Saturday, July 30, 2005

ตลาดนัดจตุจักร


หากเอ่ยชื่อ “จตุจักร” หลายๆคนต้องร้องอ๋อโดยเฉพาะคนไทยเพราะที่นี่มีของขายมากมายเหลือเกิน อยากได้อะไร หาซื้อของฝาก ซื้อของขวัญ เสื้อผ้า ของเก่า สัตว์เลี้ยง มีหมดทุกอย่าง

เดี๋ยวจะหาว่าผมโม้เพราะมีหลายคนเคยใช้มุขนี้กับเมียหลวงมาแล้ว บอกเมียว่าจะไปทํางานพัทยาแต่ไปบ้านเมียน้อยที่กรุงเทพ ขากลับจะซื้อของฝากเมียหลวงแต่ไม่รู้จะซื้อที่ไหน มาซื้อที่นี่ครับ

ที่นี่ ไม่ได้มีชื่อเสียงเฉพาะในประเทศเท่านั้น แต่ชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกาและชาวเอเชีย มักจะมาหาซื้อของเป็นประจํา ที่สําคัญในสายตาเขาของถูกกว่าที่บ้านเขามาก(แต่หวานคอ พ่อค้า แม่ค้า) คนไทยคนไหนซื้อของที่นี่แล้วไม่ได้ต่อราคาถือว่า เสียเชิงมากครับ

ผมผูกพันกับที่นี่มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะหลังจากการเล่นกีฬาที่สวนจตุจักรตอนเช้าๆ ก่อนกลับบ้านก็มักจะเข้ามาที่ตลาดนัดจตุจักรเพื่อหาของกินและได้ของกลับไปเสมอๆ

วันนี้ก็มีโอกาสได้เข้าไปเดินเล่นเหมือนกัน(เดี๋ยวนี้สบายมาก นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานีกําแพงเพชร ถึงที่เลย เป็นเรื่องที่ดีในภาวะน้ำมันแพงเช่นนี้) ตั้งใจว่าจะมาหาซื้อเชือกข้อมือ เอาไปแจกเพื่อนเนื่องในวันสําเร็จการศึกษา ฝนเริ่มตกปรอยๆมาพอดี เลยรีบเดินเข้า มาสะดุดตากับ โคมไฟที่มีรูปปลาทะเลแหวกว่าย สอบถามเจ้าของเรียบร้อยพร้อมต่อราคา จาก350 ได้ 300 ก่อนเดินไปร้านอื่น เผื่อมีถูกกว่า(อย่าลืมจําป้ายให้ดี ก่อนจะกลับมาไม่ถูก)

จากนั้นไปซื้อ อาหารนก และเดินหาร้านขายเชือกข้อมือ มีขายหลายร้านจริง แต่มีอยู่ไม่กี่ร้าน(เท่าที่เห็นมีร้านเดียว) ที่ขายถูกกว่าเพื่อน เส้นละ 10 บาทเท่านั้น

เจอร้านขายโคมไฟรูปปลาทะเลอีกร้าน เหมือนร้านแรกแต่ไม่ให้ต่อราคา แน่นอนครับ เราก็ไม่ง้อเพราะเรา คือ ผู้บริโภค

กลับไปซื้อโคมไฟที่ร้านแรก หน้าด้านต่ออีกครั้ง ได้ 280 บาท (จริงๆเราควรต่อให้มากที่สุด เพราะราคาที่ขายก็มักจะตั้งเผื่อให้ต่ออยู่แล้ว )

ที่นี่ มีวัยรุ่นมาเดินเยอะแยะ ไม่แพ้ สยามหรือเซ็นเตอร์พอยด์เลย นับว่าเป็นทางเลือกที่ดี สําหรับคนที่ไม่นิยมของแพง แต่ต้องการแสวงหาของดีๆ ราคาถูก

ขากลับ ที่สถานีกําแพงเพชร เมื่อลิฟท์เปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งเข็นรถเด็กอ่อน เดินออกมา ผมนึกออกทันที แม้เธอจะใส่แว่นขอบดําและหน้าตาก็ดูแก่ลงไปบ้างก็ตาม เธอ คือ แวร์ โซว แน่นอนนักแสดงสาวที่มากด้วยความสามารถ ภายหลังที่มีข่าวว่าเธอตั้งท้องและที่สําคัญ ฝ่ายชายก็แสดงบทพ่อได้ดีมาก ปล่อยให้ฝ่ายหญิงดูแล และไม่รับว่าเป็นพ่อเด็กด้วย

เธอเป็นตัวอย่างของผู้หญิงที่ต่อสู้ ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา แม้พ่อเด็กไม่สนใจแต่เธอรักลูกของเธอและพร้อมจะดูแลให้ดีที่สุด ผมมองเธอขณะอยู่ในรถไฟฟ้าใต้ดิน(เธฮก็คงรู้ว่า ไอ้เด็กคนนี้ คงรู้แน่ว่าฉันเป็นดาราหรือไม่งั้นก็เป็นพวกจิตทราม) ในใจก็รู้สึกสงสารเธอจังแต่รู้สึกชื่มชมเธอมากด้วย

ปิดท้ายก่อนนอนคืนนี้ อย่าลืมนะครับ หากไม่สามารถผลิตแบงค์เองได้ จะซื้อของขวัญฝากเพื่อน ลองมาดูที่นี่กัน (เลิกไปดูตามห้างเถอะ แพงเปล่าๆ ที่สําคัญ บางอย่างเหมือนเป๊ะเลย)

แล้วอย่ามาเสียใจภายหลังนะ (เวลาเพื่อนมาโชว์ ว่า ฉันซื้อมาถูกกว่า)

Friday, July 29, 2005

ทําบุญกันเถอะ


ถือเป็นโอกาสดี ในวันเริ่มต้นของการมีอายุมากขึ้นอีก 1 ปี ที่จะไปทําบุญ ไม่ว่าจะเป็นการถวายสังฆทานที่ทําเป็นประจํา ในวันนี้

ความคิดเรื่องการบริจาคโลหิตผุดเข้ามาในหัว หลังจากพึ่งได้รับจดหมายจากสภากาชาดให้ไปบริจาคเลือดได้ (ไชโย ได้เอาเลือดชั่วๆออกไปบ้างแล้ว)

ต้องขออธิบายว่า เคยไปบริจาคเลือดล่าสุดตอนเหตุสึนามิจากที่เคยบริจาคครั้งแรกเมื่อตอนเรียนที่รักษาดินแดน (เนื่องจากใครบริจาคก็จะได้กลับบ้านก่อน)


ปรากฏว่า หลังจากนั้นสภากาชาดมีจดหมายให้ไปเจาะเลือด เพราะผลเลือดไม่แน่ชัด(เจ้าหน้าที่บอกมีเป็นหลายคนซึ่งไม่ทราบสาเหตุ) แม้จะหัวเสียอยู่บ้างเพราะร่างกายก็ออกจะแข็งแรงแต่ใจอยากบริจาค จึงต้องไปเจาะ โดยต้องเจาะ ให้ผลเป็นปกติ 2 ครั้ง

ชวนสายรก(หนุ่มขี้เหงา สาวอยู่ที่ทํางาน) ไปบริจาคด้วย เพราะเจ้านี่ อยากไปหลายครั้งแต่ยังไม่มีโอกาส

ที่สภากาชาดวันนี้ คนไม่เยอะ หลังจากกรอกประวัติ วัดความดัน เจาะความเข้มของเลือดแล้ว ก็ไปตรวจประวัติ ผมถือจดหมายจากสภากาชาดมาด้วย ถ้าวันนี้ห้ามไม่ให้บริจาคอีก คงต้องโน้มคอเจ้าหน้าที่มาตีเข่าแน่ๆ(ล้อเล่นครับ)

ทุกอย่างเรียบร้อยดี หลังจากพักกินอะไรเล็กน้อย ผมจะไปทําสังฆทานที่วัดหัวลําโพงเนื่องจากอยู่ไม่ไกล สายรกก็ไปเอา Visa ที่สถานทูตอเมริกา ก่อนไปมันแนะนําให้ผมไปบริจาคโลงศพด้วย

เข้าวัดมาทําสังฆทาน ที่นี่ไม่มีเป็นโพยให้ดู แต่พระท่านจะพูดแล้วให้เราพูดตาม(ก็ดีไปอีกแบบ) จากนั้นก็เข้าไปบริจาคโลงศพ โดยเจ้าหน้าที่จะให้มา 2 ใบ ใบแรก(สีชมพู) เอาไปติดกับโลงศพ อีก 1 ใบ (เหมือนใบเสร็จ) ให้เอาไปเผาข้างใน (อย่าลืมจุดธูป 20 ดอก ไหว้แล้วปักให้ถูกด้วย ที่ปักเยอะเล็กน้อย)

จากนั้นไปราชวัตร เพื่อไปปิดบัญชีธนาคาร ที่ราชวัตร กลิ่นอายความคุ้นเคย ยังคงมีอยู่ไม่เสื่อมคลาย ที่นี่ เป็นที่ที่ผมและเพื่อนๆคุ้นเคยอย่างมาก เรียกว่าเดินมาตั้งแต่เด็กคงไม่ผิดนัก

ร้านข้าวหน้าเป็ด ข้าวมันไก่ คุณลุงขาเป๋คนเดิม ที่เห็นมาตั้งแต่ผมเด็กๆ วันนี้แกก็ยังขายของอยู่ที่หน้าร้านเหมือนเคย

เดี๋ยวจะหาว่าเป็นคนแก่ เพราะนึกถึงแต่เรื่องอดีต แต่อดีตที่ดีก็เป็นสิ่งที่พึงระลึกและน่าจดจําเสมอๆ(หรือว่าไม่จริง)

ขอบใจวุ้น บักบาน ปูโกก สายรก ฟัก ส้มวัว อ้อม และชูฮวย(อุตส่าห์โทรมาจากเมืองนอก) ที่อวยพรวันเกิด ไปกินข้าวอร่อยๆก่อนล่ะ

Wednesday, July 27, 2005

วันผู้ให้กําเนิด


“วันเกิดลูกคล้ายวันตายแม่……..” และ “………….ควรเรียกวันผู้ให้กําเนิดจะถูกกว่า” เป็นบทความที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือ นึกทีไร ก็มีความรู้สึกเดียวกับผู้แต่งทุกๆครั้ง

การที่เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ สัตว์ประเสริฐบนโลกใบนี้ นับว่าเป็นบุญมากมายแล้ว ในขณะที่หลายๆชีวิตไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิดบ้าง และยิ่งเราได้เติบโตมาจากครอบครัวที่อบอุ่น นับว่าเป็นความสุขที่แม้มีเงินมากเท่าไร ก็ไม่สามารถซื้อความสุขเช่นนี้ได้

วันหนึ่งเมื่อ 23 ปีที่แล้ว หญิงวัยกลางคนได้ให้กําเนิด ลูกชายคนที่สาม และแน่นอน เธอมีความเจ็บปวดเหมือนแม่ทั่วๆไป หากแต่เด็กคนนี้คลอดก่อนกําหนด(7 เดือน) ทางการแพทย์เรียกว่า Pre-Major โดยวิธีซีซาร์(หรือการผ่าท้องออก)

ก่อนถึงวันคลอด เด็กคนนี้ ทําให้แม่เจ็บปวดมากเพราะร่ำว่าจะออกจากท้อง พอไปถึงโรงพยาบาลกลับไม่มีอาการ พอกลับบ้านมีอาการอีก คุณหมอเห็นว่าจะเป็นอันตรายจึงให้หญิงคนนี้นอนอยู่ที่โรงพยาบาลตั้งแต่ เดือนที่5 จนกระทั่งถึงกําหนดคลอด

เมื่อคลอดแล้ว เด็กคนนี้ต้องเข้าตู้อบ อีกทั้งยังต้องให้น้ำเกลือโดยเจาะทางศีรษะ โดยคุณหมอบอกหญิงคนนั้นและคู่ชีวิตของเธอว่าให้ทําใจไว้เพราะลูกชายอาจจะไม่รอด

ในที่สุดเด็กคนนั้นก็อยู่รอดปลอดภัย ตามปกติเด็กที่คลอดก่อนกําหนดหากไม่เอ๋อ ก็ฉลาดแบบเด็กอัจฉริยะไปเลย โชคดีที่เด็กคนนั้นปกติเหมือนทุกๆคน แม้จะเข้าใจในบทเรียน ช้ากว่าเพื่อนๆบางคนบ้าง

ในขณะที่วันเกิดของวัยรุ่นส่วนใหญ่ทั่วไป มักจะไปฉลองกับเพื่อนๆ(ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ผิด) แต่เด็กคนนี้เลือกที่จะฉลองวันเกิดกับครอบครัวดังเช่นเด็กอีกหลายๆคน เพราะเขานึกเสมอว่า ชีวิตนี้ ที่เติบโตมา ที่ได้สนุกสนานในสิ่งที่ชอบ หากไม่มีพ่อกับแม่แล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะได้เกิดเป็นลูกใคร บุญคุณที่เลี้ยงดูมาจนเติบโต ช่างยิ่งใหญ่นัก ชีวิตนี้จึงไม่ใช่ของเขาเพียงอย่างเดียวหากแต่เป็นของพ่อและแม่ด้วย

อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะมาถึงวันครบรอบวันเกิดของเขา(ไม่ซิ วันผู้ให้กําเนิดดีกว่า) ซึ่งก็จะมีอายุมากขึ้นอีกหนึ่งปี ไม่ว่าชีวิตข้างหน้าของเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สําคัญเท่า การตอบแทนบุญคุณของผู้ให้กําเนิดให้มากที่สุด ดังเช่น บุตรที่ดีควรกระทํา

Monday, July 25, 2005

ฝันร้ายที่(เกือบ)เป็นจริง


เหตุการณ์สึนามิถล่ม 6 จังหวัดอันดามันผ่านมาหลายเดือนแล้ว หลายๆคนที่ประสบภัย บาดแผลของพวกเขาคงยากที่จะลบออกไปจากใจได้

กลางดึกคืนหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อน มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวในลักษณะเดียวกันใกล้ๆ จุดเดิม หากแต่คราวนั้น ความรุนแรงมีไม่มากแต่ก็มีแนวโน้มว่าอาจจะเกิดคลื่นสึนามิได้ ผมติดตามเหตุการณ์ทางโทรทัศน์ ภาพผู้คนหนีขึ้นที่สูง ในที่สุดเหตุการณ์ก็กลับสู่ภาวะปกติ

เมื่อคืนนี้ฝันร้ายเกือบจะมาเยือนพี่น้อง 6 จังหวัดอันดามันอีกครั้ง เพราะเกิดเหตุแผ่นดินไหวในระดับที่เรียกได้ว่าเป็นไปได้สูงที่จะเกิดคลื่นสึนามิ ภาพต่างๆ การรายงานข่าวเริ่มกลับมาอีกครั้ง

แต่มีสัญญาณที่ไม่ดีเล็กน้อยที่เกาะเมียง อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน จุดที่มีเครื่องตรวจวัดระดับน้ำทะเลเพราะระดับน้ำได้ขึ้นลงผิดปกติ ทั้งๆที่ควรเป็นเวลาที่น้ำขึ้นอย่างเดียวซึ่งในที่สุดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ศูนย์เตือนภัยจึงประกาศยกเลิกภาวะฉุกเฉิน

นับว่าการเตือนภัยดีขึ้นเรื่อยๆเพราะบทเรียนที่เคยได้รับก็เพียงพอที่จะทําให้เราอยู่เฉยๆกันไม่ได้อีกต่อไป
แม้ในขณะที่เขียนบล็อคอยู่นี่ ก็มีรายงานข่าวว่า ห่างจากจังหวัดภูเก็ตไป 600 กว่ากิโลเมตร เกิดแผ่นดินไหวอีกแล้ว แต่ในระดับที่เบา ไม่ส่งผลกระทบอะไร

วันใด วันหนึ่งฝันร้ายก็อาจมาเยือน แม้เราจะมีบุคลากรที่เก่งเพียงใด แต่ภัยธรรมชาติก็ไม่อาจคาดการณ์ได้ 100 เปอร์เซ็น ดังที่หลายๆคนหน้าแตกจนหมอไม่รับเย็บมาแล้วว่า คลื่นสึนามิไม่มีทางเกิดในประเทศไทยได้

หากจะหลีกเลี่ยงมหันตภัยครั้งต่อไปนี้ไม่ได้ ก็ขอให้มีการสูญเสียต่อชีวิตน้อยที่สุด(ทรัพย์สิน ช่างมันเถอะ)

Friday, July 22, 2005

Under Water World(2)


2 อุโมงค์ใต้น้ำ

อุโมงค์ใต้ทะเลที่นี่ ยาวมากจริงๆ ยาวที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาในประเทศไทย ที่สําคัญมีปลาเยอะมาก เริ่มจาก กระเบนนก(Eagle Ray)ที่ว่ายน้ำได้สง่างามจริงเหมือนนกจริงๆ, ฉลามเสือดาว(Leopard Shark)หนึ่งในฉลามผู้ใจดี, โรนัน(White-Spotted Guitarfish) สัตว์ลูกผสมระหว่างกระเบนกับฉลาม หายากมากในทะเลไทย คิดๆดูว่าหากตัวที่ผมเห็น จับมาจากทะเลไทยแล้วผมจะมีโอกาสได้เห็นในทะเลไหมหนอ?,ปลาฉลามขี้เซา(Nurse Shark) ปลาหมอทะเล (Giant Grouper)ปลากุดสลาดจุดฟ้า(Squaretail Coralgrouper),กระเบนหลังดํา, ปลามง(Jack Fish),เต่ากระ(Hawksbill Turtle),เหาฉลาม(Shark Sucker),ปลาผีเสื้อคอขาว(Collared Butterflyfish), ปลาโนรี(Longfin Bannerfish), ปลาสินสมุทรลายน้ำเงิน (Blue-Ring Anglefish),ปลาวัวลายส้ม(Orange-Striped triggerfish), ปลาหูช้างครีบยาว(Teira Batfish) เป็นต้น

ถึงตอนนี้ผมเริ่มเปลี่ยนจากการถ่ายภาพนิ่งมาถ่ายเป็นวีดีโอ ที่สําคัญได้ผลดีกว่าเยอะเลยสําหรับกล้องที่ความไวไม่ค่อยดีนัก ระหว่างถ่ายไปมีเสียงเพลงประกอบตลอด ทําให้นักท่องเที่ยวหลายๆคนดูมีความสุขไม่น้อยเลย

เดินไปเรื่อยๆเห็นปลาวัวไตตันตัวหนึ่ง(Titan Triggerfish) นอนนิ่งพะงาบๆอยู่บนปะการังแผ่น ผมสงสารมาก ไม่รู้ว่าเขาทําผิดอะไร ละสายตาไปนิดหน่อย กลับมาดูอีกที หายไปแล้วพี่ชายผมโวยวายว่า มันยังไม่ตาย แถมยังสบายดี พร้อมชี้ให้ผมดู ผมรีบถ่ายรูปมันเรื่อยๆ พร้อมเรียกมันว่า ปลาวัวไตตันจอมกะล่อน (มาหลอกเราได้)

ช่วงทางออก พบม้าน้ำ(Sea Horse) หลายตัวในตู้ใสๆ ผมก็ไม่พลาดที่จะเก็บภาพมาเช่นกัน

ผมยังเดินวนไป วนมาหลายรอบอย่างไม่มีเบื่อ อยู่ใกล้ๆพวกเขา ผมมีความสุขมาก(ชาติก่อนผมอาจจะเกิดเป็นปลาก็ได้)

ได้ยินเสียงประกาศว่า นักท่องเที่ยวสามารถชมการให้อาหารปลาได้ ผมได้ยินแต่ก็ยังไม่ไปดู เดินต่อไปเรื่อยๆในอุโมงค์ใต้น้ำเหมือนเดิม จน Memory เกือบหมด

เดินออกมาที่ตู้ที่มีปลาไหลมอเรย์ยักษ์กับฉลามครีบดํา ที่เข้ามาตอนแรก เขากําลังย่อนปลาลงมาพอดี แต่ดูท่าฉลามจะไม่หิวหรือไม่อยากกินจากที่ป้อนก็ไม่รู้ เลยไม่สนใจ(มีช่วงหนึ่ง ปลาหลุดจากไม้แล้วใช้มือ ล้วงเก็บ เสียวแทนจริงๆเลย) ท้ายสุดปลาตัวนั้นก็ตกลงมาที่พื้นจนได้ แล้วผู้สําเร็จโทษก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เจ้ามอเรย์ยักษ์นั่นเอง

ออกมาเห็นป้ายว่า “ห้ามถ่ายวีดีโอ”(ช่วยไม่ได้ครับ ถ่ายไปแล้ว อีกอย่างผมว่า คนอื่นๆก็ถ่ายกันเยอะ เจ้าหน้าที่ไม่เข้มงวดเท่าไรด้วย)

เป็นอันจบรายการท่องโลกใต้ทะเล หากใครไม่เคยมาชมผมแนะนําว่า น่าจะลองมาดูด้วยตาซักครั้งหนึ่ง พาบุตร หลาน มาเที่ยว เขาต้องมีความสุขแน่ๆ ถือเป็นโอกาสอันดีสําหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสใกล้ชิดทะเล หากเป็นนักดําน้ำ(Scuba)แน่นอนว่า การได้เห็นในทะเลจริงๆย่อมดีกว่ามาก

ขากลับที่พัก พี่ๆพาผมขึ้นมานมัสการเสด็จเตี่ย(กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) บนเขา ที่ผมเห็นจากท่าเรือพัทยา เมื่อมาดําน้ำสัปดาห์ที่แล้ว บนนี้มีกล้องหยอดเหรียญ์ให้นักท่องเที่ยวได้ชมทัศนียภาพเมืองพัทยาด้วย นอกจากนี้ข้างบนยังเป็นที่ส่งคลื่นวิทยุ ถึงขนาดมีป้ายเตือนว่า อย่าใช้รีโมทเปิดรถเพราะจะทําให้รีโมทพังได้(ขนาดนั้นเลย)

นอกจากนี้ฝั่งตรงข้ามทางลงยังมีพระประธานขนาดใหญ่ ซึ่งผมหวังว่าคราวหน้าคงมีโอกาสมานมัสการท่านบ้าง

กลับที่พัก ผมลงมาว่ายน้ำทะเลกับพี่ชายแม้น้ำจะไม่ใสแบบหาดป่าตอง แต่ก็พอทําให้รําลึกถึงบรรยากาศเก่าๆได้บ้าง ก่อนจะขึ้นมาแช่น้ำใน จากุชชี่แสนสบาย(ประหนึ่งได้ไปน้ำตกร้อน)และว่ายน้ำในสระว่ายน้ำจนค่ำ

เย็นวันนี้ได้ลิ้มรส อาหารไทยดีๆ ที่ร้าน “มุมอร่อย” เช่น แกงส้มชะอมไข่, หอยนางรมสดๆบีบมะนาว ใส่ซอสพริกกินกับใบกระถิน , ส้มตําคอหมูย่าง และ ยําปลาดุกฟู

วันรุ่งขึ้น ผมและพี่ชายก็ต้องเดินทางกลับเพราะต้องไปเอา Passport ที่สถานกงสุล ไม่งั้นก็คงอยู่ต่อแน่ๆ แม้เป็นเวลาสั้นๆ แต่ สามพี่น้องก็มีความสุขมาก เมื่อได้มีโอกาสกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้งและคงรอคอยเวลา ที่จะได้กลับมาเที่ยว เล่นด้วยกันอีก เมื่อต่างคนต่างว่างจากภาระหน้าที่แล้ว



Kasab
22 กค 2548
20.09 น

Under Water World(1)


สัปดาห์นี้ พี่ชายคนโตจะกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศญี่ปุ่น ก่อนกลับอยากหาโอกาสไปเยี่ยมพี่ชายคนกลางซึ่งทํางานโรงแรมอยู่พัทยา ส่วนนักเดินทางอย่างผมคงไม่พลาดที่จะติดตามไปด้วยอย่างแน่นอน

นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาในโลกใบนี้ ที่สามพี่น้องได้มีโอกาสเที่ยวต่างจังหวัดตามลําพังพร้อมกันเพราะนอกจากเวลาและสถานที่อยู่อาศัยมักจะไม่ตรงกันแล้ว การไปต่างจังหวัดพร้อมกันส่วนใหญ่มักจะอยู่พร้อมหน้า พร้อมตากันเป็นครอบครัว

ครั้งนี้คุณพ่อของผมไปต่างจังหวัดส่วนคุณแม่เลือกที่จะอยู่กรุงเทพมากกว่า ประจวบเหมาะที่พี่ชายคนกลางมาทําธุระที่กรุงเทพและจะกลับพัทยาคืนวันนี้พอดี เราจึงประหยัดค่าใช้จ่ายไปได้ เราออกเดินทางเวลาประมาณเที่ยงคืนของวันใหม่ ตามเส้นทางมอเตอร์เวย์


18 กรกฏาคม 2548

ก่อนไปหาของใส่ท้อง พี่ๆพาผมขึ้นมายังจุดชมวิวเมืองพัทยา ที่นี่ทําเส้นทางดีมาก มีทางวิ่งเฉพาะ สําหรับผู้ที่มาออกกําลังกายด้วย(เพื่อความปลอดภัย) แม้จะไม่มีแดดซึ่งทําให้บรรยากาศในการชมวิวทะเล สวยลดน้อยไปบ้างแต่ก็มีความสุขครับ นอกจากนี้ข้างบนยังมีลานจอดเฮลิคอปเตอร์ด้วย

ทางลงนี้เอง ผมได้เห็นท่าเรือพัทยา(Pattaya Port) ซึ่งผมพึ่งมาดําน้ำเมื่ออาทิตย์ก่อน พึ่งจะรู้ว่ามีถนนเชื่อมต่อไปถึงจุดชมวิวด้วย

หลังจากได้ข้าวมันไก่แสนอร่อย บวก เกาเหลาชิ้นสดและข้าวเปล่า ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง(ลืมชื่อ) พี่ๆถามผมว่าจะไปเที่ยวไหนดี ในใจผมก็อยากไปดู Under Water World เหมือนกัน เมื่อคราวก่อนพลาดไปเพราะมาถึงเมื่อเย็นมากแล้ว อยากลองไปดูชีวิตสัตว์ทะเลที่ผมชื่นชอบแม้ผมจะรู้สึกสงสารพวกเขาที่ถูกนํามาขังไว้เพื่อใช้ประโยชน์ทางการศึกษาแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า นี่คือชีวิตจริง ความสุขใจมักอยู่ภายใต้ความเศร้าโศกของหลายๆชีวิตเสมอๆ

เราเลี้ยวรถเข้าไปที่เมืองจําลอง ที่นี่ผมเคยมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ค่าเข้าในตอนนี้ตกอยู่ที่ 100 บาท แต่ไม่ได้เข้าครับเพราะอากาศร้อนเหลือเกิน และแล้วความหวังของผมก็เป็นจริงขึ้นมา พี่ๆอยากให้น้องสุดท้องอย่างผมมีความสุขจึงพาผมมาชมชีวิตโลกใต้ทะเลที่ Under Water World





สู่โลกใต้ทะเล Under Water World


มาถึงที่นี่ ในช่วงบ่ายๆ หลังจากซื้อตั๋วเข้าเรียบร้อยแล้ว(180 บาท) อาจจะแพงซักหน่อยหากเทียบกับหลายๆที่ที่ผมเคยไปมา ผมก็อยากรู้ว่าจะคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปหรือไม่


1 Touch Pool

จุดนี้ผมเห็นบ่อน้ำใสๆ สามารถเข้าไปแตะตัวสัตว์ทะเลได้ใกล้ๆ ภายในมีดาวทะเล(Star Fish) ลูกฉลามเสือดาว (Leopard Shark)หน้าตาน่ารัก2 ตัว(น่ารักมาก) นอกจากนี้ยังมี Cow Fish ปลาที่อยู่ในตระกูลปักเป้ากล่องด้วย(แต่รายนี่อยู่ลึกหน่อยคงไม่มีใครล้วงเข้าไปจับแน่) ซึ่งผมคิดว่าตรงจุดนี้ พวกเขาคงถูกแตะจากนักท่องเที่ยวบ่อยๆแน่ ซึ่งผมหวังว่าพวกเขาคงไม่ติดเชื้อโรคตายไปซะก่อน

จากนี้เดินทางมา เห็นตู้ใสๆขนาดเท่าที่บึงฉวาก ภายในมีปลาการ์ตูนหลายชนิด เช่นปลาการ์ตูนส้มขาว(Crown Anemonefish), ปลาการ์ตูนอานม้า(Saddleback Anemonefish),ปลาการ์ตูนอินเดียนแดง(Pink Anemonefish) เป็นต้น

ข้างหน้าผมมีผ้าดําๆคลุมอยู่เป็นทางเข้า เมื่อเดินแหวกผ้าเข้าไปดู ภายในพบตู้ใสๆอีก 1 ตู้ ถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่าทําไมถึงต้องปิดผ้าดําๆเพราะมีเจ้าปลาไหลมอเรย์ยักษ์(Giant Moray)2-3ตัว ได้เห็นตัวหนึ่งระหว่างว่ายออกจากไหใบใหญ่ ลําตัวช่างยาวจริงๆและเจ้าฉลามครีบดํา(Blacktip Shark) 2-3 ตัว ว่ายวนไปๆมาๆ(ก็ตู้มันแคบ จะให้ว่ายไปไหน) ที่สายตาดูลึกลับดี

จากนี้เดินต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นอีกโซนหนึ่ง มองเห็นอุโมงค์ใต้น้ำอยู่ทั้ง 2 ทางว่าแต่จะไปทางไหนดี(จริงๆไปทางไหนก็สามารถกลับมาที่เดิมได้)

ตรงกลางมีที่นั่งพัก พร้อมฉายวีดีโอเกี่ยวกับสัตว์ทะเลให้ได้ชมกัน เราเลือกเดินไปทางซ้ายมือ ก่อนเข้าไปอุโมงค์ใต้น้ำ ก็มาหยุดอยู่ที่ตู้ของปลาสิงโต(Lion Fish) ตัวหนึ่งลอยอยู่นิ่งมาก ทําให้ผมถ่ายรูปได้ไม่ยากนัก

Sunday, July 17, 2005

2 ปีที่ผ่านไป


เดือนกรกฎาคม ปี 2546 เป็นช่วงที่ผมพึ่งจบมาใหม่ๆ เป็นจังหวะเดียวกับเพื่อนของผมคนหนึ่งที่ตัดสินใจที่จะอุปสมบท

ในวันอุปสมบท เพื่อนคนนี้ได้อัดรูป ใส่กรอบ เป็นรูปครั้งที่เราไปเที่ยวกันที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์ หลังรูปมีข้อความทิ้งท้ายแบบแปลกๆว่า “คงอีกนานกว่าจะได้มีโอกาสไปเที่ยวด้วยกันอีก” ผมรู้สึกขําๆยังแซวเพื่อนคนนี้เล่นว่า เดี๋ยวคงได้มาเที่ยวกันอีก คงไม่นานขนาดนั้นหรอก

จากวันนั้นถึงวันนี้ เดือนกรกฏาคม ปี 2548 เพื่อนผมยังคงอุปสมบทอยู่ ที่วัดหนองป่าพง อ วารินชําราบ จ อุบลราชธานี หลวงเพื่อนเคยบอกว่า ครั้งแรกจะบวชแค่ไม่กี่พรรษา แต่มีหนังสือธรรมมะเล่มหนึ่ง เมื่ออ่านแล้วทําให้บวชได้นานขนาดนี้

ผมมีโอกาสเจอหลวงเพื่อนเมื่อปีที่แล้ว ครั้งที่นิมนต์มาที่บ้านเพื่อน หลวงเพื่อนมีสีหน้าที่มีความสุข และเทศน์ให้เพื่อนๆฟัง สุดท้ายหลวงเพื่อนบอกว่าจะสึกแน่นอน(อีกไม่นาน)

เมื่อวานนี้ผมได้พบหลวงเพื่อนโดนบังเอิญ ขณะไปหาเพื่อนอีกคนหนึ่ง ผมได้คุยกับหลวงเพื่อนครู่ใหญ่ ซึ่งผมก็ยังฟังคําสั่งสอนของหลวงเพื่อนเช่นเดิม หากแต่คราวนี้หลวงเพื่อนบอกว่าใจหนึ่ง อยากจะสึกเพราะอยากเป็นนักบิน แต่อีกใจหนึ่งก็ไม่อยากสึกเพราะได้เห็นอะไรมามาก ซึ่งการกลับจากประเทศอินเดียในเดือนพฤศจิกายนจะมีคําตอบว่า หลวงเพื่อนจะสึกหรือจะเป็นพระต่อไป

หากถามผม ใจหนึ่งก็ดีใจที่เห็นเพื่อนมีชีวิตที่มีความสุข หมดห่วง ฝ่ายพ่อ แม่ ก็ดีใจ(ครอบครัวหลวงเพื่อนมีลูกชาย 3 คน หลวงเพื่อนเป็นพี่คนโต) มีเพียงอาม่า ที่ไม่เห็นด้วยกับการอุปสมบทที่นานขนาดนี้ ส่วนแฟนของหลวงเพื่อน แม้เวลาผ่านไป 2 ปี แต่ก็ยังรอคอยอยู่ ไม่ผันแปร

แต่อีกใจหนึ่งผมก็อยากให้หลวงเพื่อนสึก ทั้งคิดถึงเพื่อน อีกทั้งก็หลวงเพื่อนจะได้ออกมารับใช้พ่อแม่ และยังนําความรู้ความสามารถไปใช้ได้อีก ซึ่งผมเชื่อว่าการบวชของหลวงเพื่อนเมื่อสึกมานอกจากจะมีประสบการณ์มากแล้ว ทัศนคติย่อมเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นมากๆด้วย

เพราะฉะนั้น คําถามยอดฮิตที่ว่า “ พระจะสึกเมื่อไร?” คนที่จะตอบคําถามนี้ได้ถูกต้องที่สุด ก็คือหลวงเพื่อนครับ

Wednesday, July 13, 2005

โลกพิศวง...ที่พัทยา(2)


Dive 6 ผมเจอปลาจิ้มฟันจระเข้หางพัด!!!!

ก่อนลงผมลองสูดอากาศใน Regulator พอหายใจออก รู้สึกติดๆพี่ป้อมบอกให้เป่าแรงๆเพราะมันแห้ง พอลองทําดูทุกอย่างก็เป็นปกติ

ใต้ทะเลที่เกาะล้าน แม้จะมีน้ำขุ่นบ้าง น้ำไม่ใสเท่าที่ชุมพร แม้จะมีปะการังน้อย แต่กลับทําให้ผมประทับใจมากเพราะเจอสัตว์ทะเลแปลกๆหลายตัว

หมึกกระดอง(Pharaoh Cuttlefish)ขนาดกลาง 1 ตัว ว่ายผ่านไป เจ้าโบ๊ตสะกิดให้ผมดู ผมอยากจะเรียกให้คนอื่นดูแต่ไม่มี Pointer จึงได้แต่ค่อยมองมันว่ายผ่านไป

พบดาวทะเล(Star Fish)รูปร่างประหลาด(ดูขยะแขยงมาก) เกาะตามเสา และตามพื้น มองขึ้นไปบนผิวน้ำพบฝูงปลามากมายเป็นพันๆตัว ทําให้ผมไม่อยากจะละสายตาไปจากมันเพราะเพลินดีจริงๆ นอกจากนี้ยังพบปูทะเล 2-3 ตัว อยู่ พรางตัวบนพื้นทราย และยังมีแส้ทะเลอยู่หลายๆที่


พี่ป้อมชี้ให้ดูปลาจิ้มฟันจระเข้หางพัดหรือปลาจิ้มฟันจระเข้สีเพลิง(Gans ‘ s Pipefish) 1ตัว ผมดีใจมากคิดว่าตัวเองโชคดีแล้วเพราะสําหรับปลาในตระกูลจิ้มฟันจระเข้นอกจากพบเห็นได้ยากเพราะตัวเล็กแล้ว คนจํานวนไม่น้อย มักจะมองข้ามมันไปเพื่อจะไปดูสิ่งที่ใหญ่ๆกว่า เช่น แมนต้า เรย์ และฉลามวาฬ เป็นต้น

ที่เสาแต่ละต้น มีกัลปังหาเกาะ (มากกว่า ที่ผมเห็นกัลปังหาน้ำตื้นที่อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสุรินทร์เสียอีก)และยังมีฟองน้ำครก(Neptune ‘ s cup sponge) อยู่ 4 อัน ดูๆแล้วใต้ทะเลที่เกาะล้าน มีอะไรมากกว่าที่ผมคิดไว้มาก

เจ้าปลาปักเป้าหนามทุเรียน(Porcupinefish) ลอยตัวนิ่งอยู่บนพื้นทรายอย่างสบายอารมณ์ ดูท่าไม่ตื่นตกใจกับสิ่งแปลกปลอมอย่างพวกผมแต่อย่างใด

จากนั้นพบหนอนตัวแบน(Flat Worm) ตัวสีส้ม มีขนาดเล็กมากๆ

พบปลาประหลาดอยู่บริเวณเสา ลักษณะมีเขา หางพัด 2 ตัว (จากการช่วยเหลือของคุณ Amun-ra ศิษย์ อ ธรณ์แห่งทะเลไทยดอดคอม ยืนยันว่าผมไม่ได้ฝันไป พวกเขาคือ ปลาวัวหนาม Fan-bellied leatherjacket(Filefish) มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Monacanthus chinensis ) เป็นปลาวัวคนละครอบครัวกับพวก Triggerfish พบได้ในทะเลพัทยา เวลาเข้าไปใกล้ พวกเขามักจะชอบกางหาง กางอกออก น่ารักมาก(ซึ่งผมก็เห็นด้วย) ส่วนพวก Cowfish ไม่ใช่ปลาวัวแต่อยู่ในครอบครัวปักเป้า ซึ่ง Longhorn cowfish ปลาวัวกล่อง(หน้าเหมือนวัวจริงๆ) คนจึงนิยมเรียกกัน

พอขึ้นมาเราลอยคอซักพัก ก่อนที่จะลงใน Dive ต่อไป สังเกตว่า พี่นัทขึ้นไปอยู่บนเรือเรียบร้อยเพราะว่าพลัดหลงกับคนอื่นๆซึ่งตามกฏของการดําน้ำคือ เมื่อหาใครไม่เจอต้องขึ้นจากน้ำ ถึงตอนนี้พี่นัทก็กําลังเปลี่ยนชุดเพื่อลงมาอีกครั้งหนึ่ง(ในช่วงนี้ต่างคนก็ต่างอวดในสิ่งที่แต่ละคนไม่เห็น เรียกว่าเกทับกันเลย ผมกับเจ้าโบ๊ตเกทับว่าเจอหมึกกระดองด้วย พี่ป้อมเกทับบ้างว่า เจอเจ้า Great Baracuda เป็นต้น )


Dive 7 คลื่นไส้กับน้ำทะเล!!

ระหว่างที่คนอื่นๆ เริ่มปล่อยลมออกจาก BCD แล้วค่อยๆลงไป ผมมีความรู้สึกว่าเริ่มคลื่นไส้เพราะกินน้ำทะเลเข้าไป พอลงไปไม่ถึงครึ่งเมตรคลื่นไส้มากๆ จึงขึ้นมาพักบนผิวน้ำเล็กน้อย พี่พิชเห็นผิดสังเกตเลยขึ้นมาถามผมว่าเป็นอย่างไรบ้าง แล้วค่อยๆลงไปพร้อมกัน ในตอนนี้ผมเริ่มดีมากขึ้นแล้ว

ช่วงนี้เหลือผมกับพี่พิช 2 คน มองไปด้านหน้ายังไม่เห็นแม้แต่เงาของพี่ต่อ น้องโบ๊ต พี่นัทและพี่ป้อม เพราะน้ำออกจะขุ่นๆ ว่ายไปเรื่อยๆจึงเริ่มเห็น(ไม่ไกลเท่าไรเลย)

พบผีเสื้อปากยาว(Beak Butterflyfish) 3 ตัว นับว่าโชคดีเพราะบริเวณนี้ก็พบพวกเขาไม่มากนัก ผมพบแค่ 3 ตัวเท่านั้น

พี่ป้อมหยิบกระดานขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า กระดานอะไรเอ่ย วิ่งได้ด้วย พวกเขา คือ ปูทะเลครับ(จําแนกชนิดไม่ได้)

เวลาว่ายผ่านเสาหรือว่ายตามพื้น ผมต้องระวังให้มากนอกจากจะมีสิ่งมีชีวิตมากมายแล้ว ที่นี่มีเม่นทะเลหรือหอยเม่น(Long-spine sea urchin) มากจริงๆโดนเข้าไปเจ็บปวดแน่ครับ

มีทากทะเล(Nudibranch)ตัวหนึ่งติดอยู่กับตาข่ายของชาวประมง เมื่อพี่ป้อมแกะออก โชคดีครับที่มันยังมีชีวิตอยู่ นอกจากนี้ยังมีดาวหมอนขนาดย่อม อยู่บนพื้นทรายด้วย

หลายๆครั้ง ที่พี่ๆดูสัตว์ในโพรง ผมมักอดดู อย่างเช่น ปลาไหลมอเรย์ เพราะหากไม่ใช้ตัวแนบกับพื้นทรายแล้ว โอกาสเห็นแทบจะไม่มีเลย แทบเม่นทะเลเยอะอีกต่างหาก ลงไปมีหวังไม่คุ้มกัน(ที่มันแคบครับ)

ตอนขึ้นมา เกือบกระแทกเสาแน่ะ โชคดีพี่พิชช่วยดึงเอาไว้ ไม่งั้นหัวอาจจะโขกก็ได้

เป็นอันสิ้นสุด ทริปดําน้ำง่ายๆ 3 ไดฟ์ สนุกมากครับ พอดําเสร็จแดดก็ออกทันที(ทํากับเราได้ แต่โชคดีที่ฝนไม่ตก)

สังเกตได้ว่าพี่ออมคอยถ่ายรูปทุกๆอิริยาบทของพวกเราทุกคน ผมทราบภายหลังจากการมาดูรูปที่บ้านว่า ถ่ายวีดีโอไว้เยอะเชียว แถมมีหลายๆอิริยาบท ทั้งการกระโดด,ระหว่างลงใต้น้ำ,ฟองอากาศจากใต้น้ำก่อนขึ้นและการขึ้นบนเรือ(กําลังอยากได้มากๆแต่ไม่มีโอกาสเหมาะเพราะส่วนใหญ่ก็จะลงไปดําน้ำกันหมด ต้องขอบคุณพี่ออมมา ณ ที่นี้ด้วย)

ระหว่างช่วยขนอุปกรณ์ดําน้ำกลับ ผมเห็นบนยอดเขาว่ามีอนุเสาวรีย์อยู่ จึงถามพี่ๆ ทราบว่า คือ อนุเสาวรีย์ของเสด็จเตื่ย(กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์) ซึ่งผมหวังว่าคงจะมีโอกาสมาสักการะท่านที่นี่บ้าง

ผมจะกลับกรุงเทพวันนี้ทันที โชคดีว่าพี่ป้อม พี่นัท พี่ต่อ พี่ออม พี่พิช กลับวันนี้กันหมด ผมจึงประหยัดตังค์ค่ารถทัวร์ได้ หลังจากอาบน้ำเรียบร้อย ก็ลงมาเขียน Log Book มีเพียงเจ้าโบ๊ตเท่านั้นที่กลับกรุงเทพในวันพรุ่งนี้

ค่ำนี้ ผมได้ลิ้มรสอาหารไทยๆ อร่อยเหาะ ร้าน “ป้าหวาน” ริมอ่าวอุดม อ่าวที่ผมพึ่งจะรู้จักเป็นครั้งแรก บรรยากาศที่อ่าวเงียบสงบมาก จนผมอยากอยู่นานๆ ไม่อยากกลับกรุงเทพเลย

ทั้งพี่ต่อ พี่นัทและพี่ป้อม เตือนผมเกี่ยวกับการเคลียร์หู เพราะผมมักจะทําแรงเกินไปทําให้ทุกไดฟ์ มักจะมีเลือดออก ซึ่งในอนาคตหากไม่แก้ไข แก้วหูผมอาจจะอักเสบซึ่งจะเจ็บตัวเปล่าๆ(แม้จะใช้เวลารักษาไม่มากก็หาย แต่ก็ควรกันไว้ก่อน) ซึ่งผมหวังว่าจะทําให้ดีขึ้นใน ไดฟ์ต่อไป

หลายๆคนอาจบอกว่าดําน้ำเป็นกิจกรรมของคนมีกะตังค์ ซึ่งผมไม่เถียงว่าค่าอุปกรณ์ต่างๆอาจจะแพงบ้าง แต่คนที่มีกะตังค์น้อยไม่ใช่ว่าไม่มีโอกาส หากคุณมีความพยายาม การเก็บหอมรอมริบ จะช่วยให้ฝันของคุณเป็นจริงได้ หลังจากที่ผมพยายามมาแล้ว(ผมก็ไม่ได้รวยนักหรอก)

หากปัจจัยต่างๆอํานวย ไม่ว่าจะเป็นเวลาและกระเป๋าตังค์ ผมคงปฎิเสธโลกใต้ทะเลอันน่าอัศจรรย์อย่างพัทยาไม่ลง ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ผมจะกลับมาที่นี่อีกหลายครั้งแน่นอน



Kasab
13 กค 2548
16.58 น

โลกพิศวง...ที่พัทยา(1)


หลังจากการจบหลักสูตร Open Water Course เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมาและพึ่งจะได้บัตรเมื่อปลายเดือนมิถุนายน ผมก็ยังไม่ได้ไปดําน้ำที่ไหนอีกเลย

เมื่อได้ไป Review ที่สระกับพี่ป้อมเรียบร้อย วันเสาร์นี้ผมจะได้ไปดําน้ำที่พัทยาครับ บางคนอาจจะร้องยี้ เมื่อได้ยินชื่อสถานที่เพราะคิดว่าคงจะไม่มีอะไรสวยงามแต่สําหรับผม ผู้ติดตามเกี่ยวกับสัตว์ใต้ทะเลผมรู้ดีว่า ทะเลพัทยาซ่อนอะไรๆไว้มากมาย การเดินทางก็ใกล้ สะดวกสบาย หากเปรียบทะเลพัทยาเป็นหญิงสาวคงเป็นสาวที่หน้าตาแม้จะไม่สวยมากนักแต่ก็ไม่ขี้เหร่ ที่สําคัญภายในเธอมีจิตใจดีมากไม่แพ้สาวๆในทะเลอื่นครับ และนี่คือเสน่ห์ของทะเลพัทยาที่นักดําน้ำหลายๆคน แสวงหา



8 กรกฎาคม 2548


วางแผนไว้ว่าจะไปถึงพัทยาช่วงเย็นๆแต่ต้องเปลี่ยนแผนเพราะในวันนี้พี่ชายผมจะกลับมาจากประเทศญี่ปุ่น ครั้นจะให้พี่ชายแบกกระเป๋าหลายใบขึ้น Taxi กลับบ้านเอง ส่วนตัวน้องชายหนีเที่ยว คงเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะดีนัก จึงตัดสินใจขับรถไปรับพี่ชายมาส่งบ้านให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยไปก็ไม่สายเพราะรถทัวร์จากสถานีเอกมัยไปพัทยา มีออกทุกครึ่งชั่วโมง (ตอนแรกคิดไว้ว่าจะออกจากรุงเทพพรุ่งนี้เช้ากับพี่พิช ศิษย์พี่ป้อมอีกคน แต่ผมกลัวจะตื่นไม่ทัน ไม่งั้นอาจพลาดทริปนี้ได้เลย)

เมื่อทําธุระเสร็จเรียบร้อย ผมแบกเป้สีเขียวขึ้นรถไฟฟ้าสถานีหมอชิตเพื่อไปลงที่สถานีเอกมัย ช่วงนี้คนส่วนใหญ่กําลังกลับบ้านคงมีน้อยคนที่จะไปเที่ยวกัน

ข้างๆผม มีชายคนหนึ่งกําลังคุยโทรศัพท์อยู่ น้ำเสียงดูเป็นห่วงเป็นใย คนที่อยู่ปลายทางซะเหลือเกิน เช่น “กินยาหรือยัง? เมื่อคืนนอนดึกหรือเปล่า”? ว่าแต่น้ำเสียงนี่ดูจะหวานๆเกินไปหน่อยหรือเปล่า ซึ่งผมก็ไม่ใส่ใจอะไรมากนัก

แต่ในประโยคสุดท้ายที่ว่า “ พรุ่งนี้เจอกันที่สะพานควาย อย่าลืมโกนหนวดโกนเครามาด้วยนะจ๊ะ” ทําเอาผมสะดุ้งเฮือก เพราะโกนหนวดเครา นี่มันผู้ชายนี่หว่า…….(คิดเอาเอง) (แต่คิดในแง่ดี ผู้หญิงมีหนวดก็มี ผมคงคิดมากไปเอง)

ที่สถานีขนส่งเอกมัยในวันนี้ มีคนมากพอสมควรอาจเป็นไปได้ว่า ในเย็นวันศุกร์ก็มีหลายๆคนที่อยากจะไปตากอากาศในเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา ชาตรแบตเพื่อเตรียมตัวกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงในวันทํางาน

ผมกําลังงงอยู่กับ 2 ช่องขายตั๋ว คือ ช่องชลบุรีกับช่องพัทยา จากการที่ใช้ปากให้เป็นประโยชน์ ได้ความว่า ชลบุรีไปไม่ถึง ส่วนพัทยาถึงแน่นอน ผมจึงเดินเข้าไปซื้อตั๋วรถปรับอากาศชั้น 1 ในราคา 110บาท รถออกเวลา 19.30 น

มีเวลาเหลือไม่ถึง 5 นาที ผมจึงรีบไปขึ้นรถที่ชานชาลา 1

มีหนุ่มสาววัยรุ่นอยู่หลายคน รวมทั้งชาวต่างชาติด้วย รถผ่านปากซอยอ่อนนุช ผ่านสถานีตํารวจพระโขนง ขึ้นทางยกระดับบูรพาวิถี ระหว่างนี้พนักงานรถส่งเสียงเตือนผู้โดยสารที่เปิบไส้กรอกอีสานให้รีบปิดปากถุงเพราะกลิ่นโชยออกมาทั่วรถไปเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นไฟก็ปิดลงซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่ผมเริ่มง่วงนอนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน

ตื่นมาถึงแหลมฉบัง เมื่อรถผ่านมาถึงเมืองจําลอง นั่นก็หมายความว่าผมเขยิบใกล้ถึงจุดหมายปลายทางแล้ว

รถทัวร์เลี้ยวเข้าพัทยาเหนือ จอดเข้าที่สถานีขนส่งซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ผมข้ามถนนมาต่อรถ 2 แถว เพื่อต่อไปโรงแรม Gulf Siam (พี่ป้อมบอกผมให้ต่อรถ 2 แถวมา ไม่นานก็ถึง)

“ไป กัฟ สยาม ครับพี่”

“อยู่ไหนเหรอ ไม่รู้จัก” คนขับว่าวด้วยหน้าตาซื่อๆ พร้อมคุยกับชาวต่างชาติอีกคนหนึ่ง เป็นจังหวะเดียวกัน ที่ผมเดินต่อไปเพื่อเรียกรถคันข้างหน้า(ก็พี่ยังไม่รู้แล้วผมจะไปยังไงเล่า)

รถโดยสารพาผมมาถึงโรงแรม กัฟ สยาม( ค่าโดยสาร 5 บาท) พี่ป้อมฝากกุญแจไว้ที่ Front เรียบร้อยแล้ว ผมเข้าห้องพัก ในทริปวันพรุ่งนี้ โบ๊ต หนุ่มน้อยที่เรียน Open Water จบมาพร้อมกับผมก็จะไปด้วยเช่นกัน (พี่ป้อมบอกว่าวันนี้พึ่งพาแขกไปดําน้ำมา ครูโก้ก็พึ่งกลับไปและในวันพรุ่งนี้ก็จะมีพี่นัทไปดํากับเราด้วย ผมนึกในใจว่าคนชื่อนัทคงเป็นผู้ชายแน่นอน )



10 กรกฏาคม 2548

ตื่นมากดนาฬิกาแล้วนอนต่อ(เจริญ) โชคดีพี่ป้อมมาช่วยปลุกอีกที ลงไปหาอาหารกินพบว่าโบ๊ตกับครอบครัว กําลังกิน Breakfast อยู่ พี่ป้อมเห็นว่าเริ่มสายแล้ว จึงพาพวกเราไปทานข้างนอกเสร็จแล้วก็จะเลยไปที่ท่าเรือเลย ผมได้รู้จักกับพี่นัท สาวสวยนักดําน้ำ เรียนดําน้ำมาพร้อมๆกับพี่ป้อม(เป็นจังหวะเดียวกับที่พี่พิชและเพื่อนๆมาถึงพอดี เลยออกไปพร้อมๆกัน)


โจ๊กร้อนๆ ในตอนเช้า กับบรรยากาศดีๆ ผมได้รู้จักเพื่อนของพี่พิช คือพี่ต่อและพี่ออม สาวสวยอีก 1 คน ก่อนออกจากร้าน เราช่วยกันขนอาหารเพื่อไปรับประทานกันบนเรือ

เราถึงท่าเรือท่องเที่ยวเมืองพัทยา(Pattaya Port) ผมไม่ทราบมาก่อนเลยว่า ที่นี่จะมีท่าเรือที่ใหญ่ขนาดนี้ คิดในใจว่าหากไม่ได้ดําแบบ Scuba คงไม่ได้มีโอกาสได้เห็น

หาเรืออยู่พักใหญ่ ลงไป Check อุปกรณ์ในกระเป๋า เช่น Wet suit ,Fin เป็นต้น ไม่นานนัก เรือรุ่งวรวรรณ 10 พาเราออกจากท่าเรือในเวลา 9 โมง 10 นาที

เช้านี้ไม่มีแดดแต่มีคลื่นพอสมควร ผมภาวนาขอให้ฝนไม่ตก พี่ไก่(Divemaster) มา Brief ให้ฟังเกี่ยวกับสิ่งอํานวยความสะดวกบนเรือ นอกจากนี้บนเรือยังมี Instructor คือ ครูป๊อกและครูโอ๋ด้วย โดยจุดหมายปลายทางแรกของเราอยู่ที่เกาะสาก

ก่อนถึงเกาะสากเรือปล่อยให้นักดําน้ำ Deep Dive ลงก่อน ช่วงนี้ระหว่างรอให้พวกเขาขึ้นมา ผมนั่งคุยกับพี่ต่อทราบว่า จบ Open Water มาพร้อมพี่พิช ส่วนพี่ออมยังไม่ได้เรียนดําน้ำแต่ติดตามมาด้วย ผมนึกถึงตัวผมเมื่อหลายปีก่อนที่พัทยา ผมก็มากับเพื่อนที่มาสอบดําน้ำแต่ผมยังไม่ได้เรียนดําน้ำและที่เกาะล้านก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทําให้ผมรักทะเลแบบบ้าคลั่งมาตั้งแต่นั้น

ช่วงนี้เราประกอบแท็งค์ เตรียมเข็มขัดตะกั่วสวมWet Suitและ Clean Maskเตรียมไว้


Dive 5 การ์ตูนอานม้าหวงถิ่น!!!!


เรือรุ่งวรวรรณ 10 จอดใกล้ๆเกาะสาก เห็นชายหาดอยู่ไม่ไกล(พึ่งรู้ว่าเกาะสากก็มีชายหาดท่องเที่ยวด้วย) เห็นเรือมากมายรวมทั้งเครื่องเล่นกีฬาทางน้ำอย่าง สกูตเตอร์ด้วย จึงต้องใช้ความระมัดระวังให้ดี ขืนขึ้นมาไม่ระวัง คอหักไม่รู้ด้วย(ก่อนลง ผมดื่มน้ำมากเป็นพิเศษเพราะเมื่อการดําครั้งล่าสุด ดื่มน้ำน้อยทําให้ทรมานมาก)

อาการปวดหูผมมีน้อยลง อาจเป็นไปได้ว่า อยู่ในระดับความลึกที่ไม่มากนัก(10 เมตร)หรืออีกมุมนึง คือ หูผมเริ่มที่จะบานแล้ว
ใต้ทะเลที่เกาะสากแม้น้ำจะไม่ขุ่นแต่ก็ไม่ถึงกับใสมากนัก ผมพบประหลาดสีเหมือนใบไม้ 1 ตัว น่าเสียดายที่มันตัวเล็กมากและผมก็จําลักษณะของมันได้น้อยเสียด้วยแต่มันจะอยู่นิ่งๆที่พื้นทราย(ใครไปเกาะสากเจอเพื่อนผมตัวนี้ ช่วยมาเฉลยด้วยนะครับ อยากรู้มาก)
พบหอยสังข์ไม่ทราบชนิดอีก 1 ตัว(ลักษณะเป็นหอยฝาเดียว) เจ้าปลาบู่โผล่หน้ามาทักทายเหมือนเดิม หากยังไม่เข้าเขตอันตราย มันก็ยังจะไม่หนีเข้ารู ผมสังเกตเห็นว่ามียางรถยนต์มากมาย สําหรับให้สัตว์ทะเลอาศัยอยู่ นอกจากนี้ยังมีแส้ทะเล(Sea Whip) มากมาย
ผมเห็นเจ้าปลากระรอกลายแดง(Redcoat) ที่นี่(ไม่ได้คาดหวังมากนักว่าจะเจอ) เห็นได้ชัดว่าการ Review ของผมได้ประโยชน์มากเพราะตีขาดีขึ้น ผมเก็บกระป๋องเบียร์มาสําหรับมาทิ้งบนเรือ(ยังมีคนมักง่ายอยู่เยอะ) นอกจากนี้ผมหยิบตะกั่วสําหรับถ่วงเข็มขัดมาจากใต้ทะเล(คงมีคนทําตกไว้) แต่ถือไว้ไม่นานผมก็ให้พี่ป้อมเก็บไว้เพราะความที่หนักกว่ากระป๋องเบียร์เยอะและทําให้การตีขาของผมจะมีอุปสรรค



พบเจ้าปลาการ์ตูนอานม้า 2 ตัว (Saddleback Anemonefish) บนดอกไม้ทะเล(Sea Anemone)ชนิดหนึ่ง กอเล็กๆมีสีฟ้า เจ้าการ์ตูนอานม้า แสดงพฤติกรรมหวงถิ่น เหมือนจะบอกว่า “พวกตัวประหลาดอย่างนาย อย่าเข้ามายุ่งกับเรานะ นี่บ้านของเรา” ผมดูมันใกล้ๆอย่างเอ็นดูและไม่คิดจะรบกวนมัน หากใครได้ไปเห็นคงจะรู้สึกได้แบบเดียวกับผมว่าแม้ปลาจะพูดไม่ได้แต่เราสามารถรับรู้ความรู้สึกของพวกเขาได้ นอกจากนี้ยังมีกุ้งตัวใสๆ อยู่บริเวณนั้นด้วย(หากไม่สังเกตไม่เห็นแน่นอน)

ถึงตอนนี้ผมเริ่มหน้าเขียวเพราะแม้จะรู้สึกสบายเพราะดื่มน้ำมากแต่ต้องเผชิญกับอาการปวดฉี่ ครั้นจะฉี่แต่มันก็ไม่ง่ายขนาดนั้น ภายใต้ Wet Suit ผมพยายามอยู่นาน ปล่อยตัวสบายๆไม่เกร็ง(เหมือนเด็กทารก ฝึกฉี่) โอยๆๆๆ ในที่สุดก็ไปสู่สวรรค์ซะที

พอขึ้นมาน้ำลายผมก็ยังคงมีสีแดงเช่นเดิม คงเป็นเพราะเส้นเลือดฝอยในจมูกแตกเช่นเคย แต่คราวนี้ออกมาที่หน้ากากด้วย
ผมรีบถอดชุด เข้าห้องน้ำเพราะยังฉี่ไม่สุดพร้อมล้างให้สะอาด(บางทีอาจมองว่าสกปรกแต่ก็ดีกว่าการกลั้นไว้จนเป็นโรคแล้วกัน)
อาหารกลางวันในวันนี้ ผมไม่กล้าที่จะกินมากนักเพราะมีประสบการณ์ใน Dive 4 ที่เกาะง่ามน้อย จ ชุมพร กินมากไปเกือบให้อาหารปลาแน่ะ!!! (ว่าแต่ผมชอบหมูผัดพริกมาก อร่อยจัง)


และก็ถูกต้องจริงๆเพราะกินเสร็จไม่ถึง 20 นาที ก็ต้องเตรียมตัวลงสู่ Dive ต่อไป ที่หาดตาแหวน เกาะล้าน(บริเวณสะพานปลา)

Friday, July 08, 2005

วันแห่งความสําเร็จ


วันรับปริญญาเป็นวันที่บัณฑิตใหม่ทุกๆคน ภาคภูมิใจมาก รอยยิ้มแห่งความสําเร็จปรากฎอยู่ที่ใบหน้า ซึ่งเราพบเห็นอยู่บ่อยครั้ง

ในวันนี้ สําหรับผมเป็นวันที่ยิ้มได้ทั้งวัน(แต่ไม่ได้บ้า) จะรู้สึกว่าเราจะเป็นดาราที่มีชื่อเสียงเพราะใครๆก็อยากมาถ่ายรูปกับเรา

ตั้งใจเรียนแทบตาย มีเพียงกระดาษแผ่นเดียวเป็นเครื่องยืนยัน จริงๆแล้ว มีมากกว่านั้นเพียงแต่ว่าใครจะไขว่ขว้าได้มากแค่ไหน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนด้วย

บางคนเป็นนักกิจกรรมของทางคณะและทางมหาวิทยาลัยตัวยง, บางคนชอบเล่นกีฬากับเพื่อนๆ บางคนชอบจับกลุ่มคุยกันหรือไปเดินช็อปปิ้ง หรือแม้กระทั้งบางคนที่เรียนเสร็จก็กลับบ้านทันที

อย่างเลวร้ายที่สุด สําหรับคนที่เรียนอย่างเดียว ก็ควรได้มิตรภาพที่ดีๆกลับมา ไม่อย่างงั้นจะเป็นการใช้ชีวิตที่ดูไร้สีสัน เพราะเรียนอย่างเดียว ไม่คบเพื่อน ไม่เปิดใจให้กว้าง น่ากลัวว่าจะเกิดปัญหาตามมาในอนาคต ยิ่งคนที่เรียนดีมาตลอดมาผิดหวังครั้งเดียว(ตกมาแล้วเจ็บหนัก) เป็นชีวิตมีแต่ความสําเร็จมาตลอด ซึ่งผมคิดว่ามีเพียงส่วนน้อยถึงน้อยมาก

เมื่อเช้าได้ไปงานรับปริญญาของเพื่อนเก่าสมัยเรียน รร ประจํา ที่สําเร็จการศึกษาแพทย์ พระมงกุฎ แม้จะรู้เรื่องเกี่ยวกับตัวเพื่อนคนนี้ไม่มาก แต่การที่เคยเห็นมาตั้งแต่เด็กๆ ทําให้มีความรู้สึกที่สนิทสนมมากแม้จะไม่ค่อยได้คุยกันก็ตาม

ว่าที่คุณหมอพูดด้วยรอยยิ้มว่า จะไปทํางานที่พิษณุโลก ดีใจที่เราจะมีคุณหมอที่อุทิศตนเพื่อส่วนรวมเพิ่มอีก 1 คนแล้ว

คนที่ดีใจที่สุดไม่แพ้เจ้าตัว คงเป็นคุณแม่และญาติๆที่มาแสดงความยินดีในความสําเร็จนี้ด้วย ลองคิดดูว่า หากเราเป็นพ่อแม่ ลูกของเราตั้งใจศึกษาเล่าเรียน จนจบการศึกษา เราจะมีความรู้สึกเช่นไร?

แม้หลายๆคนอาจไม่เห็นความสําคัญของวันรับปริญญา แต่ปฎิเสธไม่ได้ว่าความสําเร็จคือ สิ่งที่หลายๆคนต้องการ ทั้งนี้ทั้งนั้นอย่าลืมว่าไม่มีปัจจัยอะไรเลยที่จะไปมีอิทธิพลไปมากกว่าตัวของคุณครับ

Wednesday, July 06, 2005

ตัวโต แต่กลัวหมอฟัน(2)


วันนี้ผมตัดสินใจที่จะไปอุดฟันซี่ที่ค้างอยู่จนเสร็จ(2 ซี่) ในใจมีความรู้สึกเฉยๆเพราะเมื่อสัปดาห์ก่อนก็ผ่านมาได้ด้วยดี นัดคุณหมอ 9 โมงเช้า ที่เก่าเวลาเดิม

แต่สิ่งที่ผมวาดฝันไว้กลับไม่เป็นอย่างเดิมซะแล้ว เริ่มจาก มี 3 ซี่ ที่ต้องอุด(ไม่ใช่ 2 ) แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เท่าไร คุณหมอแคะเบาๆที่ซี่ที่ต้องอุด 1 ใน 3 ซี่ ผมมีอาการเสียวมาก คุณหมอบอกจะฉีดยาชาให้

ที่หมอเหลือ 3 ซี่นี้ไว้ทําต่อ ผมเริ่มจะเข้าใจบ้างแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะป็นฟันที่อยู่เพดานบนบวกกับอยู่แถวข้างในด้วย ทําให้การอุดไม่ได้เรียบง่ายเหมือนคราวที่แล้วนัก

คราวนี้ น้ำตาเล็ด ความเสียวแผ่ซ่านไปทั่วร่างเมื่อโดนเครื่องกรอฟันแต่ก็ต้องอดทน(ท่องไว้ในใจว่ากูไม่ใช่เด็กๆแล้ว เวลาโดนซ่อมหนักกว่านี้หลายพันเท่ายังทนได้มาแล้ว) คุณหมอบอกผมว่าหากเสียวให้ยกมือแต่อย่ากระตุกเพราะคุณหมอตกใจ(จึงพยายามไม่กระตุกอีก)

คราวนี้มาถึงซี่ที่ต้องฉีดยาชา เข้าใจว่าน่าจะฉีดเข้าที่เหงือก(เจ็บนิดๆ)แต่หลังจากฉีด ซี่ที่กําลังอุดก็ไม่เสียวอีกเลย(ดีจัง) จากการใช้หูอย่างเดียว เข้าใจว่าน่าจะมี 3 คน รวมคุณหมอด้วย ได้ยินบทสนทนาหลายอย่าง เช่นการผสมยาสําหรับการอุดฟัน ตัวยาหลายอย่างซึ่งมีหลายชนิด เป็นต้น

คุณหมอถามว่ายังไหวไหม(ยังเหลือการขูดหินปูน ที่คราวก่อนเลือดเต็มปากมาแล้ว)ถ้าไม่ไหว ค่อยมาอีกคราวหน้า ผมไม่อยากมาอีก อยากทําให้เสร็จไปเลย จึงทําต่อไป

เมื่อเสร็จแล้ว(ปากแห้งสุดๆ) คุณหมอบอก 4 ชม แรก ห้ามใช้ฟันเคี้ยว หลังจากนั้นอาหารให้กินอาหารอ่อนๆ พรุ่งนี้เช้าจึงจะกินได้ตามปกติ(บ้วนปากอยู่นาน เหมือนมีอะไรติดฟัน ที่แท้คือฤทธิ์ยาชานี่เอง) คุณหมอยังบอกอีกว่า มีซี่นึง(ให้ผมดูดระจก) หมออุดข้างๆให้ซึ่งระงับการผุได้แต่ไม่อุดตรงกลางฟันให้เพราะอุดไปก็แตก(ฟันแตกไปแล้ว)

ผมถามคุณหมอเกี่ยวกับการใช้ไม้จิ้มฟัน คุณหมอบอกว่า ไม่ดีเพราะนอกจากจะมีเชื้อโรคแล้ว จะทําให้ฟันห่าง เหงือกร่น แคะยังไงก็ไม่หมด

คุณหมอสอนผมในการใช้ไหมขัดฟันซึ่งดีกว่า โดยการใช้ไหมผูกที่นิ้วกลาง 2 ข้าง แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วโป้งเป็นตัว Control (สามารถทําความสะอาดได้ถึงในร่องฟัน ติดกับเหงือกได้ด้วย)

ตรวจสุขภาพฟันอีกครั้งปีหน้า ฮ่าๆๆๆๆๆๆ ไม่ต้องมาอีก 1 ปี(สุดท้ายวิญญาณเป็ดก็ยังเข้าสิงอยู่ดีแหละ!!!!)

Tuesday, July 05, 2005

ดําน้ำ กับ ขับรถ


วันนี้ผมเดินทางไป ซอยพัฒนาการ 57 ภายในมีสระว่ายน้ำ อันเป็นที่ตั้งแห่งใหม่ของ Zcubatech ตามคําชวนของพี่ป้อมให้ไป Review ทักษะที่ได้ร่ำเรียนมา ผมเห็นว่าเป็นโอกาสดีมากเพราะประโยชน์ในการซ้อมนี้ไม่ได้กับใครแต่ได้กับผมเอง

หากเปรียบเทียบการดําน้ำกับการขับรถแม้จะมีสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความเหมือนกันอยู่ที่ว่า ยิ่งฝึกซ้อม ยิ่งได้จับอุปกรณ์ประกอบบ่อยๆ ยิ่งจําได้และทําให้ชํานาญมากขึ้น

ผมร้างจากการดําน้ำมา 2 เดือน พี่ป้อมเลยจัดให้ประกอบอุปกรณ์ด้วยตัวเองทั้ง 2 ชุด(ทําให้แกด้วย) ยอมรับเลยว่าบางอย่างผมจําไม่ได้แต่หลังจากที่ได้ทําด้วยตนเองแล้ว ผมเก่งขึ้นเยอะ

เริ่มจากยกแท็งค์มาวางนอน เปิดรูที่ครอบแท็งค์ แกะเทบกาว จากนั้น ยก BCD(เสื้อชูชีพ) มาสวมกับแท็งค์ ล็อคให้เรียบร้อย(อย่าลืม เชื่อมต่อเกลียวของแท็งค์กับ BCD ด้วยและอย่าลืมว่า Regulator อยู่ทางขวามือนะ) ต่อจากนั้นนําสาย Inflator เสียบเข้ากับ BCD และนําเกจวัดคว่ำหน้าลง ก่อนจะเปิดวาวที่แท็งค์ บิดแบบมอเตอร์ไซด์จดสุดแล้วหมุนกลับครึ่งรอบ จากนั้นเช็คอากาศดูว่ามีเท่าไรและมีกลิ่นเหม็นไหม(ไนโตรเจนต้องสดชื่นหากมีกลิ่นก็ต้องเปลี่ยน) เสร็จเรียบร้อยก็รวมสายมาไว้ใน BCD ก่อนจะคว่ำแท็งค์ลง เป็นอันเสร็จ(จากนี้ก็ไปใส่ตะกั่ว ใส่ Fin ใส่Mask คาบ Snockle กระโดดท่า Giant Stride แล้วไปลุยเลย อ่อ! BCD พร้อมแท็งค์ไปประกอบในน้ำ สําหรับวันนี้)

วันนี้มีคนมาเรียนหลักสูตร Rescue กันหลายคน มีเรียน Open Water 1 คน คือพี่เล็ก ผมคล่องกว่าเขาแน่(ก็มึงได้บัตรแล้วนี่) ช่วงแรกผมคิดว่า แค่ฝึกตีขาอย่างเดียว ไปๆมาๆ ผมต้องมาเรียน Skill พร้อมกับพี่เล็ก เริ่มจากการถอด Regulator ทํา Bubble , การควานหา Regulator,การทํา Alternate Air Source กับ Buddy, การเคลียร์น้ำออกจากหน้ากาก เริ่มจากครึ่งหน้า เต็มหน้า และถอดหน้ากาก(กว่าจะผ่านคราวที่เรียน Open มากินน้ำและสําลักหลายอึกเลย),การกัด Regulator ครึ่งนึงแล้วแหงนหน้ากดปุ่มเพิชร์(กรณี Regulator ไม่ปกติ),การถอด ใส่ ตะกั่วในน้ำและการถอดใส่ BCDในน้ำ ,การถอดใส่ Inflatorในน้ำ เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามก็ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก

วันนี้ผมเข้าใจทักษะการลอยตัวแบบ นูทรั่ว บอรเจนซี่(โทษทีครับ กลัวเขียนผิด) อย่างถ่องแท้ จากการที่ฝึกซ้อมเองคนเดียว(ปริศนากระจ่างแล้ว) หายใจเข้า ลอย พอเริ่มหายใจออกช้าๆตัวจะลอยอยู่ซักพักแล้วจะจม คราวนี้ระหว่างที่ยังหายใจออกไม่หมด(หรือจะหมดก็ได้ ขึ้นอยู่กับว่าอยากให้หยุดหรือยัง) หากหายใจเข้าตัวจะลอยโดยที่ไม่มีทางที่จะแตะพื้นได้เลย(ภูมิใจจริงๆที่ทําได้เอง อย่างว่าล่ะครับ คนสมองทึบอย่างผมต้องทําหลายๆเที่ยว ถึงจะเก่ง) จากนั้นผมเตะฟินไปรอบๆ เก็บขยะใต้น้ำไปด้วย พอขึ้นมาพึ่งจะรู้ว่า มีคนดูอยู่เหมือนกัน คือ Instructor คนหนึ่งกับพี่พิธ(นักเรียนจบจากคาบาน่าหลังผมแต่ตอนนี้ กําลังเรียน Rescue ล้ำหน้าผมไปหลายก้าวแล้ว) ซึ่งเขาชมว่าผมเตะฟินได้ดีและคล่องมาก(จากที่เคยเตะแบบบ้าๆ เมื่อยขาด้วย)

พี่ป้อมให้ผมลงไปซ้อมจนกว่าอากาศจะหมด หลังจากเมื่อคราวก่อน ผมรู้ถึงความทรมานของการหายใจแล้วไม่มีอากาศ(พี่ป้อมปิดวาวล์) คราวนี้พออากาศอยู่ที่ 10 Bar เริ่มหายใจเข้าแล้วหนืดๆ(ก็มันจะหมดแล้ว) ผมเตรียมตัวขึ้นเพราะรู้จัวว่าหากปล่อยไว้นาน จะโดนไม่ใช่น้อย (แต่การให้อากาศเหลือน้อยบ่อยๆจะไม่ดีนักเพราะจะทําให้แท็งค์ชื้น)

นอกจากนี้ผมยังได้รู้จักครูโก้(Instructor)และพี่อาจ(ผู้ดูแลอุปกรณ์ต่างๆ) แม้ในวันนี้จะยังไม่กินข้าวเที่ยงแต่ก็ไม่รู้สึกหิวข้าว(ซัดไนโตรเจนเป็นอาหาร)

สําหรับโลกใต้น้ำแล้ว หิวข้าวดีกว่าอิ่มเพราะหากอิ่มอาจมีรายการให้อาหารปลาได้ แต่ที่ขาดไม่ได้ คือ ต้องทานน้ำเยอะๆ มิฉะนั้นจะทรมานมากๆ(ขาดน้ำเหมือนขาดรัก)

ขากลับพี่พิธมาส่ง ทําให้สะดวกในการกลับบ้านมากขึ้น(แม้จะพึ่งรู้จักกันแต่สัญชาติญาณบอกได้ว่าเป็นคนดี แกกําลังเรียนต่อปริญญาเอกที่ธรรมศาสตร์ สาขาวิศวะ มีกะตังค์แน่นอนครับ การออก ทริปบ่อยๆกับการเรียนถึง Rescue บ่งบอกได้)

วันนี้ผมได้ประสบการณ์เยอะมาก ฉลาดขึ้นเยอะ ส่วนใครที่ไม่เคยเรียนแล้วอยากจะเรียนดําน้ำ บอกได้เลยว่าไม่ยากเกินไปเลย พิสูจน์ได้จากคนสมองทึบแบบผม ที่ทําได้มาแล้ว

Saturday, July 02, 2005

ความสุขของคน


แน่นอนครับ ความสุขของแต่ละคนคงไม่เหมือนกันแน่แต่ไม่รู้ว่าใครจะเป็นเหมือนผมไหม(หรือทุกๆคนก็เป็น) คือ ถ้าเราได้ชอบในสิ่งใดสิ่งหนึ่งแล้ว เรามักอยากให้เพื่อนๆของเราชอบในสิ่งที่เราชอบบ้าง ซึ่งในความเป็นจริงก็เป็นเพียงบางคนเท่านั้นแหละครับที่จะคล้อยตาม

ผมไปงานสัปดาห์หนังสือที่ศูนย์สิริกิติ์ เกือบจะทุกๆครั้ง และมักจะได้หนังสือติดมือกลับมาเสมอๆ เล่มไหนชอบมากหน่อยก็จะอ่านก่อน เก็บเล่มที่ชอบน้อยหน่อยไว้อ่านคราวหลังซึ่งจริงๆแล้ว หนังสือดีแค่ไหน เขาตัดสินกันที่เนื้อเรื่องข้างในต่างหาก

หนังสือ “เคนย่า ซาฟารี” ของคุณโอภาส ปฎิมานุเกษม(ลุงเล็ก) ร่วมกับ อ ธรณ์ ธํารงนาวาสวัสดิ์ เป็นหนังสือที่ผมไม่ได้ซื้อมาจากงานด้วยเหตุที่ว่า ไม่ใช่เรื่องทะเลที่ผมชื่นชอบ แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้เล่มนี้มาครอบครองแบบฟรีๆจากการตอบคําถามในเว็บทะเลไทยดอดคอม

ผมพึ่งอ่านจบวันนี้ทั้งๆที่ได้มาตั้งแต่ปี 46 (เรียกว่า สําหรับผมเป็นลูกเมียน้อยคงไม่ผิดนัก)แต่ลูกเมียน้อยกลับทําให้ผมพึงพอใจมาก มันทําให้ผมอยากจะลองไปใช้ชีวิต 8 วัน กับเงิน แปดหมื่นบาทในแอฟริกา เพียงเพื่อที่จะไปเห็นอย่างที่คุณลุงเล็กและ อ ธรณ์ เห็นบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการทักทาย "แจมโบ้" กับชาวมาไซ ล่องเรือดูฮิปโป ดูจระเข้ หรือการนั่งรถดูสิงโต ดูไฮยีน่า ดูเสือดาว ดูเสือชีตาร์ เป็นต้น ลองคิดดูว่าหากคุณมีโอกาสไปเที่ยวเมืองนอกและต้องใช้เงินเป็นจํานวนมาก จะมีซักกี่คนที่อยากจะไปเที่ยวแนวซาฟารีเพื่อส่องสัตว์ ซึ่งไม่มีอะไรแน่นอนว่าคุณจะได้เห็นในสิ่งที่อยากเห็น(ส่วนใหญ่ต้องไปยุโรป อเมริกา แนวๆนั้น)

ผมเข้าใจกับคําของลุงเล็กว่า ยอมติดหนี้หัวบานเพื่อที่จะได้ไปและมันก็คุ้มจริงๆ

เข้าใจกับคําพูดของ อ ธรณ์ที่ว่า เงินจํานวนขนาดนี้สําหรับคนอื่นๆอาจไม่ยอมเสียแต่การท่องเที่ยว คือ การลงทุน บางคนยอมเสียเพื่อที่จะได้ภาพสวยๆและประสบการณ์ดีๆ บางคนเสียตังค์ไปมากเพื่อที่จะไปดื่มเหล้า หลีสาว แม้จะไม่ได้สาวกลับมาก็ตาม แต่นั่นก็เป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่ง

เพราะนี่คือความสุขของคนครับ


Friday, July 01, 2005

ตัวโต แต่กลัวหมอฟัน




“ตัวโตเป็นควาย แต่กลัวหมอฟัน” พ่อผมมักจะกระเซ้าเย้าแหย่ อยู่เสมอ นั่นเป็นเพราะผมมักจะมีความรู้สึกไม่ดีในทําฟันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการกรอฟันที่ให้ความรู้สึก เสียวซ่าน จนน้ำตาเล็ด(ในใจคิดตลอดว่า เมื่อไรมันจะเสร็จซักทีวะ) ยิ่งถอนฟันคงไม่ต้องพูดถึง

ล่าสุดที่ไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็เป็นการขูดหินปูนครั้งแรกของผม เจ็บมากๆครับ ต้องบ้วนน้ำลายทุกๆ 10 นาที เพราะเลือดเต็มปากนั่นเอง(คุณหมอบอกเป็นเรื่องปกติ เพราะคุณหมอขูดให้ถึงเหงือก) ผลก็คือเคี้ยวข้าวไม่ได้หลายวันเพราะเจ็บมาก ขนาดเกี้ยวน้ำก็ยังเคี้ยวไม่ได้ ต้องกินโจ๊กหรือข้าวต้มแทน)

วันนี้ ผมนัดหมอเพื่อดูอาการเสียวฟันที่เป็นเวลาดื่มน้ำเย็นจัด คาดว่าน่าจะเป็นฟันที่เคยอุดไว้ และที่อุดนั้นเริ่มหลุดไปแล้ว

ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆครับ(คราวที่แล้วคุณหมอบอกว่า ให้หาเวลานัดมาอุดเป็นซี่นั้นจริงๆครับ จากวันนั้นถึงวันนี้ 9 เดือนเข้าไปแล้ว)

ผิดคาดครับ การอุดและกรอฟัน 3 ซี่วันนี้ เสร็จเร็วกว่าที่คิด แม้จะมีการเสียวบ้างแต่ก็ทนได้ อาจเป็นเพราะผมโตขึ้นแล้ว(กว่าจะโต) หรือไม่ก็คุณหมอมีความนุ่มนวลในการกรอฟัน แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ผมก็ผ่านมาได้แล้ว(ก่อนกลับคุณหมอบอกให้ หาเวลามาอุดอีก 2 ซี่เพราะกลัวว่าหากอุดพร้อมกันหมด อาจต้องเคี้ยวอาหารอ่อนๆ) (แค่ 3 ซี่ นี้ผมก็ต้องเคี้ยวอาหารอีกข้างอย่างเดียวจนกว่าจะครบ 24 ชั่วโมงแล้ว)

นอกจากนี้ยังมีฟันอีก 2-4ซี่ ที่ไม่มีประโยชน์ในการเคี้ยวเพราะอยู่ข้างในสุดซึ่งคุณหมอแนะนําให้ถอน แน่นอนครับ(ไม่ถอน)

วันนี้เป็นวันใหม่ของเดือน ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีเพราะผมตื่น 6 โมงครึ่ง และอยากจะตื่นเช้าๆแบบนี้ทุกวัน(ช้าสุดไม่เกิน 8 โมง) เพื่อที่จะได้มีเวลาต่อวันให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการอ่านหนังสือหรือในเรื่องอื่นๆ (ตื่นเร็วกว่าเพื่อนที่โทรมาปลุกเสียอีกแต่อาจเป็นเพราะมีทําฟันก็ได้)

ทั้งนี้เพราะผมเคยเล่าให้เพื่อนฟังว่า เวลาตื่นสายๆ มีความรู้สึกผิด เหมือนทําผู้หญิงท้อง(ไม่เกี่ยวอะไรเลย แต่มีความรู้สึกแบบนั้นครับ)

อย่างไรก็ตาม ต้องถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดี(ทําไมตอนอยู่ รร ประจําทําได้ล่ะ?)(แต่แบบคุณสรยุทธ ต้องยกย่องเพราะรายนั้นนอนน้อยจริงๆ ทราบว่าเขาแอบงีบเอา)

ต้องคอยดูว่า ผมจะทําได้อีกซักกี่วัน? กี่เดือน?หรือกี่ปี?

เจาะใจ รายการที่ดี




เมื่อคืนวาน ได้ดูรายการเจาะใจ ช่วงเรียวลิตี้ โชว์ จะเป็นการนําดารามาใช้ชีวิตต่างๆที่แตกต่างกันไป ผมติดตามมาตลอดตั้งแต่สัปดาห์แรกๆเพราะน่าสนใจมาก เริ่มตั้งแต่เรื่องแรก คือนําคนไฮโซ รวยล้นฟ้า อย่างอานันทวีป ฉยางกูล ณ อยุธยา มาใช้ชีวิตติดดินโดยไม่มีเงินซักบาท ซึ่งพอใช้ชีวิตครบเจ็ดวัน ทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งหลายๆเรื่องยอมรับว่าเราดูอาจเป็นเรื่องธรรมดาแต่สําหรับเขาที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่เมืองนอก การได้รับสิ่งดีๆจากชาวบ้าน ทําให้เขารู้สึกปลาบปลื้มใจมาก

เรื่องที่สองเป็นเรื่องเกี่ยวกับสายัน ดอกสะเดา ตลกชื่อดังที่แม้จะเอ๋อๆแต่ก็น่ายกย่องกว่าคนธรรมดาบางคนเสียอีก สายัน มีภารกิจในการโบกรถจากกรุงเทพเพื่อไปดู หมีแพนด้าที่เชียงใหม่(ช่วง ช่วง กับหลิน ฮุ่ย) ระหว่างทางก็มีเรื่องที่ดีๆและน่าประทับใจมาก

เรื่องที่สามเป็นเรื่องเกี่ยวกับ อุ้ม สิริยากร นางเอกชื่อดัง ที่ใช้ชีวิตแบบคนตาบอด 5 วัน โดยตลอดระยะเวลาที่ชมรายการ ยอมรับว่าแต่ก่อนผมมองคนตาบอดอย่างธรรมดาๆไม่ได้เข้าถึงจิตใจเขามากเท่าไร แต่พอได้มาดูแล้วทําให้รักและเห็นใจคนตาบอดขึ้นอย่างมาก หลายๆเรื่องเขาลําบากและจําเป็นที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ หลายๆเรื่องเขาพยายามต่อสู้ ดิ้นรนเท่าที่สามารถทําได้และดูมีค่ามากกว่าคนตาดีบางคนเสียอีก(บางช่วงทําให้ผมน้ำตาคลอได้เหมือนกัน)

ส่วนเมื่อวานนี้เป็นเรื่องของโจอี้บอย นักร้องแรพโย่ชื่อดัง มาใช้ชีวิต 7 วันแบบตํารวจ ในวันแรก โจอี้ได้เข้าไปที่ รร ตํารวจ จ นครปฐม และถูกผู้กอง(เข้มมาก)ทําโทษให้ยืนตากแดด,ให้เวลา 1 นาที ไปเปลี่ยนชุดหรือแม้กระทั่งการถูกทําโทษโดยการวิดพื้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จนวิดไม่ไหว(วิดแล้วติด) ทําให้ผมนึกถึงสมัยยังเรียนอยู่ รร ประจํา ซึ่งเคยมีการทําโทษแบบนี้(ปัจจุบันทราบว่าไม่มีแล้ว) ซึ่งผมและเพื่อนๆหลายๆคนก็เคยทําไม่ไหวแบบโจอี้ บอย และเคยมีความรู้สึกแบบเดียวกันว่า “เพื่อนทําไหว เราก็ต้องทําไหว ไม่งั้นเราจะเป็นตัวถ่วง”
แม้ในตอนนั้น กว่าผมจะผ่านมาได้ก็ยากลําบาก เคยคิดแค้นคนที่ทําโทษอยู่ตลอด(พ่อ แม่กูยังไม่ทําแบบนี้ เป็นต้น) แต่พอมาคิดด้วยเหตุผลแล้ว เขาลงโทษเพราะเราผิดและการทําโทษก็ฝึกความอดทนและสอนให้เพื่อนๆรักกัน เมื่อมองย้อนเวลากลับไป ทําให้รู้สึกดีใจมากเพราะช่วงเวลานั้นสอนให้ผมเป็นคนที่ดี มีเหตุผล มีความอดทนอดกลั้นจนถึงทุกวันนี้


นอกจากนั้นในวันที่สองของโจอี้ก็ได้ไปเป็นตํารวจจราจร คอยโบกรถด้วยความลําบาก เขาบอกว่าทําให้เห็นใจตํารวจมากทีเดียว(ผมก็เคยมีทัศนคติที่ไม่ดีกับตํารวจมาตลอด ตั้งแต่ มีการรับส่วย การติดตามคดีรถโดยงัดของผมและเพื่อนซึ่งไม่จริงจัง ทั้งๆที่หากตั้งใจก็จับได้แล้ว) ซึ่งตํารวจประเภทนั้นก็ไม่ดีแต่อย่าเหมารวมทั้งหมดเพราะตํารวจดีๆ ยังมีอีกมากมาย(หลังจากที่เคยมองตํารวจทุกคนในแง่ลบเป็นส่วนมาก)

เรื่องราวของโจอี้ บอยยังไม่จบครับ ติดตามเจาะใจได้ทุกวันพฤหัส เวลา 4 ทุ่ม