Sunday, September 18, 2005

ข่าวดีจากคุณครู(2)


พี่ป้อม Instructor ของผม โทรมาในวันนี้ ผมเห็นเบอร์โทรศัพท์ คิดในใจว่า แกคงจะมีทริปชวนผมไปดำน้ำแน่นอน

แทงหวยก็ถูกทันที แกชวนผมไปเรือ Liveaboard ที่คาบาน่าเจ้าเก่า ผมสุดแสนจะเสียดายเพราะอีก 2 อาทิตย์ เป็นระยะเวลาที่ผมจะสอบพอดิบพอดี ซึ่งผมบอกไปว่า คงไม่ไปค่อนข้างแน่นอน

เลยลอยแย๊บถามเล่นๆ ว่า “พี่ ไม่มีทริปไปพัทยาอีกเหรอครับ”(ในใจคิดว่า คงลําบากเพราะพี่ป้อมชอบล่องลอยอยู่กรุงเทพ- ชุมพร ออกจะบ่อย)

“ มีซิน้อง ช่วงเดือนหน้าพี่ มีไปพัทยาเหมือนกัน คราวก่อนน้องไปสะพานปลา(เกาะล้าน)มาใช่ไหม”

“เอ้า ใช่พี่ จริงเหรอพี่ ดีจัง ไปๆ”(ผมตอบแบบไม่ลังเล เพราะพัทยาเป็นทริปสั้นๆ สบายๆ วันเดียวก็สามารถสิ้นสุดได้)

แว่วๆ ว่า คราวนี้ แกจะพาผมไปเกาะริ้น แต่คงต้องรวบรวมสมัครพรรคพวกเหมือนเดิม ถ้าผมฟังไม่ผิด(ไม่ใช่เกาะริ้น ที่พะงันนะ อันนั้นคงเมามากกว่าที่จะไปดำน้ำ) หากเป็นจริง นับว่าคงเป็นรางวัล ฉลองการสอบเสร็จของผม ก่อนที่จะเข้าสู่การสอบอีก ในเดือนต่อไป
เกาะริ้น เป็นเกาะที่อยู่โดดเดี่ยว ทิศเหนือ คือ ทางไปเกาะล้าน เกาะสากและ เกาะครก แหล่งดัาน้ำใกล้ฝั่ง ที่นักดําน้ำนิยมมากที่สุด

ส่วนทิศใต้ คือ ทางไปเกาะคราม (ที่มีเรือหลวงครามที่จมสําหรับการดําน้ำนั่นแหละ หากยังนึกไม่ออก คำถามแฟนพันธุ์แท้ทะเลไทย ข้อสุดท้าย ที่ อ ธรณ์ตอบได้ไงล่ะครับ)ต่อจากนั้น ลงไปอีกก็เป็นเกาะในเขตอําเภอสัตหีบ แหล่งดําน้ำที่เป็นที่นิยมอีกเช่นกัน

แต่ไม่ว่า พี่ป้อมจะพูดว่าเกาะอะไรก็ตาม(ไม่ใช่ เกาะแน่นๆแล้วน้องแล้วกัน อันนั้นมอเตอไซด์รับจ้างเด้อ) สําหรับผมก็เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นทั้งนั้น ไปสะพานปลาที่เกาะล้านอีกก็ได้ ไม่เบื่อหรอก (ดีใจๆๆ)

จากนั้น ประมาณหนึ่งชั่วโมง ผมได้รับ เอส เอ็ม เอส จากพ่อบ้านสารสิน(พี่เอก) แห่งชุมพรคาบาน่า เป็นข้อความสั้นๆ ที่ทำให้ผมยิ้มได้และรู้สึกอิจฉาตาร้อนอย่างมากๆ

“ วันนี้ไดฟ์แรก หลามวาฬที่ร้านไก่จ๊ะ” หมายถึง การดำครั้งแรกของวันนี้ พบยักษ์ใหญ่ผู้ใจดีแห่งท้องทะเล ฉลามวาฬ(Whale Shark)นั่นเอง ส่วนร้านไก่ คือ จุดดำน้ำที่มีชื่อเสียงอีก 1 จุดใน จ ชุมพร


หลังจากผมกลับมาจบการเรียนดำน้ำในเดือน เมษา ช่วงตั้งแต่เดือน พค ลงมา พวกเขามาถี่เหลือเกิน

พวกเขาไม่เคยทำร้ายใคร ไม่มีพิษมีภัยกับใคร มีแต่นักดําน้ำบางกลุ่มเท่านั้นที่ชอบรังแกเขาโดยการจับ การขี่ โดยเชื้อโรคจากมนุษย์นั้น อาจทำให้ผิวหนังของเขาติดเชื้อได้ หากเป็นคน คงเปรียบได้กับคนตัวใหญ่ ใจดี รักสงบ

สําหรับนักดําน้ำ การเห็นฉลามวาฬซึ่งอยู่ในชนิดปลากระดูกอ่อน และเป็นสัตว์เลือดเย็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เป็นของล้ำค่า ในชีวิตมาก บางคนดำมาเกือบร้อยไดฟ์ ยังไม่มีโอกาสได้พบพวกเขา

นับประสาอะไร กับนักเรียน Open Water หมาดๆ แต่พบในครั้งแรกทันที(ข้อมูลจากเว็บบอรด์ของชุมพรคาบาน่า และจากปากพี่ป้อม) นับว่าพวกเขาโชคดีๆมากๆ ซึ่งผมอิจฉาทุกครั้ง ที่มีการพบเห็นยักษ์ใหญ่ผู้ใจดี

วันหนึ่ง เมื่อเขาและผมพบกันครั้งแรก คงจะได้มีเรื่องสนุกๆ มาเล่าให้ฟังกันอีกล่ะครับ

Saturday, September 17, 2005

เมื่อเริ่มต้น ก็ต้องมีการลาจาก


เป็นอีก 1 วัน ที่ผมทําหน้าที่เป็นลูกชายที่ดี(ยังกับว่าทุกวันเป็นลูกที่เลวงั้นแหละ) โดยการขับรถพาแม่ ไปสถานที่ต่างๆ

วันนี้ นอกจากการขับรถ ผมยังรับหน้าที่เป็นช่างภาพนู๊ดมืออาชีพ แนวเดียวกับ พี่บี๋ ธีรพงษ์ เหลียวรักษ์วงศ์ (ล้อเล่น ครับ ผมมาถ่ายรูปให้ ในงานเกษียณราชการของแม่ต่างหาก)

ผมรู้ล่วงหน้าว่า งานนี้เป็นของโรงพยาบาลทหารผ่านศึกที่แม่ทำงานอยู่มาหลายสิบปี จนกระทั่งเกษียณอายุราชการ

สถานที่ที่ผมคุ้นเคยดี เพราะเคยมาตั้งแต่เด็กๆ จนกระทั่งประถม มัธยม เข้ามหาลัย จนกระทั่งปัจจุบัน ผมยังมีโอกาสแวะเวียนมาที่นี่เสมอๆ จึงไม่ต้องลําบากใจในด้านการวางตัว เพราะอย่างน้อยก็มีคนรู้จักผมและผมรู้จักเขาอยู่มาก แม้ผมจะจําหน้า น้าๆ ป้าๆ ไม่ได้บ้างก็ตาม

จึงไม่ต้องแปลกใจว่า งานนี้แม่ บอกผมล่วงหน้า ให้ว่างๆไว้ เพราะงานนี้เป็นงานสำคัญ และแม่ก็อยากเก็บภาพในวันนี้ให้มากที่สุด

ที่พาราสโซ รัชดา เป็นบุฟเฟ่ ที่ผมเคยทานมาแล้ว ที่นี่จะเปิดเฉพาะเวลากลางวัน มาคราวนี้ผมจึงเตรียมกระเพาะที่มีแต่นักฆ่าตัวยง ทั้งโหดเหี้ยม ใจร้าย มาในวันนี้ด้วย(จะกินให้หายเหี้ยนเลย คอยดู )

ลูกน้องและเพื่อนร่วมงานของแม่(ราวๆ 50คน)เริ่มทยอยกันมา ช่วงนี้ แม่เปิดโอกาสให้ผมไปทานข้าวก่อน เพราะตอนถ่ายรูปอาจไม่มีเวลาทาน

เครื่องจักรสังหารเดินหน้าทันที ผมขอตั้งชื่อว่า 6 จานมรณะ เริ่มจาก จานแรก อาหารญี่ปุ่น(ปลาดิบ ปูอัด เป็นต้น) จานสอง ข้าวแกงราด(ข้าวผัด ผัดผักทั้งหลาย เป็นต้น) จานสาม เป็นขนมจีนราดน้ำกระทิและยังรวมกับอาหารญี่ปุ่นอีก 1 รอบ จานสี่ เป็นปอเปี้ยทอด จานห้า เป็นขนมหวานทั้งหลาย(เค๊ก มีอยู่ชนืดนึงชอบมากๆ เขาทำด้านล่างเป็นข้าวเหนียวถั่วดํา ด้านบนเป็นครีมๆแบบตะโก้ อร่อยดี) จานสุดท้าย เป็นผลไม้(มะละกอ ฝรั่ง แตงโม เป็นต้น) สรุปมีของฟรี โปรดอย่าให้โอกาสหลุดลอยไป ฮ่าๆๆๆๆ

ที่นี่ ดีอีกอย่าง คือ มีเวทีให้สําหรับให้ผู้มารับประทานอาหาร มาผ่อนคลายร้องเพลงได้ด้วย สร้างความบันเทิงได้ดีจริงๆ

เป็นครั้งแรกในชีวิต ที่ผมเห็นแม่ร้องไห้ เป็นน้ำตาแห่งความตื้นตัน ความเสียดายและเสียใจที่จะต้องลาจาก เพื่อนร่วมงาน ลูกน้อง ที่เคยทํางานมาด้วยกัน ( ภายหลังแม่ผมบอกว่า ที่ร้องเพราะน้าแป๊ด ซึ่งเป็นผู้มารับตําแหน่งแทนจากแม่ ร้องก่อนต่างหาก ก็เลยร้องตาม) ผมเห็นภาพดังนั้น ก็เริ่มมีความรู้สึกอินตามเหมือนกัน(แต่ไม่ได้ร้องตามนา)

แม้ผมไม่อาจสัมผัสชีวิตคนทำงานราชการมานานอย่างแม่ได้ แต่ผมก็รู้ได้ทันทีว่าความผูกพันกับพวกพ้องในหน่วยงาน บรรยากาศความสุขหรือแม้กระทั่งความเครียดอันเกิดจากการถกเถียงกันในการทำงาน เป็นสิ่งดีๆ ที่น่าจดจำทั้งสิ้น

บางครั้งการลาจาก ก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายสมอไป แม้บรรยากาศในการทำงานจะไม่มีแม่ของผมร่วมงานเหมือนเคยแล้ว แต่ทุกคนก็ต้องทําหน้าที่ของตนต่อ มันก็เป็นเพียงกฏ ระเบียบ ขององค์กรเท่านั้นล่ะครับ

Thursday, September 15, 2005

ชายผู้น่ายกย่อง รัฐภูมิ


สาวๆ อย่าพึ่งหลงดีใจ ผมไม่ได้จะเขียนถึงฟิลม์ รัฐภูมินะครับ รายนั้น มันดังพลุแตกอยู่แล้ว แต่จะพูดถึง คุณรัฐภูมิ อยู่พร้อม ที่พายเรือทั่วทะเลไทยเพื่อแม่ของเขาต่างหาก

ผมเคยพูดถึงเขามาเล็กน้อย ในเรื่อง น้ำตา…แห่งอันดามัน เพราะ เขาเป็นคนที่มีความผูกพันกับชาวบ้านมากๆ

เมื่อวานนี้ ผมได้ดูรายการ พาโนรามา ทางช่อง 9 ได้นําเรื่องราวของเขามาเล่าสู่กันฟังอีกครั้ง หลายๆเรื่องทำให้ผมได้รับข้อมูลมากขึ้น

คุณรัฐภูมิ ได้สูญเสียแม่ไป จากการฆาตกรรม ซึ่งเพื่อนของเขานั่นเอง คือ ฆาตกร

เขามีความรู้สึก เศร้า สับสน ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร

ความเสียใจเข้ามา เพราะยังตอบแทนพระคุณแม่ได้ไม่ดีเท่าไร

ความแค้นใจเข้ามาแทนที่ เพราะฆาตกร น่าจะถูกลงโทษด้วยมือของเขาเองมากกว่า

ในขณะนั้นความสับสนทั้งหลายเปลี่ยนเป็นว่า เขาน่าจะตายๆไปให้รู้แล้วรู้รอดไป โดยเขาถือปืนขึ้นไปชั้นบน เหนี่ยวไก และรออยู่อย่างงั้น 2- 3 ชั่วโมง

จึงตั้งสติได้ว่า นี่ไม่ใช่คําตอบ ของทุกสิ่ง เขาออกจากบ้าน นั่งรถไปสะพานพระราม(ซักที่แหละครับ) พร้อมกับคิดว่า เขาน่าจะทำอะไรที่ยิ่งใหญ่มากๆ ได้ จึงตัดสินใจ ที่จะพาแม่ไปเที่ยวทะเลโดยการพายเรือทั่วทะเลไทย (สมัย มีชีวิต แม่เขาอยากเที่ยวทะเลมาก)

เรือคายัค ลําแรก ชื่อ 1500 ไมล์ ที่เขาพึ่งได้มาก่อนเดินทางเพียง 1 วัน กําลังลงสู่แม่น้ำกระบุรี แม่น้ำสายหนึ่งที่จะเป็นประตูสู่ ปากน้ำระนอง เพื่อออกสู่ทะเลอันดามัน

เส้นทางของรัฐภูมิ จะเริ่มต้นไมล์แรก ที่ปากน้ำระนอง เลาะไปชายฝั่งเรื่อยๆ ผ่าน ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ก่อนจะขึ้นฝั่ง แล้วไปเริ่มต้นอีกครั้ง ที่ฝั่งอ่าวไทย เริ่มที่นราธิวาส สงขลา สุราษฐธานี ชุมพร ประจวบคีรีขันธ์ เพชรบุรี สมุทรสงคราม ก่อนจะไปขึ้นฝั่ง เริ่มต้นอีกครั้ง ณ ทะเลตะวันออก ที่ชลบุรี ระยอง จันทบุรีและตราด ซึ่งเป็นสถานที่ที่ลอยอังคารแม่ของเขา

รัฐภูมิ ไม่เคยพายเรือคายัคมาก่อน แต่วันนี้เขาและ1500 ไมล์ จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนาๆ โดยไม่มีใครล่วงรู้ได้ว่า เขาจะทำภารกิจเสร็จสิ้น และรอดชีวิตกลับมาไหม

เขาบอกลา ลูกและภรรยา จับใจความได้ว่า “พี่จะกลับมาหาแน่นอน”

รัฐภูมิ ได้รับการช่วยเหลือจากชาวบ้าน เพราะกลัวว่า เขาจะถูกพม่าจับตัวไป เพราะก่อนเขามาถึงไม่นานนัก มีข่าวพม่า จับตัวคนไทยไป

ตลอดทางเขาได้รับน้ำใจ ที่ล้ำค่า เช่น ที่พัก ข้าวปลาอาหาร หรือแม้กระทั่งการบอกเส้นทางไป แม้ไม่ใช่สิ่งของราคาแพงอะไรมาก ทุกครั้งที่ผมได้เห็น ก็มักจะยิ้มๆ พร้อมกับความตื้นตันใจอยู่ตลอด

ในที่สุดรัฐภูมิ ผ่านคลองแห้ง(แห้งจริง) มีน้องๆอาสาลากเรือไป มีงูเห่าโผล่มาด้วยนา แต่งูก็แค่ผ่านมาทักทายๆ

รัฐภูมิ มาถึงปากน้ำระนอง เริ่มไมล์แรก ที่นี่ ตลอดระยะเวลา เขาต้องต่อสู้กับตัวเอง ทั้งคลื่นที่แรง จนไม่สามารถไปไหนได้ ความมืด ความกลัว ความหิวโหย ความสิ้นหวัง เกิดขึ้นระหว่างทาง


สําหรับผม เขาเป็นแบบอย่างที่ดีมาก เปลี่ยนความแค้นให้เป็นพลัง อโหสิกรรมให้เพื่อน และ พยายามทำสิ่ง ที่ยิ่งใหญ่ ที่แม้แต่ ภรรยาอย่างเขา ยังพูดมาแล้วว่า หากใครพายเรือรอบทะเลไทย คนนั้นท่าจะบ้าแล้ว (รัฐภูมิ พูดกับภรรยาหลังจากตัดสินใจแล้ว ว่า คนๆนั้น คือพี่เอง)

ติดตามเรื่องราวของชายหนุ่ม ผู้นี้ ต่อได้ใน วันอังคารหน้าครับ เวลาประมาณ 4 ทุ่ม (ไม่ได้ค่าโฆษณานะ)

Tuesday, September 13, 2005

มะนาวต่างดุ๊ด มะนุดต่างดาว




กลับมาจาก การเรียนและการอ่านหนังสือที่แสนน่าเบื่อ มีเรื่องน่าสนใจ ที่อยากจะฉุกคิดดูบ้าง

พูดถึง มนุษย์ต่างดาว หลายคนคงนึกถึงหนังอีที ที่ดูน่ารักซะยิ่งกะไร โดยในความเป็นจริงแล้วคงมีบ้างที่มนุษย์ต่างดาวจะเป็นมิตรกับทุกๆคน แต่จัานวนไม่น้อยอาจโหดร้าย รอวันบุกโลกอย่างที่เขาว่าจริงๆก็ได้

สําหรับผม นึกถึงเรื่อง The Signs เป็นเรื่องแรก เพราะดูจะใกล้เคียงกับเหตุการณ์ต่อไปนี้มากที่สุด

3 กันยายน 2548 ทราบข่าวว่า ที่ อ แม่จัน จ เชียงราย มีคนพบลูกไฟลึกลับพุ่งมาจากท้องฟ้า มีลักษณะคล้ายคนแคระ ไม่สวมเสื้อผ้า ระบุเพศไม่ได้ สูงประมาณ 70 ซม ผิวสีน้ำตาลเทา ศีรษะมนกลมโต ตาโตสีน้ำตาลเป้นมันวาว ไม่มีจมูก ปากบางเล็ก หน้าอกแบนราบ ลักษณะร่างกายไม่กลมมนเหมือนมนุษย์ ถ้ามองจากด้านข้างจะแบนราบ

ที่สัาคัญคราวนี้ มีผู้พบเห็นเป็นสิบคน ในระยะประมาณ 10 เมตร วนเวียนอยู่ในท้องนาเหมือนหาอะไรๆเป็นชั่วโมง ก่อนจะค่อยๆลอยตัวสูงขึ้นจากพื้นดินไปสู่ยอดไม้(ประมาณ 10 เมตร)

จากนั้นหยุดแล้วหันหน้ามองลงมายังกลุ่มคนที่อ้างว่าเห็น ก่อนจะพุ่งลิ่วสู่ท้องฟ้าและหายไป(ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันจันทร์ ที่ 12 กันยายน 2548)

วันที่ผมทราบข่าวนี้ครั้งแรก ผมหยุดนิ่งหน้าทีวีอย่างสนใจมาก เพราะเป็นเรื่องลี้ลับ ยิ่งมีพยานหลายคน ยิ่งรู้สึกตื่นเต้นมากว่า พวกเขามาทําอะไรกัน จะมาสํารวจโลกเราเพื่อนำไปพัฒนาดาว

หรือจะหาข้อมูลสัารวจ เพื่อบุกโลกจริงๆ

ของอย่างงี้ก็แล้วแต่ความเชื่อของคน แต่สำหรับผม เป็นคนที่หูเบา เชื่ออะไรง่ายๆอยู่แล้ว(เดี๋ยวนี้ดีขึ้น เพราะหูที่เคยมีแต่สำลี เริ่มมีน้ำหนัก)

การที่จักรวาลของเรา มีดาวมากมาย จะเป็นไปไม่ได้เชียวเหรอ ว่า 1 ในนั้น จะมีมนุษย์ต่างดาวอยู่

และ ความฉลาดของพวกเขา ข้อมูลจากองค์การ นาซา ก็ไม่สามารถสำรวจได้ด้วย

อืม……..เป็นไปได้ทั้งนั้น(แต่ไม่งมงายเกินไปล่ะ)

Sunday, September 11, 2005

งานแต่งงานของเพื่อน


ได้กล่าวแล้ว เมื่อวานนี้ว่า ผมจะนําบรรยากาศงานแต่งงานของ ข่อย มาเล่าให้แฟนๆบล็อคทราบกันครับ

ก่อนถึงที่หมายปล่อยไก่เล็กน้อย(อาจคิดว่ามากก็ได้) เพราะไปที่งานแต่งอีกที่ แถมชื่อคล้ายกัน(สโมสรทหารเรือเหมือนกัน) ผิดแต่ว่าเจ้าบ่าวไม่ใช่ข่อย แถมเจ้าสาวก็ไม่ใช่เอซะด้วย (เอ้า ฮาๆ)

ในที่สุดผมและเพื่อนๆก็ถึงที่หมาย อยู่ตรงข้ามโรงพยาบาลธนบุรี ชื่อนันทอุทยานสโมสร เป็นห้องอาหารของทหารเรือเช่นกัน (เห็นป้าย พิธีมงคลสมรสและชื่อ ที่ถูกต้อง มาถูกงานแล้ว)

ภายในงาน จัดแบบเรียบง่าย ตามสากลนิยม เจ้าบ่าวมาในชุดสูทสีขาว ในขณะที่เจ้าสาวมาในชุดสีขาวเช่นกัน(แบบที่คุ้นๆกันแหละครับ) ข่อยและเอ คอยต้อนรับแขกและถ่ายรูปอยู่ด้านหน้าของงาน

ผมสะดุดตากับก้อนน้ำแข็ง แกะสลักเป็นรูปหัวใจ มีความรู้สึกถึงกลิ่นอายความรักที่ออกมาเลย(เวอร์จริงๆ ไอ้คนเขียนนี่)

งานวันนี้ จัดแบบโต๊ะจีน โดยแยกด้านสําหรับเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว เพื่อสะดวกในการจัดที่

แขกเริ่มทยอยมาเรื่อยๆ จนมากขึ้น ในขณะที่งานเริ่มต้นด้วยการฉายวีดีโอ เกี่ยวกับภาพเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในวัยเด็ก

ต่อด้วย พิธีกรบอส(ดีกรี วีเจ เซิรจ์) และหน่าว(ตัวดูดสาวๆ) แม้ไม่ได้เตรียมตัวกันมา แต่ความสามารถที่มีอยู่ การส่งมุข รับมุข ทัาให้ไหลลื่นดีมาก

ข่อยและเอ ขึ้นมาเล่าประสบการณ์ชีวิต ที่ได้พบกันมาโดยพบกันตั้งแต่ปี 2538 และคบเรื่อยมาตั้งแต่นั้น


จากนั้น เจ้าบ่าวและเจ้าสาว ลงจากเวทีไปเพื่อที่จะไปตัดเค๊ก

ระดู พยานรักของคู่บ่าวสาว(อยู่ในเหตุการณ์ ในวันที่คู่บ่าวสาวได้พบกันครั้งแรกด้วย) ขึ้นมาเล่าประสบการณ์ เรียกเสียงจากผู้เข้ามาร่วมงานมาก (ฮา)

คู่บ่าวสาว เป็นคู่ที่น่าอิจฉามากสําหรับผม เพราะนอกจากความรักที่ดูใจกันมายาวนานแล้ว ระดูก็ได้พูดไว้อย่างตรงไปตรงมาว่า “เอเป็นผู้หญิงคนแรกในหัวใจ และเป็นคนสุดท้ายของชีวิต” (เรียกเสียงได้ลั่นเช่นกัน)

คงมีไม่มากนักครับ ที่จะได้แต่งงานกับคนที่รักครั้งแรกและเป็นคนสุดท้ายในชีวิตของเราด้วย

ต่อไปนี้ ชีวิตของข่อยและเอ ต่างคนก็ต้องมีภาระที่จะต้องดูแลกันและกันให้มากขึ้น ก็ขออวยพรให้ทั้งคู่สร้างครอบครัวให้อบอุ่น และมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

สุดท้ายนี้ ขอส่งท้ายว่า การมีคู่ครองนั้นไม่ใช่เรื่องยาก(แล้วคนเขียนน่ะ หาได้แล้วเหรอ ถึงว่าไม่ยาก) แต่การที่จะสามารถนําคู่ครองร่วมทุกข์ร่วมสุขตลอดชีวิตได้ นั่นต่างหากเป็นเรื่องที่ยากกว่า

Saturday, September 10, 2005

ครึ่งหนึ่งของชีวิต


คํานี้ ชูฮวยมักพูดบ่อยๆ ว่าเจอหรือยัง ซึ่งผมคิดว่า มันเป็นคําสั้นๆที่สื่อความหมายได้ดีทีเดียว

บางคนก็วิ่งตามหาซะให้วุ่น ก็ยังไม่เจอเสียที ในขณะที่บางคนไม่วิ่งตามหา เพียงแค่อยู่เฉยๆ ครึ่งชีวิตนั้นก็วิ่งเข้าไปหาเอง (แต่ต้องมีการสานต่อด้วยนะครับ เดี๋ยวงานฝีมือจะไม่เสร็จ เอ้า ขําอีกล่ะๆ) สิ่งต่างๆเหล่านี้ ผมมีความเชื่อว่า เกี่ยวข้องกับโชคชะตาครับ

การแต่งงาน แน่นอนครับ ว่ามันไม่ใช่ความสุขที่สุดของชีวิต เพราะหลายๆคู่ก็สามารถมีความสุขได้โดยไม่มีการแต่งงาน แถมเป็นความสุขที่ยั่งยืนเสียด้วย ในขณะที่บางคน การมีชีวิตโสดก็เป็นความสุขของเขาแล้วเพราะยังรักที่จะใช้ชีวิตที่อิสระอยู่ ยังไม่ต้องการผูกมัดกับใคร

ทางฝ่ายพ่อและแม่นั้น วันนี้เป็นวันที่ท่านยินดีมาก อยากเห็นลูกๆเป็นฝั่งเป็นฝาซะที(ไม่ใช่หอยนะ ถึงจะมีฝาได้)

การแต่งงานจึงเป็นเพียงก้าวแรกในการชีวิตคู่ เป็นข้อพิสูจน์ว่า ครึ่งชีวิตที่เราหาเจอแล้วนั้น จะเติมเต็มให้ชีวิตของเราสมบูรณ์มากขึ้นหรือเปล่า และเราสามารถเติมเต็มชีวิตของเธอได้ดีเช่นกันหรือไม่

อีกไม่กี่ชั่วโมง จะเป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ไปงานแต่งงานของเพื่อน(ปกติไปแต่งานผู้ใหญ่ๆหน่อย) ชื่อข่อย เพื่อนสมัย รร ประจํา ที่หยอกล้อมาตั้งแต่เด็กๆ

ผมมักหยอกล้อกับข่อยแรงๆเสมอ ในขณะที่ข่อยมักชอบแกล้งคนจึงมีศัตรูพอสมควร เช่นบักบาน เป็นต้น(บักบานวิ่งล่า ข่อยรอบคณะเพราะข่อยแย่งการ์ตูน ซิตี้ฮันเตอร์จากบักบานไป)

ข่อยเป็นคนที่มาดนิ่งๆ แต่แฝงความตลกไว้เสมอเวลาพูด แม้ข่อยจะดูสบายๆเกินไปในบางครั้ง แต่ ข่อยเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ มีมาดผู้นํา เห็นได้จากการเป็นหนึ่งในหัวหน้าคณะ ที่คุมน้องๆ มาแล้ว

ผมถามข่อยว่า เหตุใดถึงแต่งงานเร็วจัง ข่อยบอกว่า “ให้รอนานกว่านี้ก็ต้องแต่งอยู่ดีว่ะ” ผมคิดในใจว่า ครึ่งชีวิตที่ข่อยค้นหาได้มาถึงแล้ว ข่อยจริงใจและจริงจังกับเธอคนนี้อีกทั้งพร้อมจะเสียสละเพื่อเธอ ทําให้เธอมีความสุขได้(เจ้าสาวชื่อเอครับ)

น่าดีใจที่หากข่อยและเอ มีทายาทเร็วๆ นั่นก็หมายความว่า ลูกๆจะได้เห็นหน้าคุณพ่อแบบหนุ่มมากๆ ในขณะที่คุณแม่ก็ยังสาวเสียด้วย

อย่างไรก็ตาม ดีใจกับคู่บ่าวสาว ด้วยครับ

ไปแล้วจะมาเล่าบรรยากาศของงานให้ฟังกัน

Friday, September 09, 2005

คนขี้ลืม แต่ ไม่ลืมขี้


เห็นชื่อเรื่องอาจจะไม่อยากอ่าน เพราะแสดงถึงสิ่งปฎิกูล ที่มักจะมีกลิ่นที่ไม่ค่อยพึงประสงค์เท่าไร พอพูดถึงแล้ว กลิ่นออกมาจากคอมเลย (ก็ใครให้ดมล่ะ อ่อ แล้วขอถามว่าของใครหอมบ้าง )

หลายๆคนมักมีอาการขี้ลืม บางคนลืมเป็นบางครั้งบางคราว ในขณะที่บางคนก็เป็นนิสัยที่แก้ยังไงก็แก้ไม่หายซะที (ทั้งๆที่ยังไม่แก่ซะหน่อย)

สําหรับผม แม้ไม่ได้ลืมเป็นนิสัย(ไม่ได้ลืมได้ทุกเวลา แต่ลืมตาเนี่ย แน่นอน) เวลาลืมที ก็มักจะทัาให้เสียเวลามาก บางครั้งเกิดความเสียหายก็มี

เดือนที่แล้ว ขณะไปเรียน ฝนตก เลยเปิดไฟหน้าแบบหรี่ๆ เวลารถสวนมาจะได้เห็น(คงนึกภาพออกนะครับที่จะมีเปิด 2 จังหวะ) ลงจากรถก็ไม่เห็นความผิดปกติเพราะขณะนั้นยังสว่างๆอยุ่ มารู้ตัวอีกทีก็ตอนมืดๆ เอ รถใครหว่า ลืมปิดไฟ อ้าวๆๆ รถข้าเอง !!!!(โชคดี ที่แบตไม่หมด ไม่งั้นแย่แน่ๆ)

อาทิตย์ก่อนออกจากบ้านก็ลืมหยิบบัตรสําหรับเข้าเรียนมา ต้องกลับรถมาจากแถวงามวงศ์วานเพื่อกลับมาที่บ้าน รถก็ติด เสียเวลาไปชั่วโมงกว่า

นี่แค่ตัวอย่างเพียงน้อยนิด สงสัยหลายๆคนอาจคิดว่า นี่ล่ะ เป็นนิสัยไปแล้ว ผมล่ะจอมขี้ลืม(ขอเข้าข้างตัวเองหน่อยนา ผมเจ้าของบล็อคนี่ ฮ่าๆๆๆๆ)

ล่าสุดวันนี้เองครับ ขาไปฝนตกเช่นเดิม เปิดไฟหรี่ ถึงที่หมายประมาณเที่ยง พอเลิกช่วงค่ำๆเท่านั้นแหละ เอ คุ้นๆว่าไม่ได้ปิดไฟ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด!!!!!!(คำพูดยอดฮิต) เอาอีกแล้ว

โชคดีว่าฟ้า(ไม่ใช่สาวชื่อ ฟ้า) ยังไม่อยากให้ผมลําบาก ยังให้โอกาสผมอีกครั้งหนึ่ง (ซักวันต้องซวยแน่ )

ผมมาคิดๆดูว่า อาการขี้ลืมนั้น รักษาไม่ยาก หากตั้งสติให้มั่น เตรียมตัวให้พร้อม ไม่รีบเร่งจนเกินไป ยอมช้านิดช้าหน่อย ผลลัพท์ก็คงสบายใจกว่านี้

ดังภาษิตที่ว่า ช้าๆได้พร้าเล่มงามคงจะพอใช้ได้บ้าง(ใครคิดภาษิตอื่นได้ แสดงความเห็นได้ครับ ผมนึกไม่ออกเด้อ)

ท้ายสุด แม้ผมจะขี้ลืมบ้าง แต่เรื่องลืมขี้ไม่มีทางที่จะลืมได้ครับ หากลืมก็ทรมานเองแหละ ฮ่าๆๆ(แล้วจะย้ำทําไมหนอ)

พอแล้วๆๆ เริ่มเหม็นตัวเอง!!!!!

Tuesday, September 06, 2005

ความรัก หวงแหน ในสถาบัน


หลายๆคน คงมีความรู้สึกภูมิใจอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย ที่จะได้สําเร็จการศึกษามาจากสถาบันการศึกษาต่างๆ ไม่ว่าเป็นระดับ ประถม มัธยมจนถึงระดับอุดมศึกษา โดยเป็นที่ที่เคยวิ่งเล่น เคยหัวเราะ เคยร้องไห้ ได้เพื่อนแท้ หรือแม้กระทั่งมีความรักครั้งแรก

บางคนมีความประทับใจที่แตกต่างกันไป ซึ่งอาจจะมีความรู้สึกผูกพันชีวิตเด็กมัธยมมากกว่า หรือบางคนอาจจะผูกพันชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งก็เป็นความรู้สึกส่วนบุคคล

สําหรับผม ผูกพันชีวิตในชีวิตเด็กโรงเรียนประจํามาก เพราะอยู่มา 10 ปี ได้อะไรมาเยอะมาก ซึ่งหล่อหลอมให้ผมเป็นคนดีจนถึงทุกวันนี้ นอกจากการสั่งสอนของพ่อและแม่

จึงไม่แปลกใจว่าผมจะมีความรู้สึกรักสถาบันที่จบมามาก บ่อยครั้งที่ผมมักจะเล่าเรื่องเก่าๆสมัย รร ให้เพื่อนๆฟัง แม้จะเป็นเรื่องซ้ำๆ ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก แต่ก็ฟังทีไรก็ไม่เบื่อ(เพื่อนๆก็ไม่เบื่อ)

ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยของผม แม้จะไม่ค่อยได้ทํากิจกรรมมากนัก แต่ถึงผมจะเป็นนักกิจกรรมตัวยงก็ตาม ความผูกผันในตัวสถาบันคงไม่เท่า รร ประจําอย่างแน่นอน

วันนี้ ผมรับหน้าที่ช่างกล้องให้คุณแม่ ในงานมุทิตาจิต ของศิษย์เก่าวชิระพยาบาล(หรือวิทยาลัยเกื้อการุณย์ ในชื่อปัจจุบัน) สัญลักษณ์ คือดอกสารภี(สมัยเรียกวชิระพยาบาล)และดอกพวงชมพู(สมัยเรียกเกื้อการุณย์)

จัดขึ้นสําหรับผู้ที่เกษียนอายุราชการ ที่สําคัญพี่ๆน้องๆจะได้มาพูดคุยและให้ข้อคิดกับนักศึกษาปัจจุบันด้วย สร้างความสัมพันธ์อันดีของสถาบันแห่งนี้

ผมยอมรับว่า ก็ถ่ายรูปไป อัดวีดีโอบ้างตามหน้าที่ ไม่ได้สนใจอะไรมาก คิดว่าคงเป็นงานเลี้ยงธรรมดาๆ(น้องๆก็น่ารักดีครับ เอ้ะ ไหนว่าไม่สนใจ) แต่สิ่งที่ทำให้ผมชื่นชม ความสมานฉันท์กลมเกลียวแห่งวิทยาลัยแห่งนี้ คือภาพบรรยากาศในงานต่างหาก มีการฉายสไลด์รูปของผู้เกษียณ ตั้งแต่สมัยยังสวมหมวกพยาบาล จนกระทั่งรูปปัจจุบัน สร้างเสียงฮือฮาได้ทั้งห้อง

มีการให้ผู้เกษียณอายุ มานั่งเรียงแถวหน้าห้องประชุม โดยมีรุ่นพี่ รุ่นน้อง มามอบของขวัญและรดน้ำ(เหมือนรดน้ำสังข์) มีการให้ศีลให้พร เป็นภาพที่ประทับใจมากครับ

นอกจากนี้ ยังให้ผู้เกษียณอายุกล่าวอะไรสั้นๆซัก 1-2 นาที (บางคนก็นานกว่านั้น แต่ไม่มีการสั่นกระดิ่ง เอ้ย ไม่ใช่โต้วาที) สิ่งที่ผมเห็นคือ ทุกๆคน มีความรักความภูมิใจในสถาบันมากและยินดีกลับมาช่วยเหลือหากวิทยาลัยต้องการ พี่ๆบางคนสอนรุ่นน้องว่า อย่าน้อยเนื้อต่ำใจที่เป็นพยาบาล เพราะพยาบาลก็เป็นอาชีพที่มีเกียรติ เหมือนอาชีพอื่นๆ เป็นต้น

จากนั้นนักศึกษาวชิระพยาบาล ขึ้นมาบนเวทีและร้องเพลงประสานเสียงหมู่ ก่อนจะลง มาล้อมรอบรุ่นพี่ (มีการบูมด้วยแฮะ) ก่อนจะปิดท้ายด้วยการร้องเพลงคํามั่นสัญญาณและเพลงสารภี

อาชีพพยาบาล เป็นอาชีพที่ต้องเสียสละ เพราะนอกจากจะต้องมีใจรักในงานบริการผู้ป่วยแล้ว ก็ต้องมีจิตใจอ่อนโยน ไม่อย่างงั้นคงมาทํางานในอาชีพนี้ลําบาก

วันนี้ผมได้เห็นภาพในการรักและหวงแหนสถาบันของวชิระพยาบาล หากคุณแม่ไม่เกษียณ ก็คงไม่ทราบเลยว่า ความรู้สึกของคนที่จบมาที่นี่ มีความภาคภูมิใจในสถาบันแค่ไหน และมากน้อยเพียงใด

Monday, September 05, 2005

คําสั่งสอนของหลวงเพื่อน


วันนี้ ผมได้มีโอกาสได้พบกับหลวงเพื่อนทองไหลอีกครั้งหนึ่ง หลังจากทราบว่า หลวงเพื่อน ได้ขึ้นมางานญาปนกิจของอากง

ล่าสุดบรรยากาศในรถ ตอนไปส่งหลวงเพื่อนที่ดอนเมือง ยังจัาได้ว่า หลวงเพื่อนยังคุยกับโยมพ่อ โยมแม่เลยว่า “เจอกันปีหน้านะครับ” ทําให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า ช่างนานเสียจริงๆ แต่เอาเถอะ นี่เป็นสิ่งที่เป็นปกติของหลวงเพื่อนอยู่แล้ว

ที่งานสวด ณ วัดจักรวรรดิ ตกแต่งแบบจีนๆ ไม่บ่อยครั้งนักที่ผมจะได้มางานสวดที่เป็นของคนจีนโดยแท้

หลวงเพื่อนทองไหล สีหน้ายังยิ้มแย้มเช่นเดิมโดยนั่งอยู่กับพระอาจารย์ ที่เป็นชาวต่างชาติ ภายหลังหลวงเพื่อนเล่าให้ฟังว่า พระอาจารย์คนนี้ มีดีกรีเป็นถึง ดร จากเยอรมันเชียวล่ะ และอยู่ในผ้าเหลืองนี้มานานแล้วด้วย(ท่าน พูดไทยชัดมาก)

หลวงเพื่อนพูดถึงคอมพิวเตอร์ปัจจัยข้อที่ 5 ของมนุษย์ โดนเตือนผมว่า อย่าติดมันมาก เพราะการเสียเวลานานๆอยู่หน้าคอม คงเป็นเรื่องไม่ดีนัก เอาเวลาไปออกกําลังกายจะดีกว่า(คราวก่อน หลวงเพื่อนได้สั่งสอนกระท่อกในเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือด้วย ในคราวนี้ก็ยังพูดถึงกระท่อกในเรื่องคอมพิวเตอร์อีก ผมออกความเห็นว่า การอยู่เมืองนอกหากไม่มีคอมพิวเตอร์คงลําบากมากทีเดียว ไหนจะการทำงานที่จะต้องต่อคิวในการใช้คอมในมหาลัย ไหนจะเป็นเทคโนโลยีที่ไฮเทค อย่างโปรแกรมเอ็มเอสเอ็น ที่เพียงต่ออินเตอร์เน็ท ก็สามารถคุยกับคนมากมาย ได้ทั่วโลก จึงเป็นเรื่องที่พูดยากอยู่เหมือนกัน สําหรับชีวิตปัจจุบัน หากขาดเทคโนโลยีเหล่านี้ไป)

หลวงเพื่อนได้สั่งสอนน้องชายไม่แท้ ที่สนิทสนมอีกคน ให้เปลี่ยนแปลงชีวิตซะใหม่ เพราะเจ้านี้เป็นลูกชายคนเดียวของบ้าน(ที่เหลือผู้หญิง 3 คน) แต่เที่ยวเตร่ตามประสาวัยรุ่นบ่อยๆ จนทัาให้การเรียนไม่สู้จะดีนัก ที่สัาคัญที่บ้านก็เริ่มที่จะผิดหวัง คนจีน ยิ่งมีลูกชายคนเดียวก็อยากให้ลูกได้ดี

หลวงเพื่อนพูดอีกว่า “ดูซิ อากงตายเพราะกินเหล้าจนกระเพาะทะลุ(กิน เอ็กซ์ โอ ด้วย) อาม่าห้ามก็ไม่ฟัง” เจ้าน้องชายก็ได้รับฟังแต่โดยดี (วันนี้โดนมาเยอะ)

ไม่มีคําว่าสาย หากจะกลับตัว หลวงเพื่อนได้สั่งสอนน้องอีกว่า จะนอนดึกกี่โมงก็ได้ แต่ขอให้ตื่นไปเรียนให้ทัน ที่สําคัญห้ามนอนกลางวันด้วย (ผมแทรกถามหลวงเพื่อนเล็กน้อย ว่า สัปหงกล่ะได้ไหม ? หลวงเพื่อนยิ้มๆ ทํานองว่าได้ซิ)

นอกจากการสวดตามปกติ ผมยังได้เห็นการประกาศให้แขกผู้มีเกียรติมาร่วมกันยืนเคารพหน้าศพ มีการคำนับด้วย และยังมีการพูดภาษาจีนออกไมค์(แน่อนว่า ผมไม่รู้เรื่อง) แต่เดาและจับใจความได้ว่า คนที่ยืนอยู่หน้าสุดเป็นคนในครอบครัว การที่เดินออกไปทีละคน คงเป็นการเรียกชื่อของคนๆนั้น ในภาษาจีนด้วย

หลวงเพื่อนได้คุยกับอาม่า อย่างเป็นห่วงเป็นใย พยายามให้อาม่าอย่านอนตื่นสาย และพยายามออกกําลังกายบ้าง

ผมมองหลวงเพื่อนและ น้องชายอีก 2 คน กับการมองโลกในแง่ดีและ ความรับผิดชอบ สิ่งนี้อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลครับ มาจากพ่อแม่ที่คอยพร่ำสอนอยู่ตลอดนั่นเอง(ก่อนกลับผมได้รับซีดีและหนังสือธรรมมะจากหลวงเพื่อนด้วย)

Friday, September 02, 2005

รักครั้งใหม่...แมคมาลีนา


เมื่อวานนี้ ผมพึ่งจะร่ำลากับสหวิริยามาศ(สหวิริยา) จอคอมคู่ซี้ของผมที่ลาโลกไปเรียบร้อยแล้วด้วยอาการหลอดภาพไม่ทํางานหลังจากมีอาการป่วยมานานจนต้องโน้มคอมาด้านหน้า จึงจะมีภาพ

ก่อนหน้านี้ สหวิริยามาศได้บ่นกับผมว่า เหนื่อยและอยากพักผ่อนแต่ได้ขอร้องผมว่า อย่าพึ่งไปหาคู่ซี้คนใหม่เพราะอยากจะทําหน้าที่ของตัวเอง ให้ดีที่สุด ตราบที่กําลังกายและกําลังใจยังมีอยู่ ซึ่งในตอนนั้นแม้ผมจะไปดูคู่ซี้คนใหม่แล้ว ที่ฟอรจูนและพร้อมที่จะซื้อ

แต่ก็กลับบ้านเพราะคิดถึงคําขอร้อง และยังอยากให้สหวิริยามาศทําหน้าที่ต่อไปอีก

วันนี้ ผมได้ไปหาคู่ซี้คนใหม่ แม้จะรู้ราคาอยู่บ้างจากที่เคยเดินดูมา แต่นั่นก็ไม่สําคัญเท่าคุณภาพและรูปร่างหน้าตาที่ดูไม่น่าเกลียดจนเกินไป แต่ต้องเป็นจอชนิด CRT เท่านั้น(จอที่มีลักษณะเป็นตู้ทีวี) เพราะ LCD (จอที่มีลักษณะบางๆ สไตล์โฉบเฉี่ยว ประหยัดเนื้อที่)นั้นถือเป็นเรื่องสิ้นเปลืองสําหรับผม แม้รายนั้นจะช่วยบริหารสายตามากกว่าก็ตาม(ซื้อ CRT ได้ 2 ชิ้น)

ผมมาสะดุดที่สาวแอลจีเรีย(L G) โดยเธอพึ่งมาใหม่(รุ่นใหม่) เธอมีคุณสมบัติที่จอนอกและจอข้างในแบนทั้งหมด แต่ด้วยสายตาที่ดูยังไงก็ดูไม่ออก ต้องเป็นพวกคอมพิวเตอร์กราฟฟิคจึงจะดูออก เมื่อถามถึงความละเอียด เธอมีความละเอียด 1200 ส่วนสาวรายอื่นๆอย่าง ซัมซุงฮุน(Samsung) หรือฟิลิปจัง(Philip) แม้ดีไซน์จะสวย แต่ก็ไม่สะดุดตาผมมากนัก

ผมชอบแมคมาลีนา(Mac) มากๆเพราะเพื่อนผม ทั้งอ้อม เรไร ก็มีแฟนชื่อนี้ คุณภาพไม่ต้องพูดถึง เพียงแต่ผมยังหารุ่นเดียวกันกับเพื่อนๆผมใช้ไม่ได้(รุ่นนั้น มีความละเอียด 1600) แม้มีรุ่นใหม่กว่า แต่ความละเอียดมีเพียง 1200 เท่านั้น

แม้แต่ปรามาจารย์ด้านคอมพิวเตอร์อย่างพี่กล้วย เชิญยิ้ม ยังแนะนําแมคมาลีนาให้ผม

แม้เธอเป็นสาวรุ่นเก่า จอแบนๆ(เอ้า จอแบนจริงๆ) แต่คุณภาพคับจอ เมื่อคนขายบอกว่า วันนี้เธอมาทํางาน ผมจึงเลือกเธอ(เริ่ม ติดเรท) ที่สําคัญคนขายบอกว่าเธอทนมือทนเท้ามาก(ตีน) มีอายุใช้งานหลายปี เหมาะกับสามีโหดๆ ที่ชอบซ้อมเมีย ใช้งานเมียหนักอย่างผมนักแล(ฮ่าๆๆๆ โชคร้ายแล้ว น้องแมคมาลีวา)

นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ผมจะเริ่มชีวิตใหม่กับเธอ และคงเป็นแม่ศรีเรือนที่ดีของผม และคิดว่าเธอจะเปลี่ยนนามสกุลมาใช้ตามผม ในไม่ช้า

ชักเลอะเทอะ อย่างไรก็ตาม ขอต้อนรับสมาชิกใหม่ของบ้านครับ….. แมคมาลีวา