Monday, August 29, 2005

เมื่อโอกาส...มาถึงตัว


เคยมีความรู้สึกเสียใจ เสียดาย บ้างไหมครับ ว่ารู้งี้หากย้อนเวลากลับไปน่าจะทําแบบนั้น น่าจะทําแบบนี้ ผมเชื่อว่าทุกคนต้องเคยมีประสบการณ์แบบนี้แน่นอน หากใครบอกผมว่า ไม่มี ไม่เคยรู้สึก คงเป็นเรื่องโกหก เพราะคนเราย่อมมีเรื่องที่เคยทําผิดพลาด

หากเป็นเรื่องการทํางาน สําหรับผม ถือเป็นคนที่เลือกมากและเรื่องมากพอสมควร เรียกว่า หากไม่ใช่งานที่สนใจหรือไม่ใช่งานที่อยากทําแล้ว ก็ไม่เคยคิดที่จะไปสมัครให้เสียเวลา(เข้าไปก็ทุกข์) โดยค่าตอบแทนไม่มีผลต่อการตัดสินใจ หากค่าตอบแทนไม่มากแต่เป็นงานที่อยากทํา ก็อยากจะลอง สอบแข่งขันดู(ถ้ามี) ที่สําคัญ คือ ต้องมีงานให้ผมทํา ไม่ใช่ นั่งหาวจนเลิกเวลางานแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทําเลย ขออะไรก็ไม่ให้ทํา อย่างนั้นน่าเบื่อแย่

จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใด ผมถึงเลือกที่จะอ่านหนังสือสอบเนติ อ่านหนังสือสอบตั๋วทนาย มากกว่าการที่จะไปหางานทาง internet ทุกวันๆ ทั้งนี้เพราะผมอยากทํางานให้ตรงกับสายงานที่จบมา งานไหนที่ทําแล้วไม่ใช้ความรู้ที่เรียนมา ก็ไม่รู้จะทําไปทําไม(แต่คนที่หางานทําบ่อยๆ ถือเป็นเรื่องที่น่าชื่นชม สู้ชีวิต สําหรับผมนั้นเป็นความรู้สึกส่วนตัว โปรดอย่าเอาเยี่ยงอย่างเลย ไม่ดีหรอก)

วันนี้ได้รับข่าวจากพี่ที่รู้จักให้ลองไปสมัครงานที่ Law Firm ดู เพราะเขาเปิดรับสมัครแบบภายใน ไม่มีการประกาศทางใดๆทั้งสิ้น ผมสนใจมากจึงกุลีกุจอ ไปถ่าย Transcript และพยายามที่จะเขียน Resume ครั้งแรกในชีวิตด้วย แล้วค่อยให้คนเก่งๆตรวจดูอีกก็ได้(เป็นที่แรก ที่ต้องใช้ Resume เนื่องจากที่สมัครจะเป็นของส่วนงานราชการหรือตามธนาคาร เช่น นิติกร จึงไม่ต้องใช้)
หากถามโอกาสที่ผมจะได้ ผมตอบได้ว่า ผมไม่เก่งภาษาอังกฤษ อาจมีไม่ถึง 10 เปอรเซนต์ ที่เขาจะรับผม แต่ก็ยังมีโอกาสกว่าการไปสอบแข่งขันตามหน่วยงานราชการ ที่มีผู้แข่งขันมากซะเหลือเกิน หากไม่ใช่คนเก่ง แถมยังไม่มีเส้นสายอีก การจะได้รับคัดเลือก จึงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ)

ถึงแม้ว่า โอกาสที่ผมจะได้รับเลือกจะน้อยมากก็ตาม แต่ผมก็จะลองดู เพราะของแบบนี้ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร มันเป็นโอกาสที่เข้ามา ซึ่งหากผมไม่ลองดูแล้ว ก็ดูจะเป็นการปิดโอกาสของตัวเองไป

เปรียบได้กับการที่คน เอาอาหารจานหนึ่งมาป้อนที่ปาก เราเลือกที่จะกินได้ แม้อาหารนั้นอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายในอนาคตแต่อาหารจานนี้ก็ไม่เป็นโทษ เพียงแค่ลองอ้าปากแล้วเคี้ยวดู คุณจะทําไม่ได้เชียวเหรอ?

Saturday, August 27, 2005

งานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ


บอกก่อนว่าผมไม่ได้ตั้งเป้าจะไปงานนี่เลย แต่ที่ไปก็เพราะกลับมาจากเยี่ยมคุณยายที่อยุธยาแล้วเป็นทางผ่านพอดี

ผมไม่ได้มาอิมแพค อารีน่า มานาน จึงไม่ทราบว่า ตอนนี้ได้พัฒนาไปมาก มีร้านโดนัท และสิ่งอํานวยความสะดวกเกิดขึ้นเป็นจํานวนมาก ไม่เว้นแม้แต่โทรศัพท์ที่มีมากมาย ไม่ต้องกลัวว่าจะรอคิวกันนานเลย(มีบริการโทรไปต่างประเทศได้ด้วยนะ)

ภายในงาน ส่วนใหญ่จะเห็นเด็กๆ ที่จูงมือมากับพ่อแม่หรือเป็นกลุ่มวัยรุ่นมากกว่ากลุ่มอื่นๆ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี ที่เด็กๆยังคงมีใจรักในงานวิทยาศาสตร์ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมากกว่าการไปมั่วสุมในเรื่องอื่นๆ

เดินผ่านเห้นตู้ปลาอยู่ไกลๆ ผมเดาแต่แรกว่าต้องไม่ใช่ปลาน้ำจืดซึ่งก็ถูกครับ ปลาน้อยผู้โชคร้ายคือ ปลาหมอทะเล(Giant grouper), ปลาหูช้างยาว(Teira Batfish) นอกนั้นก็เป็นกลุ่มปลาขี้ตังเบ็ด ที่จําได้แน่นอนคือ Blue-line surgeun fish ปลาขี้ตังเบ็ดน้ำเงิน ซึ่งก็คือดอรี่ ใน Finding nemo นั่นเอง

ที่ผมบอกโชคร้าย นั่นเป็นพวกเขาถูกจํากัดอิสระภาพ หนทางเดียวที่จะทําให้เขาออกไปได้ คือความตาย ซึ่งบางรายก็อาจไปจบที่ร้านข้าวต้ม(ปลาหมอทะเล ) เป็นต้น

ที่นี่มีหลาย Hall เช่น Hallของโอทอปและโชว์รูมรถยนต์ ส่วนงานวิทยาศาสตร์นั้น ผมเดินๆ ดูความน่ารักของแฟนคนอื่น หรือดูความสวยของคนขายเป็นส่วนใหญา(ยังๆๆๆ) ล้อเล่นครับ ที่งาน มีการจัดแสดงหลายบูธ

เช่นบูธความงามของ ลอรีออล มีบริการตรวจเส้นผมให้ด้วยว่าเหมาะกับยาสระผมแบบไหน บูธผลงานของเด็กๆทางคอมพิวเตอร์ มีคนเข้าชมเยอะเชียว บูธบางจากอธิบายการใช้น้ำมันแกสโซฮอล บูธไบโอดีเซล บูธพลาสติคกันแสงยูวี เป็นต้น

นี่เป็นแค่ส่วนหนึ่งครับ งานยังมีไปถึงวันที่ 28 ส ค เป็นวันสุดท้าย เป็นงานน่าสนใจแน่ๆครับ มีมากกว่าผมอธิบายตรึม

หลายๆคนคงชอบมากแน่ครับ

Wednesday, August 24, 2005

เทคนิคการเก็บรูปถ่ายไว้ในคอมพิวเตอร์


สมัยนี้ มีกล้องดิจิตอลออกมา ถือเป็นเทคโนโลยีที่สะดวกมากๆเพราะสามารถดูได้ตลอด หากไม่พอใจรูปไหนก็สามารถลบได้ ที่สําคัญประหยัดค่าใช้จ่ายได้มาก หากเราอยากได้รูปไหนก็เพียงเซฟใส่แผ่น เลือกเฉพาะรูปถูกใจแล้วก็ไปอัดที่ร้านที่ให้บริการ สําหรับอัดรูปดิจิตอลโดยเฉพาะ

หากเป็นรูปถ่ายที่มาจากฟิลม์เก่าๆที่อัดมา หลายๆคนอาจเคยคิดที่จะนํามาลงในคอมพิวเตอร์ บ่งบอกถึงบรรยากาศเก่าๆได้ดีนักแล ซึ่งวิธีที่นิยมทํากัน คือ การนํารูปเข้าเครื่องสแกนหรือที่เรียกว่า สแกนเนอร์(Scanner)

วันนี้ผมจะมาแนะนําอีก 1 วิธีในการนํารูปภาพที่อัดไว้แล้ว เข้าคอมพิวเตอร์โดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องสแกน ที่สําคัญทําได้รวดเร็วและได้ปริมาณมากกว่า หากแต่ต้องมีเทคนิคเล็กน้อย

วิธีนี้หลายๆคนอาจเคยได้ยินมาแล้วแต่สําหรับผมถือเป็นเรื่องที่ได้ลองฝึกด้วยตนเอง คือการใช้กล้องดิจิตอล ถ่ายจากรูปนั้นๆอีกทีครับ

ฟังแบบนี้หลายๆคนอาจตั้งคําถามว่า “แล้วมันจะชัดเหรอ” ผมตอบให้ครับ ว่าชัดมากและแทบจะดูไม่ออกด้วยว่า ภาพไหนมาจากเครื่องสแกน ภาพไหนถ่ายเอง

วิธีการ คือ นำกล้องดิจิตอลใกล้มือคุณ กดปุ่มมาโคร(ที่เป็นรูปดอกไม้ ใช้เวลาถ่ายรูปดอกไม้หรือสัตว์ใกล้ๆ) หาเวลาช่วงเช้า ถึงเย็น(กลางคืนไม่แนะนําเพราะจะไม่สวย มีแสงสะท้อนจากหลอดไฟของคุณ) หาที่นั่งถ่าย ในที่ร่มๆ อาจเป็นข้างนอกบ้านหรือตามโรงรถที่มีแสงสว่างส่องถึง

คราวนี้ก็เริ่มถ่ายกันได้ อย่าลืมปิดแฟลตด้วยนะครับ เพราะแสงแฟลตจะทําให้มีแสงสะท้อนอีก และที่สําคัญคือ มือต้องไม่สั่น ซึ่งของแบบนี้ฝึกกันได้ครับ

จะรู้ได้ไงว่าสั่นหรือไม่ คําตอบคือ เมื่อโหลดรูปลงคอม เวลาดูภาพ เราจะรู้ได้ทันทีครับ ว่าสั่นหรือไม่ เท่านี้เราก็ไปถ่ายซ่อมแล้วเอามาดูที่คอมใหม่ จนเห็นว่า สมบูรณ์ที่สุด (หากไม่คิดมาก ขี้เกียจทําก็ทํารอบเดียวก็พอครับ)

เราสามารถเลือกได้ว่า ต้องการเก็บรายละเอียดเฉพาะตรงไหน หากวิวข้างๆสิ้นเปลือง ต้องการเก็บรูปตรงกลางให้มากที่สุด เราก็สามารถกดปุ่มซูมเข้า แค่นี้ก็จะสามารถทําให้รูปสมบูรณ์มากขึ้นครับ

นอกจากนี้เวลาถ่าย หากเป็นรูปเล็กๆ เช่น รูปติดบัตร เราก็ต้องใช้วิธีถ่ายให้ใกล้ๆ อย่าให้เห็นพื้นข้างๆที่เราวางรูป (อาจใช้การซูมเข้าหรือไม่ก็ขยับกล้องเข้าไปใกล้ๆก็ได้ครับ)

แต่ถ้าเป็นรูปถ่ายบางรูป ที่เราต้องการเก็บรายละเอียดรูปทั้งหมด ก็อาจจําเป็นที่จะต้องทําให้เห็นพื้น ที่เราวางรูปบ้าง ก็คงไม่เป็นไร

สําหรับผม ไม่บ่อยนักที่จะเปิดอัลบั้มเก่าดู การที่เอารูปทั้งหมดมาอยู่ในคอมพิวเตอร์ถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะสามารถกดดูได้บ่อยๆ ตามที่เราต้องการ

แม้การถึงอดีตเก่าๆเสมอๆ อาจถูกมองว่าเป็นคนแก่ แต่หากเป็นอดีตที่น่าจดจํา ผมก็ยอมที่จะเป็นคนแก่ๆคนหนึ่งครับ

หลายๆคน อาจต้องฟังซ้ำแต่หวังว่า คงมีคนได้ความรู้ใหม่ๆบ้างนะครับ

Monday, August 22, 2005

บางทีคําตอบของใครบางคน...ก็อยู่ไกล


ขออนุญาตินําคําพูดของซ่าน ที่ชูฮวยชอบนํามาพูดบ่อยๆ บางทีคําตอบของใครบางคน ก็อยู่ไกลจริงๆครับ(ผมก็ชอบคํานี้ครับ)

วันนี้มาส่งสายรกที่สนามบิน สถานที่แสนรักของผมอีกตามเคย หากแต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ขับรถแล้วไม่ได้นอนมาก่อน เพราะกว่าจะดูบอลเสร็จก็เที่ยงคืนกว่า เรื่องของเรื่อง คือ กลัวตื่นไม่ทันครับ

สายรกอยู่ในชุดสบายๆ กับเพื่อนๆ สวมเสื้อยืดพร้อมติดสติกเกอร์ของ สายการบิน ยูไนเต็ดแอร์ไลน์ จากนี้ไป เขาต้องไปเผชิญโลกใหม่ตามลําพัง ได้พบกับผู้คนใหม่ๆ พร้อมกับหาคําตอบที่ต้องไปค้นหาจนถึงแดนไกล ดังเช่นหลายๆคน ที่กําลังทําอยู่

แต่คงไม่น่าเป็นห่วงเขามากนัก นอกจากอายุที่เกือบจะเบญจเพศ( เรียกว่าอยู่ต่างจังหวัดก็มีเมีย มีลูกไปเรียบร้อย ) อีกทั้ง สายรก เคยใช้ชีวิตเด็กประจํามาหลายปี ต้องจากบ้านมาบ่อยๆ แม้ครานี้จะยาวนานกว่านั้น แต่อย่างน้อยเขาก็มีพื้นฐานที่ดี ไม่มีวันจะร้องไห้ ขี้มูกโป่งแน่(ขืนร้องไห้ เสียฟอร์มนา ฮ่าๆๆ)

บ้านสายรก มีพี่น้องสามคน สายรกเป็นคนกลาง ซึ่งดูๆแล้ว สายรกจะเอาความหล่อมาทั้งหมดไม่แบ่งให้พี่ชายและน้องชายเลย(เหมือนบ้านผมมาก มีผู้ชาย 3 คน และคนกลางก็หล่อที่สุด)

นอกจากนี้ความรักน้องของสายรก ที่หยอกน้องชายที่สนามบิน ทําให้ผมแอบยิ้มมุมปาก ซึ่งผมมักรู้สึกยินดีทุกครั้ง กับการได้เห็นความรักใคร่กลมเกลียวภายในสถาบันครอบครัว เพราะนั่นจะสะท้อนให้เห็นถึงการสั่งสอนที่ดีของพ่อและแม่

ก็ขอให้สายรก ตั้งใจเรียนและประสบความสําเร็จกลับมานะครับ

หลังศึก Super Sunday


พึ่งจบการดู Big Match ระหว่าง อาเซนอล กับเชลซี มีการถ่ายทอดสดทางช่อง 7 สีด้วย ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า สิงโตน้ำเงินครามเฉือนชนะไป 1 ประตูต่อ 0

ต้องบอกก่อนว่า ผมเป็นแฟนอาเซนอล การแพ้แม้เป็นเรื่องธรรมดาแต่ในวันนี้สถิติการไม่แพ้เชลซีในลีก มาตั้งแต่ปี 1995 ก็ได้พังทลายไปเรียบร้อย

ยอมรับว่าแชมป์เก่า แข็งแกร่งกว่ามากครับ นอกจากนักเตะระดับซุปเปอร์สตาร์เต็มทีม(ล่าสุด มิคาเอล เอสเตียง กองกลางวัย 22 ปี ที่พึ่งซื้อมาจากโอลิมปิค ลียง แม้เกมนี้จะเป็นตัวสํารอง แต่เห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่ของเทียมแน่ การสกัดบอล แข็งแรงมาก)

ยังมีผู้จัดการทีม อย่างเฮีย เครียด โฮเซ่ มูรินโญ ที่วางหมากได้เก่ง คุมพื้นที่ ทําเอาอาเซนอลเล่นเกมของตัวเองลําบาก

จังหวะการ เข่า ของดิดิเยร์ ดรอกบา ของแสลง สําหรับอาเซนอล และเป็นฝันร้ายของฟิลิบ เซนโดรอส(กองหลังดาวรุ่ง ของ อาเซนอล) เซนโดรอส เล่นดีมาทั้งเกม แต่พอดรอกบา ลงมาเท่านั้น ฟอร์มเริ่มออก ทะเล เหมือนกลัวบารมี ศูนย์หน้า ใบหน้าคล้ายๆวัว อย่างไรก็ไม่รู้ (ป้า เวนเกอร์ ก็เครียดตามสไตล์แกอีกตามเคย)

สําหรับผม เซนโดรอส ยังต้องปรับปรุงฟอร์มอีกมาก และยังแทนที่โซล แคมเบลล์ สมัยยังรุ่งๆไม่ได้(นัดนี้ แคมเบลล์ก็ยังไม่ได้ลงครับ แม้พึ่งหายเจ็บกลับมา)

ส่วนเจ้ากุนเชียงของผมหรือพี่ห้อยของหลายๆคน เธียรรี่ อองรี เขามีโอกาสน้อยมากในเกมนี้ ต้องฉีกตัวไปเล่นปีก พาบอลเองบ้าง ทั้งนี้เพราะยังหาคนที่ช่วยอองรีได้ยาก(เฟอเดอริค ลุงเบิรก ก็ดันเจ็บถูกเปลี่ยนออกซะอีก)

ในเกมนี้ ผมชื่นชม อเล็กซานเดอร์ ฮเล็บ กองกลางชาวเบลารุส ของอาเซนอล เพราะไม่ธรรมดาจริงๆ ลีลาการกระฉาก แม้ไม่หวือหวา แต่เป็นกําลังสําคัญได้แน่นอน

แม้แค่เกมเดียว จะยังตัดสินแชมป์ในฤดูกาลนี้ไม่ได้ก็ตาม แต่แชมป์เก่าอย่างเชลซี ดูจะมีภาษีดีกว่าเพื่อน เพราะตัวสํารองเป็นตัวจริงของทุกทีมได้สบาย อาวุธก็เยอะ แถมเงินก็มี แล้วยังเล่นเข้าขากันเสียด้วย ยิ่งชนะทีมใหญ่ๆได้ มีชัยไปกว่าครึ่ง จะซื้อใครก็ได้ในโลกนี้(เขาจะขายหรือไม่อีกเรื่องหนึ่งนา)

แต่ว่ากันว่า เวลาเจอทีมเล็กๆ เชลซีมักจะเกร็ง เล่นไม่ดี(ดูอย่างนัดก่อนที่ไปเยือนวีแกน ทีมน้องใหม่ เมื่อสัปดาห์ก่อนซิ เล่นแย่มาก เกือบแพ้ด้วยซ้ำ ถ้าไม่ได้ประตูมหัศจรรย์ ของเฮอร์นัล เครสโป ก็คงไม่ชนะ)

หากจะหยุดฟอร์มอันร้อนแรงของแชมป์เก่าได้ คงต้องภาวนาให้แพ้ภัยตัวเองครับ(พี่แกเล่นได้ดีสม่ำเสมอซะเหลือเกิน)

Friday, August 19, 2005

ฝรั่งเศส เปลี่ยนแปลงชีวิตผม


สมัยเรียนมัธยมต้น เกรดเฉลี่ยของผมตกไปอยู่ที่ 1.61 (เลขก็ 0 , อังกฤษก็ 0 ) การบ้านก็ลอกเพื่อนๆตลอด จึงมีปัญหามากพอสมควรเพราะเรียนวิทย์-คณิต(โปรแกรม 1)ก็คงไปไม่รอด หากเรียน ศิลป-คํานวณ(โปรแกรม 2)ก็คงไม่รอดเช่นกัน

ทางเลือกของผมที่ดีสุดในตอนนั้น คือ เรียน ศิลป-ฝรั่งเศส(โปรแกรม 3 ) ทั้งนี้เพราะการเรียนภาษาฝรั่งเศสทุกคนเริ่มต้นใหม่พร้อมกันหมด ผมจึงหวังว่าจะช่วยทําให้การเรียนของผมดีขึ้น

วันแรกของการเรียน ผมกลับมานั่งทบทวนบทเรียนทันที พร้อมท่องศัพท์ ผัน Verb ไปเรื่อยๆทุกๆวัน ช่วงแรก ผมยอมทํางานหนักซึ่งผลที่ได้ คือ ผมเริ่มมีความรู้มากกว่าเพื่อนๆ ที่เรียนมาพร้อมกัน จนกระทั่งเกรดเฉลี่ยของผม ขึ้นมาที่ 3.2

ผมดีใจมากๆ ต้องขอบคุณ ครู สุมล ชมภูนิช ที่คอยสั่งสอนภาษาฝรั่งเศสและทําให้ผมเปลี่ยนแปลงตัวเองได้

ถึงแม้ว่าความเก่งกาจภาษาฝรั่งเศสของผม จะเทียบกับเด็กคนอื่นที่เรียนตาม รร ชั้นนำต่างๆ ไม่ได้ แต่นั่นที่เป็นจุดเปลี่ยนในชีวิต ที่ทําให้ผมไม่กลับไปเป็นเด็กคนเดิม ที่เคยลอกการบ้านเพื่อนเป็นประจําและไม่ใส่ใจในการเรียน

ความฝันของผมอีกข้อหนึ่ง คือ การได้ไปศึกษาต่อยังประเทศฝรั่งเศสแต่พอเริ่มโตๆขึ้นๆ ผมก็เริ่มหยุดไล่ตามมัน เนื่องจากว่าบ้านผมไม่มีเงินที่จะส่งไปศึกษาต่อได้(ถึงมี ก็ขอไม่ได้ครับ) หนทางที่จะทําให้ผมไปได้ คือ ได้ทุนหรือส่งเสียเงินด้วยตนเอง

และยิ่งเมื่อผมพบสิ่งที่รักมากเป็นอันดับหนึ่ง คือ ทะเล ฝันเป็นมนุษย์กบลงไปหาเพื่อนร่วมโลกจนขวนขวายเก็บเงินไปเรียนนั้น ความฝันเรื่องฝรั่งเศสซึ่งถือเป็นเรื่องรอง ก็เริ่มจะหายไปจากหัวสมองของผมในทันที

จนกระทั่งผมได้รับหนังสือ Study in France with Edufrance จากเพื่อนคนหนึ่ง ทําให้ผมเริ่มตั้งมั่นอีกครั้ง แต่ไม่นานก็เหมือนเดิมและผมก็ทิ้งโอกาสหลายๆครั้งๆแล้วครั้งเล่า

ไม่นานมานี้ ผมได้พูดคุยกับสาวน้อย(ร้อยชั่ง) จากแดนไกล เธอเป็นคนจุดประกายไฟในตัวผมที่ดับลงไปแล้วอีกครั้ง ทําให้ผมอยากจะทําฝันให้เป็นจริงขึ้นมา

วันนี้ผมเดินเข้าไปในห้อง เห็นหนังสือเล่มนี้วางอยู่ ซึ่งนานแล้วที่ผมไม่ได้เปิดมันอ่านขึ้นอีก ผมตัดสินใจหยิบมันขึ้นอ่านอีกครั้ง ในครั้งนี้ผมรู้เรื่องมากกว่าเดิม อาจเป็นเพราะมีสมาธิในการอ่านมากขึ้น จากที่เคยอ่านแค่ผ่านๆ

ทําให้ผมรู้เรื่องราวต่างๆมากขึ้น เช่น ที่ฝรั่งเศสจะใช้สกุลเงินยูโร ตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2545 เป็นต้นมา(ยกเว้น อังกฤษ เดนมาร์กและสวีเดน) มิน่าผมไม่ค่อยได้ยินใครพูดถึงสกุลเงินฟรัง อีกเลย

นอกจากนี้ผมยังรู้มากขึ้นอีกหลายเรื่อง เช่น คนต่างชาติอย่างเรา หากเข้าไปศึกษาต้องมีบัตรต่างด้าวหรือที่เรียกว่า Titre de Sejour(ต้องมีอั๊กซองเตกืที่ e ด้วยนา ไม่มี font ฝรั่งเศสเสียด้วย)

ผมคิดในใจว่า หนังสือดีๆ มีไว้กับตัวแต่ไม่ใช้ประโยชน์จากมันเท่าที่ควร ที่สําคัญผมทิ้งโอกาสไปมาก หากลองยื่นใบสมัครดูบ้าง ผมอาจจะโชคดีก็ได้(ใครจะไปรู้)

ผมตัดสินใจแน่วแน่ว่า จะทําฝันข้อนี้ให้เป็นจริงอีกให้ได้เหมือนที่ผมเคยทําได้ครั้งเรียน Scuba แม้ฝันครั้งนี้จะไม่ง่ายเท่าคราวก่อนก็ตาม

ถึงแม้ว่า มันอาจไม่เกิดขึ้นในเร็ววัน อาจใช้เวลาหลายปีหรืออาจไม่เกิดขึ้นเลย แต่ผมก็จะพยายามต่อไป

หากฝันของผมเป็นจริงได้ คงต้องขอบคุณสาวจากแดนไกลผู้นั้น ที่เป็นแรงบันดาลใจ(แรพเตอร์) (จะจบแล้วยังลาวอีก)ให้ผมแบบที่เจ้าตัวอาจไม่รู้ด้วยซ้ำ

อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสอาจจะเปลี่ยนแปลงชีวิตของผมอีกครั้งก็ได้นะ

Monday, August 15, 2005

เทคนิคการขายสินค้า


ในบรรดา พ่อค้า แม่ค้า ย่อมมีเทคนิคการพูดเพื่อดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านและสนใจในตัวสินค้า นี่เป็นส่วนหนึ่งทางการตลาด ที่จะทําให้ขายสินค้าได้ดี นอกจากคุณภาพของสินค้าแล้ว

หากไม่ใช่พ่อค้า ที่หน้าตาหล่อเหลา หรือไม่ใช่แม่ค้าที่หน้าตาน่ารัก ซึ่งจะดึงดูดให้ลูกค้าเข้าร้านได้ ก็ต้องมีฝีปากที่ยอดเยี่ยมหน่อย

กลับมาจากการไปพักผ่อนที่พัทยา ผมได้มีโอกาสมาเดินตลาดนัดจตุจักรอีกครั้งโดยมากับครอบครัว(หลังจากหลายอาทิตย์ก่อน มาฉายเดี่ยว ได้โคมไฟปลาทะเลสวยๆมา 1 ชิ้น)

วันอาทิตย์เย็นแบบนี้ คนช่างมากมายเสียจริง(ว่ากันว่า ของจะถูกที่สุดในวันนี้ ต่อราคาได้เต็มที่ เพราะพ่อค้า แม่ค้า บางคนก็จะกลับบ้านกัน จึงอยากขายของให้หมด)

เดินผ่านร้าน “ควายสุพรรณ” ซึ่งเป็นร้านขายกางเกงยีนส์ แม้คนขายหน้าตาดูธรรมดา แต่มีเทคนิคการขายที่ทําให้คนสนใจหันมามองจริงๆ

“ กางเกงยีนส์ เร่เข้ามาพี่ มีทุกไซด์จริงๆ ยกเว้น ไซด์ซอกคอ”(แม้จะดูตลกหรือบางคนอาจไม่ตลก แต่ผมว่า เป็นเทคนิคการขายที่ยอดเยี่ยม)

เดินผ่านร้านขายของเก่า “เอ้า ของเก่า พัดลมเก่า นาฬิกาเก่า มีหมด ยกเว้นเมียเก่า เราไม่เอา”(นี่ก็เป็นอีกตัวอย่าง ที่มีไอเดียในการขายของ)

ก่อนกลับ ยังได้อีก 1 มุข เป็นร้านขายแบบ แบกระดิน ขายของเล่นยางที่คืนสภาพได้ มีหลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ต่างๆ

คนขายหนวดเครารุงรัง หน้าตาชวนตลกพูดและปาของเล่นลงพื้นที่ปูด้วยกระดานสีขาวทีละอันๆ จากนั้นของเล่นที่แบนๆก็จะคืนสภาพเดิมว่า “ ส้ม แอปเปิ้ล มังคุด มะละกอ มะนาว กล้วยหอม(โดยเฉพาะคําสุดท้าย แกลากเสียงยาวๆแบบโหยหวนมาก แค่ดูหน้าคนขายก็จี้แล้ว) ที่สําคัญได้ผลดีมากเพราะคนมุงดูกันเต็ม หากคนไหนเดินผ่านก็ต้องเหลียวมองเพราะความสนใจ(มีคนสนใจซื้อด้วยนา)


ท้ายสุด คําว่า “คารมเป็นต่อ รูปหล่อเป็นรอง” ดูท่าจะจริงซะละมั้ง

ไฟฟ้า....ดับ


แถวบ้านผมเวลาฝนตกทีไร ไฟฟ้ามักจะดับบ่อยครั้ง โดยเฉพาะเวลาตกหนักๆ บางครั้งหม้อแปลงระเบิด กว่าไฟฟ้าจะใช้การได้ บางครั้งก็เกือบสว่าง แต่ผมก็ชินกับเหตุการณ์เช่นนี้เสียแล้ว เพราะเกิดขึ้นตั้งแต่ผมเป็นเด็กจนถึงปัจจุบัน

คราวนี้ผมไปพักผ่อนกับครอบครัวที่รีสอทร์แห่งหนึ่งในจังหวัดพัทยา วันนี้ ทะเลลมแรง ฝนใกล้ตกประกอบกับคลื่นที่แรงมาก ผมกับพ่อเลยตัดสินใจไม่ลงเล่นน้ำ โดยเปลี่ยนใจ มาแช่ตัวในจากุซชี่ อ่างน้ำวนที่มีอุณหภูมิอุ่นสบาย และ มาว่ายน้ำในสระว่ายน้ำแทน

วันนี้ ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพ เปิดฤดูกาลใหม่พอดี ผมจึงนั่งดูคู่ระหว่างแมนยู กับเอฟเวอร์ตัน เมื่อจบครึ่งแรก จะออกไปกินข้าวเท่านั้นแหละครับ ไฟฟ้าก็ดับทันที(ทําไมซวยอย่างงี้หนอ)

ร้อนวันพันปี ไฟฟ้าที่นี่ไม่เคยดับ พอผมมาวันนี้ เกิดดับซะได้ ช่างเป็นการต้อนรับที่ดีเสียจริง(สงสัยว่า ผมเป็นตัวทําให้ไฟดับหรือเปล่า ไปไหนดับจัง)

ตอนนี้ฝนตกหนัก(เห็นว่าเป็นพายุ) ภายหลังทราบว่า หม้อแปลงระเบิดด้วยเพราะกิ่งไม้ไปทับ ทัาให้เกิดการระเบิดขึ้น

ถึงตอนนี้เริ่มมีแขกที่มาพักในวันนี้หลายคน ขอย้ายออก ซึ่งทางรีสอรท์ก็ต้องตามใจแขก และไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ(หากคิดก็คง เป็นตราบาปไปอีกแน่นอน)

เนื่องจากไม่ใช่รีสอร์ทที่มีขนาดใหญ่มากนัก จึงไม่มีเครื่องเจ็ม(เครื่องผลิตกระแสไฟฟ้าสํารอง) โดยมีราคาหลักล้านบาท ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่า ไฟฟ้าสํารองธรรมดาๆมาก(ที่เคยเห็นกันน่ะครับ)

เกือบเที่ยงคืน ผมและครอบครัวจึงออกไปทานข้าวกันรวมทั้งพี่ชายที่ดูแลเกี่ยวกับรีสอรท์อยู่ด้วย โลกกลางคืนที่พัทยานี่ คึกคักมาก สะใจนักเที่ยวนักแล

อาหารสบายๆ ดึกๆแบบนี้ เป็นร้านข้าวต้ม “ผักบุ้งลอยฟ้า” ว่าจะกินแค่ 1 จานเพราะใกล้จะเข้านอนอยู่แล้ว แต่อาหารที่อร่อย(ผักบุ้งไฟแดง ปูนิ่มทอดกระเทียม ต้มยํากุ้ง เป็ดพะโล้ ยําไข่เค็ม)ทําให้อดใจไม่ไหว(ซัดไป 3 )

กว่าไฟฟ้าจะมาก็ปาเข้าไปเที่ยงคืนกว่า แม้ไฟฟ้าดับจะทําให้การพักผ่อนในวันหยุดแบบนี้ ลําบากไปบ้างก็ตาม

แต่สําหรับผมกลับเห็นเป็นเรื่องสนุก เป็นสีสันของการพักผ่อน(ท่าจะบ้า)เพราะ หากไฟฟ้าไม่ดับผมคงไม่ได้ความรู้ใหม่ๆหลายเรื่อง อีกทั้งไม่อาจรู้ได้เลยว่า พี่ชายของผมทํางานหนักมากแค่ไหน

Thursday, August 11, 2005

12 สิงหา วันแม่แห่งชาติ


น่าดีใจ ที่เมืองไทยมีวันสําคัญสําหรับบุพการีด้วย คือวันแม่และวันพ่อ อย่างน้อยก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนไทยเป็นคนกตัญญูรู้คุณบุพการี

เรามีพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินี เป็นที่พึ่งทางใจมาช้านาน ซึ่งท่านก็เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับพวกเราทุกคน

แต่ไม่ได้หมายความว่า คนต่างชาติ ไม่กตัญญูนะครับ เพียงแต่ว่า วัฒนธรรมของเขา พอลูกโตก็ไปอยู่กันคนละบ้าน แต่ผมว่า คนต่างชาติไม่น้อย ที่รำลึกถึงบุญคุณพ่อแม่ มากกว่าคนไทยบางคนเสียอีก

สําหรับผมก็ไม่ได้ทําอะไรเป็นพิเศษมากนัก เพราะอยู่กับแม่เกือบทุกวันอยู่แล้ว พรุ่งนี้จึงเป็นวันครอบครัวอีก 1 วัน

ใครทําดีสม่ำเสมออยู่แล้ว นับเป็นเรื่องที่ดีมากครับ

แต่สําหรับคนที่ไม่ได้อยู่ใกล้ชิดแม่เท่าไร มัวแต่ทํางานยุ่ง หรือเที่ยวจนเพลิน ก็ขอให้ วันนี้ได้โทรคุยกับแม่บ้างก็ยังดี ถ้าให้ดีที่สุดก็ควรกลับมาหาท่าน(กราบงามๆด้วย)

ใครที่มีเรื่องทะเลาะกับท่านมานาน ก็ขอให้วันนี้กลับมาคืนดีกันเถอะ ผมเชื่อว่า ท่านต้องให้อภัยอย่างแน่นอน

แม้ผมไม่เคยเป็นพ่อคน แต่ก็รับรู้ถึงความรักของพ่อแม่ผ่านครอบครัวและจากการเห็นครอบครัวเพื่อนๆ ตลอดจนตามสื่อโทรทัศน์ต่างๆ

ว่า ไม่มีแม่คนไหน เกลียดลูกตัวเองได้ลงคอ

สายใยนี้ ตัดยังไงก็ตัดไม่ขาดครับ

Sunday, August 07, 2005

ฝันให้ไกล ไปให้ถึง....เนติบัณฑิต


หลังจากที่ส่งพี่เม่งกี่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ผมจะไปงานรับประกาศนียบัตรเนติบัณฑิตยสภา ที่สวนอัมพร

ต้องขออธิบายก่อนว่า เนติบัณฑิต เป็นการสอบแบบข้อเขียนในเวลา 4 ชั่วโมง 10 ข้อๆละ 10คะแนน โดยนำความรู้กฏหมายทั้งหมด มาสอบแบบรวบยอด โดยต้องบริหารเวลาในการทําข้อสอบไม่งั้นอาจทําไม่ทัน (ตกข้อละ 25นาที) หากผู้ใดได้ 50 คะแนนในแต่ละหมวดวิชา(ต้องสอบทั้งหมด 4 หมวดวิชา) ก็จะสอบผ่าน โดยไม่มีปัดขึ้นและปัดลง 49 กับ 50 จึงเปรียบดังนรก กับสวรรค์(ปีหนึ่งมี 2 ภาคๆละ 2 หมวดวิชา)

หากใครสอบผ่านทั้งหมดและสอบปากเปล่าผ่านก็จะได้สําเร็จเป็นเนติบัณฑิต หากใครสอบไม่ผ่านต้องมาแก้ตัวใหม่ในปีหน้า

โดยการได้ “เน”เพียงบันไดก้าวหนึ่งของนักศึกษากฏหมายเพื่อที่จะทําให้ มีคุณสมบัติไปสอบ ผู้ช่วยผู้พิพากษาและอัยการต่อไป

ที่นี่ ไม่มีการเช็คชื่อ เข้าเรียนเหมือนในมหาวิทยาลัย ใครจะมาเรียนก็ได้ หากไม่มา ที่นี่ก็จะมีคําบรรยายรายชั่วโมงให้อ่าน(ภาคปกติ) ส่วนภาคค่ำและภาคทบทวนวันอาทิตย์จะไม่มีคําบรรยาย

จึงเป็นเรื่องของนักศึกษาที่จะบริหารเวลากันเอง อาจารย์คนไหนสอนดี ฟังรู้เรื่อง ก็อาจเลือกฟัง หากของใครฟังไม่เข้าใจ ก็อาจใช้เวลาช่วงนั้นไปอ่านหนังสือ จึงไม่แปลกใจว่า ผู้ที่มาเรียนเป็นประจําอาจสอบไม่ผ่าน ในขณะที่ผู้ที่ไม่มาเรียนเลย อาจสอบผ่านก็เป็นได้

ฟังดูอาจจะงงๆ ทําไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะว่า ผู้ตรวจข้อสอบ(ซึ่งเป็นผู้พิพากษา)อาจจะไม่ใช่อาจารย์ผู้สอนก็ได้หรืออาจจะเป็นอาจารย์ผู้สอนเองก็ได้(ทั้งนี้เป็นเพราะ มีเวลาตรวจจํากัด จึงต้องแบ่งหน้าที่กันทํา) การให้คะแนนจึงอาจไม่เท่ากันบ้างเช่น มีเด็กชาย ก และ ข ตอบข้อสอบเหมือนกัน อาจารย์คนหนึ่งให้ ก 3 คะแนน อาจารย์อีกคนหนึ่งให้ ข 0 คะแนน จึงพูดได้เล็กน้อยว่า หากไม่ใช่ผู้ที่ทําคะแนนได้เป็นกอบเป็นกํา “ดวง” จึงเป็นส่วนช่วยเล็กน้อย ที่อาจทําให้สอบผ่านได้

อาจเป็นคําแก้ตัว สําหรับผู้ที่สอบไม่ผ่าน แต่ ท่านผู้พิพากษา ก็ยังหมั่นให้พวกเราไปทําบุญกัน จะได้มีดวงกันบ้าง(ซึ่งเป็นมาตรฐานของเน ซึ่งทุกๆคนต้องยอมรับ)

ที่ผมเล่ามายืดยาว เพียงเพื่อ อยากจะอธิบายให้ พ่อแม่ของเพื่อนๆหรือคนอื่นๆที่ยังไม่เข้าใจว่า ลูกๆของท่านไม่ได้เที่ยวเตร่ จนไม่เอาถ่าน(ในความคิดของผู้ใหญ่ ที่ว่า หากอ่านหนังสือก็ต้องสอบผ่าน) เนื่องจากเพื่อนๆผมบางคน มักจะถูกพ่อ แม่ต่อว่า นั่นเอง (หลายๆคน อาจคิดสั้น เพราะสอบไม่ผ่านซะที ไม่ก็เป็นบ้าไปเลย เป็นเรื่องจริงที่ได้เกิดขึ้นมาแล้ว)

สําหรับผม ไม่มีปัญหาเพราะทางบ้านเข้าใจ ว่า การสอบเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ที่จะสอบผ่านต้องอาศัยปัจจัยหลายอย่างช่วยด้วย หากไม่ใช่คนเก่ง (ซึ่งคุณพ่อหวังจะให้ผมเป็นผู้พิพากษาในอนาคต)

ปีนี้เป็นปี ที่ 2 แล้ว ที่ผมมางานนี้ มองเห็นเพื่อนๆพี่ๆหลายคนสอบผ่าน หลังจากใช้ความพยายามมาหลายปี ผมก็ดีใจด้วย บางคนเป็นรุ่นน้องสอบปีเดียวก็ผ่านแล้ว ทําให้หลายๆครั้งก็มีความรู้สึกอายๆรุ่นน้องอยู่เหมือนกัน(ผมซึ่งกําลังศึกษาใน ปี ที่ 3 สอบผ่านไป 1 หมวดวิชา)

แต่มาคิดอีกทีว่า สอบผ่านเป็นเรื่องที่เก่งแต่สอบไม่ผ่านเป็นเรื่องปกติของที่นี่(เพราะมีอีกมาก ที่ยังสอบไม่ได้เลยแม้แต่หมวดวิชาเดียว)

คุณลุงหนวดขาว ใส่ครุยเนติบัณฑิตเดินผ่านไป ทําให้ผมยิ้มอยู่ในใจว่า ในที่สุดความพยายามของแกก็เป็นผลเสียที(บางคนใช้ความพยายามมา 10 กว่าปี กว่าจะสอบผ่านก็มี )

สําหรับผม ก็ต้องพยายามต่อไป หากยังสอบไม่ผ่าน ผมก็จะไม่มีวันล้มเลิก(กลับเป็นพลังให้ผม ในการมุ่งไปข้างหน้า สู่ความสําเร็จ) ซึงผมก็ไม่ปิดโอกาสตัวเอง ในการทําอย่างอื่นบ้างแน่นอน(แต่ยังหาเวลาอ่านหนังสือ สอบอยู่ตลอดครับ) ดังคําที่หลวงเพื่อนทองไหล พูดอยู่เสมอว่า “มันไม่ใช่ที่สุดของชีวิต”

ผมอยากให้คุณพ่อ มีความสุข และผมจะทําให้ได้ครับ

ผมชอบ สนามบิน


เช้านี้มาส่งพี่เม่งกี่(พี่เวร สมัยอยู่ รร ประจํา) ไปศึกษาต่อยังประเทศสหรัฐอเมริกา พี่เม่งกี่บอกคร่าวๆแค่ว่า จะมาถึงประมาณตี 5 ส่วนในเวลา 6 โมงเช้าก็ต้องเข้าแล้ว ผมจึงต้องรีบ โดยมาถึงเวลา ตี 5

ปรากฏว่า แกยังไม่มาถึงเลย ผมจึงต้องยืนดูบรรยากาศที่สนามบิน เหมือนเคย ผมมีความผูกพันกับที่นี่มาก ถึงขนาด เคยมานั่งอ่านหนังสือที่นี่ เป็นเวลาหลายชั่วโมงมาแล้ว(แอร์เย็นด้วย)

หากมองตามประสาผู้ชายหูดํา ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบมองสาวๆ ตามที่สาธารณะ จึงไม่แปลกใจว่า นอกจากบรรยากาศที่สบายๆของที่นี่แล้ว เหตุใด ผมจึงชอบที่นี่นัก(ตกหลุมรัก ได้ทุกวัน)

วันนี้เป็นคิวของ สาวน้อยชาวไทยร่างอวบ สวมเสื้อลายแต่ใส่เอวลอย เข็นของเตรียมไปศึกษาต่อต่างประเทศ แม้หน้าตาเธอจะไม่สวย แต่เธอแต่งตัวขึ้น ทําผมสวย แค่นี้ก็ดึงดูดผมจนอยากจะตามเธอไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยจัง (พอเถอะ ติดเรท แล้ว เดี๋ยวโดนแบน กลัวเขาไม่รู้รึไง ว่าหม้อ)

นี่คงมากพอ สําหรับเหตุผลที่ว่า ทําไมผมถึงชอบสนามบินนัก(แม้จะยังไม่เคยดู The Terminal แต่ขอติต่างว่า ตัวเอง คือ ทอม แฮงค์ มองหา แคทเธอรีน ซีต้าโจน แล้วกัน)

เขาว่ากันว่า ใครได้ไปศึกษาต่อเมืองนอกนั้น วันที่เพื่อนๆมาส่ง ที่สนามบินเป็นวันที่เท่มาก ดูดี เป็นต้น แต่เมื่อเข้าไปข้างในเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกหดหู่ที่จะต้องจากบ้าน จากเพื่อน ไปนานแสนนานก็จะบังเกิด เรียกว่า จ๋อยคงไม่ผิดนัก คงต้องใช้เวลากว่าจะปรับตัวได้(บางคนก็อาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้)

กว่าพี่เม่งกี่จะมา ก็ปาเข้าไปเกือบ 6 โมงครึ่ง(เหลือบไปดูเวลาออกเดินทาง ตั้ง 7 โมงครึ่ง นี่ผมรีบมาทําไมเนี่ย แต่เอาเถอะมาแล้วก็ยังดีกว่ามาช้าน่า……)

พึ่งรู้คําตอบว่า เวลามีคนมาทักเรา แม้เราจะจําเขาไม่ได้ เหตุใดเราถึงไม่ควรบอกเขาว่า เราไม่รู้จักเขา เรียกว่าต้องฟอร์มว่าจําได้ไว้ก่อน เป็นมารยาท ผมถกปัญหานี้กับพ่อมาตลอดว่า เมื่อเราไม่รู้จัก จําไม่ได้ ก็ควรจะบอกว่า คุณ คือใคร? หรืออะไรทํานองนี้

ผมได้เจอเพื่อนๆของพี่เม่งกี่ ซึ่งเป็นรุ่นพี่ผมสมัยอยู่ รร ประจําและได้ สวัสดี ทักทายกัน หากแต่อยู่กันคนละคณะ พี่คนหนึ่งบอกผมว่า “มึงเป็นใครวะ?” ทําเอาผมอึ้งชั่วใคร ก่อนต้องแนะนําตัวต่อ(ข้าพเจ้ารู้แล้วครับ คนฟังจะรู้สึกเช่นไร)

ภาพคุณยาย หอมแก้มพี่เม่งกี่ด้วยความรัก ภาพคุณแม่ ที่กอดลูกชายด้วยความรัก ช่างเหมาะสมกับวันแม่ ที่ใกล้มาถึงเสียจริง แต่ผมเชื่อว่า อีกไม่นาน พี่เขา ก็ต้องปรับความรู้สึกได้ แม้อาจจะนานอยู่ก็ตาม

ถึงตอนนี้ เคยคิดตลอดสําหรับ เพื่อนๆผมที่มาจอดรถที่สนามบินว่า เหตุใดถึงชอบบ่นว่า เลย 1 ชั่วโมงแล้ว เลย 2 ชั่วโมงแล้ว กันจัง

วันนี้เข้าสู่ ชั่วโมงที่ 3 เสียค่าจอดรถ 70 บาท ผมเริ่มรู้แล้วซิ ว่าทําไมถึงบ่นกัน!!!!!

Friday, August 05, 2005

ทีวีแชมป์เปี้ยน ตอน จ้าวแห่งล็อคบิวเดอร์


นับว่าเป็นรายการที่ดัง รายการหนึ่งของญี่ปุ่น จนคนไทยต้องซื้อลิขสิทธิ์มาถ่ายทอด ทางช่องยูบีซี เอ็กไซด์(ช่อง 18 )

ส่วนใหญ่ผมจะดูเฉพาะตอนที่ไม่ใช่ ทําอาหาร ด้วยเหตุผลที่ว่า ดูแล้วหิวทุกที(แต่จริงๆแต่ละตอนก็น่าสนใจ ไม่แพ้กัน เก่งกันทุกๆคน

บางตอนก็เคยมีคนไทยไปแข่งถึงประเทศญี่ปุ่นมาแล้ว จําได้แน่ๆ คือ ตอนทําโมเดลจากกระดาษ แล้วคนไทยทําเครื่องบิน(ชื่อ จ๊อบ ถ้าจําไม่ผิด)

วันนี้ได้มีโอกาสดูตอนที่ ชื่อ ว่า “ล็อค บิวเดอร์” หลายๆคนอาจสงสัยว่า เขาแข่งอะไรกัน ล็อค บิวเดอร์ เป็นชื่อเรียก ช่างไม้ โดยมีอาวุธประจํากาย คือ เลื่อยไฟฟ้า โดยคัดเลือกมาจาก ล็อค บิวเดอร์ ทั่วๆประเทศ

รอบแรก มีผู้เข้าแข่งขัน 4 คน โดยแข่งขันเป็นคู่ๆ ก่อน ใครชนะ ได้ คะแนน 10 คะแนน โดยคู่แรก แข่งกัน ใช้เลื่อยไฟฟ้า ฝานเนื้อไม้ ออก คนละข้าง(จะมีซุง ตั้งตรงอยู่ 1 ท่อน) จะฝานบางหรือหนาก็แล้วแต่ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องมีเศษไม้ปลิวออกมา ห้ามยกเลื่อยไฟฟ้าขึ้น ขณะแข่งขัน หากฝ่ายใด ฝานจนไม้ล้ม อีกฝ่ายจะได้ 10 คะแนน(โปรดนึกภาพ เหมือนเวลา ทานแอปเปิ้ล ที่หัวจะโตๆ ตรงกลางจะค่อยๆบางลง)

คนแรก ใช้เทคนิคฝานแบบเจาะเนื้อไม้มากๆ กดดันฝ่ายตรงข้าม คนที่สอง ฝานออกบางๆ เพื่อกดดันอีกฝ่ายเช่นกัน ซึ่งผลปรากฏว่า คนแรกเป็นฝ่ายชนะได้ 10 คะแนนไปก่อน(ลุ้น น่าดู)

คู่ที่สอง แข่งกันใช้เลื่อยไฟฟ้า ฝาน ไม้รอบๆลูกโป่งยักษ์(ลูกโป่ง ที่มีไม้ยื่นออกมาเหมือนกงจักร) ต้องเอาไม้ออกทุกด้าน แล้วตัดเชือกใต้ลูกโป่งให้ลอย ลูกโป่งจะต้องลอยไปสูงกว่า ไม้ค้ำด้านบน ใครทําได้เป็นผู้ใช้ แต่ห้ามทําให้ลูกโป่งแตก(หากฝานน้อยไป ลูกโป่งอาจไม่ลอยเพราะมีเศษไม้ถ่วง ฝานมากก็อาจจะโดนลูกโป่งแตกได้)

ซึ่งมีทั้ง ทําลูกโป่งแตก และทําให้ลูกโป่งไม่ลอย ซึ่ง ผู้ชนะได้ไป 10 คะแนน

รอบต่อไปแข่งขันกันสร้างบ้านให้สุนัข ใช้เวลา 18 ชั่วโมง (คัดเลือกจากผู้ร่วมรายการทั่วประเทศ ที่ส่งจดหมายมา หากสร้างแล้ว คนๆนั้น ก็ต้องจ่ายตังค์นา)

รอบนี้ สร้างบ้านให้สุนัข บางคนสร้างโดยมีกระเบื้องมุงหลังคาอย่างดี ,บ้านเลื่อนเปิดปิดได้ ก็มี นับว่าไอเดียของแต่ละคนสุดยอดจริง(ดีกว่าบ้านคนอีก) แต่ทุกคนจะใช้เทคนิคเบื้องต้นของล็อค บิวเดอร์ คือ วิธีที่เรียกว่า “ล็อค”(การฝานท่อนไม้ออกเป็นช่องๆ แล้วนําไม้อีกท่อนที่ทําช่องไว้ขนาดเท่าๆกัน มาต่อ ประกบได้พอดิบพอดี ไม่มีช่องว่างเลย เซียนมาก)

ผู้ที่มีความสุข คงไม่พ้นเจ้าของและเหล่าสุนัข (รอบนี้ รวมคะแนนกับรอบแรก คนที่ได้น้อยก็ตกรอบไป )

รอบตัดสิน แข่งขันกันสร้างเครื่องเล่น 3 อย่าง ให้กับเมืองๆหนึ่ง โดยคนแรกได้ริมสถานีรถไฟ ก็สร้างเป็นที่ศาลานั่งเล่น จึงใช้ไม้ขนาดใหญ่หน่อย เขาใช้เทคนิคที่ชื่อ “เซนโซมิ” คือการใช้อุปกรณ์เจาะรู แล้วนําส่วนพอดีขนาดของไม้อีกท่อน มาวางทับแล้วใช้ ค้อนตอกอีกที

คนที่สอง สร้างไม้เป็นรูป ปิรามิด ให้เด็กๆเล่น ข้างๆมีที่นั่ง ให้ผู้สูงอายุเล่นด้วย

คนที่สามสร้าง ที่ออกกําลังกาย โดยมีสิ่งอํานวยความสะดวกมาก ไม่ว่าจะเป็น ที่ Sit-Up , ที่ดัดหลัง ,ที่วิดพื้น แล้วยังสามารถนั่งเล่นได้อีกด้วย

ซึ่งคนที่สาม เป็นผู้ชนะ ดูแล้วทึ่งในความสามารถของคนญี่ปุ่น ไม่แปลกใจว่า ทําไม บ้านเมืองเขาจึง ไม่ค่อยพึ่งชาวต่างชาติมากนัก เพราะคนญี่ปุ่นเก่ง และเขาเปิดโอกาสให้คนได้แสดงความสามารถ

หันมามองดู บ้านเมืองเรา เคยมีรายการแบบนี้เหมือนกัน แต่ก็เงียบๆไป ซึ่งอาจเพราะเรดติ้ง ไม่ค่อยดี สู้ละครประเภทยุงชุม เช่น พระเอก นางเอก เจอกันครั้งแรก เกลียดกันเข้าไส้ , นางเอกต้องหูเบา เชื่อคนง่าย, สุดท้ายทั้งคู่ก็กลับมารักกัน(ก่อนจบ อย่าลืม ยืดหลายๆตอนด้วย)

ผมเชื่อคําที่ว่า คนไทยเก่งไม่แพ้ชาติใดๆในโลก ยังมีคนเก่งๆอีกเยอะ หากแต่จะได้ นําความสามารถมาแสดงออกให้เห็น หรือไม่เท่านั้น

Thursday, August 04, 2005

สาวฝรั่ง...ถามทาง


สังเกตว่า ตามสถานที่ท่องเที่ยว ท่ารถ เป็นต้น มักจะมีชาวต่างชาติประเภท back-packer(เขียนถูกเปล่าหว่า) มาท่องเที่ยวมากมาย บ้างก็มาเป็นคู่ บ้างก็มาคนเดียว

ผมเห็นก็อดที่จะชื่นชมคนเหล่านั้นไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย คนเหล่านี้ มีจิตใจมุ่งมั่น ยึดตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ต้องยึดติดเพื่อนๆ(หากเป็นบางคน ถ้าไม่มีเพื่อนก็จะไปไหนไม่ได้เลย ผมไม่เถียงว่าเที่ยวหลายๆคนก็สนุกกว่า แต่ในบางครั้ง เราก็อยากจะทําตามใจตัวเองดูบ้าง สนุกไปอีกแบบน่ะ) พวกเขาทําการบ้านมาอย่างดี จึงสามารถไปไหนมาไหนคนเดียว ได้อย่างมีความสุข (ได้มิตรภาพระหว่างทางด้วย)

มาแปลกถิ่น แปลกที่ หากเจอคนดีๆของช่วยเหลือ นั่นก็ดีไป แต่หากเจอคนโกหก หลอกลวง หรือพวกโจรในคราบคนดีล่ะ น่ากลัวครับ ผู้ชายยังไม่เท่าไร อาจแค่เสียทรัพย์ อย่างแย่ๆก็ถูกฆ่า

แต่หากเป็นผู้หญิงล่ะ เสียทรัพย์ไม่พอ จะเสียตัวด้วย(ข่าวดังมากๆที่ผ่านมาก็คงเป็นแหม่ม ถูกข่มขืนที่เสม็ด หรืออีกข่าว ย้อนไปนานหน่อยก็เรื่อง แหม่มถูกฆ่า ที่อ่าวไร่เลย์)

วันนี้ ผ่านไปแถววัดธาตุทอง ไปงานศพอาม่าของเพื่อน พร้อมระดู(หัวหน้าพรรค มาหาใคร)และแฟรงค์(รองหัวหน้า)

สาวน้อยชาวต่างชาติหน้าตาสวยและน่ารักด้วย ท่าทางกลัวๆกล้าๆ เข้ามาถามขณะเดินอยู่ในวัด (สีหน้าอายๆ ปนกลัว น้ำเสียงแผ่วเบา) พวกผม 3 คนก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร (ไม่รู้กลัวจีบหรือไง)

ผมฟังพอออกแต่นึกศัพท์ออกจะช้าหน่อย(เวลาเจอชาวต่างชาติ ศัพท์ง่ายๆจะลืมหมด ยิ่งสวยๆแบบนี้ ตายกันพอดี) แต่คนที่พูดได้เก่งสุด คงไม่พ้นหัวหน้าพรรค ที่มีประสบการณ์ ไปเมืองนอกถึงแคนาดามาแล้ว

แกบอก bus stop เราก็ชี้ไปป้ายรถเมล์ แกนิ่งๆ(แสดงว่าไม่ใช่) ระดูบอกว่า ข้าวสารเหรอ? เพราะแก เสียงโทนนั้น(พูดเบามาก)

ผมเงี่ยหู เข้าไปฟังใกล้ๆอีก ได้ยินว่า “เกาะช้าง” คราวนี้ล่ะ ถึงบางอ้อ เพราะข้ามถนนไป เดินไปทางขวาก็สถานีขนส่งเอกมัยแล้ว (ศัพท์ง่ายๆ แบบข้ามถนนเดินไป ก็นึกออกช้ามาก เลยให้หัวหน้าจัดการ แต่เธอสวย น่ารักจริงๆ)

เสียดายที่เราต้องเข้าไปหาเพื่อน เพราะล่วงเลยเวลามากแล้ว ไม่งั้น ผมจะเดินไปส่งเธอ ข้ามถนนจนถึงสถานีเลย (ไม่สวยก็อยากช่วยครับ เราไม่เลือกปฏิบัติ)

ผมคิดๆดู นี่1 ทุ่ม นั่งไปกว่าจะถึงตราด ก็ 5 ชั่วโมง (ไปมาแล้วครับ สมกับเป็นสุดเขตทะเลตะวันออกจริงๆ) นี่ถ้าไม่เจอพวกผม ไปเจอพวกหื่นกาม มันหลอกไปที่ไหน แล้วทําอะไรต่อ(ยิ่งไม่อยากคิดใหญ่ น่าสงสาร) แล้วนี่เป็นผู้หญิงคนเดียวด้วย จะเป็นอย่างไรต่อไปนะ

ผมอวยพรให้เธอเดินทางปลอดภัย ขอให้เธอเจอแต่คนดีๆแล้วกัน อย่าถูกหลอกเลย(เอ้า ไม่อินๆ)

Monday, August 01, 2005

รอยยิ้มแห่งความสุข


เมื่อเย็นวันนี้ มีงานเลี้ยงพบปะสังสรรค์เพื่อนเก่า สมัย รร ประจํา เพื่อนที่อ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ รู้ใจกันมากเพราะเติบโตมาด้วยกัน กินข้าวหม้อเดียวกัน ถูกทําโทษมาด้วยกัน ตัวผมมักจะยิ้มได้ตลอด เมื่อเจอกับพวกเขา

ช่วงเย็นๆ เลยถือโอกาสรวมพลเข้าไปเยี่ยมครูโฉมศรี ครูสอนภาษาอังกฤษที่พวกเราทุกคนผูกพัน เวลาสอนหนังสือ ครูโฉมศรีจะเฮี้ยบมาก นักเรียนก็จะกลัวกัน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยถูก ครูโฉมศรีว่า จนร้องไห้มาแล้ว แต่ที่ทําไปเพราะรักลูกศิษย์อย่างผมจริงๆ

พักหลังครูโฉมศรีไม่ได้สอนหนังสือโดยมีเหตุบางประการ อีกทั้งร่างกายก็ไม่แข็งแรงเหมือนเก่า แข้งขาที่เคยเดินได้ ก็ต้องนั่งรถเข็น พวกเราจึงเป็นห่วงสุขภาพกันมาก

เมื่อผมไปถึง ครูโฉมศรีมีใบหน้ายิ้มแย้ม เหมือนครั้งสมัยที่ยังเป็นครูสอนพวกเรา ถามถึงสารทุกข์ สุกดิบ ของพวกเรา อย่างเป็นกันเอง ที่สําคัญแข็งแรงขึ้นมากด้วย

นอกจากนี้พวกเรายังได้พูดคุยกับครูสุมาลี ครูรัชนี ครูสมฤดี ครูพนิตและครูทวี ด้วย ในฐานะครูบาอาจารย์ คงไม่มีอะไรที่น่าปลาบปลื้มใจเท่ากับการได้เห็นลูกศิษย์ของตน เติบใหญ่ มีหน้าที่การงานที่ดี พวกเราสังเกตเห็นรอยยิ้มของคุณครู เวลาพูดคุยกัน บ่งบอกความรู้สึกได้ทุกอย่าง

แม้ รร ที่เราเคยอยู่จะเปลี่ยนแปลงไปมาก แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ รอยยิ้มของคุณครูและความสนิทสนมกลมเกลียวของเพื่อนครับ