Friday, October 28, 2005

สวนผีเสื้อสายทิพย์


ช่วงหยุด 3 วันที่ผ่านมา(ชดเชยวันที่ 23 ตุลาคม 2548) ผมไปพักผ่อนที่พัทยาอีกครั้ง คราวนี้มีโอกาสได้มาสถานที่เที่ยวแห่งใหม่ ซึ่งหลายๆคนยังไม่รู้จัก นั่นคือ สวนผีเสื้อสายทิพย์ ทั้งนี้เพราะที่นี่ พึ่งเปิดได้ไม่นานนัก

ครั้งนี้ได้บัตรฟรี อภินันทนาการจากคุณเจี๊ยบ เพื่อนแสนดีแห่งโลกไซเบอร์ ที่อุตสาห์ส่งบัตรฟรีมาให้ผม(คุณ La Mer แห่งทะเลไทยดอดคอมนั่นแหละครับ)

จุดแรกจะเป็นห้องๆหนึ่ง อธิบายเกี่ยวกับวงจรชีวิตของแมลง , แมลงและแมงต่างกันอย่างไร มีตู้กระจกอธิบายเกี่ยวกับผีเสื้อ มีหลากหลายพันธุ์จนผม ตาลายไปหมด(มีเยอะเหมือนกันนา)

จุดต่อไป จะออกสู่สวนดอกไม้ ภายในมีดอกไม้นานาพันธุ์ สวยงามมาก มีสถานที่กว้างขวาง สามารถมานั่งพักผ่อนหย่อนใจได้ด้วย มีกรงนกยูงพันธุ์ต่างๆ เป็นต้น

นอกจากนี้ในสระน้ำยังมีหงส์ดำและหงส์ขาว เป็ดน้ำ มายลโฉมให้ดูด้วย ซึ่งแน่นอนว่าผมจะต้องถ่าย ถ่าย(ไม่เหม็น) ถ่ายมันให้ได้ ข้างๆซึ่งเป็นที่คนอื่น มีรั๊วลวดหนามกั้น ผมยังอุตสาห์ซูมไปถ่าย เจ้าทุยเขาสวย ซึ่งมองหน้าผมอย่างฉงนด้วย(ควายร้องอย่างไรครับ มอ มอ ไม่ใช่นั่นวัว ควายก็ร้องควายซิ ควาย….. โอย ตลก คนเดียว)

จากนั้นยังมีทางเดินเข้าสู่แปลงดอกไม้ ภายในมีดอกทานตะวันสีเหลืองสด สวย นักท่องเที่ยวมักนิยมมาถ่ายรูปกัน

เข้าสู่ภายในแปลงไม้ประดับ ดอกสวยๆทั้ง ส้ม ชมพู ม่วง เอากล้องมาถ่ายแล้วกดมาโคร โอ้สวยจัง นอกจากนี้ยังมีบ่อบัวเล็กๆให้ชมด้วยครับ

ห้องไฮไลท์ คงไม่พ้น ดินแดนผีเสื้อ ที่นี่พวกมันเชื่องมากครับ สามารถถ่ายรูปใกล้ๆ ได้ กดมาโคร ก็สวย เหมือนรูปถ่ายนิตยสารยังไงอย่างงั้น ถ้าจะจับพวกมันมา ก็คงทำได้ แต่ผมเห็นป้ายห้าม เลยไม่ทำดีกว่า รบกวนมัน

นอกจากนี้ มีกรงแสดงหนอนผีเสื้อด้วย เท่าที่จำได้มี 2 กรงครับ

ส่วนของผีเสื้อจบที่ตรงนี้ หากเดินต่อไป จะมีทางเข้าถ้ำ จุดนี้เขาห้ามถ่ายรูป ภายใน เป็นห้องมืด มีหุ่นจำลองแสดงการเก็บรังนก บรรยากาศคล้ายเวลาเข้าบ้านผีสิงในแดนเนรมิตสมัยก่อน

เดินต่อไปจะเป็นห้องแอร์สว่างๆ ซึ่งจะมีของขาย เช่น ครีมไข่มุก เป็นต้น สังเกตได้ชัดว่า จะมีทัวร์คนจีน มาลงที่นี่เยอะมาก พนักงานแทบทุกคน พูดจีนแบบไฟแลบ จนผมแอบคิดไม่ได้ว่า นี่ผมมาเที่ยวเมืองนอกหรือเปล่าหนอ เดินต่อไปยังมีห้องจัดเลี้ยงขนาดใหญ่หลายห้อง คนสร้างนี่ ช่างคิดการณ์ไกลจริงๆเลย

เป็นอันหมดทริปสั้นๆ ที่สวนผีเสื้อของผม อยากให้ทุกคนลองมาเที่ยวดูครับ แล้วจะทราบว่า ที่นี่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่ได้มีแค่ผีเสื้อแน่นอนครับ (อาจมีผีทะเล ผมนี่แหละ)

การเดินทาง
ใช้เส้นทางมอเตอร์เวย์ ตรงมาเรื่อยๆ เมื่อเลยทางแยก 2 ทาง ที่ด้านขวาจะมีทางแยกไป(ซักที่ครับ ระยองหรืออะไรนี่ล่ะ จำบ่ได้) ให้ใช้เส้นทางด้านซ้ายที่มาพัทยา สังเกตตามทาง ด้านซ้ายจะมีป้ายบริเวณสะพานให้เลี้ยว(ทางเดียวกับทางไปน้ำตกชันตาเถร ) จากปากทางเข้าไป 400 เมตรก็ถึงสวนผีเสื้อสายทิพย์

หากคุณเห็นป้ายทางเข้า สวนสัตว์เปิดเขาเขียวแสดงว่า เลยทางเข้าสวนผีเสื้อมาเรียบร้อยครับ กลับรถได้เลย (ทางเข้าสวนผีเสื้อจะถึงก่อน ทางเข้าสวนสัตว์เปิดเขาเขียว)

ขอย้ำว่า อยู่ในเส้นทางมอเตอร์เวย์นั่นแหละ ถ้าออกมอเตอร์เวย์แล้วก็จบกันครับ(แล้วจะบอกทำไม)

Thursday, October 27, 2005

แต้มฝันของเด็กหนุ่มที่….เกาะหมาก(4)


ตามรอยรัฐภูมิ อยู่พร้อม(ขอนีส..นึง)

ครั้งพายเรือคายัค ที่เกาะเต่า หรือตอนไปพายเรือคายัคที่หมู่เกาะสุรินทร์ ผมก็ไม่ออกไปไกลเท่าไร แต่คราวนี้ มีเป้าหมาย ซึ่งดูไม่ค่อยไกล เป็นสิ่งที่น่าท้าทาย ไม่ได้ติดเสื้อแขนยาวมาเลย จึงเป็นเสื้อกลาม สวมหมวก ทาซันบล็อค ที่ลืมไม่ได้คือ ของกินกับน้ำดื่มครับ อ่อ อย่าคิดว่าตัวเองเก่งครับ สวมชูชีพไปด้วยแล้วกัน ปลอดภัยกว่า

ออกมาไม่นาน โทรศัพท์มือถือดังขึ้นเป็นพี่นพโทรมาบอกผม และพี่แพก็ออกมาทำท่าทางจากฝั่งให้ดูว่า ให้นั่งพายด้านหลังนะน้อง อย่านั่งพายด้านหน้า(ย้ายที่นั่งก่อนละครับ)

ผมต้องพายเรือทวนกระแสน้ำทะเล บ่อยครั้งที่ต้องหยุด หันมามองว่า พึ่งพายมานิดเดียว หันไปข้างหน้า ทำไมเกาะขามมันอยู่ไกลจังหนอ นี่มัน 1 กิโลเมตรจริงๆหรือเปล่าเนี่ย

ผมสวมวิญญาณคุณ รัฐ ภูมิ อยู่พร้อม แล้วร้องว่า “แม่”(ไม่มีใครได้ยินหรอกครับแต่ผมอยากสนุก) แล้วจ้วงเอา จ้วงเอา พอจ้วงบ่อยๆ มั่นใจว่าถูกวิธี ความเมื่อยจะน้อยลง แถมเรือยังวิ่งฉิวเสียด้วย


ปาปารัซซี่ น้ำเกือบเข้ากล้อง

ผมมาถึงที่เกาะขาม เสียที(สุดแสนจะดีใจ) มองเห็นหินภูเขาไฟอย่างชัดเจน สวมวิญญาณปาปารัซซี่ แอบถ่ายรูปสาวนุ่งบิกินี่(มีแต่หินภูเขาไฟน่ะซิ)

เห็นคลื่นสีขาวอยู่ข้างหน้า ไม่รู้นึกยังไง ผมพายเข้าไปหา แล้วพายอ้อม กะจะเข้ามาดูใกล้ๆ ผลคือ ระหว่างถ่ายรูปคลื่นซัดเรือเข้ามาเกยบนฝั่ง น้ำเกือบเข้ากล้องด้วย(หายโง่เลย)

ผมรีบลากเรือออก เพราะกลัวพี่ที่เค็มกว่าน้ำทะเล จะมาเก็บตังค์ขึ้นเกาะ(ขนาดเกาะนางยวนก็เป็นเกาะส่วนตัว ไม่เห็นเก็บตังค์ขึ้นเกาะเลย)

เมื่อหาที่ลอยเรือแบบนิ่งๆ ข้างล่างน้ำใสจนมองเห็นปะการัง ผมหยิบน้ำดื่มและขนมมาทาน เพราะข้าวเมื่อกลางวัน หายไปหมดเรียบร้อยแล้ว

ขากลับ โชคดีที่ผมไม่ต้องไหว้ทวนกระแสน้ำอีก จึงเป็นการพายที่ง่ายมาก ไม่นานก็กลับถึงฝั่ง เห็นคุณ Hogan กำลังเล่นน้ำทะลอยู่ด้วย


สำรวจสิ่งมีชีวิต….

ผมลากเรือขึ้นฝั่ง ขึ้นมาทำความสะอาดกล้อง ก่อนจะมานั่งพักคุยกับพี่ขวัญ Edvin และ Kevin

จากนั้น หยิบสน็อคเกิ้ล ลงไปสำรวจปลา ที่หาด บริเวณใต้สะพาน

ตามเสา มีหอยเกาะมากมาย ผมสังเกตเห็นปลาชนิดหนึ่ง ลำตัวสีเงิน บริเวณปลายลำตัวจะมีจุดสีดำ 1 จุด(ลำตัวลักษณะเดียวกับปลากระพง)

อีกชนิด ลำตัวสีเงิน มีครับล่างสีเหลือง นอกนั้นจะเหมือนตัวแรก(บางทีอาจจะเป็นแม่ลูกกัน)

ตัวที่ผมสนใจอย่างมาก สังเกตดูนานมาก ความยาวประมาณ 3 -4 ซม อยู่บริเวณเสาไม้ใต้สะพานของเกาะหมากรีสอร์ท ชอบหลบอยู่ในเปลือกไม้ที่แตกออก ต้นลำตัวถึงกลางลำตัว มีสีดำคาดผ่าน ครีบบนกับครีบล่างมีลักษณะเป็นริ้วๆ ตามริ้ว มีสีน้ำตาลสลับสีขาว ครีบหางมีลักษณะเหมือนปลาทั่วไปแต่มีลักษณะบางๆ ที่สำคัญมันดูกลมกลืนกับเปลือกไม้มาก หากไม่สังเกตดีๆก็จะมองไม่เห็น ผมจ้องมองมันอยู่นาน เห็นได้ชัดว่า มันมองผมเช่นกัน(ใครเป็นตัวประหลาดกันแน่หนอ ผมว่าคงพอๆกัน)

เจ้าปูน้อยกัดผมที่ขา ผมสะดุ้งออกมา มือเท้าเริ่มเปื่อย เพราะแช่น้ำนาน ผมเลย ลอยตัวตีขาเล่น เมื่อเห็นพระอาทิตย์ใกล้ตก ผมจึงขึ้นมาบนฝั่งเตรียมตัวมาถ่ายรูป พระอาทิตย์ตกยามเย็น


โอ้!! แม่เจ้า เธอช่างสวยงาม

ช่วงแรกแสงจะออกสีเหลืองอ่อน มองไม่เห็นเป็นดวงกลมๆ แต่พอเริ่มตกมากขึ้นๆ สีจะออกสีส้ม และจะเห็นเป็นดวงกลมๆอย่างชัดเจน ช่วงนี้จะใช้เวลาไม่ถึง 10 นาที เพราะฉะนั้นห้ามไปไหน เพราะพระอาทิตย์ตกเร็วมากจริงๆ (พี่RM ได้บอกผมว่า พระอาทิตย์ที่นี่ตกเร็วมาก ฉะนั้น เมื่อเห็นดวงกลมๆ อย่าพึ่งรีบไปไหน)



ความจริงที่น่าสนใจ

ผมอาบน้ำนานกว่าทุกวัน เพราะร่างกายที่สกปรกมาก เห็นได้ชัดว่า ตั้งแต่หัวไหล่ลงมา มีสีแดง คงเป็นเพราะตากแดดตอนพายคายัค แน่นอน

ออกมาชำระค่าห้องพักไว้เลย พรุ่งนี้จะได้ไม่ยุ่งยาก อาหารเย็นวันนี้ กินลืมอิ่ม(หิวมาก) ผัดเปรี้ยวหวานไก่ กับข้าวเปล่า และข้าวผัดกุ้งอีก 1 จาน

Edvin วิ่งมาบอกผมว่า เจอปักเป้าด้วย ผมยังงงๆ ว่าจริงหรือ บางทีที่ผมเห็นเมื่อวานอาจไม่ใช่ก็ได้นะ

ถ้าแขกไม่มาก ผมอยากจะดูทีวี ที่ห้องอาหาร(ดูคุณ รัฐภูมิ นั่นแหละ) ดูเสร็จจะได้ เดินไปอ่านหนังสือต่อที่สะพาน

ช่วงนี้ผมคุยกับน้องพิม จึงได้ทราบว่า แม้น้องจะมีอายุน้อยกว่าผม แต่เธอมีลูกแล้ว ชื่อจัสติน ส่วนสามีเป็นคนไนจีเรีย (น้องแปลกใจที่ผมถามชื่อคนหลายคน ผมจะเอาไปเขียนเรื่องให้เพื่อนๆอ่านน่ะครับ น้องเลยขออีเมล ผมเผื่อจะไปเปิดดูบ้าง)


ผมไม่ได้ตาฝาดไป

ระหว่างรอรายการทีวีมา ผมเดินออกมาอ่านหนังสือที่สะพานสุดคลาสสิคอีกครั้ง ในครั้งนี้ ผมเห็นปักเป้าหนามทุเรียนอีกครั้ง ทำให้ผมมั่นใจแบบพันเปอร์เซนต์ว่า พวกเขาอยู่ที่นี่แน่นอน แต่ที่ผมดำหาแล้วไม่เจอเป็นเพราะว่า ในเวลากลางวัน ปักเป้าจะลอยตัวอยู่นิ่งๆ ส่วนตอนกลางคืนจะออกหาอาหาร(ข้อมูลจาก ปักเป้าเร้าใจ)

พอรายการมาจริงๆ ผมกลับไม่ค่อยได้ดูมากนัก เพราะเริ่มมีสื่อมวลชนมาสนใจ คุณรัฐภูมิมากขึ้น อีกอย่างผมได้คุยกับพี่แพ ผู้ซึ่งมีชีวิตที่น่าสนใจมาก หลายๆเรื่องทำให้ผมได้อะไรๆในชีวิตมากขึ้น ผมนับถือแกเพราะแกเป็นคนที่เคยเป็นคนไม่ดีมาก่อน ก่อนจะกลับตัวกลับใจ ขยันทำงานเพื่อครอบครัว(น่านับถือมากกว่าคนเก่งๆหลายคน) ภายนอกแกดูเหมือนเด็กเสริฟธรรมดา(ไม่มีใครรู้แน่ ว่าเป็นกัปตัน) แต่ภายในแกฉลาดมากกว่า ที่หลายๆคนคิดไว้ครับ

อ่อ แกแต่งงานตั้งแต่อายุ 13 (ภริยา ตอนนั้นอายุ 18) แต่งโดยการคลุมถุงชน ปัจจุบันลูกสาวอายุ 15 ปี แกเล่าว่าเวลาไปรับรางวัลพ่อดีเด่น คุณครูมักจะถามลูกสาวเสมอว่า “นี่พ่อเธอจริงหรือ ทำไมเด็กจัง”(เห็นไหมครับ ชีวิตพี่เขาน่าสนใจมาก)


เรามาดื่มเพื่อสุขภาพ

พี่แพเดินไปหยิบเหยือกเบียร์มานั่ง เทใส่แก้วให้ผม ซึ่งนานๆที ผมจะดื่มเบียร์ แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะดื่มมัน

ซักพักน้องพิมมานั่งดื่มด้วย พร้อมกับวัน(อายุเท่าผม)และพี่วัฒน์(สามี) ทั้ง 2 คนเป็นพ่อครัวและแม่ครัว นอกจากนี้ยังมีพยานรักอยู่ใกล้ๆด้วย(หน้าตาเหมือนแม่วันเปี้ยบ)

เราพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์ชีวิตกัน ผมกำลังได้เรียนรู้ ชีวิตคน ที่สำคัญคนเหล่านี้ แม้การศึกษาน้อย แต่ผมรู้สึกว่าพวกเขาเพียงไม่มีโอกาส แต่หลายๆอย่างในตัวพวกเขาทำให้ผมประทับใจมากๆครับ

ในตอนเช้า ผมคงไม่ได้พบกับน้องพิม วันและพี่วัฒน์ เพราะ 3 คน จะเข้าทำงานหลัง 8 โมง แต่ผมยังหวังว่า ซักวันหนึ่งคงได้มีโอกาสมานั่งคุยกับพวกเขาอีก

เบียร์หมดไป 4 เหยือก ในตอนนี้เหลือเพียงผมและพี่แพ 2 คน แกบอกผมให้ไปนอนเพราะเดี๋ยวจะตื่นไม่ทันเรือออก


19 ตุลาคม 2548
เกาะหมากจ๋า ผมคิดถึง

โทรศัพท์ดังขึ้น เป็นพี่นพ พนักงานที่ Front โทรมาปลุกผมนั่นเอง ซึ่งผมงัวเงียได้ไม่นานก้ต้องรีบลุกมาอาบน้ำ จัดของเพื่อเตรียมตัวกลับ

ผมออกมาหน้าห้อง ถ่ายรูปบรรยากาศของที่พัก ชายหาด แต่ในใจรู้สึกหดหู่เล็กน้อยว่า ผมจะต้องกลับไปพบกับโลกแห่งความจริงอีกแล้วหรือนี่?

ผมเจอพี่ขวัญ คุณHogan กับ 2 หนุ่มจอมซน จึงเดินไปทักทายก่อนจะเดินทางกลับ

ขนมปังปิ้ง ไข่ดาว แฮม เป็นอาหารเช้า โดยมีพี่แพคนขยันมาทำหน้าที่รับ order เหมือนเดิม

ผมกล่าวลาพี่แพ ก่อนขึ้นรถกระบะคันเดิม เพื่อกลับไปยังท่าเรืออ่าวนิด ระหว่างทาง ผมยังเจอน้องพิม ที่ขับมอเตอร์ไซด์สวนทางมาพอดีด้วย

บนเรือ ผมได้พบพี่บุ๋มและครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง เธอเล่าว่า ไม่ได้ไปไหนเลย ได้แต่พักผ่อนอยู่กับที่พัก คุณสามียังชวนผมไปเที่ยวต่อที่ จ สระแก้วด้วย แต่ผมไม่ได้ไป ส่วนเจ้าตัวเล็กซนมาก ชอบเล่นกับผมเสียด้วย

ขากลับ คลื่นสูงประมาณเมตรกว่า น้ำสาดเข้าเรือ แต่เรือก็ยังแข็งแรงมาก คนเรือบอกว่าธรรมดามาก ช่วงนี้เป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว จึงมีลมว่าวมาเยือนบ้าง

รถสองแถวจากแหลมงอบพาผมมาที่ ท่ารถเดิม ผมซื้อตั๋วของบริษัทเชิดชัยทัวร์เพื่อเดินทางกลับ

รถทัวร์มาถึงสถานีเอกมัย ในเวลาเย็น พร้อมฝน(ห่าเล็ก) ที่มาต้อนรับ ผมรู้สึกคุ้มค่ากับประสบการณ์เที่ยวในครั้งนี้มาก แม้จะเป็นการเดินทางเพียงลำพัง แต่ผมรู้สึกว่า ผมไม่ได้เดินทางเพียงคนเดียว ยังมีนักเดินทางคนอื่นๆ พี่ๆน้องๆ ที่มอบมิตรภาพดีๆ ให้ ทำให้ผมไม่เหงาเลยแม้แต่น้อย

ผมมั่นใจว่า การเดินทางครั้งนี้หากมีเพื่อนๆมาด้วย ผมคงใช้เวลาอยู่กับเพื่อนเยอะขึ้น และอาจไม่ได้รู้จักกับใครหลายๆคน อาจไม่ได้คุยกับใครบางคนนานๆ อาจไม่ได้รู้เรื่องราวของชีวิตที่เป็นประโยชน์มาก

แม้เกาะหมากจะไม่มีแนวปะการัง ที่สมบูรณ์อย่างหมู่เกาะสุรินทร์

แม้เกาะหมากจะไม่มีชื่อเสียงเท่าเกาะเสม็ด เกาะช้าง หรือเกาะสมุย

แต่เกาะธรรมดาๆอย่างเกาะหมาก ก็ได้ทำให้เด็กหนุ่มคนหนึ่งหัวใจพองโต แม้กระทั่งเจ้าตัวอาจไม่รู้ว่า การเดินทางของเขา ได้พัฒนาหลายๆด้านในตัว ทำให้เก่งยิ่งขึ้น และเขาสัญญากับตัวเองว่า จะกลับมาที่นี่อีกครั้งอย่างแน่นอน

ไม่ว่าในอนาคตเกาะหมากจะเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดแต่ความรู้สึกดีๆของเขาจะยังคงอยู่ตลอด…ไป


Kasab
(Phop Payapvipapong
21 ตุลาคม 2548
17 .29 น


หมายเหตุ

1 รถโดยสารจากเอกมัยไป จ ตราด มีตั้งแต่ 6 โมงเช้า- 5 ทุ่ม ส่วนใหญ่รถปรับอากาศชั้นหนึ่ง ราคา223 บาท ทุกบริษัท

2 หากต้องการมาลงที่แหลมงอบเลย ไม่ลงที่บขส มีรถของบริษัทขนส่ง จำกัด ราคา 223 บาท วิ่งขึ้นโทลย์เวย์ ใช้ระยะเวลาเร็วกว่า แต่ไม่มีให้บริการเวลากลางคืน

3 หากถึงบขสแล้ว จะมีรถคิวมากมาย ลองสอบถามดูว่าจะไปที่ไหน หากเป็นเวลาที่รถคิวออกพอดี ราคาจะถูกมาก(ส่วนใหญ่ไปท่าเรือ ประมาณ 40 บาท) แต่ถ้ามาในเวลาที่รถคิวหมดจะต้องเหมาไป(ประมาณ 100 บาท)

4 ที่แหลมงอบทีเรือที่ให้บริการไปเกาะหมากทุกวันๆละ 1 รอบ เวลาบ่าย 3 โมง คนละ 250 บาท หากซื้อไป-กลับ ราคา 480 บาท(ประหยัด 20 บาท)

5 เรือเร็วของเกาะกูดซีทราน(ให้บริการไปเกาะหมากด้วย) ราคาคนละ 400 บาท ซื้อไปกลับราคา 700 บาท(ประหยัดไป 100 บาท) ให้บริการวันศุกร์ เสาร์ ส่วนของเกาะหมากเอ็กซ์เพรซ ราคาใกล้เคียงกัน เรือจะไม่วิ่ง วันจันทร์ถึงวันพฤหัส

6 การมาเกาะหมากสมควรอย่างยิ่ง ที่จะจองที่พักไว้ล่วงหน้า เมื่อมาถึงท่าเรืออ่าวนิดจะมีรถของที่พักมารับ เพราะบนเกาะหมากไม่มีรถโดยสารให้บริการ มีเพียงมอเตอร์ไซด์และจักรยานให้เช่า
หากใครอยากเดินหาเอง ก็สามารถติดต่อสอบถามบนเรือ หรือที่ท่าเรือก็ได้ครับ

7 ราคาที่กล่าวมาอาจจะเปลี่ยนแปลงในไม่ช้า โดยเฉพาะค่าเรือ เพราะน้ำมันแพง ได้ยินจากพี่ๆว่า กำลังจะขึ้นอีกรอบด้วย

Tuesday, October 25, 2005

แต้มฝันของเด็กหนุ่มที่....เกาะหมาก(3)


ถึงท่าเรือ อ่าวนิด

เรือเนปจูนเทียบท่าเรืออ่าวนิด มีรถจากที่พักบนเกาะมารอรับนักท่องเที่ยวมากมาย รวมทั้งที่พักของผม ณ อ่าวสวนใหญ่ (เกาะหมาก รีสอร์ท) ที่ได้โทรศัพท์มาจองเรียบร้อยแล้ว

บนรถโดยสารไปยังที่พัก ผมได้รู้จักกับพี่ขวัญและคุณ Hogan ชาวสวีเดน พาน้อง Edvin และ Kevin ลูกชายสองคน ที่วัยกำลังซนทั้งคู่มาเที่ยวด้วย เจ้าสองคนนี้หน้าฝรั่งจ๋าแต่พูดไทยชัดแจ๋วเลย

ใกล้ๆผม คือ พี่เกณฑ์ หนุ่มวัยกลางคน ไม่ได้มาที่นี่ในฐานะนักท่องเที่ยว แต่มาทำงานเกี่ยวกับการซ่อมพัดลมรางน้ำ ดูทำเลติดตั้งกังหันลม อันเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริ แกบอกว่าการได้ทำงานแบบนี้ทำให้ได้ท่องเที่ยวไปหลายๆที่ ซึ่งแกก็มีความสุข(ล่าสุดก็พึ่งขึ้นมาจากภูเก็ต)

ผมเห็นถนนที่นี่ บางแห่งยังมีดินแดงๆอยู่เลย ทำให้นึกถึงเกาะลันตาสมัยที่ผมไปใหม่ๆ ก็ยังคงความเป็นธรรมชาติมาก นอกจากนี้ยังมีสวนมะพร้าว สวนยางพารามากมาย ทำให้ผมอยากให้ที่นี่คงความเป็นธรรมชาติไว้นานๆ

เนื่องจากห้องพักของผมอยู่ไกล พี่แว่นคนขับหน้าเซอร์ พาผมมาที่ห้อง ผมมองเห็นอ่าวสวนใหญ่ ด้านหน้า แม้ยังไม่เห็นอะไรมาก แต่หาดยาวๆ เสียงคลื่นเอื่อยๆ ทำให้ผมแอบยิ้มๆเหมือนกัน



ว้าว!! สะพานไม้สุดคลาสสิค

หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ปรากฏว่าไฟห้องน้ำเสีย ผมคิดว่า ไปทานข้าวก่อนดีกว่า จะได้ไปบอกเขาเรื่องไฟห้องน้ำด้วย

ผมบอกที่ Front เกี่ยวกับไฟห้องน้ำ ก่อนเดินไปหาโต๊ะ(ที่ส่วนใหญ่จะว่าง) หาอะไรมาทาน ผมมองเห็นสะพานที่ทอดยาวออกไปหน้ารีสอร์ท มีโต๊ะ เก้าอี้ และไฟ สำหรับอ่านหนังสือหรือนั่งคุยกัน คลาสสิคจนผมอดใจไม่อยู่ที่จนต้องเดินออกไปดื่มด่ำกับบรรยากาศในทันที ก่อนไปก็สั่งอาหารกับพี่แพ หนุ่มวัยพึ่งจะสามสิบ ซึ่งทำหน้าที่เป็นกัปตันของที่นี่ แต่ช่วงนี้ไม่มีเด็กเสริฟเพราะเป็นช่วงโลว์ ซีซั่นอยู่(ต้นเดือน พ ย จะเริ่มไฮ ซีซั่นแล้ว) แกเลยทำหน้าที่แทนไปก่อน

ซักพัก พี่คนหนึ่งทำหน้าที่เป็น RM(Residence Manager) ของที่นี่ ได้มาแจ้งให้ผมทราบว่า จะดำเนินการเปลี่ยนหลอดไฟให้ใหม่

จากนั้นไม่นาน พี่นพ(อรรณนพ) พนักงานที่ Front ได้มาบอกผมว่า เจ้าของรีสอร์ท(ชื่อ คุณจักรพรรดิ)เปลี่ยนห้องให้ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม แถมราคาเดิม ใกล้ห้องอาหารกว่าเดิมอีกด้วย(ช่วงนี้แขกน้อย ผมเลยได้อานิสสงฆ์ไปด้วย) ผมจึงกลับไปที่ห้อง เพื่อย้ายของโดยด่วน หากมีเชือกมาขวางผมคงหัวทิ่ม เพราะมืดจริงๆ (โชคดีที่เปิดไฟทิ้งไว้ เลยหาห้องเจอ ไม่งั้นคลำกันตาย)

แม้ห้องราคาถูก(ก็ที่ผมนอนก่อนจะย้ายแหละครับ) จะเดินไกล แต่สิ่งที่แตกต่างจากหาดไก่แบ้ เกาะช้างก็คือ อ่าวสวนใหญ่จะไม่มีสิ่งปลูกสร้างใดๆ บริเวณชายหาด บังกะโล สร้างในระนาบเดียวกันตลอด

อาหารเติมพลังของผม คือ เนื้อทอดกระเทียมราดข้าวกับปลาหมึกพริกเผาราดข้าว ที่อร่อยไปเสียทุกอย่างจริงๆ

พี่แพ ไม่พลาดที่จะแซวผมว่า “ทำไมน้องกินหนักจังเลย”

“ก็คนมันหิวน่ะ พี่” ผมตอบ

ใกล้ๆ มีครอบครัวของพี่ขวัญและคุณ Hogan กำลังรับประทานอาหารอยู่ด้วย

นอกจากนี้เจ้าดัมเมเชี่ยน 2 ตัว และสุนัขพันธุ์ไทยอีก 2 ตัว ก็น่ารักและเชื่อง จนผมอดจะเล่นกับมันไม่ได้


นั่น!!! ปักเป้าหนามทุเรียน

ผมย่อยอาหารโดยการเดินไปอ่านหนังสือ ที่สะพานไม้สุดคลาสสิค แล้วนั่งลงอย่างสบายอารมณ์ ผมคิดในใจว่า คิดไม่ผิดที่เลือกที่นี่ ทำให้ผมไม่อยากไปไหนอีกเลย (ชอบมากจริงๆ)

ซักพักฝนตก ผมเลยกลับมาอ่านในห้องอาหารอีกครั้งหนึ่ง ผมแปลกใจว่า ที่นี่มีคลื่นOrange ด้วย พี่แพบอกผมว่า ที่นี่คลื่นOrange ดีที่สุด รองลงมาคือ Dtac และ Gsm

เจ้าดัมเมเชี่ยนสั่นหาง มองมาที่ผม ดูท่ามันจะอยากเข้ามาเล่นมากเลย (ถ้าเปิดที่กั้นไม้เองได้ คงเข้ามาแล้ว)

พอฝนหยุด ผมเดินออกมาอ่านหนังสืออีกครั้ง ระหว่างผมคุยโทรศัพท์กับเพื่อน และกำลังอ่าน “ใต้ทะเลมีความรักภาค 3 ตอนหลังคลื่นอันดามัน” ของ อ ธรณ์ มาอ่าน ขณะอ่านถึงช่วง “ปักเป้า เร้าใจ”อยู่ มองลงไปที่พื้นน้ำ ผมเห็นปักเป้าหนามทุเรียน(Porcupinefish)และจำลักษณะมันได้อย่างชัดเจน ไม่รู้ว่าเป็นเหตุบังเอิญหรือไม่ แต่ผมรู้สึกดีใจมากๆ ที่ได้เห็นพวกเขาในเวลาแบบนี้

จากนั้นฝนตกอีกครั้งหนึ่ง ผมจึงเข้ามาหลบฝนเหมือนเดิม ไม่นานจึงกลับเข้าห้องพักเพื่ออาบน้ำ พักผ่อน และหลับด้วยความเหนื่อยอ่อน



18 ตุลาคม 2548
อากาศสดชื่นๆ แต่ซุ่มซ่าม

ตื่นแบบสบายๆ 8 โมงเช้า หากเป็นแบบนี้ในวันรุ่งขึ้น ผมจะต้องพลาดเรือเที่ยวกลับแน่นอน ฉะนั้นจึงต้องบอกใครซักคนให้ช่วยปลุกผมหน่อย(ตั้งโทรศัพท์มือถือปลุก ก็ไม่ได้ยินเพราะเพลียมาก)

ผมเปิดประตูออกไปดูวิวของอ่าวสวนใหญ่ เป็นอันดับแรก เพื่อสูดอากาศ ช่างสดชื่นจริงๆครับ

จากนั้นเตรียมของใส่เป้ ผมคิดไว้ว่า จะไปสำรวจเกาะเล็กน้อย ขึ้นจุดชมวิว(บ้านช่อฟ้า) บ่ายๆอาจจะไปเกาะขาม ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก แล้วกลับมาเล่นน้ำที่นี่ เป็นอันเสร็จโปรแกรมของผมในวันนี้

“โป๊ก” โชคดีแต่เช้า หัวโขกหลอดไฟ ขณะกำลังขึ้นไปหยิบของบนเตียง โชคดีหลอดไฟ เอ้ย หัวผมซิ ไม่เป็นอะไรมาก(ฟาดเคราะห์ไป)

Edvin กับ Kevin มาเล่นน้ำแต่เช้าเลย ดูเหมือนเด็กๆจะมีความสุขมากด้วย

ผมขอร้องให้พี่นพ ช่วยปลุกผมด้วย มิฉะนั้น ผมจะพลาดเรือแน่นอน

ระหว่างรออาหารมา ผมออกมาถ่ายรูป บริเวณใกล้เคียง รวมทั้งสะพานสุดที่รักของผมด้วย

อาหารเช้าวันนี้ ผมสั่งขนมปังปิ๊ง มีเนยและแยม ต่อด้วย ไข่ดาวและแฮม

เดินเท้าสำรวจเกาะ

“ จุดชมวิว ไม่ไกลหรอกค่ะพี่ เดินเลาะชายหาดขึ้นไปทางแฟนตาเซีย รีสอร์ท ที่เห็นหลังคาแดงๆอยู่นั่นแหละค่ะ” น้องพิม เด็กสาวอายุไล่ๆกับผม พนักงานของที่นี่ อธิบายให้ผมฟัง

“ เดินเท้าไปไม่ไกลใช่ไหมครับ น้อง ”

“ ไม่ไกลค่ะพี่ อีกอย่างจักรยานจะปั่นขึ้นลำบากด้วย”

เมื่อผมสอบถามเธอว่า เส้นทางไม่ชันมากนัก ผมจึงเลือกรองเท้าแตะ เพราะขี้เกียจใส่ผ้าใบ อ่อ อย่าลืมหยิบหมวกไปด้วยล่ะ (ร้อนมากเลยครับ)

ผมเดินเลาะไปทางชายหาดเรื่อยๆ ก่อนขึ้นเส้นทางดินแดง ที่รายล้อมไปด้วยสวนมะพร้าว เจ้าหมาพันธุ์ไทยจอมเชื่องสีน้ำตาล(ซึ่งขอเรียกมันว่า น้ำตาลแล้วกัน) ขอติดตามผมมาด้วย เหมือนมันพยายามจะบอกว่า “ตามผมมาครับ”

ที่แฟนตาเซีย รีสอร์ท ขณะนี้ยังไม่เปิดให้บริการ พื้นที่จึงออกจะรกซักเล็กน้อย(ลืมบอกไปว่า ที่อ่าวสวนใหญ่ จะมีที่พักเพียง 3 แห่งเท่านั้น ตลอดชายหาด 2 กิโลเมตร คือ เกาะหมาก รีสอร์ท แฟนตาเซียรีสอร์ท และเกาะหมากโคโคเคป รีสอร์ท)

ผมเดินแบบลองผิดลองถูก ก็มาถึงหลังคาแดง แต่ว่า มันเป็นที่พักของ “เกาะหมาก วิลล่า” ซึ่งดูหรูหราพอสมควร ผมไม่แน่ใจว่าใช่จุดชมวิวที่ผมตามหาหรือไม่ แต่ก็ลองเดินเข้าไปดู(ถ้ามีคนไล่ค่อยหนีออกมาก็ได้)

ที่นี่ มีพลพรรคหมาเอย เพียบ เจ้าน้ำตาลเจอเพื่อนๆก็เห่าใหญ่ ผมก็เลยถือโอกาสนี้ เดินเข้าไป(จะกัดกูไหมหนอ)

เมื่อผมเห็นแล้วนำมาเทียบกับหนังสือท่องเที่ยวที่ติดมาด้วย วิวคล้ายกันมากครับ ผมมั่นใจว่ามาถูกที่แล้วแน่ๆ มองไปด้านหน้า คือเกาะขาม เป็นเกาะส่วนตัว มีจุดเด่นที่ หินภูเขาไฟ ขวามือ คืออ่าวสวนใหญ่ ที่ผมเดินมานั่นเอง

แต่ที่นี่ ไม่ยักมีคนแฮะ ไม่เห็นแม้แต่พนักงาน แต่ถึงอย่างไรก็ขอผมถ่ายรูปก่อนเถอะ(โอกาสมาแล้ว)

อีกหนึ่งสะพานที่คลาสสิค ใกล้อ่าวพระ

ออกจากที่นี่ ผมเจอชาวบ้าน จึงสอบถาม เลยมั่นใจได้ว่าจุดที่ผมเข้าไป คือ จุดชมวิวบ้านช่อฟ้า ภายในเกาะหมากวิลล่า โดยนักท่องเที่ยวทั่วๆไป ก็สามารถเข้าไปชมได้

เมื่อถึงทางแยก ผมตัดสินใจยังไม่กลับที่พัก โดยอยากเดินไปดูสะพาน ที่อยู่บริเวณเกาะหมากโคโคเคป ถนนเริ่มแฉะ น้ำขัง ต้องเดินอย่างระมัดระวัง

บริเวณเกาะหมากโคโคเคป ออกแบบที่พักได้อย่างสวยงาม บังกะโลบางหลังใช้เรือ มาเป็นบ้าน บรรยากาศสุดคลาสสิค เสียแต่ว่าราคาแพงไปนิด(ได้ยินว่า ระดับสองพันบาทก็ยังไม่มีแอร์เลย) ผมเห็นคนงานจำนวนมาก กำลังสร้างบังกะโลอยู่ด้วย อีกอย่าง ศาลาริมทะเล ก็น่าจะเข้าไปนอนเล่นเสียจริงๆ

ผมถึงสะพานเทียบเรือ สะพานที่นี่ยาวกว่าที่เกาะหมากรีสอร์ท น้ำลึกกว่า มีเก้าอี้นอนอยู่ปลายสะพาน จากตรงนี้ซ้ายมือของผม คือ เกาะผี หากกลับหลังหัน จะเห็นอ่าวพระอยู่ทางด้านขวามือ ที่นี่ก็มีความสงบ ส่วนตัว ไม่แพ้กันครับ


สองฝรั่งจิตใจงาม

ผมเดินกลับออกมา เข้าไปที่อ่าวพระ เจ้าน้ำตาล มารอผมอยู่แล้ว เลยเข้าไปเล่นกับมันซะหน่อย แปลกใจว่า มันตามผมมาไกลขนาดนี้เลยเหรอ (นึกว่ายังสนุกกับเพื่อนๆอยู่ ที่จุดชมวิว)

ที่อ่าวพระ มีหินรูปร่างประหลาดตา น้ำทะเลใสมากๆครับ ผมสังเกตเห็น สามี ภริยาคู่หนึ่งกำลังเก็บขยะที่ชายหาดอยู่ รู้สึกดีมากๆ ที่พวกเขาดูแล เอาใจใส่ ชายหาด มากกว่าเจ้าของประเทศบางคนเสียอีก

ผมตัดสินใจเดินเข้าไปคุย ทำความรู้จัก เพราะชื่นชมพวกเขามาก ทราบว่า พวกเขาเป็นคนฟินแลนด์ ผู้ชาย ชื่อ Timo ผู้หญิง ชื่อ Ritva พักอยู่ที่เกาะหมากวิลล่า(หรูซะด้วยนา) เราคุยกันซักพัก ก่อนจะลาจากกัน(ผมจำพวกเขาได้ เพราะโดยสารมาในเรือลำเดียวกัน เมื่อวานนี้)

ขากลับ รองเท้าแตะของผมหนักอึ้งเพราะเต็มไปด้วยดินเหนียว เดินลำบากมาก ต้องคอยเช็ดดินไปเรื่อย แต่สนุกดีครับ


พบหนุ่มสาวชาวเยอรมันอีกครั้ง

กลับมาที่อ่าวสวนใหญ่ ผมพบกับพี่เกณฑ์อีกครั้ง ซึ่งกำลังรอเรือกลับไปที่ฝั่ง แกบอกว่าเสียดายว่าไม่ได้พาลูกมาเพราะบรรยากาศที่นี่ดีจริงๆ แต่คราวหน้าตอนมาติดตั้งกังหันลม จะต้องพามาแน่

ผมเจอพี่ขวัญ กับคุณ Hogan และ เจ้าสองพี่น้องจอมซน อย่าง Edvin และ Kevin กำลังเอาท่อนไม้ตีกันอย่างสนุกสนาน(เล่นหนักนะเนี่ย) เดือดร้อนพี่ขวัญ กับคุณ Hogan ต้องคอยห้ามปราม

เจ้า Edvin ชี้ให้ผม ดูลิงที่พึ่งขึ้นต้นไม้ ไป ผมมองตามแต่ไม่ยักเจอแฮะ ผมยังคุยให้น้องฟังด้วยว่า ที่สะพานเมื่อคืน ผมเจอเจ้าปักเป้าหนามทุเรียนด้วย

คุยกับคุณ Hogan เรื่องสึนามิซะยาว แกกับผมเห็นด้วยว่า อันดามันปลอดภัยแล้ว แต่ดูพี่ขวัญยังกลัวๆอยู่

อาหารเติมพลังของผม คือ ไก่ผัดเม็ดมะม่วง ทันใดนั้น ผมก็ได้เจอ Ingo กับ Claudia มาสำรวจที่อ่าวนี้พอดิบพอดี พวกเขาพักอยู่ที่ TK บังกะโล และยังชมด้วยว่า อ่าวสวนใหญ่บรรยากาศดีจริงๆ

บ่ายนี้ผมตัดสินใจ ที่จะเช่าเรือคายัค พายไปยังเกาะขาม ซึ่งห่างจากอ่าวสวนใหญ่ 1 กิโลเมตร เสียค่าเหยียบเกาะคนละ 60 บาท ผมคิดว่า คงไม่คุ้มสำหรับผม อยู่ไม่นานแน่นอน เลยเลือกจะพายเรือคายัคไปดีกว่า ได้อีกอารมณ์

หลังจากติดต่อ กับพี่นพเรียบร้อย แกช่วยผมลากเรือมายังหาด แถมยังคิดราคาพิเศษให้ด้วย

นี่จะเป็นการพายเรือคายัคที่ไกลที่สุด ของผมเลยครับ

Sunday, October 23, 2005

แต้มฝันของเด็กหนุ่มที่.....เกาะหมาก(2)


สาวกัดสีผม ช่างพูด

บนรถโดยสารไปแหลมงอบ ผมได้เจอสาวกัดสีผมคนนั้นอีกครั้งหนึ่ง ดูเธอเป็นคนช่างพูด ช่างถามอย่างมาก สังเกตจากที่เธอถามเรื่องเรือกับคนขับรถ ผมแนะนำให้เธอไปเรือเฟอรรี่ เพราะจะนั่งสบายกว่ามาก เท่าที่ทราบคร่าวๆ เธอมาหาเพื่อนที่เกาะช้าง ผมชื่นชมเธอในใจ เพราะเธอเดินทางมาด้วยตัวคนเดียว

ภรรยาของพี่คนขับรถ อุ้มอะไรมาซักอย่าง พอมาดูใกล้ๆ เจ้าตัวนั้นกระโดดลงมาที่ผม นึกว่าลูกหมา ไม่ใช่ครับ มันคือลูกลิง ที่สำคัญดูจะติดพี่เขามากด้วย

เจ้าของลิงเล่าให้ฟังว่า พบเจ้าลูกลิงติดมากับอวน จึงเอามาเลี้ยงไว้ โดยคาดว่า มันน่าจะหลุดจากแม่ของมัน

ระหว่างรถแล่นอากาศยามเช้า เย็นมาก ด้วยลมที่แรง ทำเอาผมสั่นๆเหมือนกัน

เฮ้ย พี่ พูดจริงเหรอ!!

รถมาถึงแหลมงอบ ตอนตี 4 ผมพบกับคุณป้าและพี่สาวคนหนึ่ง คอยบริการเรื่องเรือให้นักท่องเที่ยว พี่สาวได้พูดคำๆหนึ่ง ทำเอาผมสะดุ้งเฮือก

“เกาะกูดซีทราน เขาไม่วิ่งนี่วันนี้” เธอพูด

ผมยังยืนยันกับเธอว่า ผมได้คุยทางโทรศัพท์เมื่อวาน ซึ่งได้รับคำตอบว่าเรือออกเวลา 9 โมงเช้า แต่เธอบอกว่า ตอนนี้ที่ติดต่อ ยังไม่มีใครอยู่ คงต้องรอเวลาให้เขาตื่นมาเสียก่อน

ที่แหลมงอบ ผมได้มีโอกาสเห็นพระอาทิตย์ขึ้นครั้งแรกในรอบหลายปี การเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเวลามาเที่ยวทะเลนั้น ยากกว่าการเห็นพระอาทิตย์ตกเสียอีกเพราะเรามักจะตื่นไม่ทัน แม้บางครั้งจะตั้งใจมากก็ตาม นอกจากนี้รอบๆก็ยังมีป้าย “สุดแผ่นดินตะวันออก” สำหรับให้นักท่องเที่ยวมาถ่ายรูปกันด้วย

ผมนั่งคุยกับป้า แกเล่าให้ฟังว่า ลูกชายจบปริญญาโท กำลังเรียนต่อเอกในด้านวิทยาศาสตร์(เกี่ยวกับการเพราะพันธุ์เชื้อโรค) ที่มหาวิทยาลัยบูรพา แถมได้ทุนด้วย ผมรู้สึกดีใจกับคุณป้า ในการประสบความสำเร็จของลูกชาย

นอกจากนี้แกยังเล่าให้ฟังว่า อีกไม่นานร้านอาหาร ที่เป็นทั้ง ที่ติดต่อเรือแห่งนี้ จะต้องย้ายไปอีกที่หนึ่งเพราะหมดสัญญาเช่า เพราะเทศบาลให้เช่าต่อเพียง 1 ปี ซึ่งผมก็แนะนำแกว่า อย่าให้มีเรื่องถึงขึ้นโรงขึ้นศาล เพราะยุ่งยากแถมไม่ใช่เรื่องที่น่าสนุกเท่าไรนัก(ว่าไปตามสิทธิ์ของเรา แต่หากเราถูก เราก็ควรจะต่อสู้)

คุณป้าขอตัวไปตลาดเพื่อซื้อของ เป็นเวลาเดียวกับผมที่เริ่มจะเคลื่อนไหวอีกครั้ง


ความชัวร์เป็นเหตุ

ผมโทรไปที่เกาะกูดซีทรานอีกครั้ง เป็นเบอร์มือถือ โชคดีที่มีคนรับ ผมต้องตกใจจนตาแทบจะถลนออกมาจากเบ้าตาแบบ จิม แครี่ ใน The Mask เมื่อได้ยินว่า

“ วันนี้เรือไม่ได้วิ่งนะคะ”

ที่ผมพูดกับเธอเมื่อวานนั้น ต้องโทษที่ผมไม่ถามให้รู้เรื่องเอง เลยสอบถามแค่ราคา กับเวลา นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าชัวร์ให้มาก จะโดนแบบผมไม่ใช่น้อย(โชคชั้นหนึ่ง)

ถึงตอนนี้ผมต้องดิ้นรนเต็มที่ เพื่อจะไปถึงเกาะหมากให้ได้ เพราะไม่อยากเสียเวลาถึงบ่ายสามโมง

ทราบคร่าวๆ ว่าให้ลองไปสอบถามที่ท่าเรือด่านเก่า อาจยังพอมีทาง


มาช้าไปนิดเดียว ไอ้หนุ่ม!!

ผมเห็นยังมีเวลา จึงเดินเท้าหลายร้อยเมตร ไปไหว้เสด็จเตี่ย(กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) ถนนแถวนี้ ช่างสวยงาม เงียบสงบ น่าจะมีถนนแบบนี้ รถน้อยๆ ในกรุงเทพ(จะได้เปิดโอกาสให้แบตแมน ออกล่าเหยื่อ)(ติดคุกนะ ติดคุก)

ผมเห็นป้ายของเรือเกาะกูดเอ็กเพรซ มีบริการเรือไปเกาะหมากด้วย มีเบอรมือถือ ผมจึงลองสอบถามดู ได้รับคำตอบว่า ที่ด่านเก่า ไม่มีเรือไปเกาะหมาก ส่วนเรือของพี่เขา งดให้บริการวันจันทร์ถึงวันพฤหัส(เจ้าตัวอยู่จันทบุรี) แต่พี่ยังอุตสาห์ช่วยเหลือโดยแนะนำให้ลองไปถาม ที่ท่าเทียบเรือกรมหลวงชุมพร ที่อยู่ตรงข้างหน้าผมนี่แหละ จะมีเรือให้บริการในรอบ 11 โมง

ระหว่างเดินผ่านสะพานไปท่าเรือ น้ำลดจนเห็นปลาตีน ผมยังดื่มด่ำบรรยากาศอย่างใจเย็น ในใจคิดว่า ดีแล้วที่มาคนเดียว เพราะหากมากันหลายคน ผมคงถูกด่าเพราะความชัวร์แถมพาเพื่อนมาลำบาก ไอ้ผมลำบากคนเดียวคงไม่เท่าไรหรอก(สนุกออกเป็นรสชาด ไอ้คนเขียนถ้าจะโรคจิต)

เมื่อถึงท่าเรือกรมหลวงชุมพร ตาของThe Mask ถลนออกมาจากเบ้าอีกรอบ เพราะเรือรอบ 11 โมงนั้นซ่อมอยู่ (โชคชั้นสอง)

แถมก่อนผมจะมาไม่ถึง 5 นาที (พี่แกพูดพลางชี้ไปด้านหน้า) มีชาวต่างชาติกระเป๋าหนัก เหมาเรือไปเกาะหมากเรียบร้อย หากผมมาทัน ก็แค่จ่ายค่าน้ำมันให้เขาเล็กน้อย(เท่ากับค่าโดยสารเรือเร็ว) แล้วไปกับเขา

“พี่เห็นน้องเดินมาด้วย ที่แบกกระเป๋าใหญ่ๆใช่ไหม”

“ครับ พี่”

ผมคิดในใจว่า หากผมไม่เดินไปไหว้เสด็จเตี่ยก่อน แล้วมาท่าเรือทันที ผมคงได้ไปในรอบเช้าทัน โอกาสของผมจึงหมดลงด้วยประการฉะนี้ จะให้ผมเหมาเรือไปคงไม่ไหว เพราะราคาเฉียดหมื่นครับพี่น้อง(ตายดีกว่า)

ผมขอติดรถพี่คนขับรถแสนใจดี มาส่งผมบริเวณแหลมงอบอีกครั้งหนึ่ง


น้ำใจ หลั่งไหล ช่วยเด็กหนุ่ม

ผมได้เจอกับพี่สาวคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหลานคุณป้า เมื่อเธอทราบเรื่องของผม เธอพยายามช่วยเหลือโดยมีอีกหนทาง คือ นั่งเฟอรรี่ไปเกาะช้าง แล้วนั่งเรือที่อุทยาน จะมีไปเกาะหมากวันละเที่ยว เวลา 9 โมงเช้า

แต่แล้ว หากผมได้นั่งเรือในรอบ 8 โมง ก็ไม่ทันอยู่ดี เพราะต้องต่อรถไปอีก เธอจึงพยายามโทรสอบถามให้ หนทางที่พี่เขาคุยกัน คือ ผมต้องจ่ายตังค์ประมาณ หนึ่งพันกว่า (นักท่องเที่ยวหลายๆคนจะต้องรอผมเพียงคนเดียว)

แน่นอนว่า ผมปฎิเสธ เพราะอาจจะทำให้การเดินทางครั้งนี้ถูกไฟดูดตายได้(ช๊อต เงินครับเงิน) ครั้นจะเหมาก็อย่างที่เคยกล่าวไปแล้ว แพงมากๆ

อย่างไรก็ตามผมยังไม่หมดความพยายาม แม้จะทิ้งไปหลายครั้ง ผมจำได้ว่า เพื่อนผมที่เรียนอยู่หอการค้า คุณพ่อทำงานอยู่ที่ท่าเรือ เธอยังเคยบอกผมว่า มาเที่ยวเมื่อไรให้บอก จึงลองโทรศัพท์ไปสอบถาม แต่แล้วความหวังพังทลายเพราะเธอติดต่อไม่ได้ แถมเบอร์คุณพ่อ ก็ติดต่อไม่ได้เช่นกัน

ผมยังดิ้นรนอีกเฮือก โทรไปที่หมู่บ้านชาวประมงบางเบ้า ที่เกาะช้าง เพราะทราบว่าที่นั่นเป็นอีกแห่งที่ มีเรือนำนักท่องเที่ยวไปยังเกาะต่างๆ ซึ่งผมต้องวัดดวงเหมือนกันคือ ต้องรอเรือที่มาจากเกาะหมากซึ่งไม่แน่ใจว่าจะมีหรือไม่(อาจไม่มีก็ได้)

ผมจึงนั่งลงอย่างสงบ ยอมรับชะตากรรมว่า ผมจะเดินทางไปเกาะหมาก เวลา บ่าย 3 โมง

……………

ขอกินข้าวก่อนล่ะ กบในท้องมันร้อง

แม่ครัวมาทำงานแล้ว ผมสั่งกระเพราหมูไข่ดาว มาประทังความหิว พร้อมหยิบหนังสือ “ใต้ทะเลมีความรักภาค 3 ตอนหลังคลื่นอันดามัน” ของ อ ธรณ์ มาอ่าน

ผมคิดไว้ว่า จะนั่งรอที่นี่ เพราะการนั่งรถไปเที่ยวที่อื่นซึ่งมีระยะทางไกล ยิ่งผมไม่ได้เอารถส่วนตัวมา จึงเป็นการสิ้นเปลือง

ที่ร้าน มีเจ้าร๊อตไวเลอร์ที่เชื่อง(หรือเปล่า) อยู่ 1 ตัว ผมรับรู้ถึงน้ำหนักของมันได้อย่างดี เวลามันเดินชนโต๊ะไม้ เพราะมันทำให้โต๊ะหนักๆเคลื่อนไหวได้

พี่ๆที่ร้านเห็นผมนั่งหลับ จึงแนะนำให้ผมไปนอนที่เปลยวนใต้ร่มไม้ ข้างๆหาดหิน ผมจึงไม่ลังเลที่จะไปนอน

นั่งถ่ายรูปเด็กน้อย ริมหาดหิน ซึ่งเป็นเด็กแถวๆนี้นี่แหละครับ ผมก็อ่านหนังสือต่อ ก่อนจะหลับไปเพราะความอ่อนเพลีย



ดีจัง เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมงจะได้ไปล่ะ

11 โมงกว่า ผมตื่นมาอย่างงัวเงีย แต่ก็รู้สึกพึงพอใจ ที่ฆ่าเวลาได้เยอะ อีกไม่กี่ชั่วโมง ผมจะได้ไปเกาะหมากจริงๆน่ะเหรอ ถึงตอนนี้ผมอารมณ์ดีขึ้นเยอะเลยครับ (ช่วยไม่ได้นะครับ)

หันไปที่ร้านอาหาร มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะเชียว ซึ่งแน่นอนว่า ไปเกาะช้างกันทั้งหมด(เกาะหมากจะมีใครบ้ามาเร็วแบบผมล่ะครับ)

ผมเปลี่ยนมานั่งที่ร้านเช่นเดิม ฝากท้องไว้กับทางร้านอีกครั้ง(ไม่ได้คลอดเด็ก) บ่ายนี้เป็นผัดเปรี้ยวหวานกุ้งราดข้าว

ผมเดินมาซื้อตั๋วเรือ หลานสาวคุณป้าบอกผมว่า

“หายไปไหนมา นึกว่าจะถอดใจกลับไปซะแล้ว”

“ไม่มีทางครับพี่ ใครจะถอดใจง่ายๆ ผมไปนอนมาครับ ตรงเปลยวนนี่เอง”

การซื้อตั๋วไปกลับ ย่อมถูกกว่าการซื้อเที่ยวเดียว อีกอย่างตั๋วกลับก็ไม่มีวันที่ เราจะกลับเมื่อไรก็ย่อมได้ ผมจึงไม่ลังเลที่จะซื้อตั๋วไป-กลับ

แดดร้อนเปรี้ยงๆ แต่ฝนก็ยังตกเฉยเลย ผมภาวนาขอให้หยุดเร็วๆ ผมอยากจะไป จนใจจะขาดแล้วเอย(เพลง)


ได้ยินเสียงจากสวรรค์

“ไปเกาะหมากใช่ไหม เตรียมตัวได้เลยครับ” เสียงสวรรค์มาหาผมซะที

ก่อนไป ผมขอบคุณพี่ๆ ที่อุตสาห์ช่วยเหลือ คนต่างถิ่นอย่างผม แม้มันอาจดูธรรมดาสำหรับใครหลายๆคน แต่สำหรับผมน้ำใจของคนที่นี่ ก็ทำให้ผมประทับใจได้แล้ว



Go Go Neptune!!

รถโดยสารพาผมและนักท่องเที่ยว มายังท่าเทียบเรือกรมหลวงชุมพร เมื่อเช้านี้ น้ำยังแห้งอยู่เลยแต่ในตอนนี้น้ำกลับเต็มเปี่ยมเพราะฝนที่ตกลงมา

เรือโดยสารของผมวันนี้ เป็นเรือประมงดัดแปลง ชื่อเนปจูน วิ่งสลับกับอีกลำที่ชื่อโลมา(ตรงกับนิตยสารท่องเที่ยวเลยครับ) โดยเป็นเรือ 2 ชั้น ภายในนอกจากผู้โดยสารไปเกาะหมาก ก็ยังขนของสด (เป็นต้น) ไปยังเกาะด้วย(หากใครนึกไม่ออก นึกถึงเรือหาปลา 2 ชั้น ง่ายๆครับ)

ในเรือมีทั้งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นักท่องเที่ยวชาวไทยที่มากันเป็นครอบครัวและยังมีชาวบ้านที่เกาะหมากอีกด้วย

ข้างๆผมเป็นหนุ่มสาวชาวต่างชาติคู่หนึ่ง ผมเริ่มคุยกับพวกเขาจึงทราบว่าเป็นชาวเยอรมัน ผู้ชายชื่อ Ingo ผู้หญิงชื่อ Claudia มาเที่ยวเกาะหมากเป็นครั้งแรก ผมแปลกใจมากที่เขารู้จักที่นี่ พวกเขาบอกว่าดูจากในอินเตอเน็ต อยากได้ที่สงบๆ ผมยินดีกับพวกเขามาก ว่าเลือกสถานที่ถูกต้องแล้ว(เจ้าของประเทศบางคนยังไม่รู้จักเลย)

ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้ผมดีใจมากๆ คือ Ingo เป็น Instructor ที่เขาหลัก ส่วน Claudia เป็น Divemaster ผมจึงคุยกับพวกเขาได้อย่างสนุกสนาน จนบางทีก็รู้สึกประหลาดใจว่า ผมสื่อสารกับพวกเขาได้มากขนาดนี้เชียวหรือ(เรื่อง Grammar อีกเรื่องนะครับ)

หากผมได้นั่งเรือมารอบเช้า ก็คงไม่ได้รู้จักกับพวกเขา นี่อาจเป็นสิ่งที่กำหนดมาแล้วก็ได้ ผมจึงไม่ควรเสียดายเวลาที่ผมมาถึงเกาะช้า แต่ควรจะเสียดายโอกาสหากไม่ได้รู้จักพวกเขามากกว่า ขอบคุณเสด็จเตี่ยครับ

ผมยังได้รู้จักครอบครัวของพี่บุ๋มและสามี(แกมาขอยืมนิตยสารท่องเที่ยวจากผม) ที่ยกขบวนมาจากปทุมธานี ลูกสาวสาม ลูกชายหนึ่ง ลูกสาวแก หน้าตาน่ารักจนผมก็แอบมองๆอยู่เหมือนกัน(เจ้าตัวเล็กสุด ซนน่าดูเลย)

นอกจากนี้ผมยังได้รู้จักกับพี่คนหนึ่ง แกพูดให้ผมฟังเกี่ยวกับการพัฒนาเกาะหมากในอนาคต ผมชื่นชมในความคิดของแก แม้แกจะเรียนหนังสือไม่สูง แต่ความคิดนั้น น่าทึ่งมากกว่าคนที่จบสูงๆบางคนเสียอีก

ระหว่างทางไปเกาะหมากผมได้ชมพระอาทิตย์ตกด้วย จึงไม่พลาดที่จะถ่ายรูป

Saturday, October 22, 2005

แต้มฝันของเด็กหนุ่มที่....เกาะหมาก(1)


หากการเรียนดำน้ำ เพื่อแปลงกายเป็นมนุษย์กบ ไปสัมผัสโลกใต้ทะเล เป็นความใฝ่ฝันของผมแล้ว การได้เดินทางไปยังเกาะต่างๆทั่วประเทศไทย การได้รู้จักผู้คน การได้เห็นโลกใหม่ๆ ก็เป็นอีกหนึ่งความฝันของผมเช่นกัน

หลายๆคน พอเรียนดำน้ำแล้ว ก็มักจะเลิกท่องเที่ยวแบบเชิงอนุรักษ์ไป(ดำน้ำตื้น กางเตนส์นอน สำรวจป่า ดูนก ขึ้นจุดชมวิว พายคายัค เป็นต้น) แต่สำหรับผม คิดว่าทั้งสองอย่าง มีเสน่ห์พอๆกัน แม้ผมจะได้บัตร Open Water มาแล้ว แต่ก็มิอาจทิ้งการท่องเที่ยว ที่มีเสน่ห์เช่นนี้ลงได้

อาจเป็นเพราะว่า ทั้งสองอย่างได้ฝังลึกในจิตใจของผมไปแล้ว ทุกๆครั้ง ที่ผมเห็นรูปเกาะ รูปปลาทะเล รูปสัตว์ทะเล หรือแม้กระทั่งได้ยินเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับจังหวัดที่ติดทะเล ไม่ว่าผมจะทำอะไรอยู่ ก็มักจะหยุดเพื่อฟังเรื่องราวเหล่านั้นอยู่เสมอ

ผมมักจะนึกถึงความฝันของผมได้ตลอด โดยไม่รู้สึกเบื่อแต่อย่างใด


ลุยเดี่ยว อีกครั้ง

“เกาะหมากนี่อยู่ไหนวะ”

เสียงของเกียงและโละ สองหนุ่มผู้ชื่นชอบการเที่ยวธรรมชาติ เช่นเดียวกับผม ต่างกันตรงที่ว่า ผมจะเน้นหนักไปในเรื่องของทะเล จึงไม่แปลกใจ ที่พวกเขาจะไม่รู้จักเกาะธรรมดาๆเกาะหนึ่ง เช่นเดียวกับคนไทย อีกหลายๆคน ที่ไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้

“ต้องกลับระยองว่ะ บอกแม่ไว้แล้ว”

เสียงของกอลฟ์ หนุ่มติดดิน(ไม่ใช่โดนเหยียบ) เพื่อนสนิทที่สุดในมหาลัย ผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยวเช่นนี้เหมือนกัน

หากนึกถึงทะเลตราด ผู้คนก็มักจะนึกถึงเกาะช้าง เกาะกูด หรือเกาะส่วนตัว อย่างเกาะเหลายามากกว่า

ด้วยความเป็นธรรมชาติของเกาะหมาก สิ่งอำนวยความสะดวกยังไม่เข้าถึงมากนัก เกาะหมากจึงเป็นเกาะที่ผมใฝ่ฝันมาเยือนให้ได้ แต่ผมก็พลาดที่จะไป ครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเลือกไปเกาะอื่นๆ ก่อนทุกครั้งไป ด้วยเหตุผลหลายๆประการ เช่น มีเวลาหลายวันจึงเลือกไปจังหวัดไกลๆมากกว่า เป็นต้น

หลายปีก่อน ผมก็พลาดไปเกาะหมากอีกหลายๆครั้ง โดยเลือกที่จะไปเกาะเต่า จ สุราษฐ์ธานี หรือไปเที่ยวกระบี่ เป็นต้น มีเพียงชูฮวยเพื่อนสนิทของผม ที่ร่ำๆว่า อยากไปเกาะหมากอยู่

ตุลาคมปีก่อน ผมตะลุยไปเกาะช้างกับวุ้น หนุ่มร่างอ้วนที่มาช่วยให้การท่องเที่ยวของผม มีเสียงหัวเราะมากขึ้น

ระหว่างวางแผนการท่องเที่ยว ผมโทรไปสอบถามสภาพอากาศ ที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง แต่สภาพอากาศไม่สู้ดีนัก จึงเบนเข็มมาเที่ยวเกาะช้างแทน

ตุลาคมปีนี้ เป็นเวลาใกล้เคียงกับปีที่แล้วเช่นเดียวกัน ยิ่งเหมือนกันอีก คือ ผมโทรศัพท์ไปสอบถามสภาพอากาศที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทองด้วย แน่นอนที่ว่า ช่วงเดือนนี้ ภาคใต้ฝั่งอ่าวไทย โดยเฉพาะหมู่เกาะห่างไกล สภาพอากาศก็ไม่ค่อยดีนัก

เมื่อสภาพอากาศที่เกาะหมากเป็นใจ ผมไม่ลังเลที่จะศึกษาหาข้อมูล ตามหาฝันของผม

และเป็นอีกครั้งที่ผมเดินทางเพียงคนเดียว เนื่องจากเพื่อนๆต่างว่างไม่ตรงกัน แต่สิ่งนี้ไม่ได้เป็นอุปสรรคของผมแต่อย่างใด เนื่องจากมีประสบการณ์การท่องเที่ยวเพียงคนเดียวหลายครั้งแล้ว(สนุกด้วยครับ จริงๆ)

การเดินทางที่น่าตื่นเต้นของผม กำลังจะเริ่มต้นอีกครั้ง แล้วครับ

16 ตุลาคม 2548

หลังจากได้อ่านเรื่องราวของสามหนุ่มกับอีกหนึ่งสาวแห่งนิตยสาร ATG ฉบับไปเที่ยวที่เกาะหมาก หรืออ่านข้อมูลมาจากนิตยสาร Trips ที่ผมไปซื้อมาจากงานสัปดาห์หนังสือเมื่อวันศุกร์ ทำให้ผมอยากไปเกาะหมากจนตัวสั่น

ผมคิดในใจว่าจะออกเดินทางในเช้าวันรุ่งขึ้น เพื่อให้ทันเรือเมล์ราคาประหยัด(ที่สุด) เที่ยวเดียวเวลาบ่าย 3 โมง ซึ่งให้บริการจากแหลมงอบ-เกาะหมาก ทุกๆวัน

แต่เมื่อสอบถามกับบริษัทเกาะกูดซีทราน ว่ามีเรือเร็วซึ่งต้องจ่ายแพงกว่านิดหน่อย บริการแหลมงอบ-เกาะหมาก แต่ออกเวลา 9 โมงเช้า ทำให้ผมเปลี่ยนใจกระทันหันที่จะไปในกลางดึกของวันนี้แทนเพราะ หากได้ไปถึงเกาะในช่วงเที่ยงผมยังมีเวลาสำรวจเกาะอีกครึ่งวัน จะได้ไม่เสียเวลาไปฟรีๆ(ผมวางแผนจะพักที่เกาะแค่ 2 คืน ก่อนเดินทางกลับ)

จัดกระเป๋าเสร็จเรียบร้อย ในเวลาไม่นาน แน่นอนว่าสิ่งสำคัญอย่างหนังสือดีๆ ยามเดินทางคนเดียว กับ Snockle ไว้สำรวจปลาทะเล ก็เป็นสิ่งที่ผมขาดไม่ได้ในทริปเช่นนี้

เมื่อภราดร พ่าย เจมส์ เบคล์ นักหวดอเมริกัน ในรายการสต็อคโฮม โอเพ่น(อย่างไม่น่าแพ้) ผมจึงได้ฤกษ์ออกเดินทาง

ตกหลุม สาวมาดเท่

รถของคุณพ่อมาส่งผม ที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต ผมแวะเข้าเซเว่นเพื่อซื้อ บัตรPin phone เผื่อไว้ว่า ที่เกาะหมากคลื่นออเรนท์ ไม่อาจใช้ได้ ผมจะใช้บัตรนี้ ติดต่อกลับบ้านหรือติดต่อเพื่อนๆ

ที่สถานีสยาม สาวมาดเท่ผิวขาว หน้าตาน่ารัก ผมยาวประบ่า สวมเสื้อสีเขียว กางเกงแฟชั่นหนีน้ำ(ไม่ยาวถึงข้อเท้าและไม่สั้นถึงหัวเข่า) รองเท้าเซอร์ๆสไตล์เด็กมีแนว ใช้ย่ามเก่าๆ ลักษณะคล้ายๆทอม นั่งฝั่งตรงข้ามกับผม ดูจากสายตา เธออายุน้อยกว่าผมอย่างแน่นอน(แต่อายุสมองของเธออาจมากกว่าผมก็ได้นา ใครจะไปรู้ )

หลายครั้งที่ผมแอบมองเธอ ที่ขาของผมมักจะเป็นแผลเพราะตกหลุม(รัก) อยู่เสมอ กินอะไรหนอ ถึงเกิดมาหน้าตาดี ผมคิดในใจ (คงกินของสดๆมั้ง เอ้ย ไม่ใช่ปอบ!!)

ผมสังเกตว่า เธอก็มองผมอยู่บ้าง แต่ไม่ได้มองอะไรหรอกครับ มองคนบ้าอย่างผม ที่บ้าหอบเป้ใหญ่ๆมากกว่า เธออาจคิดในใจว่า “ตาลุงนี่จะไปไหนหนอ”





แข่งกันขายตั๋ว

ที่สถานีเอกมัย ผมไม่กังวลเรื่องรถโดยสารมากนัก บริษัทไหนก็ได้ เพราะสำรวจราคามาแล้ว ส่วนใหญ่ หลายบริษัทราคาเท่ากัน เวลารถออกเที่ยวสุดท้าย อยู่ราวๆ 4 ทุ่ม- 5 ทุ่ม

ผมมาหยุดอยู่ที่ บริษัทขนส่ง จำกัด สอบถามพนักงานด้วยความแปลกใจ เพราะที่ป้ายเขียนว่า เอกมัย-แหลมงอบ นั่นก็หมายความว่า รถไปจอดที่ท่าเรือเลยซิ?

พนักงานอธิบายว่า รถเที่ยวนี้จะวิ่งขึ้นโทลย์เวย์ ซึ่งใช้เวลารวดเร็วกว่า ไปจอดที่แหลมงอบเลย โดยจะเริ่มให้บริการในเวลาเช้า ผมคิดในใจว่า เจ๋งน่าดู คราวหน้า ผมคงไม่พลาดที่จะใช้บริการแน่ๆ

“น้องๆ ” สาวใหญ่บริษัทธนกวี ขนส่ง กวักมือเรียกผม ตามประสาคนขายของที่ดี ที่มักจะแข่งขันกัน ผมมองเห็นรถออกเวลา 4 ทุ่มครึ่ง เหลือเวลาอีก 10 นาทีเอง ผมจึงเลือกเที่ยวรถเวลานี้ แทนที่จะเป็นเวลา 5 ทุ่ม แม้จะต้องใช้เวลานานที่นั่น กว่าเรือจะออกก็ตาม แต่ผมอยากไปถึงที่หมายให้รวดเร็วเท่านั้นเอง

เมื่อซื้อตั๋วเสร็จ ผมชำเลืองเห็นอีกบริษัท ที่อยู่ไกลกว่า สีหน้าบ่งบอกถึงความผิดหวังชัดเจน(อดได้ตังค์ผม)


อย่าเถียงกันเลยครับ เรื่องเล็กน้อย

“เลือกที่นั่งตามสบายเลยนะพ่อหนุ่ม” คุณป้า พนักงานบริการรถเที่ยวนี้บอกผม

ผมมองไปข้างในรถ ช่างมีคนน้อยจริงๆ แต่อย่างว่า ในวันธรรมดาแบบนี้ เที่ยวดึกด้วย ใครจะไปเดินทางท่องเที่ยวแบบผม นอกจากคนกลับบ้านต่างจังหวัด

ไม่นานคุณป้า เดินมาแจกน้ำและขนมให้ผม ผมนั่งแบบสบายใจ ยิ่งคนน้อย ผมก็มีเนื้อที่ในการวางของ ยืดขามากขึ้น (ผมนั่งอยู่ตรงกลางขวา ติดหน้าต่าง)

ผมโทรศัพท์หาที่บ้าน ว่าได้ขึ้นรถเรียบร้อย แต่กลายเป็นว่า ท่านทั้งสองเถียงกันว่า

“นั่งริมหน้าต่างน่ะ ตายก่อน แม่ไม่รู้เรื่อง พ่อนั่งรถทัวร์บ่อย”

“นั่งริมหน้าต่างแหละดี ไม่มีพวกมิจฉาชีพมาล้วงกระเป๋าได้(ที่นั่งอีกฝากหนึ่ง มีผู้ชายนั่งอยู่ 1 คน) คนจะตายนั่งตรงไหนก็ตาย

ผมคิดในใจ แล้วมาพูด ตายๆ ทำไมตอนนี้หนอ ผมกำลังเดินทางนะ ฮ่าๆๆ แต่ผมก็คิดวิธี ที่ทำให้คุณพ่อคุณแม่สบายใจที่สุด คือ ผมจะไม่นั่งริมหน้าต่างตามใจพ่อ โดยเขยิบมาหน่อย แล้วจะย้ายของมีค่ามาไว้ที่กระเป๋ากางเกงข้างขวา(ที่ไม่มีใครนั่ง) ตามใจแม่ (อย่าเถียงกันเลย เรื่องเล็กน้อย)

ผมรีบนอนทันที เพื่อความสดชื่นในเช้ามืดวันรุ่งขึ้น








17 ตุลาคม 2548
แปลกใจ กับนักเดินทางวัยรุ่น

“พี่คะ รถไปตราดใช่ไหม หนูจะไปเกาะช้าง” ที่ชลบุรี ผมตื่นขึ้นมา หลังจากได้ยินเสียงผู้โดยสารคนใหม่ ที่เบาะหน้าผม พร้อมแปลกใจว่า ในเวลาแบบนี้ นอกจากผมก็ยังมีนักเดินทางคนอื่นอยู่อีกหรือ ผมสังเกตจากสายตาดุจเหยี่ยว เธอกัดสีผมด้วย ผมคิดในใจ ว่าแม้จะเดินทางคนละเกาะ คงมีโอกาสได้พบกัน

นอกจากนี้เบาะหลังเยื้องซ้าย ก็ยังมีสาววัยรุ่นอีก 2 คนด้วย

เวลา 2 นาฬิกา ที่ สถานีรถโดยสารจันทบุรี ผมตื่นมาอีกครั้ง เกือบจะแบกกระเป๋าลงจากรถเพราะเข้าใจว่าถึงที่หมายแล้ว พอดูดีๆ เลยตั้งสติอยู่ ผมจึงพยายามข่มตานอนอีกครั้งหนึ่ง


เช้ามืด ที่คึกคัก(มาก)

“รถทัวร์หมดระยะแล้วนะคะ” เสียงคุณป้า พนักงานประกาศ

ผมมองดูนาฬิกา ได้เวลา 3 นาฬิกา เท่านั้น รถก็วิ่งเร็วเหมือนกันนะเนี่ย(กรุงเทพ-ตราด ปกติใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง) ผมรีบแบกเป้ ลงจากรถ

“ไปไหนไอ้หนุ่ม”

“ไปเกาะหมากครับลุง แต่ผมจะไปเที่ยว 9 โมงของเกาะกูดซีทรานน่ะครับ” ผมมองดูหน้าตาแก ผมเคยเห็นเมื่อปีที่แล้ว ตอนมาลงรถที่นี่แน่นอน

“อืม ของเกาะกูดซีทรานเหรอ ลุงไม่แน่ใจ เดี๋ยวลุงไปถามให้ มาหาที่นั่งก่อนซิ ”

ซักพัก ผมได้คำตอบจากพี่ข้างๆ ว่า ต้องไปขึ้นที่แหลมงอบนั่นแหละ แต่ตอนนี้ รอรถคิวก่อน แล้วค่อยไป เพราะหากไม่นั่งรถคิวก็ต้องเหมาไป ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย

เวลาเช้าๆแบบนี้ อากาศช่างเย็นสบายดี ผมเดินเข้าไปหาอะไรทานในตลาดที่อยู่ใกล้ๆ แปลกใจมากที่เวลา ตี 3 แต่กลับคึกคักมาก ไม่ต่างอะไรกับตลาดในช่วง7-8 โมงใน กรุงเทพเลย

ภาพที่คนขับรถ หยอกล้อกันแบบเด็กๆ ทำท่าชกต่อยกัน ทำให้ผมแอบยิ้มไม่ได้

ภาพที่เวลารถทัวร์ผ่านมา คนขับเลิกเล่น มองไปที่รถทัวร์ “รอบนี้เยอะ นี่หว่า” แล้วเตรียมตัวไปสอบถามผู้โดยสารเพื่อหาลูกค้า ช่างเป็นภาพที่ผมคุ้นตาอย่างมาก

ผมข้ามฝั่งไปซื้อ ขนมปัง นม ที่เซเว่น มากินเพื่อประทังความหิว ก่อนไปหาอะไรทานอีกครั้งที่แหลมงอบ

Sunday, October 16, 2005

เรื่องของ(ผม)



พูดถึงเรื่องการตัดผม หลายๆคน มักจะตัดผมเมื่อมีโอกาสเหมาะๆ อาจจะเป็นเวลาที่รำคาญ หรือผมเริ่มยุ่ง หรือผมเริ่มยาวจึงเริ่มตัด

สำหรับ กระผม มักจะตัดเวลามีโอกาสสำคัญเสมอๆ เช่น ออกไปเที่ยวทะเล(เวลาเส้นผมโดนน้ำทะเล หลายๆคนอาจเคยรู้สึกเจ็บหนังหัวบ้าง ยิ่งสำหรับนักดำน้ำเวลาดึงหน้ากากออก โอย เจ็บจัง) หรือใกล้สอบ หรือ ไปหาสาวๆ (ถ้าไปหาเพื่อนๆ โทรมแค่ไหนสบายมากครับ เราชอบสร้างภาพๆ)

ตามปกติ ผมมักไว้ผมสั้นเสมอ มีหลังๆ พึ่งเริ่มไว้ยาว แต่ก็ไว้นานมากไม่ได้ เพราะผมจะพอง จนหัวโตขึ้นๆ แถมยังหยักศก หวีทีผมร่วงมาเป็นใบไม้ รำคาญมากๆ(ยิ่งหัวโตอยู่แล้ว ตายกันพอดี)

ร้านตัดผม ช่วงหลังๆ ผมเริ่มเปลี่ยนจากร้านปัตตาเลี่ยน มาเป็นร้านตัดผมแบบวัยรุ่นเขาตัดกัน ที่มีการสระผมก่อนตัดเสมอ(ก็ร้านแบบนั้นแหละครับ ที่มีการสระก่อน นวดผมหลายๆรอบ แล้วมาตัด จากนั้นล้างหัว มาเป่าผมและตกแต่งทรง)

เพราะบางครั้ง ผมก็ไม่ต้องการตัดแบบ ไถขาวประเภทแบบรองทรงสูง รองทรงต่ำ โดยใช้ปัตตาเลี่ยน เสมอไป บางครั้งเคยคิดว่า ผมตัดแบบสกินเฮด น่าจะดีกว่าอีก(แล้วแต่คนครับ ผมเลิกตัดแบบรองทรงมานานแล้ว)

ร้านตัดผมปัตตาเลี่ยน ก็สามารถบอกช่างให้ตัดแบบทรงที่เราต้องการได้เช่นกัน เพียงแต่เขาอาจจะตัดได้ไม่ดีเท่าที่เราต้องการก็เท่านั้น ในบางครั้งผมมักจะใช้ความหมาแก่(ศัพท์โอวี ครับ แปลว่า การที่มีรุ่นพี่ใช้แล้วชอบเกี่ยงให้คนอื่นทำ) โดยการรอตัดผมพร้อมพ่อในร้านปัตตาเลี่ยนเสมอๆ(คำนี้เวลาใช้ที่บ้านผม หมายถึง การที่กินหรือใช้ของฟรีโดยไม่ออกตังค์)

โอกาสสำคัญในวันนี้ที่ตัดเพราะ กำลังไปเกาะหมาก จ ตราด ตามประสาคนที่ใช้ชีวิตแบบสบาย(เกินไป)และชอบเที่ยว ก่อนกลับมารับภาระอันหนักอึ้ง ที่จะตามมาเป็นลูกกระพรวน(ไม่ใช่กระพรวนในคอแมว)

ไปก่อนล่ะครับ รถออก 5 ทุ่ม เอกมัยที่เดิมเจ้า เป็นการตัดสินใจแบบรวดเร็ว(ไม่ถึง 5 นาที) ที่ไปวันนี้แทนที่จะเป็นพรุ่งนี้ เพราะไม่อยากเสียเวลาบนเกาะฟรีๆ ไป 1 วัน เนื่องจากเรือเมล์(ของชาวบ้านที่นั่น) มี แค่ บ่ายสามโมงรอบเดียว จึงเลือกที่จะจ่ายเพิ่มอีกเล็กน้อย ไปเรือของเอกชนซึ่งออกเวลา 9 โมง

และคุณล่ะครับ วันนี้คุณดื่มนม เอ้ย ตัดผมบ้างแล้วหรือยัง?

Thursday, October 13, 2005

เด็กชายลำไส้สั้น


เป็นงานเขียนของอาจารย์ธรณ์(แฟนพันธุ์แท้ทะเลไทย) ที่ผมดองเค็มไว้ตั้งแต่งานสัปดาห์หนังสือ เมื่อเดือนเมษายน ที่ผ่านมา พึ่งจะมีโอกาสได้อ่าน ก็สองสามวัน ที่ผมมีธุระต้องเดินทางตลอดวัน

แม้จะเป็นนักเขียนที่ผมชื่นชอบมากแต่ผมก็ไม่ได้ซื้องานเขียนของอาจารย์ทุกเล่ม ผมซื้อเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับทะเลเท่านั้น (เกี่ยวนิดนึงก็ซื้อครับ)

ผมติดตามงานเขียนของอาจารย์มาตลอด เช่น ATG เล่มมหากาพย์หมู่เกาะสุรินทร์ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้ผมเดินทางไปยังเกาะสวรรค์(จำได้ว่าตอนเปิดอ่าน เกิดอาการตัวสั่นแบบเด็กอยากได้ของเล่น) ใต้ทะเลมีความรัก เที่ยวอุตลุด ปลาทะเลไทย หรือแม้กระทั่งงานเก่าๆ อย่างสมุทรสัญจร เป็นต้น

ผมทราบเพียงเบื้องต้นว่า อาจารย์มีลูกชาย 1 คน ชื่อน้องธรา

เรื่องนี้ก็เช่นกัน ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อผมได้อ่านหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ หน้าวาไรตี้ มีเรื่องย่อเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ ทำให้ผมรู้ว่ามาจากชีวิตจริงของอาจารย์นี่เอง เป็นชีวิตจริงของน้องธรรธ ลูกชายคนที่สองของอาจารย์ที่ลำไส้สั้นมาตั้งแต่กำเนิด ซึ่งปกติลำไส้ของเด็กทั่วไปจะยาว 2-3 ซม แต่น้องธรรธยาวแค่ 45 ซม

แม้ผมจะเคยคุยกับอาจารย์ธรณ์ตัวจริงเพียงไม่กี่คำ ส่วนใหญ่จะติดต่อโดยการตอบคำถามผ่านในเว็บมากกว่า แต่ผมรู้สึกว่าอยากจะช่วยน้องเขา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

อย่างน้อยก็เป็นค่านมแบบพิเศษ กระป๋องละสองพันกว่าบาท ที่ต้องสั่งจากสิงค์โปรก็ยังดี

การที่ลำไส้สั้น น้องธรรธไม่สามารถกินอาหารได้เหมือนเด็กทั่วไป แม้แต่นมก็ยังกินไม่ได้เพราะกินแล้วจะถ่ายออกมาตลอด บางครั้งมีมูกเลือด บางครั้ง อาเจียนออกมา ต้องให้อาหารผ่านเส้นเลือดดำ ที่เรียกภาษาทางการแพทย์ว่า TPN(Total Parenteral Nutrition) ซึ่งไม่ใช่การให้ผ่านข้อมือ แต่ต้องเจาะทางหน้าอกแล้วนำสายซิลิโคนเข้าไปคาไว้ตรงเส้นเลือดดำใกล้หัวใจ

ฟังดูก็เป็นอาการของเด็กที่ป่วย ซึ่งสามารถเป็นกันได้ แต่โรคนี้ในเมืองไทยมีข้อมูลน้อยมาก ลองคิดดูซิครับว่า เด็กทารกแรกเกิด แทนที่จะได้กลับบ้านแต่ต้องทุกข์ทรมานกับการเจาะเส้นเลือด(ซึ่งบางทีก็หาเส้นเลือดไม่เจอ) ร้องอุแว้ๆ แล้วหัวอกคนเป็นพ่อแม่ล่ะจะทรมานแค่ไหน

แม้ผมยังห่างไกล กับการเป็นพ่อคนมาก แต่ผมรับรู้ได้ ผ่านหนังสือเล่มนี้ อาจารย์ได้ถ่ายทอดเรื่องราวออกมา จนคนที่ต่อมน้ำตาตื้นอย่างผม น้ำตาคลอเบ้า ในบางตอนมากแล้ว(ทายเอาเองนะครับ ว่าตอนไหน)

ตอนผมคลอดก่อนกำหนด(7 เดือน)

ถึงจะต้องเข้าตู้อบ

ถึงจะต้องให้นำเกลือเจาะผ่านทางศีรษะ

ถึงคุณหมอจะบอกคุณพ่อ คุณแม่ของผมว่า

“ ทำใจนะครับ ลูกคุณอาจไม่รอด”

แต่หากเทียบความทรมานและความเจ็บปวดที่แสนยาวนานของน้องธรรธ ของอาจารย์ธรณ์และพี่หนูดาว แทบไม่ได้ครึ่งหนึ่งเลยด้วยซ้ำ

ผมรับรู้ถึงความเบื่อหน่ายของคนไข้ และคนเฝ้าไข้ดี ในการใช้ชีวิตที่โรงพยาบาลเป็นเดือนๆ ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยของคุณพ่อ หรือ อาการป่วยของพี่ชายคนโต

ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า อาจารย์ธรณ์ ผู้สนุกสนานเฮฮา แต่ในอีกด้านหนึ่งของชีวิต ต้องร้องไห้โฮแบบไม่อายใคร กับชะตากรรมของลูกชาย โดยขอให้เขาแค่มีชีวิตอยู่ได้เป็นพอ

ผมไม่เคยรู้พี่หนูดาว สาวที่ใช้ชีวิตไปวันๆ(เห็นอาจารย์ว่าอย่างงั้น มีจะกระโดดทับด้วย ถ้าไม่ตื่น) แต่เข้มแข็งและเป็นแม่ที่ดีของลูก สมกับที่อาจารย์ได้เลือกแล้วจริงๆ

หากใครได้อ่าน ชีวิตจริง(ที่ไม่ใช่ในนิยาย ) ในช่วงเวลาหนึ่งของครอบครัวนี้ อาจมีความรู้สึกเช่นผม บ้างก็ได้

ขอให้มีร่างกายแข็งแรงนะครับ ธรรธจัง

Monday, October 10, 2005

หนังสือเล่มหนึ่ง



หากการอ่านหนังสือ เปรียบได้กับ การจีบสาว ผมคงเป็นคนที่อ่านหนังสือน้อยมากๆ

ไม่ใช่ ว่าผมกลัวความผิดหวัง หากแต่ผม เลือกที่จะอ่านหนังสือมากไป ต่างหาก ซึ่งผมคิดว่า หนังสือที่ดี ต้องสามารถคุยกับเรารู้เรื่อง

เช่นกัน เราก็พร้อมที่จะเปิดใจให้หนังสือด้วย ถึงจะสามารถอยู่กับเธอได้นานๆ

บ่อยครั้ง ที่ผมอ่านหนังสือ แต่กลับไม่ทราบเลยว่า เธอคิดเช่นใดกับผม ซึ่งถือเป็นเหตุผลสำคัญ ในความรัก

ครั้งล่าสุด ในขณะเป็นนักศึกษา ผมได้มีโอกาสได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งผมพบเธอวางตกอยู่ ลักษณะคว่ำ ไว้ที่หน้ากลาง มีปกใสๆ ห่ออยู่ ในห้องสมุด

ผมหยิบหนังสือ ขึ้นมาอ่านก่อนเป็นอันดับแรก โดยไม่สนใจปกหนังสือเท่าไรนัก ซึ่งพบว่า เนื้อหาสาระ ข้างใน มีสิ่งที่น่าสนใจ หลายๆอย่าง ผมประทับใจมาก ไม่ใช่ว่าเธอเป็นหนังสือราคาแพง มียี่ห้อ แต่หลังจากที่ได้คุยกัน ผมชอบเพราะความที่เธอ เป็นเธอต่างหาก

ไม่นานนัก ผมถึงได้มีโอกาสเห็นหน้าปกของหนังสือ ที่มีพลาสติกใสๆ ห่อ แม้จะไม่อาจเห็นความสวยงามของปกได้ชัดเจน ผมได้เห็นว่า ไม่ขี้เหร่ ครั้นจะแกะปกออกมา บรรณณารักษ์ คงจะต้องต่อว่าผมและไม่ให้ผม เข้ามาในที่แห่งนี้อีกแน่นอน

บรรณณารักษ์บอกผมว่า ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม ไม่ค่อยมีใครเข้ามามาก แต่ถ้าเปิดเทอม คงมีผู้คน เข้ามามากขึ้น

ก่อนเดินกลับ แกยังแซวผมเลยว่า ทําไม ถึงชอบอ่านหนังสือเล่มนี้นัก ไม่เบื่อหรือไง ยังมีอีกหลายๆเล่มที่ดีกว่ามาก

ผมตอบกลับด้วย สีหน้ายิ้มแย้มว่า ผมเลือกหนังสือ ที่สามารถคุยกับผมได้รู้เรื่อง แม้ยังมีหนังสืออีกมากมายที่อาจจะเหมาะกับผมมากกว่าก็ตาม

ผมไม่ได้เลือกที่สิ่งนั้นเพราะเหมาะกับผมที่สุด แต่ผมเลือกตามความรู้สึกของผม ว่า สิ่งนั้นน่าจะอยู่กับผมได้และทําให้ผมมีความสุข ที่สําคัญ ผมสามารถทำให้เธอมีความสุขได้ด้วย

ท้ายสุดบรรณณารักษ์บอกผมว่า ถ้าเธออยากไปกับผม ก็พร้อมที่จะให้ผมเป็นเจ้าของหนังสือเล่มนี้

หลังจากวันนั้น ผมเหมือนคนบ้า ที่นั่งคุยกับเธอทุกๆคืน ในห้องสมุด(แน่นอน เธอคุยกับผมเช่นกัน) หลายๆครั้ง ใช้ระยะเวลานาน ติดต่อกันหลายชั่วโมง

มันเหมือนกับว่า ระยะเวลาไม่ใช่อุปสรรค เพราะยิ่งคุย ก็ยิ่งมีเรื่องราวมากขึ้นๆ

แม้ผมจะนอนดึก แต่ผมกลับมีความสุข ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม เพราะกล้าพูดได้เลยว่า ผมไม่เคยมีความสุข ในการอ่านหนังสือครั้งไหน เท่าครั้งนี้มาก่อน

ยิ่งเปิดมาก ยิ่งรู้มาก และยิ่งมีความสุข อาจเป็นเพราะ การมองโลก ในแง่ดีของผมเกินไป แค่เห็นเธอคุยกับผมมากๆ ก็ไปคิดเองต่างๆนาๆ

จนเมื่อมหาลัยเปิดเทอม ผมยังเข้ามาในห้องสมุด เพื่ออ่านหนังสือเล่มนี้

แต่เธอเริ่มไม่คุยกับผมเหมือนเดิม ซึ่งจริงๆ อาจเพราะเธออยากพักผ่อน มีเวลาส่วนตัวบ้าง เพราะเธอเองก็มีภาระหน้าที่ ในการให้บริการข้อมูล กับนักศึกษาที่ต้องการนำความรู้ไปส่งคุณครู

วันหนึ่งผมจึง ถามเธอ แม้คำตอบแรกที่ว่า “เราแตกต่างกันมาก” หากเป็นคนอื่นๆ คงเข้าใจ แต่สำหรับผมที่เป็นคนเข้าใจอะไรได้ยากอยู่แล้ว หากไม่พูดชัดเจน มักจะมีปัญหาชวนสงสัยเสมอ

เธอจึงบอกตรงๆ ว่า เธอไม่ชอบผมแล้ว ซึ่งตอนแรก เธอคิดว่า ผมกับเธอจะเดินไปด้วยกันได้ แต่ไปๆมาๆ เมื่อเปิดมากขึ้น เธอจึงทราบว่า สิ่งที่เธอไม่ชอบ คือตัวผมนั่นแหละ ไม่ใช่องค์ประกอบรอบตัวผมแต่อย่างใด

ความรู้สึกผม แม้พูดกับเธอว่า ไม่เป็นไร แต่ภายในใจ ย่อมเจ็บปวด เปรียบดังหนุ่มที่โดนสาวหักอก ฉันท์ใดก็ฉันท์นั้น

อย่างไรก็ตาม ผมไม่เคยเสียดายเวลาที่ได้คุยกับเธอเลย กลับรู้สึกยินดี ที่เธอได้เปลี่ยนแปลงหลายๆอย่างในตัวผมในทางที่ดีขึ้น

ไม่ว่า เหตุผล ที่เธอไม่ชอบผมจะเป็นเช่นใด ผมกลับคิดว่า เป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะเธอคงมีโอกาส ที่จะได้พบเจอ ผู้อ่านได้ดีกว่าผม และที่สำคัญ เจ้าของที่ครอบครองเธอ จะต้องทำให้เธอมีความสุขมากกว่าผมแน่นอน

จากนี้ไป ผมคงไม่มีโอกาสได้เข้าไปคุยกับเธอในห้องสมุดบ่อยๆเหมือนเดิม แต่คงหาเวลา ที่จะเข้าไปหาเธอ ในยามที่เธอว่าง และเธอพร้อมจะคุยกับผมด้วย

แม้การคุยกัน ความรู้สึกจะไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่เธอก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผมอยู่

และจะเป็นตลอดไปด้วย

ขอขอบคุณ

กอลฟ์(เอกชัย เหลืองวิจิตต์) เพื่อนซี้ที่มหาลัย ที่ช่วยให้ข้อคิดที่ดีกับผม

ปูโกก (อิทธิชัย ลีเลิศยานนท์) เพื่อนโอวี แห่งบ้านสีเขียว สมาชิกพรรคมาหาใคร แห่งซอยโชคชัยร่วมมิตร ที่ช่วยให้ผมสบายใจขึ้น

ชูฮวย(อภิพงศ์ พงศ์เสาวภาคย์) เพื่อนโอวีแห่งบ้านสีฟ้า หัวหน้าสาขาพรรคมาหาใคร แห่งซอยรวมโชค เพื่อนซี้ที่สุด ที่ช่วยให้ผมหยุดฟุ้งซ่าน และเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีเสมอๆ

และขอขอบคุณหนังสือทุกเล่ม ที่ช่วยให้ผมมีความสุขตลอดมา

Friday, October 07, 2005

สัปดาห์หนังสือ งานสำหรับคนรักการอ่าน


เป็นอีกครั้งหนึ่งสําหรับงานสัปดาห์หนังสือ ที่จะรวมหนังสือทุกชนิด(หนังสือโป๊ไม่มีนะครับ) ไว้ในงานนี้

ปีนี้ก็จัดขึ้น ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เช่นเคย ซึ่งหลายปีมานี่ ผมก็เป็นขาประจํา ที่มักจะหมดเงินกับการซื้อหนังสือมากมาย

รู้สึกว่า ช่วงสอบเสร็จทีไร มักจะเป็นการเริ่มต้นของสัปดาห์หนังสือทุกครั้ง(ราวๆ 6 เดือน ต่อ 1 ครั้ง) แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีครับ เพราะเป็นการผ่อนคลายได้ดีทีเดียว

แน่นอนครับว่าไม่ใช่หนังสือกฎหมาย แต่จะเป็นหนังสือท่องเที่ยว หนังสือปลาทะเล หรือเกี่ยวกับทะเล ซะส่วนใหญ่(อาจเป็นคําตอบได้ว่า ไฉนผมถึงไม่เก่งมากในการเรียนซะที)

บางครั้งก็เป็นแผนที่ทางหลวง ผมก็อุดหนุนมาแล้ว

บางครั้งผมซื้อมา กว่าจะได้อ่านก็อาจจะเป็นหลังจากนั้น 2-3 ปี ด้วยเหตุที่ว่า เวลาอยู่บ้านผมมักจะได้อ่านน้อยกว่า เวลาออกไปนอกบ้านนั่นเอง เช่น เวลาเดินทางด้วยรถใต้ดิน หากไม่หลับ หนังสือสําคัญมากครับ แก้เบื่อได้เยอะ

แต่ก็เอาเถอะครับ นี่คือสิ่งที่ผมชอบ หลายๆคนก็มีสิ่งที่ชอบไม่เหมือนกันหรอก

ผมสังเกตเห็นผู้คนมากมาย ที่มางานนี้ หลายๆคน ได้หนังสือติดมือไป แม้จะไม่มาก แต่ผมก็แอบเห็นว่า คนไทยเรายังมีคนรักการอ่านอยู่มาก แม้จะมีสถิติว่าเด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลง แต่ผมก็มั่นใจว่า ในอนาคตจะดีขึ้น

นอกจากนี้ภายในงาน จะมีนักเขียนที่ท่านชื่นชอบ มาพูดคุยกันด้วย ใครจะขอลายเซ็นก็สบายมาก(ตอนน้องวิวมา คนแน่นจนเดินไม่ได้ ผมต้องใช้เวลาพอสมควรกว่าจะหนีออกมาได้)

ผมอยากให้ หลายๆคนที่มีโอกาส ลองเจียดเวลามาเลือกซื้อหนังสือนะครับ เพราะในงาน หนังสือลดราคาแบบกระหน่ำ(เราไม่พูดถึงหนังสือเก่าเพราะรายนั้นถูกอยู่แล้ว) 20 30 หรืออาจจะ 50 เปอร์เซ็นต์ ก็ถือว่าลดมากนะครับ เช่นเล่มละ 400 บาทหลังงานนี้ แต่ในงานขาย 200 กว่าบาท ไม่ลดเยอะเหรอครับ

ผมเชื่อว่า หากคุณเป็นคนรักการอ่าน และยิ่งเป็นเรื่องที่คุณชอบแล้ว เมื่อคุณเห็น คุณจะแทบวิ่งเข้าใส่ อยากได้แบบตัวสั่นๆ(อาจเวอร์ไป แต่ผมเอาตัวผมมาเป็นที่ตั้งเองครับ)

งานจะมีตั้งแต่วันที่ 6 เรื่อยไปจนถึงวันที่ 16 โดยในวันนี้(6 กย ) สมเด็จพระเทพฯ ท่านเสด็จพระราชดําเนินมาเป็นองค์ประธานในงาน เวลา 9 นาฬิกา

ผมคงไปในวันศุกร์แน่นอน ได้อะไรมาจะมาเล่าให้ฟังนะครับ

Wednesday, October 05, 2005

Notting Hill


หากเป็นชื่อไทยก็คือ รักบานฉ่ำที่ น๊อตติ้ง ฮิว หนังเรื่องนี้เป็นหนังเรื่องแรก ที่ชูฮวยผู้ คลั่งหนังแนวดราม่า พยายามบอกให้ผมดู ซึ่งผมก็ไม่ค่อยสนใจนัก เพราะปกติชอบแนวสยองขวัญ แอ็คชั่น สืบสวนหรือแนวตลกๆมากกว่า

ต้องยอมรับว่า พอได้ดูแล้ว เรื่องนี้จุดประการให้ ผมอยากดูหนังแนวนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพราะชอบในคําพูดแบบคมๆ ที่พอฟังแล้วต้องบอกว่า “ โดนว่ะ” หรือแม้กระทั่งการทั่ให้น้ำตาผมคลอเบ้าเพราะความอินก็หลายครั้ง

ดูบ่อยเข้า ก็จําบทพูดได้บ้าง ยิ่งหลายปีมานี้ ฉายยูบีซีบ่อยมาก(ช่อง 7 ก็นํามาฉายแล้ว)

วันนี้ ผมเห็นดีวีดี หนังเรื่องนี้ มีความรู้สึกอยากดูอีกรอบ ทั้งๆที่เนื้อเรื่องทุกอย่าง ก็อย่างที่หลายๆคนทราบกัน (ไม่เล่าเรื่องหรอก)
แต่ที่ผมอยากดูคือ บทพูด ของตัวละคร แบบอินๆ หรือสิ่งที่ผมคิดว่าตลกหรือบทพูดที่ผมจําแม่น (เริ่มเลยแล้วกัน)

1 “ มีนิยาย….ไหมครับ” “ อ่อ ร้านเราขายหนังสือท่องเที่ยวครับ” “แล้วนิยาย….ล่ะครับ” “เอ่อ นั่นก็นิยายครับ ร้านเราขายหนังสือท่องเที่ยว” “ แล้ว วินนี่ เดอรพูล์ มีไหมครับ” “ ….ดูแลแขกด้วย”(เสียงฮิว แกรนต์ บอกพนักงานหนวดหน้าตาตลกๆ ให้ช่วยดูแลแขกเจ้าปัญหาแทน)

2 “ ขอโทษครับ ผมสัญญาว่า ไม่กี่นาที คุณจะเอี่ยมอ่องเหมือนเดิม ที่บ้านผม ประตูสีฟ้า ใกล้ๆนี่เองครับ”(ไม่กี่หลา) ฉาก ฮิว แกรนต์ ถือถ้วยกาแฟเดินชน จูเลีย ที่หัวมุม

3 “ สําเนียงพระเอก เป็นแบบอังกฤษจริงๆ(ชูฮวยบอก) พูดรัวและเร็ว เช่นคําว่า right , perfect, my pleasure เป็นต้น

4 “ อยากกินอะไร เย็นๆไหมครับ” “ ไม่” โค๊กหรือขนมขบเคี้ยว” “ไม่” “แอปปริค็อต ชุบน้ำผึ้ง(ซึ่งก็ไม่รู้จะชุบทําไม) “ ไม่” “ คุณพูดเป็นแต่คําว่าไม่เหรอ” “ ไม่” ฉากในบ้านพระเอก

5(ฉากสัมภาษณ์) “ คุณแน่ใจเหรอว่าห้องนี้” “ครับ” “สวัสดีครับ เธอกําลังรออยู่เลย คุณมาจากนิตยสารอะไรครับ” “timeout” “แล้วคุณล่ะครับ” “ horse and house”(หรือ horse and how หว่า? อันนี้ไม่แน่ใจ สําเนียงมันออกนา)

“ ผมเห็นคุณเอาดอกไม้มาให้เธอด้วย” “ อ่อ นี่ของคุณยายผมครับ อยู่รพ ใกล้ๆนี่เอง” “ รพ อะไรครับ” “ ขอไม่บอกได้ไหม แบบว่าเรื่องมันเศร้าน่ะ รู้สึกหดหู่”

“ คิดว่า เรื่องหน้าจะมีม้าไหมครับ” “ เอ่อ หนังถ่ายในอวกาศค่ะ” “ แล้วจะมีม้าไหมครับ” “เรามีอุปสรรคในด้านพื้นที่น่ะค่ะ”

“ คิดว่า ที่แสดงอยู่ตรงกับตัวตนคุณไหมครับ” “ ไม่” “ทําไมครับ” “ ล่ามแปลมาอีกทีบอกว่า เพราะเขาแสดงเป็นหุ่นยนต์โรคจิต กินคน”

“ นี่แสดงเป็นเรื่องแรกใช่ไหมครับ” “เรื่องที่ 11 แล้วค่ะ” “แล้วเรื่องไหนประทับใจที่สุด” “ที่แสดงกับลีโอนาโดค่ะ” “ ดาวินชี่?.” “ดิคาปิโอ”

“ เธอแย่งดอกไม่ของยายคุณไป” “ ใช่ๆ เธอร้ายมาก”

6(ฉากงานเลี้ยงวันเกิดน้องสาว วิลเลี่ยม) “ วิลเลี่ยม ควงสาวมาด้วย” “ โอ ชิด แอนนา สก็อต”

“ คุณเป็นหนังแสดงเหรอ ผมว่ารายได้ไม่ค่อยดีหรอก ส่วนใหญ่แสดงประเภทไหนล่ะ” “หนัง” “อืม ดีนี่ เรื่องล่าสุดรายได้เท่าไรล่ะ” “15 ล้านเหรียญ์”

“ คุณว่า คุณสมควรได้บราวนี่ชิ้นนี้เหรอ งั้นเล่ามา ผมสู้ตายเลยล่ะ”

พอพระเอกกับนางเอกเดินออกนอกบ้านไป มีเสียงร้องจากในบ้าน เพราะดีใจที่ได้เจอดารา (ขํา) “พวกเขามักเป็นแบบนั้นเสมอครับ”

7 “เอ้ย ตาเถร….” (ฉากพระเอก ปีนรั้ว) นางเอกขํา “ นี่มันภาษา เมื่อ50 ปีก่อนเขาใช้กันนะ”

8 “ ฉันเหมือนกับได้เสพเฮโรอีน แล้วไม่ได้เสพอีก มันเหมือนกับได้เปิดกล่องแพนโดร่าแล้วมันมีปัญหา(เอ้าโดน)”(ฉากพระเอก เล่าให้เพื่อนบ้ากามชาวเวลล์ ฟัง ตอนผิดหวัง)

9“ ผู้หญิงคนหนึ่ง มายืนต่อหน้าผู้ชายคนหนึ่ง อ้อนวอนให้เขารักเธอ”(ฉากนางเอกมาง้อ)

10“ ถ้ามีคนรักแกขนาดนั้น มันก็เป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ วิลเลี่ยม”(เพื่อนพระเอกบอกให้ฟัง)

11 “ ฉากพระเอกขอบคุณพนักงานโรงแรม ที่ให้ข้อมูลแอนนา เลยหอมแก้มพนักงาน เพื่อนพระเอกหอมแก้มเช่นกัน ต่อมา คนญี่ปุ่นมาติดต่อกับพนักงานคนนั้น คิดว่าเป็นธรรมเนียมเลยหอมแก้มด้วย

12 “ คุณแอนนาครับ” “เสื้อชมพู เชิญครับ” “ ถ้าเรื่องคุณกับหนุ่มอังกฤษ เป็นไปได้ไหม ถ้าหากหนุ่มคนนั้นรู้ตัวว่าตัวเองซื้อบื้อมาก แล้วมาขอคืนดี คุณจะยอมคืนดีไหมครับ” “ ยอมค่ะ” (ฉากนี้ทําน้ำตาคลอเบ้า ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าผมดูเรื่องนี้ออกจะบ่อย แต่ฉากนี้ เรียกอารมณ์ซึ้งได้)

“ คุณแอนนา จะอยู่อังกฤษอีกนานเท่าไรครับ” “ ไม่มีกัาหนด” จบ……..

อาจ มีคำพูดผิดบ้าง แต่อย่างน้อยก็ใกล้เคียงล่ะ หวังว่าคงทําให้คนอ่านยิ้มได้ ไม่มากก็น้อยล่ะครับ

ฉากไหนนึกไม่ออก ถามผมได้ ขอให้สนุกนะครับ


อยากทราบว่าชอบฉากไหนกันบ้าง นอกเหนือจากนี้ก็ได้ ผมนึกออกไม่หมดหรอกครับ

ว่าแล้วก้ร้องเพลง she.............หรือเพลง when you say nothing at all ไปพลางๆแล้วกัน

Monday, October 03, 2005

ชีวิตของมนุษย์ค้างคาว


โปรดอย่าแปลกใจว่า ผมเป็นแบทแมนไปช่วยเหลือชาวเมืองก็อตแฮม ซิตี้ ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่คนดีขนาดนั้น ถ้าช่วยไปปล้นใจสาวๆล่ะก็ พอทําได้ ฮ่าๆๆๆ(เขากลับมาแล้ว)

หากพูดถึงชีวิตการนอนดึก ผมมักไม่ค่อยสันทัดนัก เพราะยังมีความคิดแบบหัว(โตๆ)ที่โบราณว่า การนอนดึกมักทำให้สุขภาพไม่ดี หากไม่จําเป็นจริงๆ ผมมักไม่นอนดึก ถึงขนาดนอนถึง ตี 4 ตี 5 เลย (เที่ยงคืน เด็กๆครับ)

ยิ่งคนที่มีภาระหน้าที่ตอนเช้า ไปทำงาน ไปเรียนหนังสือ การนอนดึก มักเป็นผลดีมากกว่า ผลเสีย เพราะนอกจากจะสัปหงกจนหัวโขกฝา น้ำลายยืดจนหนังสือเปียก ดีไม่ดี อาจถูกเจ้านายสรรเสริญ ด่าแบบงามๆได้ เช่นคุณครับกรุณาอย่ามาหลับในที่ทำงานผม ได้โปรดเถอะ (ถ้าหนักๆก็ไ……. เป็นต้น

เช่นเดียวกัน กับการอ่านหนังสือสอบ ผมไม่เคยใช้เวลาอ่านเกิน ตี 2 เลย กลับใช้เวลาอ่านในช่วงกลางวันมากกว่า บ่อยครั้งที่ผมมักชอบออกไปอ่านหนังสือที่มหาลัย โดยให้เหตุผลว่า อ่านที่บ้านไม่รู้เรื่องเพราะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงเปิดทีวี ดูอาคาเดมี่ แฟนตาเชีย ของข้างๆบ้าน ก็มีเสียงเจาะผนังบ้าง (คงจะแอบดูใครอาบน้ำก็เป็นได้)

สอบครั้งนี้ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า เวลาการอ่านหนังสือ ตั้งแต่ 5 ทุ่ม ลงไปจนถึงช่วงตี 4 เป็นเวลาที่มีค่ามากเพราะนอกจากความเงียบสงบที่ส่งผลที่ดีกับการจดจําแล้ว ผมเริ่มมีความรู้สึกเหมือนกับว่า มีเวลาเพิ่มมากขึ้นเยอะทีเดียว

แม้อาจมีภาวะหนังสือเปียกบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาทีเวลาดูใจคนยังต้องผลัดดูใจกันเลย นับประสาอะไรกับการดูหนังสือที่จะต้องให้หนังสือดูเราบ้าง(จะได้จําหน้าเจ้าของชัดๆ)

ไม่แปลกใจ ที่คุณสรยุทธ นอนน้อย แต่ทําไมแกยังทำได้ เพราะแกอาศัยเวลางีบ ซึ่งผมคิดว่า สําคัญมากครับ การได้งีบเพียงไม่กี่นาที สามารถทําให้สดชื่นขึ้นเยอะเลย

ขอบอกได้เลยว่า ผมได้อะไรใหม่ๆ ในการใช้ชีวิตมากขึ้น เช่น การเกิดสมาธิ เป็นต้น (อาจเป็นเรื่องเก่าๆ สําหรับบางคน แต่สําหรับการได้ลองด้วยตัวเอง คงไม่มีใครอธิบายได้ดีเท่า)

หากเป็นคนทํางานแล้ว การอ่านหนังสือในช่วงผม เป็นช่วงเวลาที่สาหัส ดังเช่น ลูกเหม็น เพื่อนของผม ที่บอกในวันนี้ว่า “ หลังทํางาน กูอ่านได้วันละหน้าก็หลับแล้วว่ะ”

ไม่ว่า ผลสอบในวันนี้จะเป็นเช่นไร จะผ่านหรือตก ผมอาจผิดหวังบ้างแต่คงไม่นาน(ผิดหวังมาบ่อยแล้ว)

แต่เชื่อได้เลยว่า การสอบครั้งนี้ ผมได้อะไรๆเยอะขึ้นมาก ได้มากกว่าที่หลายๆคนคิดไว้

ผู้กำกับ อภิรักษ์ อารีย์มิตร เคยพูดว่า “การนอนดึก แล้วตื่นสาย ยังไงก็สู้นอนเร็วแล้วตื่นเช้าไม่ได้” คำกล่าวนี้เป็นเรื่องจริงครับ เพราะนอนดึกๆ ย่อมบั่นทอนสุขภาพของเรา

แต่ในบางครั้ง เพื่อให้แลกมาซึ่งความสําเร็จ มันก็เป็นสิ่งที่ควรแลกครับ

ทิ้งท้ายว่า บล็อคเกอร์กลับมาแล้วเด้อ……..