุ้นเคยเท่าไร

ข้างๆมีเซียมซีผมจึงลองเสี่ยง โดยมีพี่ชายคนกลางเสี่ยงด้วย ผลคือ ผมได้ใบที่ทำนายดี(ต้องให้พี่ชายคนโตช่วยหาเพราะอ่านไม่ออกครับ ตาลาย) เขียนว่า regular fortune โดยรวมแล้ว ถือว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตจะดีขึ้นครับ ผมก็เก็บกลับบ้านแน่นอน ส่วนของพี่คนกลางไม่ดีนัก จึงแขวนไว้ที่นี่(เป็นเคล็ดว่า ถ้าได้ใบไม่ดีก็ต้องแขวนเก็บไว้ครับ)

ลงมาด้านล่าง เราถ่ายรูปต่อ โดยมีพระเอกอีกคน คือ กล้องcanon ของพี่ชายคนโต(หลังจากให้ sony เป็นพระเอกคนเดียวมาหลายวัน) มีขาตั้งกล้อง เลยสามารถกดถ่ายพร้อมหน้าพร้อมตาได้โดยไม่ต้องรบกวนใคร

ใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่ สีเหลืองสดครับออกสีทอง ดูสวยงามมาก เดินตรงลึกเข้าไปเรื่อยๆ จะเป็นทางเดินยาว ด้านข้างทั้ง 2 ฟากจะมีของขาย ผู้คนเดินขวักไขว่ บ้างก็หยุดซื้อของ ดูมีชีวิตชีวามาก

เราเดินตรงไปจนถึงอีก 1 ประตู ตรงจุดนี้ผมเข้าใจว่าเป็นจุดที่คนถ่ายรูปกันเยอะ พี่ชายคนโตเลยอยากให้มาถ่ายกันตรงนี้ (ตรงนี้ พี่ชายคนโตได้ขอร้องให้เด็กญี่ปุ่นคนนึงถ่ายรูปให้ด้วย แม้จะถ่ายออกมาได้ไม่ดีนักก็ตาม ขอบใจมากน้อง)

จากนั้นเราเดินกลับเข้ามาเพื่อออกไปยังประตูที่เราเข้า และไปที่รถบัส มุ่งหน้าสุ่ชินชูกุ


แสง สี เสียง ที่ชินชูกุ

พี่ชายคนโต โดยสารไปกับเราด้วย(ข้างหลังที่ผมกับพี่คนกลางนั่ง ยังมีที่เหลืออยู่) ผมเห็นโทรศัพท์ที่พี่คนโตใช้ รูปร่างก็ฝาพับแบบบ้านเรา นอกจากฟังวิทยุ ถ่ายรูปได้แล้ว ก็ยังดูทีวีได้ด้วย (เมื่อไรบ้านเราจะมีนะ)

แม้จะแค่ 5 โมงเย็น แต่มืดเหมือน 2 ทุ่ม เราผ่านโตเกียวโดม สถานที่ที่มักมีการแข่งกีฬาและการแสดงคอนเสริต เมื่อรถมุ่งหน้าต่อไปเรายังได้เห็นสวนสนุกในย่านชินชูกุด้วย มีเครื่องเล่นเจ้าประจำอย่างรถไฟเหาะตีลังกา เป็นต้น

ผมพึ่งทราบจากพี่ภาคินว่า นอกจากการรับประทานปลาของคนญี่ปุ่น ทำให้คนอายุยืนแล้ว ประโยชน์ของการเป็นผู้สูงอายุแล้วยังไม่ยอมตาย คือ รัฐบาลญี่ปุ่นจะจ่ายเงินชดเชยให้ผู้สูงอายุเป็นรายเดือนๆละ 70000 บาท (ฟังแบบนี้แล้ว อยากจะมาเป็นคนแก่ที่นี่ไหมครับ ต้องร้องเพลงว่า ฉันตายไม่ได้ๆๆๆ แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรัฐบาลญี่ปุ่นก็เริ่มมีภาระที่หนักมาก ในการจ่ายเงินส่วนนี้ จนกลายเป็นปัญหา)

พี่ชายคนโตเล่าว่า ค่าปรับที่นี่แพงมาก สามารถซื้อรถคันใหม่ได้เลย

เมื่อรถบัสจอด คราวนี้ผมไม่ยอมถอดเสื้อโค้ตอีก เพราะในตอนนี้เมื่อเย็นลง อากาศจะหนาวกว่าเดิมอีก เมื่อลงมาด้านล่าง ผมเห็นตึกมากมาย แสงไฟที่ประดับตามตึก ป้ายโฆษณาต่างๆ เป็นสัญญาณบอกว่า โลกกลางคืนกำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว

พี่ภาคินจะพาคนอื่นๆไปร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าซากุรายะ ส่วนครอบครัวผมให้เดินตามลำพังได้ เพราะมีไกด์อย่างพี่คนโตแล้ว โดยเรานัดหมายเวลามาพบกัน

ผู้คนมากมายเดินอย่างรีบเร่ง หากใครเดินช้าคงจะดูเป็นตัวประหลาด(มาที่นี่ผมจะดูกลมกลืนเพราะอยู่ในเมืองไทยก็ชอบเดินเร็วอยู่แล้วเพราะความที่ขายาวจนเพื่อนๆบ่นว่า จะรีบเดินไปหา…มึงหรือไง) เห็นคนขี่จักรยานก็มาก ผมต้องกล่าวถึงสี่แยกอีกครั้งเพราะชอบจริงๆกับความเป็นระเบียบในการข้ามถนนและการเคารพกฏของผู้ขับขี่รถยนต์ ที่ต้องหยุดเมื่อเห็นไฟขึ้นสีเขียวแล้วมีรูปคนเดิน ในขณะเดียวกันคนเดินถนนก็ต้องหยุดข้ามเมื่อเห็นไฟแดงแล้วมีรูปคนอยู่เช่นกัน

พี่ชายคนโต พาเดินขึ้นไปบนห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง เพื่อหาห้องน้ำเข้า(ผมก็ปวดๆเหมือนกัน) ภายในเปิดฮีทเตอร์ผมจึงกลัดกระดุมเพียงเล็กน้อย

ห้างที่นี่จะปิดเวลา 2 ทุ่มตรง ยกเว้นแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าจะปิด 4 ทุ่ม (หากเป็นเมืองไทย การปิดห้างเร็ว มีผลกระทบกับหลายคน และเป็นเรื่องใหญ่มาก)

เรามุ่งหน้าไปแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้า เพื่อดูกล้องดิจิตอล ไม่ใช่จะซื้อเองครับ (เพื่อนของพ่อคราวก่อนมาซื้อแต่ดันทำอุปกรณ์หายหมดเหลือแต่กล้องอย่างเดียวเท่านั้น) ถ้าเป็นที่เมืองไทยคงหาซื้อแยกแบบนี้ยากหน่อย

มีกล้องวางหลายรุ่น หลายยี่ห้อ และทุกรุ่นและทุกยี่ห้อ จะมีตัวกล้องจำลอง ให้คนซื้อ ลองหยิบขึ้นมา เพื่อประกอบในการตัดสินใจ(ดีนะครับ)

เมื่อพี่ชายคนโต หาคนขายพบ ก็เริ่มคุยทันที ผมมองดูอย่างภูมิใจและงง

ภูมิใจที่พี่ชายผมเริ่มปรับตัวได้และคุยอย่างไฟแลบกับคนญี่ปุ่นหลังจากที่ช่วงแรกมีปัญหามาก

งงเพราะฟังไม่รู้เรื่อง ได้ยินที่ฟังออก คือ “ให้”(แปลว่า ใช่) “วินโดว์ xp โตะ” (วินโด xp ) สรุป คือ ได้อุปกรณ์ทุกอย่างครบครับ(หากมาซื้อเอง ไม่มีทางเลยที่จะคุยกับคนขายรู้เรื่อง เพราะไม่มีใครพูดภาษาอังกฤษกัน)

ผมเข้าใจตรงที่ว่า เหตุใดพี่ชายจึงยินดีมาก เวลามีคนฝากซื้อของ เพราะเมื่อซื้อของให้คนใด คนซื้อก็จะได้เงินตอบแทน อย่างคราวนี้พี่คนโต ได้รับเงิน 200 บาท (สร้างเสริมอาชีพในสภาวะแบบนี้ได้ดี) นอกจากนี้เรายังซื้อ SD card ไว้สำหรับถ่ายในวันพรุ่งนี้ด้วย(จะได้เซ็ทขนาดได้ใหญ่ๆ)

จากนั้น เดินขึ้นไปชั้นบน จะเป็นแหล่งรวมของโทรศัพท์มือถือ ผมชอบมากอีกเช่นกัน ที่มีของจำลองของโทรศัพท์ทุกรุ่น มาวางให้คนซื้อได้ทดลองทาบและตัดสินใจ ส่วนใหญ่คนที่นี่จะชอบใช้โทรศัพท์แบบฝาพับโดยเครือข่ายยอดนิยมที่สุด เปรียบได้กับเอ ไอ เอส บ้านเรา คือ Do Co Mo

เสียดายที่โทรศัพท์ที่นี่ เอาไปใช้ในเมืองไทยได้เพียงบางยี่ห้อเท่านั้น เช่น โวดาโฟน เป็นต้น ส่วนไอ้เครื่องที่ดูทีวีได้หมดสิทธิ์ครับ พนักงานที่นี่เข้ามาสอบถามผม ซึ่งผมก็ได้แต่ยิ้มๆ เพราะใบ้กินจ้า ส่วนพี่ชายผมก็กำลังดูเรื่องหูฟังที่ใช้กับโทรศัพท์โวดาโฟนอยู่

ทุกครั้ง ที่มีแขกเดินผ่านไปมา พนักงานชายและหญิงจะพูดคำว่า “อิ ระ ชัย มะ เซะ”(แปลว่ายินดีต้อนรับ) พร้อมสีหน้ายิ้มแย้ม ผมชอบตรงนี้มากและอยากให้ที่บ้านเรา พนักงานมาถามแขกแบบนี้มากๆ ผมว่าแม้จะพูดซ้ำไป ซ้ำมา แต่ก็ดีกว่าเงียบๆแล้วไม่สนใจแขกครับ

ผมเดินไปแผนกนาฬิกา เพื่อหาซื้อนาฬิกา G-Shock ที่เพื่อนฝากซื้อ แต่ราคาไม่ได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ครับเลยไม่ได้ซื้อมา

เดินขึ้นไปด้านบนอีกครั้งแผนกนี้ คอเกมต้องไม่พลาดครับ เพราะมีเกมเพียบ เริ่มจากเครื่อง PSP(เพลย์สเตชั่น พ๊อคเก็ต) เป็นเครื่องเล็กๆ สีดำ มีจออยู่ตรงกลาง ดูหนังก็ได้นา (ราคาถูกกว่าเมืองไทย แน่นอน)

ส่วนพวกแผ่นเกมของ ps 1 ps 2 อันนี้ทำใจได้ครับว่าแพง เพราะบ้านเขาไม่เมีแผ่นก๊อปปี้เหมือนบ้านเรา(พี่ไทยสู้ๆ)

เสียงเพลงไฟนอลแฟนตาซีตอนเคลียร์เปิดอยู่แว่วๆ ผมเห็นเครื่องเล่นเกมอีกแบบ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ลักษณะคือจอยแฟมิคอม แต่มีจอทีวีอยู่ตรงกลาง ผมลองเล่นมาริโอ้สนุกดีครับ เสียแต่ว่าเล็กกระทัดรัดไปจริงๆ

พี่ชายคนโตกลัวคุณพ่อ คุณแม่จะเบื่อ จึงพามาที่เก้าอี้นวด(ฟรี) ผลคือ คุณพ่อ คุณแม่ยกนิ้วทั้งคู่ เพราะความสบายนั่นเอง

สามพี่น้องเดินลงมาด้านล่าง ที่แผนกเสื้อผ้า เสียง “อิ ระ ชัย มะ เซะ” ดังทุกครั้งพร้อมรอยยิ้มเวลาเดินผ่าน ผมยังยืนยันว่า ที่นี่ผมดูไม่ออกว่า ในสายตาคนญี่ปุ่นเขามองผู้หญิงในประเทศอย่างไร คนไหนน่ารัก คนไหนไม่น่ารัก แต่คนต่างชาติแบบผม กลับมองใครก็ดูน่ารักไปหมด พนักงานเก็บเงินเอย พนักงานขายของเอย คนเดินถนนเอย คนขี่จักรยานเอย พนักงานรักษาความปลอดภัยเอย ไปกินอะไรกันมาหนอถึงน่ารัก (หม้อซะ)

เสื้อผ้าที่นี่ ราคาแพงครับ แพงมาก ไม่น่าเชื่อว่าบางยี่ห้อ ที่คนไทยไม่นิยมแต่ที่นี่กลับดังมาก(แพงด้วย) เช่น ยี่ห้อ Champion เป็นต้น

ใกล้ถึงเวลาที่นัดไว้ เราเดินขึ้นไปเรียกคุณพ่อ คุณแม่ ก่อนออกจากห้าง เดินข้ามถนนเพื่อไปยังจุดที่นัดหมาย


คนหาย!!!

ผมชักเบื่อยืนและปวดที่ฝ่าเท้ามาก จึงนั่งรอสมาชิกอยู่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง(คนเดินเข้าก็หน้าตาดีทั้งนั้น) คุยกับพี่ชายถึงการใช้ชีวิตที่นี่(พ่อผมก็ไปซื้อน้ำเปล่ากับโค๊กมาให้ทาน ที่นี่โค๊กถูกกว่าน้ำเปล่าครับ)

เมื่อคุณภาคินเดินมา เป็นจังหวะที่รถบัสมาพอดี เราจึงทราบว่า มีสมาชิกคนหนึ่งหายไปขณะขอปลีกตัวไปซื้อยา ( เธอคือ คุณน้าสาวคนหนึ่งในกลุ่มที่นั่งในกระเช้าเดียวกันกับครอบครัวผม ที่วนอุทยานฮาโกเน่)

เราจึงรอเธอพักใหญ่ โดยทุกคนแม้จะรอนานแต่ก็มีความเห็นอกเห็นใจ เพราะในเวลาแบบนี้ ผู้หญิงตัวคนเดียวมาอยู่ในประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้จดเบอร์โทรศัพท์คุณภาคินไว้ ไม่มีเบอร์โรงแรมและไม่รู้สถานที่ของโรงแรมนี้ แต่จากการได้ยินว่า ผู้หญิงคนนี้เคยไปเมืองนอกบ่อย เราจึงหวังว่าประสบการณ์ของเธอจะช่วยให้เธอหาทางไปโรงแรมถูก เมื่อได้เวลาเราจึงออกเดินทางไปยัง Sunshine City Prince Hotel(มองในแง่ดีว่า เธออาจไปรอเราที่โรงแรมแล้วก็ได้)

สำหรับผมคิดว่า เหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้น คุณน้าที่เหลืออีก 3 คน ควรจะสังเกตให้ดี อย่างน้อยก็ควรไปด้วยกัน แต่อย่างว่าครับ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้นหรอก โทษใครไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาด้วย

Sunday, December 18, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(3)




Fujinoboukaen hotel เมืองคาวากูชิ

รถบัสมาจอดหน้าโรงแรม Fujinoboukaen hotel ซึ่งเป็นโรงแรมใหม่ เปิดได้เพียงเดือนกว่า โดยพี่ภาคินพึ่งมาฉลองครบรอบ 1 เดือนเมื่อไม่นาน แม้จะเป็นโรงแรมใหม่แต่พี่ภาคินการันตีว่า พักสบาย มีน้ำแร่บริการ อาหารบุฟเฟ่สุดคุ้ม มีปูอลาสก้าด้วย(จะกินให้หายเหี้ยนเลย)

ผมมองดูตึกโรงแรม ดีกว่าที่คิดไว้มาก นึกว่าโรงแรมตามป่าเขา คงจะซ่อมซ่อ ที่ไหนได้ มีน้ำตกเทียมอยู่ด้านหน้าด้วย หรูนี่นา

พนักงานโรงแรมขึ้นมาบนรถพูดกับพี่ภาคินพักใหญ่ โดยแปลให้เราฟังเป็นระยะ(พนักงานพยายามนำกุญแจมาให้และอธิบายถึงโรงแรมแบบคร่าวๆ) มีใจความว่า กุญแจจะเป็น room key card ก่อนออกจากห้องอย่าลืมหยิบcard ออกมาด้วยเพราะประตูจะถูกล๊อคโดยอัตโนมัติ ภายในห้องจะมีที่อาบน้ำส่วนตัว

หากใครอยากอาบน้ำแร่ สามารถมาอาบได้ในห้องน้ำรวม โดยในตอนนี้ ผู้ชายอาบที่ชั้น 3 ผู้หญิงอาบที่ชั้น 8 ส่วนในตอนเช้าผู้ชายอาบที่ชั้น 8 ผู้หญิงอาบที่ชั้น3(พิลึกมาก ไม่รู้จะสลับทำไม เกิดใครไม่รู้เข้าผิดไปทำอย่างไรล่ะ ฮ่าๆๆ ขำมากๆ)

ที่นี่มีลิพท์เพียง 2 ตัว ในตอนเช้าจะมีแขกใช้ลิพท์มาก จึงขอความกรุณาว่าหากใครมีกระเป๋าใบใหญ่ๆ ให้วางไว้หน้าห้องแล้วพนักงานจะเป็นผู้ขนลงมาให้(ไม่งั้นของจะเต็มลิพท์และไม่มีเนื้อที่เพียงพอสำหรับคนโดยสาร)

พี่ภาคินบอกว่าอุณหภูมิในตอนนี้ 2 องศาเซลเซียส และนัดหมายให้ทุกคนมาห้องอาหารเวลา1 ทุ่มครึ่ง ส่วนเรื่องพรุ่งนี้เช้า พี่ภาคินถือหลัก 6 7 8 คือ 6โมงเช้า morning call (ตื่นนอน) 7 โมงรับประทานอาหารเช้า 8 โมงออกเดินทาง พรุ่งนี้แกการันตีว่าหนาวแน่ หนาวกว่าวันนี้มากด้วยเพราะเราจะขึ้นไปบนภูเขาไฟฟูจิยามา ส่วนตอนเย็นเราจะไปไหว์พระที่วัดอาซากูซ่า ก่อนไปเดินทางไปช้อปปิ้งย่านชินชูกุ ฉะนั้นหากเราไม่ตรงต่อเวลาเวลาต่างๆก็จะลดน้อยลงไปด้วย


ห้องแสนสะดวกสบาย

พอผมลงจากรถ อากาศเย็นมากจริงๆ แต่ไม่ถึงขนาด 3-4 ชั่วโมงก่อน อาจเป็นไปได้ว่าไม่มีลมพัดมานั่นเอง(บรื๊อ!! หนาว)

หลังจากรับ Room key card เรียบร้อย เมื่อขนของขึ้นไปบนห้อง ภายในเป็นห้องสไตล์ญี่ปุ่นแท้ เนื้อที่ไม่กว้างมากแต่ใช้ฉากเปิดเข้า-ออก ทำให้สามารถแยกได้เป็นหลายๆห้อง แยกเป็นห้องนอน ห้องดูทีวี ห้องอาบน้ำ ห้องน้ำ(ส้วม) ปูเสื่อไว้อย่างเป็นระเบียบ ไม่มีเตียงนอนแต่มีฟูกปูไว้ มีทีวีจอ LCD ด้วย(ต่างจังหวัดครับต่างจังหวัด มันยอดมากเลย) ยังมีโต๊ะเก้าอี้นั่งแบบญี่ปุ่น นึกถึงบรรยากาศแบบญี่ปุ่น ที่พ่อ แม่ลูกนั่งทานข้าวด้วยกัน

สิ่งที่พี่ชายผมทำเป็นอันดับแรก คือ เปิดฮีทเตอร์ ส่วนผมสิ่งที่ทำอันดับแรก คือ เปิดทีวี ซึ่งก็มี 5 -6 ช่อง โฆษณาที่มาบ่อยมาก คือ โทรศัพท์มือถือ Docomo ,โฆษณารถยนต์ เป็นต้น มีช่องพิเศษ คือช่องภาพยนต์ไม่ว่าจะเป็นอเมริกา ไทย กับช่องหนังโป๊(เห็นภาพแล้วแปลกใจเล็กน้อยว่า ในโรงแรมมีฉายด้วยเหรอ) มีคำบรรยายว่า please insert card เดาว่าคงต้องซื้อ card ถึงจะดูได้ ส่วนพวกจะดูฟรี ไม่มีทางครับ เพราะไม่นานภาพก็เป็นจอสีฟ้า(ให้ดูเป็นออเดิรฟ) แสดงให้เห็นว่าบ้านเมืองเขาเปิดกว้างกว่าบ้านเรามาก เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องธรรมดา หากเป็นสังคมไทยคงเป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม( ว้า อดเลย)

ผมเลือกที่จะอาบน้ำในห้อง มีสบู่เหลวและแชมพูให้ใช้หรูหรามาก(ยี่ห้อ shishedo หอมดีครับ )แม้เป็น โรงแรมตามป่าเขาแต่กลับมีสิ่งอำนวยความสะดวกดีจริงๆ

ส่วนชักโครกปรับอุณหภูมิ ผมลองใช้ดูแล้ว ดีมาก สนับสนุนให้เมืองไทยมี ถ้าอากาศหนาวมากๆ แต่ตอนล้างก้นนี่ซิ ไม่มีที่ฉีดน้ำ แต่เป็นปุ่มกดอัตโนมัติ แล้วมีน้ำฉีดขึ้นมาทำความสะอาดให้ ผมไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะเราไม่ได้ขี้เกียจขนาดนั้น ลักษณะมี 3 ปุ่ม พอจะเดาได้จากรูปที่แสดง เช่น ปุ่มstop ,ปุ่มรูปน้ำกำลังฉีดแล้วมีก้น(ล้างก้น),ปุ่มที่มีรูปผู้หญิงนั่งแล้วมีน้ำฉีดมา(ไว้ล้างของสงวนของฝ่ายหญิง เรียกว่า บีเด้ ) ตอนแรกผมไม่ได้สังเกต กดลองไปแล้วทุกปุ่ม โดยให้ความรู้สึกเหมือนๆกันนั่นแหละ (อันสุดท้ายนี่ รู้สึกว่าจะร้อนๆนิดนึง)

ออกมาคุณพ่อ คุณแม่และพี่ชายสวมชุดยูคาตะเรียบร้อยแล้ว ผมลองใส่บ้าง โดยชุดนี้เวลาสวมต้องมีเชือกผูกที่เอวกันหลุด และยังมีเสื้อคลุมสีฟ้าทับอีกครั้งนึงด้วย (เนื่องจากสายรัดมีสีน้ำเงินสำหรับผู้ชาย สีเขียวแก่สำหรับผู้หญิง)ในห้องมีแค่ 2 เส้น พี่ชายผมชิงหยิบสีน้ำเงินไปแล้ว ผมจึงหยิบสายสีเขียวแก่ ที่เหลือเพียงเส้นเดียวไปใช้แทน ส่วนรองเท้าก็เป็นรองเท้าแตะแบบญี่ปุ่น แต่มีแต่คู่เล็กๆ ทั้งนั้นเลย(ก็ต้องใส่ล่ะ)

ข้างๆลิพท์ มีตู้ประหลาดตั้งอยู่ เขียนว่า 1000 เยน(ประมาณ 300 บาท) ผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร


กินให้หายเหี้ยน เอาให้คุ้ม!!!

ผมเห็นอาหารบุฟเฟ่อยู่ด้านหน้า มีมากมายเหลือเกิน ที่สะดุดตา คือ ปูอลาสกาขนาดใหญ่แบบเต็มตัว(ของจริง) ลำตัวมีสีแดง มาวางโชว์ให้ดู ส่วนจานข้างๆ คือก้ามปูอลาสกา ที่เขาแกะออกมาแล้ว หน้าที่ของคนกิน คือ ตักใส่จานแล้วนำไปแกะอีกครั้งหนึ่ง

การกินปูอลาสกา เนื่องจากเปลือกแข็งมาก การได้กรรไกรมาช่วยจึงช่วยทำให้การกินเป็นไปอย่างสะดวกมากขึ้น โดยพี่ชายผมสอนให้ตัดหัวและท้าย ใช้ช้อนสำหรับคว้านหรือตะเกียบก็ได้ แทงออกมา ก็จะได้กินเนื้อปูหวานๆ อร่อย

ส่วนอาหารอื่นๆ มีปลาดิบ เนื้อแพะ เนื้อวัว บะหมี่ผัด ข้าวผัด ปลาซาบะ ปลาอินทรี เป็นต้น ผมกินอย่างเอร็ดอร่อย เนื้อปูที่หวาน กับปลาดิบจิ้มซอสญี่ปุ่น นอกจากนั้นของหวานยังมี โมจิในถั่วแดง(ตอนแรกผมยืนดูตั้งนาน ว่ามันคืออะไร โชคดีพี่ภาคินอยู่ใกล้ๆจึงสอบถามพนักงานสาวชาวญี่ปุ่นให้) เค๊ก ลูกพลับ แตงไทย(2 รายการนี้เป็นผลไม้ที่อร่อยมาก หวาน กินแล้วสดชื่น) ส่วนน้ำดื่มผมชอบมาก คือ น้ำแอ๊ปเปิ๊ล

ผมเดินกลับไป-มา เติมของหลายๆรอบ(น่าจะเกิน 10 ครั้ง) จนโต๊ะข้างๆมองแล้วยิ้ม ผมก็ยิ้มตอบ ซึ่งคนหน้าด้านอย่างข้าพเจ้าไม่อายหรอก เสียตังค์แล้ว เอาให้คุ้ม คงอีกนานกว่าจะได้กลับมากินอีก ฮ่าๆๆๆ


การช่วยเหลือของพนักงาน front

กินเสร็จแล้ว มาถ่ายรูปชุดยูคาตะสวยๆกัน ก่อนที่คุณพ่อคุณแม่จะขึ้นไปพักผ่อน ส่วนผมและพี่ชายเดินลงมาชั้นล่างเพื่อย่อยอาหารและถ่ายรูปต่อ มีทั้งดอกไม้สวยๆ ภาพวาดติดผนัง ชุดทำศึกญี่ปุ่นโบราณ เป็นต้น เดินออกไปด้านนอกถ่ายด้านหน้าโรงแรม ผมยังเล่นกับลมหายใจ หาควันเช่นเคย

จากนั้นขนอุปกรณ์ของกล้องดิจิตอล สาย usb ,card reader ,ตัวเก็บข้อมูล และแผ่นโปรแกรม มาที่เครื่องคอมของโรงแรมเพื่อโหลดรูปจากกล้อง จะได้มีพื้นที่ว่างถ่ายอีกมากๆ

ที่นี่อัตราอินเตอร์เน็ตตก 10 นาที 100เยน(10นาที 30 บาท) ลองดูแล้วก็ยังไม่ได้ เลยต้องสอบถามพนักงานชายหน้า front ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีว่า ตามสถานที่แบบนี้ พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน ซึ่งเขาก็ยินดีช่วยเหลือ

เมื่อทำไม่ได้เช่นกัน เขาจึงเรียกพนักงานอีกคนขึ้นมาช่วย โดยพนักงานคนนี้เป็นสาวหน้าตาน่ารัก รูปร่างจะอวบๆ มากดดูซักพัก เธอบอกว่าคอมข้างนอกใช้เล่นอินเตอร์เน็ตได้อย่างเดียว เธอช่วยเหลือเราโดยการให้เข้าไปใช้คอมในห้องทำงานที่อยู่ข้างหลัง front ได้(เยี่ยมมาก)

เมื่อลองดูแล้ว ยังใช้ไม่ได้อีก ผมและพี่ชายจึงขอบคุณในการช่วยเหลือของเธอ

พี่ชายผมลงไปอาบน้ำแร่ที่ชั้น 3 ส่วนผมทิ้งโอกาสอาบน้ำสไตล์ญี่ปุ่นไปเพราะขี้เกียจอาบอีกครั้งแล้ว เลยมาต่อโทรศัพท์หาพี่ชายคนโตเพื่อนัดหมายสถานที่พบกันในวันรุ่งขึ้น กว่าจะโทรติดได้ ก็ต้องใช้เวลาพอสมควรเพราะการโทรจากเมืองไทย พอมาที่นี่ หลายตัวเลขต้องตัดออก หลายตัวเลขต้องเพิ่มขึ้นมา

สุดท้าย ได้รับการช่วยเหลือจากพนักงาน front ชายคนหนึ่ง ขึ้นมาต่อโทรศัพท์ให้ที่ห้อง จึงสามารถติดต่อได้ โดยผมได้ทิ้งเบอร์ของคุณภาคินไว้ให้พี่ชายคนโตด้วย เพื่อความสะดวกในการติดต่อ

พี่ชายคนกลางบอกว่า อาบน้ำแร่มาสบายตัว ขัดซะขี้ไคลหลุดเพียบ ซึ่งพี่ชายผมเป็นคนเดียวที่ได้ลองอาบน้ำแบบญี่ปุ่น

คืนนี้ แม้ผมยังอิ่ม แต่ต้องพยายามนอนให้หลับ เพราะต้องตื่น 6 โมงเช้า แม้เวลาในปัจจุบัน ที่เมืองไทย ผมยังนั่งเล่นอยู่ก็ตาม


2 พฤศจิกายน 2548

เสียงนาฬิกาดังในยามเช้า เวลา 6 โมง เป็นสัญญาณว่าให้ตื่นได้แล้ว ผมอาบน้ำจัดกระเป๋าเสร็จภายในเวลาไม่นาน ก่อนตรวจดูความเรียบร้อย แน่ใจว่าไม่ได้ลืมอะไรทิ้งไว้ ก่อนออกไปก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปห้องเก็บไว้ด้วย

เราเอากระเป๋าหนักๆ ไว้หน้าห้องตามกติกา ผมเห็นพนักงานสาวชาวญี่ปุ่น ที่front เมื่อวานเดินผ่านไปที่บันไดหนีไฟ คิดๆว่าเธอตื่นเช้าจัง แต่จริงๆ เธอยังไม่ได้นอนต่างหากเพราะเมื่อคืนเป็นเวรของเธอ(ออก 8 โมงเช้า)

วันนี้ผมใส่เสื้อโค๊ดสีดำหนากว่าเดิม ได้มาจากคุณพ่อเพราะแบกมาให้พี่ชายคนโตที่นี่ ผมจึงขอใส่ก่อนล่ะ ไม่ต้องยัดใส่กระเป๋าด้วย

ผมเดินออกไปที่บันไดหนีไฟ ไม่ใช่ว่าจะไปดูสาวญี่ปุ่นคนนั้น(ก็ไม่แน่นะ) แต่จะออกไปท้าบรรยากาศและชมทัศนียภาพ ลมเย็นๆพัดมา แต่ผมสบายขึ้นเยอะเพราะมีเกราะป้องกันอย่างดีเยี่ยม(สวมเสื้อ 3 ชั้นเหมือนเคย)

กลับเข้ามาภายในอาคาร ผมเดินเข้ามาในห้องคุณพ่อคุณแม่ที่ยังจัดของยังไม่เสร็จ พี่ชายคนกลางบอกว่า ลองชะโงกหน้าออกไปด้านซ้ายมือซิ จะเห็นภูเขาไฟฟูจิ

ผมชะโงกออกไป เห็นภูเขาไฟฟูจิจริงๆครับ แม้ไม่กี่วินาทีเพราะต้องเอาตัวกลับเข้ามาในอาคาร สวยงามมากครับ ก่อนที่จะช่วยคุณพ่อคุณแม่ยกกระเป๋าออกไป เพื่อลงไปร้านอาหาร รับประทานอาหารเช้า

ที่ลิพท์ คนที่มาทัวร์เดียวกับเรา มีน้ำใจบอกผมให้ไปดูที่ห้องเขาเพราะสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจน ผมได้แต่ขอบคุณเพราะของที่เต็มมือและจะต้องรีบทำเวลาซะด้วย



ภูเขาไฟฟูจิยามาอยู่ตรงข้ามผม!!!

ที่ร้านอาหารจะเป็นกระจกใส เห็นภูเขาไฟฟูจิชัดเจน เรียกว่านั่งทานข้าวพร้อมกับชมทัศนียภาพไปด้วย ผมจำได้ว่า ก่อนผมมาไม่นานพี่ชายคนโตส่งรูปภูเขาไฟฟูจิมาให้ดู แต่ไม่สวยงามเท่านี้เพราะในรูปหมอกลงเต็มไปหมด ส่วนข้างหน้าผมในตอนนี้ ไม่มีแม้แต่หมอกหรือเมฆมาบดบัง ที่ยอดเขามองเห็นหิมะอย่างชัดเจน แม้แต่คุณพ่อคุณแม่ของผมซึ่งเคยไปเที่ยวที่ภูเขาไฟฟูจิแล้ว ครั้งมาเที่ยวญี่ปุ่น ยังไม่เคยเห็นชัดขนาดนี้มาก่อนเลย(ต้องมาให้ถูกที่ ถูกเวลาด้วยครับ)

อาหารเช้าในวันนี้ ผมยังเทใจให้ปลาซาบะ(อร่อยจริงๆ ที่เมืองไทย ไม่ติดฝุ่น) แกงจืดหมูสับกับผัก(มีผักพันหมูสับไว้อีกทีหนึ่ง) ซุบเต้าเจี้ยว ไส้กรอก แฮม ขนมปัง และน้ำแอ๊ปเปิ้ล

ด้านนอกมีนอกชานยื่นออกไปเล็กน้อย มีคนออกไปถ่ายรูปกับภูเขาไฟฟูจิ รวมทั้งคุณพ่อ คุณแม่และพี่ชาย(คุณพ่อจะรีบไปเข้าห้องน้ำ) ในขณะที่ผมรีบยัดอาหารเช้าให้หมด

แม้ผมจะไม่ได้ไปถ่ายนอกชานตรงนี้ แต่ได้ถ่ายในสถานที่ที่สวยกว่า เพราะมีประตูเดินขึ้นไปบนดาดฟ้า เมื่อเดินขึ้นไปเห็นภูเขาไฟฟูจิชัดเจนมากครับ แม้จะมีลมหนาวพัดมาตลอดแต่ผมก็ไม่กลัวแล้ว ฮ่าๆๆ

นอกจากชั้นนี้ยังสามารถเดินขึ้นไปได้อีกชั้น ผม พี่ชายคนกลางและคุณแม่จึงไม่พลาดที่จะเดินขึ้นไปถ่ายรูปเช่นกัน

ก่อนลงไปด้านล่าง คุณพ่อเดินสวนขึ้นมาพอดี เราจึงเดินขึ้นไปด้านบนอีกครั้งเพื่อถ่ายรูป

เมื่อได้เวลา เราจึงลงไปด้านล่างเพื่อ Check-out และเตรียมตัวออกเดินทาง

พนักสาวญี่ปุ่นหน้า Front คนนั้น ยังทำหน้าที่ตรวจดูกุญแจ คนที่มาคืนอยู่ หลังจากคืนกุญแจแล้ว ผมยังมองความน่ารักของเธอ(มั่นใจว่าคนญี่ปุ่นคงมองหน้าตาธรรมดา แต่อย่างที่บอก เราคนไทยมองคนญี่ปุ่นหน้าตาก็คล้ายๆกันไปหมดครับ) จนกระทั่งออกมาสู่ด้านนอก

ด้านนอกมีน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ มีปลาคาฟล์ ว่ายอยู่ด้านล่าง ผมถ่ายรูปคุณพ่อคุณแม่และบรรยากาศรอบๆโรงแรม ก่อนจะออกเดินทางต่อไป


ออกเดินทางสู่ภูเขาไฟฟูจิ

รถบัสค่อยๆแล่นออกจากโรงแรม Fujinoboukaen พี่ภาคินบอก คำว่า ฟูจิโนบูคาเอน แปลว่าบริเวณที่ล้อมรอบด้วยสวน รวมแล้วก็แปลว่าโรงแรมที่ล้อมรอบไปด้วยสวน ผมว่าโรงแรมนี้จะมีชื่อเสียงมากแน่ๆ ในอนาคตแม้จะเพิ่งเปิดก็ตาม เพราะสภาพโรงแรม การบริการ จุดขายเห็นวิวภูเขาไฟฟูจิชัดเจน แค่นี้ก็เยี่ยมมากๆแล้วครับ

หากไม่มีบริษัททัวร์ เรามากันเองคงยากที่จะมาพักโรงแรมนี้ได้ นอกจากอุปสรรคด้านภาษาแล้ว บริษัททัวร์จะมี contact กับทางโรงแรม ซึ่งจะได้ราคาถูกกว่าที่จะมาเอง (ที่นี่พัก 1 คืน จะรวมอาคารค่ำและอาหารเช้าด้วย)

โดยพี่ภาคินบอกว่า จากที่นี่ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที ก็จะถึงภูเขาไฟฟูจิ ระหว่างนี้ก็หยิบของต่างๆ ในรายการที่เสนอ เมื่อวานนี้ มาให้ลองชิมกัน ไม่ว่าจะเป็นปลาเส้นญี่ปุ่น ช็อคโกแล็ดเมลอน ถั่วพิซซาซิโอ เป็นต้น



ผมเห็นหิมะครั้งแรกในชีวิต!!

รถบัสของเรามาถึงที่ Fuji Subaru Line ซึ่งเป็นประตูในการขึ้นภูเขาไฟฟูจิ แต่เนื่องจากเปิดเวลา 9 โมงเช้า เรามาก่อนเวลาจึงต้องรอซักพัก

ช่วงนี้ผมลงไปข้างล่างกับพี่ชายเพื่อเข้าห้องน้ำ ห้องน้ำตรงนี้ สกปรกมาก ใช้โถส้วมแบบนั่งยองๆถึงแม้จะมีคราบที่ไม่พึงประสงค์ก็ตาม แต่ห้องน้ำแบบนี้แหละเป็นที่ภาคภูมิใจของคนญี่ปุ่นมาก(ที่ผนังใกล้โถส้วมมีเขียนว่า Japanese style)

เมื่อใกล้เวลารถออก มีรถจากบริษัทต่างๆขึ้นมาเรื่อยๆ และแซงเราไปเฉยเลยเพราะเราจอดข้างๆ ประตูไม่ได้จอดหน้าประตูนั่นเอง รอบๆทางผมเห็นหิมะครั้งแรกในชีวิต รู้สึกตื่นเต้นมากๆ

เมื่อรถขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงชั้น 5 อันเป็นชั้นสูงสุดที่เขาอนุญาติให้รถขึ้นได้ ส่วนชั้นต่อไป ต้องเดินขึ้น(แต่ในตอนนี้มีการก่อสร้างจึงอนุญาติให้ขึ้นได้ถึงในชั้นนี้เท่านั้น) คุณภาคินนัดหมายเวลาให้มาเจอกันที่รถ ชี้ไปทางด้านหน้าว่า นอกจากชมวิวภูเขาไฟฟูจิแบบใกล้ๆแล้ว จะมีศาลเจ้า(โกริอิ) ให้เดินขึ้นไปสักการะด้วย

เมื่อลงจากรถ อากาศหนาวมากๆ หนาวที่สุดตั้งแต่เคยเจอมา ผมหยิบหมวกฮิป ฮอบ แบบที่ปิดหูได้มาใส่ทันที มีคนญี่ปุ่นแจกคูปองให้คนละ 1 ใบ คุณภาคินบอกว่าสามารถนำไปแลกกระดิ่งได้ที่ร้านของเขา(เป็นวิธีดึงลูกค้าเข้าร้านนั่นเอง)

ในร้านขายของที่ระลึก มีของขายมากมาย มีที่ผิงไฟสำหรับคนต้องการความอบอุ่น ด้านหน้าของผมที่คนต่อคิวยาวเหยียดนั้น คือเครื่องทำเหรียญที่ระลึก สามารถสลักชื่อตัวเองได้ด้วย

ผมและครอบครัวไม่ได้สนใจตรงนี้มากนัก เนื่องจากเวลาที่ไม่มาก จึงเลือกที่จะเดินขึ้นไปบนศาลเจ้า ผมนำหิมะมาวางไว้บนฝ่ามือและถ่ายรูปไว้ เหมือนก้อนหิมะบนช่องฟรีสนี่เอง แต่มีสีขาวชัดเจน

ด้วยอากาศที่เย็นจัด ฝ่ามือของผมมีสีแดง มือชาไปหมด โชคดีคุณแม่มีถุงมือสำรอง ผมเลยหยิบมาใส่ แต่ก็ใส่เพียงข้างเดียวเพราะอีกข้างผมจะต้องใช้ถ่ายรูป จึงไม่ค่อยสะดวกนัก(ใช้ล้วงกระเป๋าแทนการใส่ถุงมือ)

ที่ศาลเจ้ามีพระพุทธรูปแบบญี่ปุ่นให้สักการะ เดินต่อไป จะมีบันไดขึ้นไปถ่ายรูปภูเขาไฟฟูจิแบบใกล้ๆด้วย แต่มุมอาจไม่เต็มเท่าที่ถ่ายที่โรงแรม ทั้งนี้เพราะ การจะเห็นแบบเต็มๆ ถ่ายระยะไกลจะได้ประสิทธิภาพมากกว่าครับ ส่วนการถ่ายที่นี่ ได้บรรยากาศใกล้ชิดกว่า

เดินลงมาด้านล่าง ผมมาถ่ายรูปกับพี่ชายอีก ลมพัดมาเรื่อยๆ เบาบ้างแรงบ้าง เชื่อหรือไม่ว่า นอกจากใบหน้าที่ชาเพราะความเย็นแล้ว ยังมีน้ำมูกไหลออกมาด้วย ผมเอามือออกจากที่ล้วงกระเป๋าเพื่อถ่ายรูป ไม่เกิน 10 วินาที จะต้องเอากลับเข้าไปซุกอีก เพราะเย็นจนชาไปหมดครับ(บางทีลมมาแรงๆก็ต้องมาหลบมุมตึกก็มี)

หากไม่เห็นภาษาญี่ปุ่น หลายๆคนอาจคิดว่าผมมาเที่ยวยุโรปแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัว บรรยากาศที่มีหิมะรอบด้าน

ผมเดินกลับเข้าไปในร้านเพื่อเข้าห้องน้ำอีกครั้ง บางคนยังทำเหรียญยังไม่เสร็จเลย ผมคิดในใจว่าดีแล้วที่ไม่ได้ต่อคิว ไม่งั้นคงเสียเวลาไปมาก

ก่อนขึ้นรถบัส คุณน้าที่นั่งกระเช้ากับเราเมื่อวานนี้ ใจดีมาก เป็นตากล้องถ่ายรูปให้ ผม คุณพ่อคุณแม่และพี่ชายคนกลางด้วย

เมื่อขึ้นมาบนรถ ผมจึงทราบจากพี่ภาคินว่า อุณหภูมิที่นี่ -3องศาเซลเซียส(ที่ร้านขายของที่ระลึกมีที่วัดอุณหภูมิ) นับว่าเป็นอุณหภูมิที่หนาวที่สุด เท่าที่ผมเคยเจอมาเลยครับ

พี่ภาคินบอกว่า ประมาณเดือนหนึ่ง(มกราคม) หิมะจะปกคลุมที่นี่จนขาวโพลนไปหมด รถจะขึ้นมาไม่ได้ ต้องเดินเท้าขึ้นมาเท่านั้น ผมนึกภาพตามโดยสังเกตจากต้นไม้เปลี่ยนสีที่ใบร่วงลงจากต้นหมดแล้ว คงเป็นภาพที่สวยงาม อากาศคงหนาวกว่านี้อีกแน่นอน

Friday, December 16, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(2)




มหานครโตเกียว!!!!

ผมเริ่มมองเห็นตึกสูงมากขึ้นเรื่อยๆ บ้างก็เป็นบริษัทรถยนต์ บ้างก็เป็นบริษัทเครื่องใช้ไฟฟ้า พี่ภาคินบอกว่าเรากำลังจะถึงมหานครโตเกียวแล้ว ที่เรียกแบบนั้นเพราะที่นี่เป็นเมืองใหญ่ มีมูลค่ามหาศาล

ผมจับที่กระจกข้างๆ เย็นเฉียบคงไม่ต้องบอกว่าอากาศด้านนอกเป็นเช่นไร

ตึกรามบ้านช่องดูสวยงาม สะอาดตา เป็นระเบียบ ต้นไม้ส่วนใหญ่เปลี่ยนสี แม้จะมีรถติดบ้างตามสไตล์เมืองหลวงก็ตาม บางครั้งอาจดูแออัดแต่ก็ไม่เท่ากรุงเทพ มีที่จอดรถขีดเส้นไว้ให้จอดอย่างเป็นระเบียบ

เห็นคนใส่สูทเดินตามริมถนนอย่างรีบเร่ง บางคนก็ขี่จักรยาน ตามแยกไฟแดงทุกแยก มีไฟสัญญาณสำหรับให้คนเดินถนนข้าม โดยทุกคนเคารพกฏ ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถหรือคนเดินถนนก็ตาม(บ้านเราคงโดนรถเมล์ทับตายก่อนแน่นอน)

ผมสังเกตเห็นแท๊กซี่ที่นี่ คนขับใส่สูททั้งนั้น เห็นแล้วก็ดูดีครับแต่คงเอามาใช้กับบ้านเราที่อากาศร้อนไม่ได้ โดยค่าโดยสารตกอยู่ที่ 2 กิโลเมตรแรก 550เยน(เกือบ 200 บาท) กลางคืน 2 กิโลเมตรแรก 650 เยน(200กว่าบาท)

พี่ชายคนโตของผมอาศัยอยู่ในเมืองนี้ แต่เรานัดเจอกันในวันรองสุดท้าย เมื่อเรากลับมาที่โตเกียวอีกครั้งหนึ่ง

พี่ภาคินแจกรายการขายของมาให้ดูกัน โดยใครต้องการลูกพลับต้องรีบสั่ง จะได้นำมาให้ทันในวันสุดท้ายก่อนกลับเมืองไทย นอกจากจะได้ราคาพิเศษแล้ว พี่ภาคินยังบอกอีกว่าลูกพลับญี่ปุ่นมีรสชาดอร่อยที่สุด(ผมก็นึกไม่ออกหรอกต้องขอกินก่อน) ส่วนรายการอื่นๆค่อยสั่งในวันรุ่งขึ้นก็ได้ รายการที่ผมเห็นแล้วสนใจมาก คือถ้วยโป๊ เวลาใส่น้ำร้อนจะมีรูปผู้หญิงปรากฏ (ผมชอบของแปลกเสียด้วยซิ ฮ่าๆๆๆ)

รถบัสของบริษัทฮิราโกะเลี้ยวซ้ายมาจอดภายในสวนสาธารณะ

สะพานประวัติศาสตร์นิชูบาชิ(สะพานสายรุ้ง)

อากาศยังคงเย็นเหมือนเดิม เมื่อผมยังอยู่ในช่วงปรับตัว หน้าตาเหยเกจึงยังมีอยู่ แต่เฉพาะเวลาเดินที่มีลมเย็นๆเท่านั้นครับ เวลาถ่ายรูปทำไม่ได้ (ต้องหล่อเข้าไว้ ฮ่าๆๆๆ) แม้จะมีแดดออกแต่ใครไม่ได้มาสัมผัสคงไม่ทราบว่า ไม่ได้ร้อนเลย ยืนกลางแดดก็ไม่ร้อน เพียงช่วยให้อุ่นขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น

บางคนก็เข้าห้องน้ำ ผมถือโอกาสถ่ายรูปต้นไม้เวลาเปลี่ยนสีไว้ โดยต้นนี้มีขนาดใหญ่ สีออกน้ำตาลแก่ปนสีขาว ข้างๆผมยังถ่ายรูปรถบัสสีเหลืองของบริษัท ฮาโต(จริงๆนึกว่าเป็นรถของผมที่โดยสารมา หน้าแตกแบบเงียบๆคนเดียว)

เดินผ่านรูปปั้น คนโบราณขี่ม้าสวมชุดทำศึกแบบญี่ปุ่น ช่างน่าเกรงขามทีเดียวครับ มองไปข้างๆมีคนจำนวนหนึ่งกำลังเก็บใบไม้ที่ร่วงและตัดแต่งกิ่ง คุณพ่อบอกว่า พวกเขาบางคนทำเป็นงานพิเศษ ที่สำคัญค่าตอบแทนดีมากด้วย(อยากทำจัง)

ต้องรีบเดินจ้ำนิดนึงเพราะข้างหน้าสัญญาณไฟสำหรับให้คนเดินผ่านได้(สีเขียว) กำลังแสดงพอดี(สัญญาณไฟแบบนี้ผมชอบมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเคยใช้ตอนไปเที่ยวที่จังหวัดภูเก็ต)

ข้างหน้าคือสะพานประวัติศาสตร์นิชูบาชิหรือเรียกอีกชื่อว่าสะพานสายรุ้ง ตั้งอยู่ข้างหน้าพระราชวัง(สมัยก่อนมีโชกุนอยู่ภายใน) ปัจจุบันเป็นที่พักของเชื้อพระวงศ์ มีกำแพงล้อมรอบ และมีคูน้ำล้อมรอบอีกทีเช่นกัน มีทหารยืนเฝ้าพระราชวังด้วย ถ้าเปรียบกับบ้านเรา คือ สวนจิตรดา

สะพานแห่งนี้มีประวัติว่า สมัยก่อนมีบุคคลกลุ่มหนึ่งซึ่งมีเลือดรักชาติที่รุนแรงมาก มาคว้านท้อง(ฮาราคีรี)เสียชีวิตที่สะพานแห่งนี้ โดยรายละเอียดผมก็จำไม่ค่อยได้แล้วด้วย

นอกจากพวกผมยังมีกรุ๊ปทัวร์จากที่อื่นมาด้วย ที่เห็นน่าจะเป็นคนไต้หวันหรือคนจีนนี่แหละ แต่ละคนดูมีความสุขกับการถ่ายรูป เช่นกัน ตัวผมและครอบครัวก็ถ่ายรูป เก็บความประทับใจกับสถานที่แห่งนี้ด้วย

เดินข้ามถนนกลับมาที่รูปปั้นคนโบราณขี่ม้า สวมชุดศึกญี่ปุ่น ประวัติของท่านที่จารึกอยู่ คงน่าสนใจไม่น้อย น่าเสียดายที่ผมอ่านไม่ออก จึงถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

ก่อนขึ้นรถผมเข้าห้องน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ประตูทางเข้าช่างเตี้ยจริงๆ ผมต้องก้มหัวไม่งั้นโขกแน่(เขาคงไม่ได้สร้างมาให้คนอย่างผมเข้าล่ะมั้ง) ผมไม่ลืมที่จะเก็บภาพส้วมแบบโบราณ ลักษณะนั่งยองๆ ว่ากันว่าคนญี่ปุ่นภูมิใจกับส้วมในลักษณะเช่นนี้มาก

ข้างนอกมีตู้น้ำอัตโนมัติ มีเครื่องดื่มมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ชาเขียว(ตราโออิชิแน่นอน) น้ำแร่ กาแฟ โดยราคาตกประมาณ 120-150เยน(ประมาณ40-50 บาทต่อขวด) นอกจากน้ำแร่ 1 ขวดที่ซื้อมา ผมลองทานน้ำที่พี่ภาคินแนะนำ ขวดสีแดง ผมชอบอย่างเดียวคือ อุ่นดี เหมาะสำหรับอากาศเย็นๆ เช่นนี้ ว่าแต่จืดไปมากเลย ว่าแล้วก็ขอถ่ายรูปกับตู้น้ำหน่อย(บ้านนอกจริงวุ้ย)

อีก 1 ตู้ใกล้ๆ น่าสนใจเช่นกันเป็นตู้ไอศครีมยอดเหรียญอัตโนมัติ เขียนว่า Lotte Italian Icecreme ถ้าเมืองไทยมีขายคงดีครับเพราะอากาศบ้านเราร้อนเหลือเกิน

ก่อนออกเดินทางพี่ภาคินโทรหาเจ้าของร้านอาหาร ที่เราจะไปทานกันว่า อาจมาถึงประมาณบ่ายโมงครึ่งแต่ขอให้รอ พี่ภาคินเล่าให้ฟังอีกว่า คนญี่ปุ่นเป็นคนตรงต่อเวลา หากมาไม่ตรงเวลาโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า เขาก็เก็บอาหารทันที

มุ่งหน้าสู่ทางใต้ของโตเกียว!!!

รถบัสค่อยๆแล่นออกจากเมืองโตเกียวโดยมุ่งหน้าไปทางใต้ พี่ภาคินชี้ให้ดูตึกสูงๆ เช่นรัฐสภาญี่ปุ่น โตเกียวทาวเวอร์ เป็นต้น

มีหอพักมากมาย พี่ภาคินบอกว่า ห้ามดูถูกโดยเด็ดขาด แม้จะมีสภาพภายนอกที่ซ่อมซ่อ ตึกร้าว แต่ค่าเช่าตกเดือนละ 50000 บาท ไม่แปลกใจที่ผมจะพูดคำว่า “โอ้โห” ออกมา

ไม่นานนักความเหนื่อยอ่อนก็ทำให้ผมเผลอหลับเล็กน้อย

สุดยอดถนน

ผมชอบถนนหนทางของที่นี่เพราะเส้นทางออกนอกเมือง บนทางด่วนเราสามารถมองเห็นเมืองที่เราผ่านมาได้ง่าย ทางด่วนสร้างได้ดีจริงๆ(หากเป็นเมืองไทย ออกต่างจังหวัดก็จะเป็นถนนเรียบอยู่กับพื้น มองไม่เห็นเมืองที่ผ่านมา ต้องเลี้ยวเข้าไปถึงจะเห็น) ผมคุ้นกับคำพูดของใครบางคนที่เคยพูดไว้ว่า ญี่ปุ่นสร้างถนนก่อนที่จะสร้างเมือง แต่เมืองไทย มีชุมชนใหญ่ๆเกิดมากขึ้นแล้ว จึงค่อยสร้างถนน เมื่อบวกกับระบบขนส่งมวลชนที่ยังไม่ทั่วถึง คนจึงใช้รถยนต์กันมาก ทำให้รถติดดังเช่นปัจจุบัน )

ข้างขวามือของผม คือ บ้านของชาวนาที่กำลังปลูกข้าวอยู่ พี่ภาคินอธิบายถึงข้าวญี่ปุ่นทำให้ผมเริ่มหิวขึ้นมาทันที

รถยนต์ตามท้องถนน รุ่นยอดฮิตที่เห็นบ่อยๆก็มี ฮอนด้า ไดฮัทซุ เป็นต้น โดยเฉพาะไดอัทซุผมเห็นบ่อยๆ พี่ภาคินบอกว่า กินน้ำมันอยู่ที่ 30 กิโลเมตรต่อ 1 ลิตร(ประหยัดมาก) คนญี่ปุ่นจึงนิยมใช้ ส่วนคนไทยที่ไม่ค่อยใช้อาจเป็นเพราะว่า ไม่นิยมรถเล็ก รถแบบนี้ไม่ค่อยเข้ามาในเมืองไทย หาอะไหล์เปลี่ยนยาก (ถ้ามีใช้ในบ้านเรา คงประหยัดน้ำมันดี ผมก็เป็นคนหนึ่งล่ะครับที่จะเลือกใช้) ส่วนรถแท๊กซี่ที่เห็นบ่อยๆ หวยไปออกที่รถโตยาต้า คราวด์ ครับ

แวะพักที่ร้านสะดวกซื้อริมทาง มีห้องน้ำไว้บริการด้วย ภายในมีของที่ระลึกขายบ้าง สิ่งที่พี่ภาคินแนะนำก็คือ ไอครีมญี่ปุ่น มีลักษณะเป็นกล่อง วิธีกินใช้บีบให้ออกมาแล้วใช้ปากดูด(กล่องดีไซน์มาให้ดูดโดยเฉพาะ มีฝาปิดจุกเรียบร้อย) ผมไม่ได้ลองกินแต่หลายๆคนดูจะมีความสุขไม่น้อย กับของแปลกใหม่



ยินดีต้อนรับสู่ วนอุทยานฮาโกเน่

รถเข้าสู่เขตวนอุทยานฮาโกเน่ จังหวัดคานางาว่า โดยเส้นทางลัดเลาะขึ้นเขา ลงเขาไปเรื่อยๆ มองเห็นใบไม้เปลี่ยนสีอย่างสวยงาม มองเห็นท่าเรืออยู่ไม่ไกล พี่ภาคินบอกว่า หลังจากรับประทานอาหารกลางวัน เราจะไปขึ้นเรือล่องทะเลสาบอาชิ(อาชิ แปลว่า ขา) ก่อนที่จะไปขึ้นกระเช้าชมทัศนียภาพ(ถ้าเป็นกรุ๊ปอื่นๆ จะเดินทางโดยรถต่อไปที่หุบเขาโอวาคุดานิ ไม่มีโปรแกรมขึ้นกระเช้าแต่พี่ภาคินเห็นว่าไหนๆมากัน จึงไม่ควรจะพลาดการนั่งกระเช้าชมทัศนียภาพ แม้จะต้องจ่ายเพิ่มก็ตาม)

เมื่อลงจากกระเช้าแล้ว เดินขึ้นไปยังหุบเขาโอวาคุดานิเพื่อชมบ่อกำมะถัน และกินไข่สีดำ(ผลมาจากกำมะถัน) เมื่อเข้าที่พักในตอนเย็นอยากให้ทุกๆคนสวมชุดยูคาตะ(ชุดนอนของญี่ปุ่น) เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศกลางป่าเขา

ประตูสีแดงขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าผม เรียกว่าโทริ(แปลว่า ทางเข้าของเทพเจ้า) ตั้งตระหง่านอยู่ทางเข้าเมือง ผมเห็นบรรยากาศของที่นี่ ทำให้ลืมความแออัดของเมืองโตเกียวไปได้เลย เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ธรรมชาติสวยงาม มีความเป็นส่วนตัวสูง เหมาะสมกับผู้รักสันโดษโดยแท้

เราพักกินข้าวกลางวันในเวลาบ่ายโมงครึ่ง ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในเมือง พี่ภาคินบอกว่า ร้านนี้มีสาวน้อยแต่เป็นสาวที่เหลือน้อยแล้ว(ความสาวเหลือน้อยแล้ว)


ความโอบอ้อมอารีของชาวญี่ปุ่น

ในร้านจัดโต๊ะไว้เรียบร้อย(ตามที่พี่ภาคินโทรมาล่วงหน้า) รอต้อนรับกลุ่มของเรา ผมสังเกตเห็นหน้าตาพนักงานทุกคนล้วนเป็นผู้สูงอายุแล้ว(แต่ไม่ถึงขนาดถือไม้เท้า เดินไม่ไหว ฟันปลอมหลุดนา) ผมจึงเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า ความสาวที่เหลือน้อยแล้วเป็นเช่นไร แต่นั่นก็ไม่สำคัญเท่า รอยยิ้มที่พนักงานมีให้นักท่องเที่ยว คอยบริการให้อย่างดี มีอยู่ช่วงหนึ่ง เสื้อโค๊ตของคุณพ่อติดอยู่ที่ขาเก้าอี้ พนักงานคนหนึ่งก็พยายามเข้ามาบอกว่า เสื้อติดอยู่ใต้เก้าอี้ แม้จะสื่อสารในการฟังภาษาไม่รู้เรื่อง แต่การแสดงออก ท่าทางประกอบ ทำให้เข้าใจได้ ผมเห็นลักษณะการช่วยเหลือของเธอบวกกับหน้าตาที่ดูน่าสงสาร รู้สึกดีใจและเข้าถึงความโอบอ้อมอารีของเธอได้อย่างชัดเจน

อาหารกลางวันเป็นชุดๆ มี ข้าวสวย ปลาชุบแป้งทอด หมูซีอิ้วกับผัก ซุบเต้าเจี้ยว และผลไม้ คือ ส้มแบบญี่ปุ่น แม้จะเป็นอาหารที่ดูธรรมดา ไม่ต่างจากร้านอาหารญี่ปุ่นในเมืองไทย แต่รสชาติซุบเต้าเจี้ยว ร้านอาหารญี่ปุ่นในไทยไม่ติดฝุ่น(ของเทียมมีหรือจะสู้ของแท้) ที่ผมชอบมากอีกอย่างคือ ขวดที่มีลักษณะคล้ายเครื่องปรุง ภายในมีสาหร่ายป่นๆกับเครื่องปรุงเล็กน้อย โดยใส่ในข้าวเปล่า(เหมือนใส่น้ำพริกเผากับข้าวน่ะครับ) อร่อยมากครับ

ภายในร้านมีของที่ระลึกขายบ้าง ที่ผมสนใจเป็นพิเศษคงจะเป็นลูกป๊อกแป๊ก เป็นของเล่นเด็กๆ วิธีเล่นที่ต้องนำลูกสีแดงๆ ที่มีเชือกผูกกับเครื่องเล่นไม้ ขยับบนล่างสลับกันเรื่อยๆ ให้มาเข้าร่องบนเครื่องเล่นไม้แต่ละข้างให้ได้

ก่อนออกจากร้านพนักงานและเถ้าแก่(ก็อายุพอๆกันกับพนักงาน) ไม่ลืมที่จะยิ้มแย้มและพูดภาษาญี่ปุ่น ผมเดาๆได้ว่า ขอบคุณมาก โอกาสหน้าเชิญใหม่ ทำนองนั้นแหละ

พี่ภาคินบอกว่า ลืมบอกไปเรื่องเรือ เพราะจะออกในเวลานี้ หากช้าจะต้องรออีกครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง เราจึงต้องรีบเดินไป ผมใช้ความว่องไว ถ่ายรูปโทริ(ประตูของเทพเจ้า) ก่อนเดินตามไป

เสน่ห์ของเมือง ริมทะเลสาบอาชิ

เดินจ้ำๆ ไป ระหว่างทางผมถ่ายรูปไปตลอด ไม่ว่าจะเป็นรูปวิว รูปครอบครัว แต่ลมเย็นๆที่พัดมาทำเอาผมต้องเอามือล้วงกระเป๋าทุกครั้งหากไม่ได้ถ่ายรูป มือเริ่มชา ภายนอกของเสื้อหนาวที่เป็นผ้าร่ม เย็นเฉียบ(หน้าตาเหยเกด้วยเหมือนเดิม) ยังมีคนญี่ปุ่นนั่งตกปลาด้วยแน่ะ แต่ใครลงไปว่ายน้ำ แน่มาก ผมต้องขอถ่ายรูปไว้แน่ๆ

เมื่อถึงจุดซื้อตั๋ว พี่ภาคินบอกเรามาไม่ทัน ต้องรอเรือเที่ยวต่อไป แต่ผมก็ไม่มีปัญหา ดีซะอีก มีเวลาเดินชมเมืองที่มีเสน่ห์แห่งนี้ต่อ

ป้ายทะเลสาบอาชิ ประตูทางเข้าของเทพเจ้า(ประตูโทริ) บรรยากาศภายในเมือง ใบไม้เปลี่ยนสี ที่ออกแดงๆ ดูจะเป็นวิวยอดนิยม สำหรับครอบครัวผมในเวลานี้ ทุกคนตื่นตาตื่นใจมาก แม้ผมจะพึ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ผมกลับหลงรักเมืองเล็กๆ เมืองนี้เข้าอย่างจังเลยครับ (ภาษาวัยรุ่น เรียกว่า โดนว่ะ)

ถึงตอนนี้คนอื่นๆในทัวร์ เลือกที่จะพักอยู่ภายในอาคารซื้อตั๋วรวมทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ด้วย เพราะที่นี่เปิดฮีทเตอร์ไว้ ส่วนผมกับพี่ชายคนกลางเลือกที่จะเดินออกมารับบรรยากาศเย็นยะเยือกข้างนอก

ตื่นตาตื่นใจมาก ตอนแรกนึกว่าตาจะฝาดไปเสียแล้ว ผมเห็นควันออกจากปาก เวลาหายใจแรงๆ เนื่องจากเมืองไทยไม่ได้ทำได้บ่อยๆ จึงไม่แปลกใจที่ผมจะเล่นเป็นเด็กๆ เพื่อขอดูควัน(เอ้า มันแปลกตรงไหน คุณบ้านนอก)

ทุกคนลุกขึ้นเตรียมตัว เป็นสัญญาณว่าเรือใกล้มาแล้ว ผมรีบเข้าห้องน้ำและพบฝาชักโครกที่ปรับอุณหภูมิได้ เมื่อใช้มือลองแตะ อุ่นจริงๆครับ ไอเดียนี้เจ๋ง ผมหวังว่า คงจะได้มีโอกาสใช้งานมันบ้าง

ปากซีด ใบหน้าชา หนาวสั่นทั้งตัว!!!

เรือขนาดใหญ่สีเขียวแก่ กระโดงเรือมีสีแดง กำลังเข้าเทียบท่า ผมยืนรับลมอยู่ในกลุ่มด้วยความหนาว มีผู้คนจำนวนมากลงมาจากเรือ

บนเรือ ชั้นล่างมีห้องที่เปิดฮีทเตอร์ไว้ ส่วนใครต้องการชมทัศนียภาพต้องเดินขึ้นมาชั้นบน ผมและครอบครัวเดินขึ้นมาถ่ายรูป ที่ชั้นบน

มีรูปปั้นหัวหน้าโจรสลัดยืนตระหง่านอยู่กลางเรือ เป็นที่ถูกอกถูกใจผู้ที่ชื่นชอบการถ่ายรูป ด้านบนมีรูปปั้นลูกเรือกำลังส่องกล้องสังเกตการณ์ว่า มีข้าศึกมารุกล้ำหรือยัง

แม้ผมจะได้ผ้าพันคอมาช่วยอีกแรง(แต่ก็ใส่ได้ไม่นานเพราะคันคอเพราะขนที่ผ้าเหลือเกิน) ลมที่พัดมาตลอดเวลา เมื่อเรือแล่นทำเอาผมตัวสั่น หนาวจับขั้วหัวใจ ปากซีด ยิ่งผมใส่เสื้อบางกว่าคนอื่นๆ คุณพ่อและแม่ต้องบอกให้ลงไปด้านล่างในห้อง ผมเข้าใจอย่างดีว่า คนที่หนาวตายมีความรู้สึกทรมานไหม(หลังจากเคยทดสอบการถูกคลื่นตีที่หาดป่าตองจนเข้าใจความรู้สึกของผู้ประสบภัยในเหตุการณ์สึนามิมาแล้ว)

เมื่อผมลงมาด้านล่าง นั่งพักในห้องฮีทเตอร์ เมื่อร่างกายอบอุ่นลง ก็รู้สึกสดชื่นขึ้น จากนั้นไม่นานเรือเทียบท่า เป็นสัญญาณให้เตรียมตัวลงได้(หัวติดอีกแล้ววุ้ย)


นั่งกระเช้าสู่หุบเขาโอวาคุดานิ

เราเดินเท้าขึ้นไปประมาณ 100 เมตร ข้างๆ เห็นต้นไม้ที่เปลี่ยนสีแดงและสีเหลือง ดูสวยงาม เราเดินต่อไปจนเข้าอาคารเล็กๆ ภายในมีร้านขายของ เด็กสาวญี่ปุ่นสวมชุดนักเรียน หน้าตาน่ารัก 2 คน ทำหน้าที่เป็นพนักงานขายของ

ผมสังเกตเห็นไข่สีดำวางขายอยู่ในร้าน ลวกและบรรจุไว้อย่างเรียบร้อยสำหรับให้นักท่องเที่ยวซื้อขึ้นไปทาน

ใกล้ๆมีที่ปั้มสำหรับปั้มกระดาษไว้เป็นที่ระลึก มีสีเขียว ผมหยิบสมุดโน๊ตที่ติดตัวมาปั๊มลงไปด้วย

เมื่อพี่ภาคินซื้อตั๋วเรียบร้อย เราใช้ตั๋วสอดเข้าไปในเครื่องทางผ่านจึงเปิดออก เมื่อเดินผ่านก็ดึงตั๋วมาเก็บไว้(ทางผ่านเหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา)

กระเช้าของผมนั่งกัน 7 คน นอกจากคุณพ่อ คุณแม่ พี่ชายคนกลางก็ยังมีสามสาวไทย วัยกลางคน โดยพวกเธอมาทัวร์เดียวกับเราด้วย พวกเธอมีน้ำใจมาก ขันอาสาถ่ายรูปให้ครอบครัวผมด้วย

วิวด้านล่าง เป็นป่าไม้สลับกับแม่น้ำ ผมสังเกตเห็นว่า ใบไม้ที่เปลี่ยนสีจำนวนมากร่วงหล่นจากต้น จนเหลือแต่ต้นไม้เปล่าๆหลายต้น เป็นสิ่งบ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่า หากเรามาเร็วกว่านี้ซัก 1 อาทิตย์ แถบนี้จะเต็มไปด้วยสีแดง และสีเหลืองของใบไม้ทั้งหมด และหากเรามาช้ากว่านี้อีก อาจจะไม่ได้เห็นอะไรเลยก็ได้ นับว่าเราโชคดีจริงๆ

คุณภาคินบอกไว้ก่อนขึ้นกระเช้าว่า สถานีแรก ไม่ต้องลง ให้โบกมือบ๊ายบายบอกเจ้าหน้าที่(แปลว่าไม่ลง สถานีนี้) ให้ลงสถานี้ที่เขียนว่า โอวาคุดานิ

เมื่อใกล้ถึงสถานีโอวาคุดานิ มองเห็นควันสีขาวกำมะถันอยู่บนหุบเขาอย่างชัดเจน

มุ่งหน้าสู่บ่อกำมะถัน กินไข่ให้อายุยืนยาว

กระเช้ามาถึงสถานีโอวาคุดานิ ภายในอาคารมีซานตาคลอสตัวใหญ่ เตรียมตัวรับนักท่องเที่ยวสำหรับคริสมาสที่จะมาถึง มีที่ปั๊มกระดาษอีกเช่นเคย คราวนี้มีขนาดใหญ่และมีสีแดง ผมจึงหยิบขึ้นมาปั๊มอีกครั้ง

ด้านนอกอาคารอากาศเย็นมาก(หนาวจับขั๊วหัวใจ หน้าเย็นจนชา หายใจเห็นเป็นไออย่างสะใจ หัวเราะก็มีไอให้เห็น เท่ดี) มองเห็นควันสีขาวของกำมะถันอยู่บนเขา

เราเดินลงไปตามทางเข้าสู่ร้านขายของที่ระลึกอีกครั้ง ที่นี่เปิดฮีทเตอร์ไว้อุ่นดี คุณภาคินบอกให้เราซื้อไข่ที่เขาลวกกำมะถันไว้แล้ว ถือเอาไปกินด้านบนเพราะขณะนี้เย็นแล้ว คงไม่มีใครมาลวกให้เรากินแบบสดๆ

เดินขึ้นไปตามเส้นทางจนถึงด้านบน ได้กลิ่นฉุนของกำมะถันอย่างชัดเจน แม้ผมจะไม่เก่งด้านวิทยาศาสตร์แต่รู้ว่า กลิ่นเหมือนแก๊สไข่เน่า ไม่ต่างกับตดของเราเท่าไรนัก

เมื่อถึงที่หมายกำมะถันฟุ้งไปหมด เห็นน้ำที่ร้อนกำลังเดือดปุดๆ เราแกะไข่ที่มีเปลือกสีดำ ซึ่งได้มาจากการลวกด้วยความร้อนของกำมะถัน ภายในก็รสชาติเหมือนไข่บ้านเราครับ มีความเชื่อว่าใครมาที่นี่กินไข่ 1 ฟอง อายุจะยืนยาวเพิ่มไปอีก 7 ปี ผมกับพี่ชายคนกลางกินคนละ 1 ฟอง ส่วนคุณพ่อและคุณแม่กินคนละ 2 ฟอง กินเปล่าๆก็อร่อย ใส่เกลือแล้วก็ยิ่งอร่อยเข้าไปใหญ่

เราเดินกลับเพื่อมาขึ้นรถ แม้พึ่งจะ 5โมงเย็น แต่พระอาทิตย์กำลังตก รอบด้านกำลังจะมืดหมดแล้ว

คุณภาคินบอกว่า เราจะไปที่เมืองคาวากูชิอันเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้ เมืองนี้ล้อมรอบไปด้วยทะเลสาป อยู่ใกล้ภูเขาไฟฟูจิ รอบๆด้านเริ่มมืด ผมหลับไปอีกครั้งด้วยความอ่อนเพลีย

Wednesday, December 14, 2005

ตะลุย...แดนปลาดิบ(1)






“ปลายเดือนพฤศจิกายน เราจะไปประเทศญี่ปุ่นกัน” เป็นเสียงคุณพ่อและคุณแม่ของผม บอกไว้ล่วงหน้าอยู่หลายเดือน โดยมีจุดประสงค์หลักในการไปเยี่ยมพี่ชายคนโตซึ่งไปศึกษาต่อยังประเทศญี่ปุ่น

ทั้งนี้เพราะการเดินทางไปต่างประเทศนั้นจะต้องมีการเตรียมตัวอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องหนังสือเดินทาง การขอวีซ่า ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ว่ากันว่า การขอวีซ่าเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นมีความยากไม่แตกต่างกับการไปประเทศอเมริกาเลย เหตุผลสำคัญมากก็คือ เขากลัวเราเข้าไปทำงานในประเทศของเขา(ที่เรียกกันว่า พวกโรบินฮู้ดนั่นแหละครับ)

คนอื่นๆ ที่ทำงานแล้ว จะต้องแสดงบัญชีรายรับ-รายจ่าย อย่างละเอียด ส่วนคนที่ยังไม่มีงานทำอย่างผม จะต้องมีใบรับรองจากสถานศึกษาปัจจุบัน ว่ายังศึกษาอยู่(เรื่องมากจังวุ้ย แต่ต้องยอมครับ)

การเดินทางไปต่างประเทศในครั้งนี้ เราติดต่อบริษัททัวร์ แม้ผมจะไม่เคยชอบการเดินทางแบบทัวร์เลย เพราะเราจะมีเวลาส่วนตัวน้อย แต่สำหรับการไปต่างประเทศ การไปกับทัวร์จะถูกกว่า การไปด้วยตนเอง เพราะทางบริษัทจะมีสัญญากับที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหารต่างๆหรือแม้กระทั่งสายการบิน นอกจากจะได้ทานอาหารดีราคาถูกกว่าการไปติดต่อเอง ยังได้ไปเที่ยวหลายที่ ภายในระยะเวลาที่จำกัดด้วย

ยิ่งเป็นประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่พูดภาษาอังกฤษแล้ว การทำอะไรจึงไม่สะดวกนักหากพูดภาษาเขาไม่ได้

สำหรับผม การไปต่างประเทศเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากโดยเฉพาะหนทางที่จะต้องเดินทางโดยเครื่องบินซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง แม้คราวนี้จะไม่ใช่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ถือว่าบ่อยนัก

ครั้งแรกของการไปต่างประเทศ คือ ประเทศมาเลเซีย เป็นการเดินทางโดยรถยนต์ ผ่านด่าน ที่ อำเภอสะเดา จังหวัด สงขลา ขณะนั้น ผมยังศึกษาอยู่ในระดับมัธยมต้น เป็นการฉลองที่พี่ชายคนโตเรียนจบมัธยมและได้เข้ามหาวิทยาลัย

หลังจากนั้นเกือบสามปี ผมได้ไปเที่ยวประเทศฮ่องกง เป็นการเดินทางโดยเครื่องบินครั้งแรก เป็นการฉลองที่พี่ชายคนกลางจบมัธยมเช่นกันและเข้ามหาวิทยาลัย

หลังจากผมได้เข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัย ก็จะถึงคราวที่จะได้ไปต่างประเทศอีกครั้งหนึ่ง โดยผมมักจะออกความเห็นในเรื่องนี้ว่า ขอไปเที่ยวในประเทศดีกว่า โดยเฉพาะการเที่ยวทะเล(ก็ไปต่างประเทศมันแพงครับ)

เมื่อพี่ชายไปศึกษาต่อที่นั่น จึงเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะได้อยู่กันพร้อมทั้งครอบครัว อีกครั้งหนึ่ง


30 พฤศจิกายน 2548

“ อากาศที่นั่น 5 องศา นะ จะแต่งตัวไปแบบนี้เหรอ แล้วจะรู้สึก” คุณพ่อผู้มีประสบการณ์ในการไปเที่ยวต่างประเทศหลายครั้งเตือนผม เมื่อเห็นผมสวมเพียงเสื้อรักบี้แขนสั้นเท่านั้น

ผมนึกอากาศที่หนาวมากๆยังไม่ออก อยู่กรุงเทพ ก็เคยเจอ อย่างมากแค่ 18 องศา เท่านั้น(แต่ผมไม่ลืมใส่เสื้อหนาวในเป้ สำหรับขึ้นเครื่อง 2 ตัว หากว่าหนาวมากผมจะได้หยิบขึ้นมาสวมได้ทัน)

หลังจากที่จัดกระเป๋า ปิดบ้าน ตรวจความเรียบร้อยในเรื่องน้ำและไฟฟ้า ผม คุณพ่อและคุณแม่ พี่ชายคนกลาง จึงออกเดินทางไป สนามบินดอนเมือง


ระหว่างเดินทางคุณแม่ถามผมว่า หากให้ผมอยู่บ้านโดยให้เงินผมเท่ากับการเดินทางครั้งนี้เพื่อเอาไปดำน้ำ ผมจะตกลงไหม

ผมตอบแบบไม่ลังเลว่า ไม่เอา เพราะครั้งหนึ่งผมเคยมีโอกาสเดินทางไปประเทศออสเตรเลียแบบฟรีๆเพราะพี่ชายคนโตจะไปเยี่ยมพี่ชายคนกลาง แต่ผมปฎิเสธไปเพราะไม่อยากขาดเรียนอีกทั้งก็ใกล้สอบ(จริงๆก็อีกหลายเดือน) ซึ่งผลสุดท้ายผมก็สอบไม่ผ่านอยู่ดี

นี่ก็เป็นอีกหนึ่งครั้ง ที่ผมมักจะโง่ก่อนที่จะฉลาดเสมอ

ผมรักสนามบิน!!!

บรรยากาศที่สนามบิน ยังคงเย้ายวนผมอยู่เสมอมา ที่นี่มีกลิ่นอายแห่งความสดชื่นของเครื่องปรับอากาศ ผู้คนมากหน้าหลายตา ผมรู้สึกลิงโลดทุกครั้ง หากพบเจอบรรยากาศเช่นนี้

กลุ่มคนไทยที่ไปกับทัวร์เดียวกัน บ้างก็พากันมาทั้งครอบครัว บ้างก็มากันเป็นคู่แบบหนุ่มสาว หรือไม่ก็ชวนกันมาเที่ยว เรารอรับหนังสือเดินทาง สติกเกอร์ติดหน้าอก อีกทั้งรายละเอียดต่างๆที่ต้องกรอกเพิ่ม เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างรวดเร็วและเรียบร้อยจากพี่ภาคินหนุ่มร่างอ้วน วัยประมาณ40 ท่าทางอารมณ์ดี หัวหน้าทัวร์ของเราในการเดินทางในครั้งนี้

จากนั้นเราเข้าสู่ขั้นตอนในการตรวจกระเป๋า ผ่านสายพาน ก่อนจะเข้าสู่ขั้นตอนการนำกระเป๋าชั่งน้ำหนักผ่านสายพานอีกครั้งเพื่อขึ้นเครื่องพร้อมกับสติกเกอร์ของสายการบินติดกระเป๋าและเลือกที่นั่งบนเครื่อง (เลือก Long leg seat ไว้)

ต่อจากนั้น เข้าไปสู่ด้านใน เพื่อตรวจหนังสือเดินทาง เมื่อผ่านแล้วภายในมีร้านขายของเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำหอม ของตามร้าน Duty free เป็นที่ถูกใจของใครหลายๆคน เป็นต้น

ขั้นตอนต่อไป คือ การตรวจสัมภาระ ที่นำขึ้นเครื่อง รวมทั้งสิ่งของตามร่างกาย เพื่อตรวจดูว่ามีอาวุธหรือของมีคมหรือไม่

มาถึงภายในห้องใหญ่ สำหรับให้ผู้โดยสารรอก่อนขึ้นเครื่อง เมื่อผมเห็นรู้สึกคุ้นตามาก นึกออกว่าเป็นครั้งเดินทางไปยังประเทศฮ่องกง แม้จะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม

ผมซื้อน้ำเปล่า 1 ขวด ขวดละ 55 บาท ผมไม่ได้เห็นราคานี้มานาน จึงต้องร้องจ๊าก(ในใจ)

เมื่อเหลือบมองไปที่เวลาเรียกขึ้นเครื่อง 23.40 ต่างจากภายนอกที่เรียก 22.55 คุณพ่อบอกว่า สายการบินไปยังต่างประเทศจะต้องล่วงหน้าก่อนเครื่องออก 2 ชั่วโมงเสมอ (หากนึกไม่ออกลองนึกเวลาไปส่งเพื่อนไปต่างประเทศ เวลามันเข้าไปข้างในช้าๆ นั่นแหละครับ ตอบคำถามได้ดีเลย)

เสียงประกาศออกลำโพงว่า เครื่องบิน TG 642 จากกรุงเทพสู่สนามบินนาริตะ ให้มาพร้อมที่ Gate 33 ได้ เป็นสัญญาณให้เราเตรียมตัวขึ้นเครื่อง แต่ละคนจึงเตรียมตัวมาเข้าแถว ผมสังเกตเห็นว่า แต่ละคนสวมเสื้อหนาๆทั้งนั้น จะมีผมเพียงคนเดียวละมั้งที่สวมเสื้อบางๆ(ว่าแต่แอร์ตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้วนา)

การเดินทางที่แปลกใหม่และน่าสนุกของผมกำลังจะเริ่มต้นอีกครั้งแล้วครับ




ปวดท้อง….

ผมหยิบหนังสือพิมพ์มติชนก่อนขึ้นเครื่อง ที่เลือกเพราะจะได้ไม่ซ้ำกับที่คุณพ่อและคุณแม่ พี่ชายคนกลางหยิบไปแล้ว จะได้อ่านหลายๆเล่ม สังเกตเห็นว่ามีคนสวมเสื้อแบบบางๆเหมือนผมด้วย

ก่อนเครื่องบินออก แอรโฮสเตสและสจ๊วตก็แจกหูฟัง(ประเภทหนีบที่หู)สำหรับเสียบกับข้างๆที่นั่ง แล้วภาพที่คุ้นตาในการแนะนำอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อชูชีพ หน้ากากออกซิเจน เข้ามาสู่สายตาของผมอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อเครื่องบินออก ผมรู้สึกว่าหูไม่อื้อ ไม่ปวดเหมือนเคย อาจเป็นเพราะว่า การไปดำน้ำทำให้หูผมบานไปแล้ว(ต้องเคลียร์หูบ่อยๆ) ทำให้เรื่องนี้จึงเป็นเรื่องเล็กไป จากนั้นไม่นานลิ้นชักของด้านบน บริเวณที่นั่งด้านหน้าของผมก็เปิดออก คงเป็นเพราะใส่ของมากเกินไปแต่ก็ยังไม่มีคนลุกไปปิดเพราะขณะนี้เครื่องกำลังขึ้น อาจเป็นอันตรายได้

แอร์โฮสเตสและสจ๊วตมาแจกพายให้ทานแก้หิวเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมดูจอทีวีพร้อมฟังคำอธิบายว่า ขณะนี้เครื่องบินโบอิ้ง 777 มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในความสูงปัจจุบัน 11200 เมตร พร้อมกับอากาศที่เริ่มลดลงเรื่อยๆ จาก 27 องศา , 20 องศา, 13องศา, 10องศา ,3 องศา, -5 องศา, -14องศา

จากนั้นกัปตันได้ประกาศอีกว่า เครื่องบินจะบินไปทางจังหวัดอุบลราชธานี ผ่านเวียดนาม ผ่านทะเลจีนใต้ ผ่านไต้หวัน ผ่านทะเลจีนตะวันออก ก่อนที่จะเข้าสู่ญี่ปุ่นทางตอนใต้และลงจอดที่สนามบินนาริตะ โดยเครื่องบินใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง จะถึงที่หมายในเวลา 5 นาฬิกา ตรงกับญี่ปุ่นเวลา 7 โมงเช้า(ที่นั่นเวลาเร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง) ช่วงนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแต่กระแสลมแรงเพราะอยู่ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงพอดี นอกจากนี้กัปตันยังทิ้งท้ายว่า อากาศที่ญี่ปุ่นในปัจจุบัน 3 องศาเซลเซียส(37 องศาฟาเรนไฮน์)

ตอนนี้ผมฟังวิทยุเจอช่องถูกใจเป็นเพลงฝรั่งเก่าๆเหมือนเอฟ เอ็ม 105.0 และ 105.5

ถึงตอนนี้ผมเริ่มปวดท้อง(ไม่ใช่ปวดท้องหนัก แต่ปวดแบบล้ำไส้บิดตัว มีลมในกระเพาะอาหารมาก อยากผายลม ท้องป่อง) ปวดมากขึ้นเรื่อยๆ แต่พยายามอดทนเพราะไม่อยากให้คุณแม่หยิบยาซึ่งอยู่ด้านบนมาให้ ครั้นจะลุกไปห้องน้ำก็แสนจะลำบากเพราะนั่งอยู่ตรงกลาง(เลือก Long leg seat แต่มาได้ตรงกลางกันแถบหลังครับ) ออกลำบาก เข้าก็ลำบาก ลุกบ่อยๆ ก็เกรงใจ

ไฟเริ่มปิดลง มองเห็นไฟแลบเป็นระยะๆประกอบกับอาการปวดท้องของผมไม่ได้ดีขึ้นเลย กลับแย่ลงมากๆ คนอื่นๆก็เริ่มหลับกันแล้ว เมื่อความอดทนถึงขีดสุด ผมจึงรอจังหวะให้นานเข้า ผายลมออกโดยใช้ผ้าห่มปิดเต็มที่ เกรงใจคนอื่นๆ ซักพักใหญ่ท้องที่ป่องก็แฟบลงอย่างน่าอัศจรรย์(หากเลือกเดินไปห้องน้ำ แล้วกลับมา คงต้องลุกไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง )

และแล้วผมก็หลับอย่างมีความสุข สบายท้อง ภายใต้พฤติกรรมที่ดูน่ารังเกียจ(หากหน้าบางกรุณาอย่าทำ)

1 ธันวาคม 2548

ไฟเปิดขึ้น ผมเหลือบไปดูจอทีวี ขณะนี้อยู่ในความสูง 35000 ฟุต อุณหภูมิ -50องศาเซลเซียส(57องศาฟาเรนไฮน์)

มีเสียงประกาศว่าจะถึงสนามบินอีก 1 ชั่วโมง มองไปด้านข้างท้องฟ้าเริ่มจะสว่างแล้ว ผมคอแห้งมาก เมื่อน้ำดื่มมาผมซัดไป 3 แก้ว บวกกับน้ำแอปเปิ้ลอีก 1 แก้ว จึงค่อยสบายขึ้น

อาหารเช้ามี ไส้กรอก และไข่ ครัวซองทาเนยและแยม ส้มโอ มะละกอ แตงไทย(มีคนถามหาอาหารอีกชุดมาก คือปลา ซึ่งหมดไปแล้ว ผมไม่สนตั้งหน้าตั้งตาสวาปามอย่างเดียว)

ผมไม่ทานกาแฟ จึงขอชาจากแอร์โอสเตส แต่พูดภาษาไทยตั้งนานเธอก็ยังไม่เข้าใจ(ก็เธอไม่ใช่คนไทยนี่เอง) ต้องบอก tea ถึงจะเข้าใจ ฮ่าๆๆ

มองไปนอกหน้าต่างเริ่มสว่างขึ้นเรื่อยๆ ผมหยิบเสื้อหนาวสีนักดับเพลิงขึ้นมาสวมไว้ จะได้ไม่ยุ่งยากเวลาลงไปเพราะผมยังมีเป้สำหรับสะพายหลังอีกด้วย ไหนจะต้องถือของ ถือกล้องถ่ายรูปอีก โดยตอนนั้นยังไม่แน่ใจในความหนาวของสภาพอากาศที่ญี่ปุ่นแต่คาดว่า คงพอแหละ


Welcome to Japan

เครื่องบินโบอิ้ง 777 ของบริษัทการบินไทย พาผมและครอบครัวมาถึงสนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่นในเวลา 7 โมง 18 นาที ผมมองไปรอบๆเห็นต้นไม้แปลกตา ใบไม้ที่เปลี่ยนสี มีความรู้สึกได้ทันทีว่า ไม่ใช่บ้านเราอย่างแน่นอน

คุณภาคินแนะนำให้เราไปด้วยกัน ตามไปเป็นระเบียบจะได้รวดเร็ว พอออกมาภายในสนามบินนาริตะ อากาศเย็นมากระทบที่หน้าผม ผมพูดคำแรกออกมาว่า “รู้แล้ว ว่าหนาวจริง”(ก็คนมันไม่เคย) แต่เสื้อหนาวของผม(ลักษณะเป็นเสื้อกันลม ด้านนอกเป็นผ้าร่ม)ก็ยังช่วยได้อยู่

ที่นี่ไม่มีรถ Shuttle bus ไปส่งภายในอาคารเหมือนเมืองไทย แต่ที่เจ๋งกว่า คือ เป็นรถไฟฟ้านั่งไปจนถึงอาคารอีกฝั่งหนึ่งได้เลย

พอมาถึงอีกอาคาร ที่นี่เปิดฮีทเตอร์จนร้อนมาก ร้อนจนหลายๆคน(รวมทั้งผม)ต้องถอดเสื้อออก ภายในเป็นจุดตรวจคนเข้าเมือง คิวยาวเหยียด ผมมองเห็นตั้วแต่เดินผ่านมา พนักงานสาวหลายคน หน้าขาวๆชาวญี่ปุ่น ทำไมหน้าตาดีกันจัง ไม่รู้กินอะไรกันมา อาจเป็นเพราะว่าผมไม่เคยเห็นสาวญี่ปุ่นมากมายขนาดนี้ก็ได้ อีกข้อหนึ่ง คนไหนเป็นคนอีสาน คนใต้ แบบบ้านเรา มองหน้ายังไงก็แยกไม่ออกเพราะสวยๆ น่ารักเหมือนกันหมด(ถ้าเราเป็นคนญี่ปุ่นมองออกแน่นอน)

พนักงานที่ช่องตรวจ มีป้ายติดที่สูท เขียนว่า Immigrant inspector ฟังดูเท่จริงๆ พูดจบผมไม่ลืมกล่าวคำขอบคุณเขาด้วย(ส่วนใหญ่ตามสถานที่ราชการ ตามโรงแรม มักมีคนพูดภาษาอังกฤษได้ เพื่อบริการนักท่องเที่ยว แต่ก็ไม่มากเหมือนในประเทศอื่น)

เมื่อผ่านจุดนี้แล้ว ก็ต้องผ่านอีกจุดหนึ่ง คุณภาคินบอกว่า หากบอกว่ามาเป็นครอบครัวจะได้ผ่านเร็วมาก และก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ (บางคนมาเดี่ยวๆจะโดนค้นกระเป๋าบ้าง)

เมื่อผ่านมาแล้วคุณภาคินให้เวลาพวกเราประมาณ10 นาที แปรงฟัน ล้างหน้า ให้เรียบร้อย ผมเห็นก๊อกน้ำและ ที่เป่ามือให้แห้ง(Clean dry) จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูปเก็บไว้(ที่ญี่ปุ่นเครื่องสุขภัณฑ์ยี่ห้อ ToTo ดังมาก)

ออกมาแล้วเดินเข็นรถมาเรื่อยๆจนถึงหน้าประตู มองเห็นตู้ไปรษณีย์รูปร่างน่ารักมีช่องให้แยกสำหรับใส่โปสการ์ดโดยเฉพาะด้วย ใกล้ๆมีตู้น้ำดื่มถูกสุดก็ประมาณ 150 เยน(ตกประมาณ 50 บาท) แต่ถือว่าเป็นธรรมดาเพราะค่าเงินบ้านเขาสูงกว่าบ้านเรา คุณภาคินแนะนำว่าใครกระหายน้ำสามารถยอดเหรียญได้ เครื่องจะทอนให้โดยอัตโนมัติ หากใครไม่ทานระหว่างทางก็ยังมีน้ำดื่ม ของกิน ไว้บริการอีกมากมาย





หนาวเข้ากระดูก!!!

เมื่อประตูเลื่อนอัตโนมัติของสนามบินนาริตะเปิดออก ผมได้มาสัมผัสอากาศภายนอกครั้งแรก ลมหนาวพัดมา ใบหน้าของผมเหยเก ทันที เพราะหนาว หนาว หนาวมากจนเข้ากระดูก เกิดมาไม่เคยเจออากาศหนาวมากขนาดนี้ อากาศเย็นมากมากระทบใบหน้า ผมสั่นๆ บอกอีกว่า “เชื่อแล้ว ว่าอากาศมันหนาวจริงๆ” มีเสียงหัวเราะมาจากคุณพ่อ คุณแม่และพี่คนกลาง กับสีหน้าบอกบุญไม่รับของผม (ฮ่าๆ หนาวมาก คุณภาคินบอกว่า ตอนนี้อุณหภูมิ 11.5 องศาเซลเซียส)

ผมจึงไม่ต่างอะไรกับคนบ้านนอก เข้ากรุง เพราะไม่ค่อยมาเที่ยวต่างประเทศหากเปรียบกับทุกคนในครอบครัว(ทุกคนมีประสบการณ์ไปต่างประเทศมากกว่าผมทั้งนั้น)

เราขนของหนักๆเข้าใต้ท้องรถโดยมีคุณ คุโบตะ พนักงานขับรถคอยช่วยเหลือ

เมื่อใบไม้เปลี่ยนสี!!

รถบัสของบริษัทฮิราโกะ หมายเลข 800 จะอำนวยความสะดวกให้เราตลอดการเดินทางทริปนี้ ผมหยิบเสื้อหนาวอีกตัวขึ้นมาสวมทันทีแม้จะบาง มีลักษณะเป็นเสื้อกันลมเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าสวมแค่ 2 ชั้น(หนาวจ้า หนาว)

พี่ภาคินเล่าให้ฟังว่า ช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนจนถึงปลายเดือนพฤศจิกายนเป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสี จึงไม่แปลกใจว่าหากมองไปทางไหน ใบไม้จะมีสีแดง เหลือง ส้ม ไปหมด ดูสวยงามมาก(แม้ตอนนี้จะเป็นช่วงต้นเดือนธันวาแล้ว ถือว่าเรายังโชคดีที่ยังมีโอกาสเห็นอยู่) ผมมองไประหว่างทาง ประหนึ่งเด็กที่ได้ของเล่นใหม่ๆ ช่างสวยงามมากครับ

สนามบินนาริตะที่เราเพิ่งผ่านมานั้น อยู่ใน จังหวัดชิบะ ห่างจากมหานครโตเกียว 45-50กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง

โดยค่าทางด่วนที่นี่แพงมาก เป็นแสนเยน ที่เรานั่งไปก็จ่ายค่าผ่านทางหลายด่านเบ็ดเสร็จประมาณ 30000 บาท(แพงจริงๆเลย)

พี่ภาคินพูดถึงโปรแกรมคร่าวๆในวันนี้ว่า จะพาไปที่สะพานประวัติศาสตร์นิชูบาชิอยู่ทางตะวันออกของมหานครโตเกียว ก่อนที่บ่ายๆจะพาไปวนอุทยานฮาโกเน่ จังหวัดคานางาว่า แล้วไปค้างคืนที่นั่น

ประเทศญี่ปุ่นมีเกาะ 3000 กว่าเกาะ แต่เกาะที่ใหญ่ๆมีอยู่ 4 เกาะ คือ เกาะฮอนชู(เราอยู่ที่นี่),เกาะฮอกไกโด,เกาะคิวชูและเกาะชิโกกุ

โดยประเทศญี่ปุ่นเปรียบเทียบพื้นที่กับจำนวนประชากรในประเทศ 1 ตารางกิโลเมตรต่อ 300 คน

คุณภาคินพูดกับคนญี่ปุ่นเสมอว่า ภูมิใจที่มีกษัตริย์อย่างในหลวง ส่วนคนญี่ปุ่นบอกว่า สามารถเอาชนะไทยได้หมดทุกด้านแล้ว มีเพียงด้านเดียวที่ยอมแพ้ คือ ด้านการท่องเที่ยว ผมมองเห็นภาพทะเลสวยของเมืองไทย ที่บ้านเมืองเขาไม่มี และคนญี่ปุ่นที่มาท่องเที่ยวนำรายได้จำนวนมากเข้าประเทศของเรา

ถึงตอนนี้ผมหลับไปด้วยความเพลียจากการเดินทาง